กู้ซีหันกลับมาอุทานด้วยความตกใจ “พระชายาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”เขาง่วนอยู่กับการเยี่ยมท่านอ๋อง และไม่เห็นพระชายาเข้ามาหยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า "ข้าอยู่ที่นี่มาตลอด ตอนเจ้าเข้ามาข้าก็อยู่"นางจับขอบตั่งไม้และลุกขึ้นมาถามอย่างกระวนกระวายใจ “ฝ่าบาทสั่งให้เจ้าพาอ๋องเว่ยไปขอโทษจิ้งเหอจวิ้นจู่พรุ่งนี้รึ?”“ใช่แล้ว ยังทรงรับสั่งมาว่าถ้าหากเขาไม่ยอมไปก็ให้ลากเขาไป ลำบากจริง ๆ” กู้ซีกังวลใจยิ่งนักหยวนชิงหลิงกังวลใจ นางขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทก็จริง ๆ ทำไมถึงได้บังคับให้คนอื่นลำบากกัน? เขาไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ใครอยากได้คำขอโทษจากเขากัน ขัดขวางคนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่”“การขอโทษแค่ทำเป็นพิธี ฝ่าบาทคิดว่าการเป็นสามีภรรยามีอะไรก็ควรพูดให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ขุ่นเคืองใจกันหลังแยกทาง” กู้ซีกล่าวเช่นนั้นหยวนชิงหลิงนั่งลงข้างเตียง มองไปที่กู้ซีแล้วพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นหากอ๋องเว่ยไม่ยอมไปในวันพรุ่งนี้ เช่นนั้นแล้วก็อย่าไปบังคับเขาเลย"อวี่เหวินห่าวเห็นนางนั่งลง เขาก็ดึงมือนางขึ้นไปไว้ด้านหลัง "เกาให้หน่อย แถวตรงปีกไก่... ลงมาอีกหน่อย ใช่ ตรงนั้นแหละเกาแรง ๆ..."หยวนชิงหลิงช่วยเกาแก้
หยวนชิงหลิงคิดว่าเขาด่วนสรุปเกินไป “ไม่ใช่เช่นนั้น จะเผชิญหน้าต้องดูเวลาด้วย ตอนนี้นางบาดเจ็บสาหัส หากว่ากันแล้ว นอกจากประสบการณ์เฉียดตายของนาง ยังมีประสบการณ์เรื่องที่น่ากลัวและเจ็บปวดอีก เผชิญหน้ากันในเวลานี้ไม่ใช่ความกล้า แต่เป็นความเคียดแค้น นางเห็นอ๋องเว่ยก็จะคิดถึงว่าเขาเป็นคนฆ่าลูกของนาง สิ่งที่นางจะได้มิใช่การทรยศหรือความเจ็บปวดทางใจ แต่เป็นการฆ่าล้างแค้น”เหลิ่งจิ้งเหยียนพยักหน้า “พระชายา นั่นเป็นสิ่งที่ท่านคิดเองสินะ?”มือของหยวนชิงหลิงที่จับที่วางแขนอยู่นั้น นางหงายมือขึ้นมา “ข้าคิดเอง ตอนนี้ข้าเองก็ท้องอยู่ ถ้ามีคนฆ่าลูกข้า หลังจากนั้นก็เสแสร้งมาบอกกับข้า ด้วยคำขอโทษเพียงคำเดียว นี่เป็นการทำร้ายกันซ้ำสอง ให้อ๋องเว่ยไปเถอะ ไม่ต้องมาขอโทษหรอก ข้าขอคัดค้าน”เหลิ่งจิ้งเหยียนที่มองนางเดือดดาลเช่นนี้ จึงรู้ว่าคงพูดกับนางไม่ได้ เลยมาคุยกับอวี่เหวินห่าวแทน “ท่านอ๋องเห็นว่าอย่างไร?”อวี่เหวินห่าวตกใจ เขาจะไปรู้ความคิดผู้หญิงที่ไหนกัน? แต่ในฐานะที่ใกล้จะเป็นพ่อลูกสามแล้ว เขาเองก็คิดเอนเอียงไปทางเดียวกันกับเหล่าหยวนเช่นกัน หากเห็นคนที่ตัวเองเคียดแค้น คงมีแต่ฆ่าสถานเดียวเท่านั้น
ในตอนที่มีไข้ขึ้นสูง คนป่วยจะมึนและเบลอ จึงต้องดื่มน้ำ และประพรมน้ำให้ร่างกายเย็นลง ซึ่งทำให้ผ้าปูที่นอนเปียกหมานเอ๋อร์นำผ้าขนหนูมาคลุมบริเวณที่เปียก และซูยี่ช่วยเขาขยับตัวเล็กน้อย แม้ว่าการขยับนี้จะทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากหลังจากบังคับให้ดื่มไปครึ่งแก้วรวมถึงเช็ดตัว ผ่านไปสักพัก อวี่เหวินห่าวก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่หยวนชิงหลิงอย่างเบลอ ๆ "หยวน ข้าทนไม่ไหวแล้ว"ได้รับบาดเจ็บแบบนี้ การไปที่ห้องน้ำนั้นยากที่สุดร่างกายเจ็บตึงไปหมด นับประสาอะไรกับการอยากไปถ่ายเบากันซูยี่นำกระโถนเข้ามา ส่วนอวี่เหวินห่าวที่ได้เห็นก็โกรธจัด “ไม่เอาเจ้านี้ หาทางพาข้าไปห้องน้ำให้ได้”"ไม่ได้ แบบนี้มันจะทำให้เจ็บเกินไป" หยวนชิงหลิงพยายามเกลี้ยกล่อม "ใช้กระโถนไปก่อน วันพรุ่งนี้อาการดีขึ้นหน่อย ค่อยพาท่านไปห้องน้ำกัน"อวี่เหวินห่าวดื้อรั้นและไม่ฟังใครทั้งนั้น ดึงดันจะไปห้องน้ำให้ได้แม้ว่าห้องน้ำจะอยู่ข้างนอก แต่เขาก็ออกไปไม่ได้ ขยับตัวได้ยากจริง ๆซูยี่ที่นำกระโถนมานั้นมองไปทางหยวนชิงหลิงอย่างช่วยไม่ได้ “พระชายา หรือว่าจะพยุงท่านอ๋องออกไปดี”หยวนชิงหลิงจึงทำได้แค่เรียกหมานเอ๋อร์ไปเชิญถังหยางเข้ามาถังห
หยวนชิงหลิงถามอีกว่า “ตอนนี้อ๋องเว่ยอยู่ที่ไหน?”“ยังคงอยู่ในจวนจิ้งโฮ่วและไม่ยอมไปไหน กู้ซีเองก็ลากเขาไปไม่ได้ เขาดูเหมือนคนบ้าเสียสติไปแล้ว” อาซื่อเอ่ยอย่างทอดถอนใจ“กู้ซีเองก็ปราบเขาไม่ได้หรือ?” หยวนชิงหลิงรู้สึกประหลาดใจมากนักอาซื่อส่ายหน้า “ประเด็นสำคัญคือ เขาขโมยดาบของกู้ซี และเขาอาละวาดขึ้นมา กู้ซีเองก็กลัวว่าจะทำร้ายคนอื่น และยังเรียกให้ข้ารีบมาเชิญท่านกลับไป”รถม้ามาถึงจวนจิ้งโฮ่ว อาซื่อ และหมานเอ๋อร์ช่วยประคองหยวนชิงหลิงเข้ามาเมื่อมาถึงเรือนที่จิ้งเหอจวิ้นจู่พักอยู่ ก็เห็นความโกลาหลจากข้างใน มีคนหลายสิบคนยืนอยู่ข้างหน้าและเฝ้าประตู แม้แต่ฮูหยินเฒ่าและพี่หลุนเหวินก็ออกมาด้วยตัวเองอ๋องเว่ยถือดาบยาวไว้ในมือ ยืนอยู่ใต้ต้นฮว๋ายด้วยท่าทางผิดปกติ แววตาดูมืดมนบ้าคลั่ง และเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำสีหน้าของเขาหม่นหมองมาก ขอบตาของเขาดำราวกับว่าเขาไม่ได้นอนมานาน และเขากำลังบ้าคลั่งชนิดที่นิ่งเงียบ แต่กำลังรอโอกาสที่จะปะทุได้ทุกเมื่อกู้ซียืนอยู่ข้างหน้าเขา ห่างจากเขาไปประมาณหนึ่งฟุต และไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป สายตาจับจ้องไปที่เขามีผู้คนมากมายในลานบ้าน แต่บรรยากาศกลับเงียบเกิน
นางเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ลั่วลั่ว เจ้ายังไม่หลับใช่ไหม?”แพขนตาสั่นระริก แต่นางยังคงหลับตาอยู่ และน้ำตาก็ยังคงไหลออกมาจากหางตาใบหน้าของนางดูโศกเศร้าเสียใจ และพยายามอดกลั้นทุกอย่างไว้ในใจ การแสดงของนางถูกฉีกออก นางไม่เหลือความกล้าแม้แต่จะลืมตา เพราะนั่นคือการแสดงครั้งสุดท้ายของนางหยวนชิงหลิงถอนหายใจเบา ๆ และเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้นาง "ไม่เป็นไร ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว ทุกอย่างจบลงแล้ว"น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย หน้าอกนางกระเพื่อมขึ้น และมีเสียงสะอื้นไห้ดังออกมา แต่นางก็ยังคงหลับตาไม่ยอมลืมตาหยวนชิงหลิงไม่พูดอะไร อยู่กับนางอย่างเงียบ ๆ และเช็ดน้ำตาให้นางนางนอนน้ำตาไหลแบบนั้นอยู่นานในท้ายที่สุด หยวนชิงหลิงก็ฉีดยาให้นางหลับไปจริง ๆนางจะได้นอนหลับไปอย่างน้อยสักสองสามชั่วยามหลังจากที่นางออกไป นางขอให้ทุกคนอย่ารบกวนนาง และให้สักคนไปดูแลนาง เพื่อให้นางได้พักผ่อนอย่างสงบกู้ซีพาอ๋องเว่ยกลับไปที่จวนของเขาคนรับใช้ทำความสะอาดกิ่งไม้ที่หักอยู่ข้างนอก ต้นฮว๋ายต้นสูงถูกฟันหักลงมาหลายชิ้น และเขาก็ยังฟันต้นไม้ในสวนอีกต้นเหมยสองต้นที่เพิ่งออกดอก ตอนนี้กิ่งหักระเนระนาดอยู่บนพื้น กิ่งด
อวี่เหวินห่าวไม่มีไข้แล้ว และนอนหลับสนิท เขาหันหน้าไปด้านข้าง หายใจกรนครอกฟี้ด้วยรูจมูกข้างเดียว เสียงเหมือนกับเป่าขลุ่ยด้วยเสียงแหลมยาวหยวนชิงหลิงไม่สนใจที่จะชื่นชมความอัปลักษณ์ของเขา และปีนขึ้นไปที่เตียงจนผล็อยหลับไปทันทีที่นางหลับตา สาบานได้เลยว่านางเพิ่งหลับตาจริง ๆ นางได้ยินหมานเอ๋อร์เข้ามาและพูดว่า "พระชายา พระสนมเสียนเฟยมาที่นี่เพคะ"แม่สามีที่ดี?หยวนชิงหลิงตื่นได้สติขึ้นในทันทีทันใด และในขณะเดียวกัน นางก็รู้สึกขนลุกขนพองไปหมดแม่สามีของนาง พระสนมเสียนเฟยเป็นคนที่ไม่ชอบนางมาโดยตลอดนางค่อย ๆ ลุกย่องลงจากปลายเตียง กลัวว่าจะไปโดนแผลของเขานางโน้มตัวลงไปหอมแก้มเขา อวี่เหวินห่าวยกมือขึ้นจับมือนาง “อย่ากวนสิจะนอน”หยวนชิงหลิงอุทานด้วยความตกใจ และลูบใบหน้าที่มีแผลของเขา “น่าเกลียดจริง!”นางเรียกให้หมานเอ๋อร์แต่งตัวให้นาง จากนั้นรีบออกไปต้อนรับพระนางเสียนเฟยออกจากวังพร้อมขบวนเสด็จได้เอิกเกริกจริงเชียวขันทีและนางกำนัลจากในวังทั้งหมดยืนอยู่ในลานบ้าน เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงออกมา พวกเขาก็ถวายพระพรให้นางหยวนชิงหลิงคิดว่าพระนางเสียนเฟยอยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่อาซื่อรั้งนางไว้ และพ
หยวนชิงหลิงยิ้ม "รักษาแล้วเพคะ ถ้าไม่รักษาไข้ก็คงไม่ทุเลา"พระสนมเสียนเฟยหยุดเดิน หันกลับมามองนาง และพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า "เจ้าหมายความว่าอย่างไร?หยวนชิงหลิงเกือบจะชนเข้ากับนาง เกือบหยุดฝีเท้าแทบไม่ทัน เมื่อได้ยินดังนั้น นางจึงได้แต่ข่มความรู้สึกที่อยากจะชกเข้าที่เบ้าตาของนางและพูดว่า "มิกล้าเพคะ ลูกสะใภ้ไม่ได้หมายความอย่างนั้น"“แล้วหมายความว่าอย่างไร? ทวงบุญคุณงั้นรึ?” พระสนมเสียนเฟยไม่ยอมปล่อยนางหยวนชิงหลิงจึงหันไปขอความช่วยเหลือกับนางข้าหลวงสี่ และขยิบตาให้นาง นางข้าหลวงสี่จัดการคนปากร้ายเก่งนัก ท่านจัดการเลยนางข้าหลวงสี่ก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยประคองพระสนมเสียนเฟยด้วยรอยยิ้ม "พระนางเพคะ บ่าวไม่ได้พบท่านมาหลายวันแล้ว ทำไมถึงรู้สึกว่าพระองค์ดูอ่อนเยาว์กว่าเมื่อก่อนมากมากนัก? ดูผิวพรรณขาวใสนี่สิ บ่าวคนนี้คิดว่าตาฝาดไปเสียอีก ไม่ทราบว่าพระนางเสวยยาอายุวัฒนะชนิดใดไป"ผู้หญิงสิบแปดถึงแปดสิบล้วนชื่นชอบให้คนชื่นชมว่ายังเยาว์วัยและสวยงาม แม้ว่าจะรู้ว่านางข้าหลวงสี่กำลังประจบประแจงเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง แต่คำพูดนี้ทำให้ความรู้สึกหงุดหงิดลดลงครึ่งหนึ่ง นางยิ้มและพูดว่า "ดูโม่
เมื่อพระสนมเสียนเฟยได้ยินเรื่องนี้ นางก็เชื่อแค่ครึ่งหนึ่ง นางเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับพฤติกรรมของคุณหนูฮู้มาก่อนนางเติบโตในรังโจรที่จิ้งเป่ย นิสัยจะทำอะไรตามใจ ไม่มีการยับยั้งช่างใจหรือไม่? แบบนี้จะไม่เสื่อมเสียชื่อเสียงหรอกหรือ จะมีพฤติกรรมกำเริบเสิบสานหรือไม่อย่างไรก็ตาม พระสนมเสียนเฟยคิดว่านางเป็นเพียงผู้หญิง จะเป็นไปได้ไหมว่านางจะแข็งแกร่งกว่าผู้ชาย? แค่ทำความสะอาดทำอาหารไม่กี่มื้อก็พอแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ นางสามารถช่วยเหลือเจ้าห้าได้ และพ่อของนางเองก็สามารถช่วยเจ้าห้าได้ด้วย เพื่อการใหญ่ทำไมไม่ลองอดทนดูสักตั้งล่ะ?นางข้าหลวงสี่กลัวว่าหยวนชิงหลิงจะลำบาก นางจึงเข้ามาพร้อมชาและพูดว่า "ข้าชงชาลำไยอบแห้งผสมพุทราแดงและเก๊ากี้ให้พระนางเป็นเป็นพิเศษ มันมีสรรพคุณช่วยบำรุงความงามช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้น พระองค์ค่อย ๆ ดื่มนะเพคะ”พระสนมเสียนเฟยหยิบมันขึ้นมาจิบสองคำแล้วกล่าวว่า "รสชาติกำลังพอดี ไม่หวานเกินไป ฝีมือของเจ้าดีขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าเป็นผู้อาวุโสในวัง บางครั้งเจ้าก็ต้องเกลี้ยกล่อมสอนพระชายาอย่างเหมาะสม เป็นผู้หญิงอย่าหึงหวงเกินไป มิฉะนั้นจะทำให้สามีรังเกียจเจ้าได้”นางข้าหลวงส