ไทเฮากริ้วเสียจนปวดท้องไปหมด หลังจากด่าออกมา จนนางกำนัลคนสนิทต้องเข้ามาปลอบ หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้วนั้น นางก็พูดสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “เด็ก ๆ ถ่ายทอดคำสั่งข้า สั่งให้คนพากู้จือไปอารามชีหมิงเยว่ รอคลอดลูกแล้วค่อยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ปล่อยแม่ไป เก็บลูกไว้ ให้นางได้เป็นอิสระ”พระชายาซุนที่ได้ยินก็รับคำสั่งนั้น และเอ่ยเตือนว่า “ไปอารามชีหมิงเยว่เช่นนี้ อ๋องเว่ยจะไม่ตามไปด้วยหรอกหรือเพคะ?”ไทเฮาจึงสั่งการลงไปอีก และเอ่ยด้วยความโมโห “เรียกตัวอ๋องเว่ยเข้าวัง”พระชายาซุนย่อมไม่อยากเผชิญหน้ากับอ๋องเว่ยอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงรีบหลบหลีกออกมาหลังจากเข้าวังแล้วนั้น นางก็ตรงไปที่จวนจิ้งโฮ่ว และเอาเรื่องที่ไทเฮารับสั่งมาเล่าให้หยวนชิงหลิงฟังหยวนชิงหลิงที่ได้ฟังก็ไม่ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในใจนางรู้สึกสัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่างอย่างไรก็ตาม นางก็ยังปลอบใจตัวเอง คิดว่าถ้ากู้จือย้ายออกไป อ๋องเว่ยก็คงจะตามนางไป แบบนี้ก็คงไม่มีอะไรไปกระตุ้นนางได้นางรู้สึกอึดอัดมาก ตอนนี้นางท้องอยู่ แม้ว่านางจะไม่พร้อมที่จะต้อนรับเด็กที่กำลังจะเกิดมา แต่ถ้านางบอกว่าเด็กแท้งแล้ว นางก็คงตรอมใจตายด้
นางกุมมือพระชายาเว่ยไว้และพูดเบา ๆ ว่า “หากในใจรู้สึกเจ็บปวด ท่านมาระบายกับข้า หรือพี่สะใภ้รองได้เสมอนะ ถ้าไม่อยากให้ข้าฟัง ข้าจะออกไปให้พวกท่านทั้งคู่ได้คุยกันดีไหม?”พระชายาเว่ยเงยหน้ามองนางอย่างเงียบ ๆ สักพัก และยิ้มออกมา “พระชายาฉู่ ข้าไม่เป็นไร ข้าต้องขอบคุณเจ้ามากจริง ๆ ขอบคุณมากจริง ๆ”หยวนชิงหลิงรู้สึกขนลุกอยู่ในใจ “ท่านอย่าพูดเช่นนี้ ข้าไม่ได้ช่วยอะไรท่านเลย”“ช่วยได้มากเลย” พระชายาเว่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบา ๆ “อย่างน้อยก็ทำให้ข้ารู้ว่า บนโลกใบนี้ยังมีคนอบอุ่นแบบนี้อยู่”นางจับมือของหยวนชิงหลิงไว้ “พวกเจ้าอย่าได้เป็นห่วงข้าไปเลย ข้าไม่เป็นไร ผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากที่สุดไปแล้ว ในวันนั้นมันจะค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นแน่” ได้ยินนางพูดเช่นนี้ หยวนชิงหลิงควรจะวางใจ แต่นางกลับทำให้ตัวเองสบายใจไม่ได้เลยแต่ในตอนนี้นางควรพักผ่อน และพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ จึงพาพระชายาซุนลากลับไปด้วยกัน แต่ละคนกลับจวนของตัวเองไปอวี่เหวินห่าวเห็นหยวนชิงหลิงถอนหายใจไม่หยุด จึงเอ่ยว่า “เดี๋ยวข้ากลับไปหาพี่รอง ให้พาพี่สามมานั่งกินเหล้ากัน แล้วคุยกับเขาดู เรื่องเข้าใจผิดสามารถอธิบายให้เข้าใจได
“มันเทียบกันได้รึ?” เสด็จย่ากริ้วเสียจนตบลงไปอีกที “ลูกในท้องนางเทียบกับลูกในท้องพระชายาฉู่ได้รึ? นางเป็นสตรีชนชั้นสูง ได้ตบแต่งเป็นถึงพระชายา แล้วนางกู้จือนั้นนับว่าเป็นตัวอะไรได้?”อ๋องเว่ยเถียงอย่างดื้อนั้น “ว่ากันตามจริง เสด็จย่าก็ดูถูกฐานะชาติกำเนิดของกู้จือ”“ฐานะชาติกำเนิด?” เสด็จย่าหัวเราะเย้ยหยัน “ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลย ตอนแรกภรรยาเจ้าเคยช่วยชีวิตนางมิใช่หรือ? นางตอบแทนบุญคุณเช่นนี้นะรึ? คนแบบนี้ ไม่รู้จักบุญคุณคน เนรคุณไร้ยางอาย หากไม่ใช่แม่ของหลานข้าที่เป็นเชื้อพระวงศ์ล่ะก็ หลังจากนางคลอดแล้วไล่นางไปทันที ถ้าเจ้ายังดื้อรั้นอีก ข้าจะประทานผ้าแพรขาวให้นาง” อ๋องเว่ยไม่อยากยินยอม แต่ตอนนี้ตกใจเหลือเกินที่ได้รู้ว่าเสด็จย่าทรงกริ้วมากขนาดนั้น จึงไม่คิดเกลี้ยกล่อมต่อไปอีกเขาหวังว่าเมื่อวันข้างหน้าเสด็จย่าเห็นหลานแล้วจะรักและโปรดปรานตัวกู้จือมากกว่าชุยซือเขาอดใจแทบไม่ไหวที่จะเอาเรื่องที่ชุยซือลอบคบชู้บอกให้เสด็จย่าฟัง แต่ตอนนี้เขาพูดอะไรไปเสด็จย่าก็คงไม่เชื่ออยู่ดีกลับออกจากวังแล้วเขาแค้นใจนัก จึงสั่งให้คนตัดงบและถ่านในตำหนักของพระชายาเว่ย ให้เหลือแค่อาหารหยาบ ๆ ง่าย ๆ โดย
หลายวันมานี้หยวนชิงหลิงรู้สึกกระสับกระส่าย สังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นทางด้านเจ้าเมืองจิ้งเป่ยในที่สุดก็ยอมเข้าเมืองแล้วครั้งนี้ก็เหมือนครั้งที่แล้ว ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านอ๋อง และข้าราชบริพานไปต้อนรับที่ประตูเมืองแต่ครั้งนี้ได้ส่งราชรถไปถึงแปดคัน เพื่อต้อนรับเจ้าเมืองจิ้งเป่ยเดิมทีวันนี้เป็นวันที่อ๋องเว่ยวางแผนไว้ว่าจะส่งกู้จือไปที่อารามชีหมิงเยว่ แต่เพราะรับสั่งเรียกตัวมาให้มาต้อนรับเจ้าเมืองจิ้งเป่ย เขาแอบดีใจว่าพอยืดเวลาไปได้อีกหนึ่งวัน หยวนชิงหลิงเองก็รู้ว่าพวกเขาวันนี้ออกไปต้อนรับที่ประตูเมืองเจ้าเมืองจิ้งเป่ยคนนั้นที่นางนึกจิตนาการอยู่หลายวัน ในที่สุดเขาได้อออกจากหัว และค่อย ๆ กลายเป็นความจริงแล้วดังนั้นนางเองค่อนข้างกระวนกระวาย และลืมนึกถึงพระชายาเว่ยไปครู่หนึ่งจวนอ๋องเว่ยวันนี้กู้จือตื่นแต่เช้า หลังจากอ๋องเว่ยออกไปแล้ว นางก็รู้สึกหนักตัวจึงเผลอหลับไปต่อหลังจากหลับไปแล้วนางก็สะลึมสะลือ รู้สึกว่าตัวเองกำลังฝันไป อยากตื่นขึ้นมาแต่ก็ตื่นไม่ได้นางรู้สึกว่าตัวเองนอนอยู่ในรถม้า ได้ยินเสียงวุ่นวายแต่ลืมตาไม่ขึ้น ในที่สุดท่ามกลางความมืดนั้นก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไป
นางยกชายกระโปรงขึ้นดู แน่นอนว่ามีเลือดไหลซึมออกมาจากขาของนาง นางจึงหยิบผ้าขาวออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อ แล้วพันขาให้แน่นกู้จือเห็นนางทำเช่นนี้ก็ตกใจกลัว จนหัวใจแทบหลุดออกมา จึงตะโกนกรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนา “ท่านอ๋องช่วยข้าด้วย”ทันทีที่พูดจบ ก็มีม้าตรงไปที่ประตูเมืองอย่างรวดเร็ว เขาลงจากหลังม้า แล้วรีบขึ้นไปบนหอคอยทันที“ชุยซือ เจ้าคิดจะทำอะไร” คนที่มาก็คืออ๋องเว่ยที่ตื่นตระหนก เขาโกรธจนตาแดงไปหมดแล้วกู้จือเห็นเขามาก็รู้สึกโล่งใจ และร้องไห้ออกมา “ท่านอ๋องช่วยข้าด้วย”“กู้จือ!” อ๋องเว่ยกระวนกระวายจะแย่แล้ว เขาจ้องมองพระชายาเว่ยด้วยความโกรธพระชายาเว่ยวางชายกระโปรงลง และค่อย ๆ ลุกขึ้นมองอ๋องเว่ยที่กำลังจะมา นางเอ่ยว่า “ท่านหยุด แล้วยืนอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามา มิฉะนั้นข้าจะจุดไฟเผานางให้นางตกลงไปข้างล่าง”“ชุยซือ ถ้ากู้จือบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว ข้าฆ่าเจ้าแน่” อ๋องเว่ยพูดด้วยความโกรธเกรี้ยวบนหอยคอยกำแพงเมืองลมแรงมาก เสียงวีดที่พัดผ่านซอกหินบนกำแพงเมือง เสียงเหมือนเสียงผีโหยหวน และเสียงหมาป่าหอน ผู้คนด้านล่างกำลังพูดถึงเรื่องนี้ เสียงดังอื้ออึ้งไม่มีที่สิ้นสุด“ไม่เป็นไรแล้ว” เสียงข
อ๋องเว่ยชะงักไปและถามว่า “มนต์สะกดอันใดกัน ใครเชี่ยวชาญมนต์สะกด?”เสียงของพระชายาเว่ยฟังดูขาดหายไม่ชัดเจน “ไม่เกี่ยวกับมนต์ภาพลวงตา ข้าเองก็เคยโดน แต่ข้ายังจำได้ว่าคนที่ข้ารักคือใคร”อ๋องเว่ยกระวนกระวายใจ “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”พระชายาเว่ยไม่สนเขา และหันกลับไปมองกู้จือและเอ่ยถามว่า “เจ้าเคยใช้มนต์สะกดกับข้ามาก่อนไหม?”กู้จือร้องไห้และกล่าวว่า “พระชายา ข้าไม่เคย ช่วงเวลาหนึ่งข้าเลอะเลือนอยากอยู่กับท่านอ๋อง ท่านปล่อยข้าไปเถอะ”พระชายาเว่ยหัวเราะเย้ยหยัน “เจ้าไม่ได้เลอะเลือน เจ้าจงใจ ในตอนนั้นข้าไม่รู้ แต่ข้าถามเรื่องที่เจ้าใช้มนต์สะกด เจ้าบอกมาว่าทำเรื่องพวกนั้นหรือไม่? ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าอยากจะอยู่ด้วยกันหรือไม่”อ๋องเว่ยเห็นกู้จือร้องไห้จนใกล้หมดสติไปแล้ว ในตอนนั้นด้วยความเดือดดาล จึงหยิบแท่งเงินปาใส่พระชายาเว่ยพระชายาเว่ยหลบไม่ทัน เงินก้อนนั้นจึงโดนเข้าหน้าผากเข้าอย่างจัง หน้าผากนางที่มีแผลอยู่แล้วในตอนนี้ จึงมีเลือดไหลออกมานางไม่ล้มลงไป แต่เงินก้อนนั้นตกลงข้างล่าง ถูกผู้คนมากมายแย่งชิงมีดสั้นในมีดนั้นจึงทิ่มเข้าไปที่หลังมือของกู้จือ จนเลือดสาดกระเซ็นออกมา กู้จือกรีดร้อ
อ๋องเว่ยพูดจาเหน็บแนม “มีคนมาช่วยเยอะเหลือเกิน แต่กลับพุ่งเป้าไปผู้หญิงอ่อนแอ ที่แรงแม้แต่ฆ่าไก่ยังไม่มี พวกพระชายาอย่างเจ้าช่างเก่งกันจริง ๆ”หยวนชิงหลิงรีบเดินเข้าไป หมานเอ๋อร์ที่อยู่ข้าง ๆ ตะโกนขึ้นมา “ระวังนะเพคะ”แววตาของหยวนชิงหลิงเต็มไปด้วยความโกรธ จนมองไม่เห็นสิ่งโดยรอบ และเดินเข้าไปตรงหน้าอ๋องเว่ย “กู้จือใช้มนต์สะกดกับเจ้า แล้วก็มาฟ้องเจ้าว่าพระชายาเว่ยมีชู้ เจ้าก็เชื่ออย่างสนิทใจ ฆ่าลูกของพวกเจ้าเอง เจ้าเป็นพ่อประสาอะไร ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต ตอนนี้ยังมีหน้ามาถามหาความเป็นธรรมให้กู้จือ กับนางที่โดนคนทำร้ายอีกรึ?”อ๋องเว่ยพูดด้วยความโกรธ “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร? กู้จือใช้มนต์สะกดเป็นที่ไหนกัน? เจ้าอย่ามาเที่ยวใส่ร้ายผู้อื่น”หยวนชิงหลิงตะคอกเสียงดัง “นางไม่เป็นแล้วใครเป็น? ตั้งแต่แรกนางก็ใช้มนต์สะกดกับพระชายาเว่ย หาผู้ชายมาคนหนึ่งเพื่อพยายามสร้างเรื่องว่านางคบชู้ แต่น่าเสียดายจิตใจพระชายาเว่ยแข็งแกร่งมนต์สะกดจึงไม่ได้ผล กู้จือหมดหนทางจึงมาใช้มนต์สะกดกับเจ้า น่าเสียดาย ภรรยาที่เจ้าฝ่าฟันความยากลำบากมากมายเพื่อให้ได้นางมา เจ้ากลับไม่เคยเชื่อใจนางเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่แม้แต่จะให้โอ
ที่ข้างล่างฝูงชนต่างรีบหลบหลีกอย่างรวดเร็วมีร่างชายชุดขาวคนหนึ่งรีบเหาะมาแต่คว้าตัวนางไม่ทัน จึงถลาลงไปข้างล่าง และใช้ตัวเองรองรับร่างของนางไว้แทนเลือดไหลนองเต็มพื้นไปหมดหยวนชิงหลิงที่เห็นเลือดสีแดงสด รู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วทั้งร่างนางหันกลับมา ดวงตาของตาเต็มไปด้วยความโกรธและเคียดแค้น นางหยิบไม้เท้าจักรพรรดิออกมาจากแขนเสื้อของนาง และตรงเข้าหาอ๋องเว่ยที่ยังยืนอึ้งอยู่อ๋องเว่ยไม่หลบ เขาอึ้งจนตัวแข็งไปหมด เขายื่นมือออกมาค้างไว้แบบนั้นอยู่นาน แต่ก็ไม่ชักมือกลับไปหยวนชิงหลิงใช้แรงทั้งหมดที่มีในร่าง ฟาดไม้เท้าจักรพรรดิลงบนหัวของเขา จนหัวแตกเลือดออกทำให้อ๋องเว่ยล้มลงไปทันที“ท่านอ๋อง!” กู้จือตกใจมาก และเงยหน้าขึ้นมองหยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงยกไม้เท้าฟาดลงไปที่ตัวกู้จืออีกทีในความเป็นจริง นางไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่านางกำลังตีใครอยู่ นางรู้แค่สึกว่าภาพของเลือดที่มันติดตราตรึงใจนาง มันคือความสิ้นหวังของพระชายาเว่ย ทั้งร่างกายและจิตใจของนางเหน็บหนาวไปหมด ทั้งตัวนางสั่นเทิ้มไปหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้น นางคิดออกอยู่อย่างเดียวว่าอยากฆ่าสองคนนี้ให้ตายเท่านั้น จนกระทั้งหมานเอ๋อร์เข้ามาลากตัวนางอ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม