หยวนชิงหลิงรู้สึกซาบซึ้งในความพยายามอุตสาหะของพวกนาง นางรู้ว่าการกลับไปบ้านแม่จะทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมีพวกนางสองคนอยู่ด้วย อย่างน้อยนางก็รับประกันได้ว่านางเองไม่ได้ลำบากขนาดนั้นในอีกด้านหนึ่ง อวี่เหวินห่าวรอให้หยวนชิงหลิงกลับมาที่จวน แต่สุดท้ายก็รอนางจนได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เขาเข้าไปในวังเมื่อตอนที่เขาขี่ม้าเข้าไปในวัง เขาเห็นรถม้าของหยวนชิงหลิง เขาจึงควบม้าเพื่อหยุดขวางทางรถม้าไว้มู่หรูกงกงจงใจให้พวกเขาได้พบกัน ดังนั้นเขาจึงไม่เรียกให้รถวิ่งไปทางอื่นดังนั้นหลังจากรถม้าหยุดลง มู่หรูกงกงรีบพูดกับหยวนชิงหลิงว่า "พระชายา อย่าพูดถึงเรื่องในวังเด็ดขาด ด้วยนิสัยของท่านอ๋องแล้ว ข้าเกรงว่าจะไม่อาจระงับความโกรธ และอาจทำการล่วงเกินเบื้องสูงในวังได้นะพ่ะย่ะค่ะ”หยวนชิงหลิงพยักหน้าเล็กน้อย และลงจากรถม้าอวี่เหวินห่าวที่เพิ่งลงจากหลังม้าและรีบเดินไปพูดว่า "เจ้าอย่าลงมา ข้างนอกมันหนาวมาก"เขารีบกอดนางไว้ในอ้อมแขน และห่อนางด้วยเสื้อคลุมพร้อมถามว่า "เสด็จพ่อตรัสว่าอย่างไรบ้าง"หยวนชิงหลิงฝังหน้านางไว้ที่อกของเขา และสูดกลิ่นที่คุ้นเคยและปลอดภัย นางถึงได้รู้สึกผ่
นางข้าหลวงสี่เข้าไปเห็นหยวนชิงหลิงใบหน้าดูซีดขาว,นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวใช้สองมือกุมท้องไว้อาซื่อเห็นนางข้าหลวงสี่มาแล้ว จึงรีบดึงมือนางเข้ามา “โมโม่ ท่านรีบดูอาการพระชายาที พระชายาปวดท้อง”“เกิดอะไรขึ้นเพคะ?” นางข้าหลวงสี่นั่งลงที่เก้าอี้ตัวเล็กข้างหยวนชิงหลิง และลูบท้องนางเบา ๆ “เจ็บไหมเพคะ?”หยวนชิงหลิงหายใจเข้าลึก “ไม่ได้เจ็บมาก แค่ปวดนิดหน่อยเท่านั้น”นางข้าหลวงสี่ตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย “หรืออาจจะกระเทือนถึงครรภ์”หยวนชิงหลิงโบกมือเล็กน้อย “ไม่เป็นไร อาจจะเป็นเพราะข้าเครียดเกินไป พักสักหน่อยคงดีขึ้น”โมโม่มองนาง “ทำไมถึงต้องกลับบ้านแม่ล่ะเพคะ? เป็นพระประสงค์ฝ่าบาทหรือ?”“เป็นความคิดข้าเอง ข้าอยากกลับบ้านแม่ไปพักสักระยะหนึ่ง โมโม่อย่าถามอีกเลยนะ รีบไปกันเถอะ” หยวนชิงหลิงเอ่ยตามนั้นนางข้าหลวงสี่จึงหันไปหามู่หรูกงกง และลากเขาออกไปด้านข้าง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? พระชายาทรงครรภ์อยู่เช่นนี้ ทำไมถึงให้นางกลับบ้านแม่ได้? สถานการณ์ในจวนจิ้งโฮ่วทางนั้น ไม่ใช่ฝ่าบาทจะไม่ทรงทราบสักหน่อย”มู่หรูกงกงถอนหายใจออกมาเบา ๆ “พระชายาเป็นคนขอด้วยตัวเองเอง ฝ่าบาทต้องการให้อ๋องฉู่รับคุณหนูฮู้เ
อวี่เหวินห่าวใกล้จะเป็นบ้าเต็มทีแล้วเขาได้ยินจักรพรรดิหมิงหยวนให้เขาแต่งกับอะไรนะคุณหนูแตงกวาบ้าบออะไรสักอย่าง เขาโกรธจนแทบอยากจะอาละวาดออกมาเขาคุกเข่าลงกับพื้น และเอ่ยอย่างดื้อรั้นว่า “ไม่แต่ง ใครก็ไม่อยากแต่งทั้งนั้น จะแตงกวาฟักเขียวจากไหนก็ไม่แต่ง”“ไอลูกอกตัญญู เจ้าบังอาจนัก!” จักรพรรดิหมิงหยวนเองก็รู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังโกรธจนปวดสมองกันบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจ"ในชีวิตนี้ของลูกมีเพียงหยวนชิงหลิงเป็นพระชายาเท่านั้น และจะไม่มีชายารองพ่ะย่ะค่ะ" อวี่เหวินห่าวกล่าวจักรพรรดิหมิงหยวนทรงกริ้วจัด จึงตบเข้าที่หัวลูกหัวดื้อนี่เข้าไปสักที “เจ้ามีโอกาสมิใช่รึ? กะอีแค่สตรีนางเดียว ถ้าแต่งไปแล้วไม่ชอบก็อย่าไปแตะต้องนาง ให้นางอยู่แต่ในจวนเงียบ ๆ ไปมันจะไปเดือดร้อนพวกเจ้าสามีภรรยานักรึ?"อวี่เหวินห่าวถูกตบจนกะโหลกสะเทือน แต่จักรพรรดิหมิงหยวนกลับเจ็บมือแทนซะนี่เส้นเลือดบนหน้าผากอวี่เหวินห่าวเต้นตุ้บ ๆ “เสด็จพ่อ ถ้าเป็นแบบนี้ ทำไมต้องแต่งกับนางด้วย? ข้าไม่ชอบนาง เข้ากับนางไม่ได้ การแต่งงานกับนางจะเป็นการทำร้ายนางไปชั่วชีวิต ข้าทำสิ่งโหดร้ายเช่นนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ"“โหด
ลูกคนนี้ค่อนข้างจะดื้อรั้นไปหน่อย แต่ก็มีความสามารถอยู่บ้างเสียที่ใจร้อนไปไม่สิ พอได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบเรื่องสำคัญ ก็เริ่มดื้อรั้นพยายามขัดขืนอวี่เหวินห่าวกล่าวว่า "หากเสด็จพ่อระแวงในตัวของเจ้าเมืองจิ่งเป่ย ก็ไม่จำเป็นต้องให้ลูกแต่งกับคุณหนูฮู้ก็ได้ เสด็จพ่อก็รับคุณหนูฮู้เป็นบุตรบุญธรรม แต่งตั้งให้นางเป็นองค์หญิง และขอให้นางเข้าวังอยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่มันก็ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”จักรพรรดิหมิงหยวนจ้องมองเขาด้วยความโกรธ "เหมือนกันอย่างไร?"เจ้าเด็กคนนี้ไม่รู้จักความเหมาะสมเอาซะเลยหลังจากแต่งงานกับคุณหนูฮู้แล้ว เจ้าเมืองจิ่งเป่ยก็จะกลายเป็นพ่อตาของเขา นี่เป็นการยกย่อง และสนับสนุนเขามากขนาดไหน?ดูเหมือนว่าจะต้องลับคมอีกสักหน่อย แม้ว่าขอบเหลี่ยมจะไม่โค้งมน แต่อย่างน้อยด้านคมก็ต้องมนลงอีกสักเล็กน้อยจักรพรรดิหมิงหยวนทรงกริ้วมาก ตวามคิดที่ว่ารับคุณหนูฮู้เป็นบุตรบุญธรรม ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนเมื่อมองดูในตอนนี้ นี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่เป็นไปได้เรื่องยุ่งยากก็ได้เกิดขึ้นแล้ว หยวนชิงหลิงที่ถูกไล่ให้กลับบ้านแม่ไป เจ้าเด็กดื้อคนนี้ หากไม่สั่งสอนเสียบ้าง เกรงว่าวั
จิ้งโฮ่วตกใจ แล้วหันไปมองนางข้าหลวงสี่นางข้าหลวงสี่ที่มาที่นี่นางก็จงใจแต่งตัวเช่นกัน นางสวมชุดผ้าไหมต่วนสีม่วงเข้มลายดอกไม้ ผมสีขาวของนางถูกหวีเกล้าอย่างเรียบร้อยเป็นมวยสูง ปักปิ่นหยกลายหรูอี้ นางทำงานในวังหลวงมาตลอด ดังนั้นทั่วทั้งร่างของนางจึงเปี่ยมไปด้วยสง่าราศีของชาววังนางย่อกายคารวะจิ้งโฮ่วเล็กน้อย "ท่านโฮ่ว ข้าขอคารวะท่าน จากนี้ไปที่จวนแห่งนี้ ข้าคนนี้จะคนรับผิดชอบดูแลพระชายา ไท่ซ่างหวงมีรับสั่งลงมา ท้องนี้สายเลือดของราชวงศ์อยู่ ไม่อนุญาตให้มีข้อผิดพลาดใดเกิดเป็นอันขาด ดังนั้นขอท่านโฮ่วโปรดให้ความร่วมมือกับข้าด้วย"จิ้งโฮ่วรีบตอบกลับทันที “แน่นอน ๆ”นางข้าหลวงสี่ดึงอาซื่อเข้ามา และเอ่ยแนะนำว่า "ท่านนี้นี่คือคนที่ฮูหยินเฒ่าหยวนส่งมาเพื่อติดตามดูแลพระชายา นางคือทายาทคนที่สี่ของตระกูลหยวน"อาซื่อพูดอย่างเสียงดังฟังชัดว่า “คารวะท่านโฮ่ว”“โอ้” จิ้งโฮ่วรีบมองไปทางอาซื่อ “ที่แท้ก็เป็นคุณหนูจากตระกูลหยวนนี่เอง”จิ้งโฮ่วเองก็นึกสงสัยอยู่ในใจ นางกลับมากลางดึกเช่นนี้ แถมมู่หรูกงกงเป็นคนมาส่งนางกลับด้วยตนเอง นางต้องก่อเรื่องอะไรสักอย่าง และฝ่าบาทลงโทษก่อนที่จะส่งนางกลับมาแน่เขาก
จิ้งโฮ่วไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้โชคร้ายนักหากว่ากันก็ตามตรงก็ถือว่ามาถูกทางแล้ว วางแผนให้ลูกสาวแต่งงานกับอ๋องฉู่ด้วยความช่วยเหลือจากผู้สูงศักดิ์อย่างฉู่หมิงชุ่ย ก็ประสบความสำเร็จแล้วหากเกี่ยวดองกับฮุ่ยติ่งโฮ่วได้ การแต่งงานก็เป็นอันสำเร็จ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงพ่อตาของอ๋องฉู่ แต่ยังเป็นพ่อตาของฮุ่ยติ่งโฮ่วด้วย และได้เกี่ยวข้องกับตระกูลฉู่อีก แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อะไรเลย และลูกสาวของเขาก็กลายเป็นของมือสอง ถูกส่งคืนกลับมา ต่อไปจะแต่งงานกับใครที่ไหนได้อีก ตระกูลเศรษฐีไหนที่อยากได้นางกันเหล่า?ช่างเป็นพ่อที่น่าสงสารที่สุดในโลกแล้ว!จิ้งโฮ่วโกรธมากจนไม่ได้นอนทั้งคืน คิดว่าพรุ่งนี้เมื่อหยวนชิงหลิงอยู่ตามลำพังเมื่อไหร่ เขาจะถามนางดูหยวนชิงหลิงเองนอนไม่หลับเลยทั้งคืนเมื่อก่อนไม่ชินกับการมีคนนอนข้าง ๆ แต่ตอนนี้ไม่ชินกับการที่ไม่มีเจ้าห้าอยู่ข้าง ๆ ความเคยชินเป็นสิ่งที่น่ากลัวด้วยนิสัยของเขาแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้เขาจะก่อเรื่องในวังขึ้นมาไหม?เขาจะตำหนินางที่ตัดสินใจแบบนี้หรือไม่? เขาต้องตำหนิแน่ และเขาต้องไม่ยอมให้อภัยด้วยข้อเสียทั้งหมดของเขา จะใครทนเขาได้นอกจากนางอีก?คุณห
หยวนชิงหลิงจึงตอบนางว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์เลือก ถ้าข้าไม่กลับ สถานการณ์จะยิ่งกดดันขึ้น ยิ่งกว่านั้นฝ่าบาทตั้งใจจะเอาความผิดนี้เพื่อมาขังข้าไว้ หากข้าถูกขัง แล้วฝ่าบาทบังคับทำอะไรเขาก็ต้องทำ แบบนั้นก็จะไม่เหลือทางเลือกอื่นให้เขาเลย”"เรื่องนี้ไท่ซ่างหวงทรงทราบหรือไม่" นางข้าหลวงสี่เอ่ยถามหยวนชิงหลิงส่ายหน้าเบา ๆ “ข้าไม่สามารถไปขอให้ไท่ซ่างหวงช่วยเรื่องนี้ได้ พระองค์ช่วยข้ามาหลายครั้งแล้ว หากครั้งนี้ยังให้เขามาเผชิญหน้ากับเสด็จพ่อเพื่อข้าล่ะก็ ข้าคงได้ทำผิดมหันต์ลงไปจริง ๆ อย่างน้อยสิ่งที่ฝ่าบาททำ ในมุมมองของพระองค์และไท่ซ่างหวง มันก็ไม่ได้ผิดอะไร"นางข้าหลวงสี่กล่าวว่า "หลายสิ่งหลายอย่างไม่มีถูกหรือผิดจริง ๆ ขึ้นอยู่กับมุมมองและความเข้าใจ"หยวนชิงหลิงยื่นแก้วให้นาง "ไปนอนกันเถอะ อย่าพูดถึงมันเลย วันนี้ผ่านไปก็กลายเป็นอีกวัน อยู่ในจวนก็ดี สามารถดูแลครรภ์นี้ได้อย่างสงบ และภายนอกจะไม่รบกวนอะไรด้วย แต่พรุ่งนี้ท่านต้องขอให้หมานเอ๋อร์เอายาส่งไปที่จวนอ๋องหวย แล้วไปที่จวนอ๋องจี้บอกพระชายาจี้ให้นางตรงมาที่จวนจิ้งโฮ่ง เพื่อมาหาข้าทีนะ""เพคะ!" นางข้าหลวงสี่วางแก้วบนโต๊ะ จากนั้นกลับมาลดม่านลงให
หยวนชิงผิงพูดว่า “ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่ฟังที่นี่ด้วย”สักครู่หนึ่ง จิ้งโฮ่วเดินเอามือไขว้หลังเข้ามาเขาสวมชุดสีน้ำเงินปักลวดลายปลา คาดเข็มขัดหยก ก้าวเดินลงน้ำหนักเท้าทำให้ดูมีสง่าราศีเขาเข้ามาเหลือบมองหยวนชิงผิง “มาแต่เช้า มีทองให้เก็บรึอย่างไร?”“คารวะท่านพ่อ!” หยวนชิงผิงลุกขึ้นย่อกายทำความเคารพหยวนชิงหลิงก็ลุกขึ้นย่อกายทำความเคารพด้วยเช่นกัน “คารวะท่านพ่อ!”จิ้งโฮ่วว้าวุ่นใจตลอดคืน ร้อนรนกระวนกระวานเสียจนไม่สนหยวนชิงผิงที่อยู่ที่นี่ด้วย และเอ่ยถามไปตามตรงทันที “เจ้าบอกมา เมื่อคืนกลับมากลางดึกขนาดนั้น ถูกไล่กลับมาหรือไม่?”หยวนชิงหลิงขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด “ท่านพ่อ ลูกอยู่ที่จวนอ๋องได้รับความลำบาก อยากกลับมาบ้านแม่หาที่พึ่งพิง ท่านไม่ยินดีต้อนรับหรือ?”จิ้งโฮ่วที่ได้ยินก็ไม่รอให้หยวนชิงหลิงพูดจบ เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “พูดจาให้มันดี ๆ เจ้าถูกหย่ามารึเปล่า?”หยวนชิงหลิงถอนหายใจ "ถ้าท่านเห็นหนังสือหย่า ก็คงหย่าแล้ว ถ้าท่านไม่เห็นหนังสือหย่า ก็อีกไม่นาน"จิ้งโฮ่วโกรธซะจนทุบโต๊ะอย่างแรง “เจ้าอธิบายให้ข้าเข้าใจเดี๋ยวนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าจะไล่เจ้าออกไป”
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม