Share

บทที่ 653

Author: จูน
last update Last Updated: 2024-10-29 19:42:56
“ทำไมถึงเจ็บได้ล่ะ? ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ท่านหมอสั่งยาให้แล้วมิใช่หรือ?” พระชายาเว่ยเอ่ยถาม

พระชายาซุนนั่งเอียงข้าง หน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกับว่าเจ็บมากจริง ๆ “ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเจ็บอีก หลังจากพระชายาฉู่ถูกลักพาตัวไป ข้าก็เริ่มเจ็บขึ้นมาอีก บางทีคงจะกังวลจนร้อนในขึ้นมา”

หยวนชิงหลิงมองหน้าที่ยับย่นของนาง “เจ็บตรงไหนรึ?”

พระชายาซุนหน้าแดงแล้วแดงอีก “ก็ที่ก้น”

“เส้นประสาทกระดูกก้นรึ? นั่งลงแล้วเจ็บหรือไม่? ใช่ตรงนี้ไหม?” หยวนชิงหลิงยื่นมือไปกดเส้นประสาทแถวกระดูกก้นกบ “ตรงนี้เจ็บไหม?”

พระชายาซุนพยักหน้า “ไม่ใช่ แต่บางครั้งก็เจ็บขึ้นมา บางทีก็เจ็บไปทั้งตัว เจ็บจนอกบวมเลยก็มี”

หยวนชิงหลิงรู้สึกแปลกใจ “เจ็บจนไปถึงอกได้อย่างไร? ตรงไหนเจ็บบ้าง? ท่านบอกข้าที”

พระชายาซุนรีบหันออกไปข้างนอก แล้วส่งสายตาให้พวกสาวใช้ออกไป หลังจากนั้นก็หน้าแดงก่ำ และกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ก็เจ็บตรงนั้น”

”ตรงไหนกันเล่า?” หยวนชิงหลิงแปลกใจมาก พระชายาซุนยังหน้าแดงอยู่แบบนี้? พระอาทิตย์จะขึ้นทางตะวันตกหรือไรกัน

พระชายาซุนพูดอย่างกระมิดกระเมี้ยน “ก็ตรงนั้น...”

ทันใดนั้นหยวนชิงหลิงก็เข้าใจขึ้นมาทันที และถามอย่างข
Locked Chapter
Continue to read this book on the APP

Related chapters

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 654

    เห็นได้ชัดเลยว่าที่จริงพระชายาเว่ยเป็นคนที่มองโลกในแง่บวกมาก รอบตัวนางไม่มีคนคอยประคับประคอง แถมชีวิตเจอเรื่องราวโถมกระหน่ำเข้ามาอีก แต่ยังมีใจคิดวิเคราะห์เรื่องของอ๋องเว่ยและกู้จืออย่างมีเหตุผลนี่เป็นคนจำพวกอ่อนนอกแต่แข็งในจริง ๆหลายคนคิดว่าหากมีจิตใจเข้มแข็งจะไม่ป่วยเป็นโรคทางอารมณ์ แต่ที่จริงไม่ใช่แบบนั้นเลย โรคซึมเศร้ามีหลายสาเหตุ ในกรณีของนางที่ป่วยเป็นโรคนี้อย่างกะทันหัน แต่หลังจากที่นางป่วย นางก็ไม่ปล่อยมันลุกลาม แต่พยายามต่อสู้กับมันแต่จะเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่นั้นก็ต้องตรวจเพิ่มเติมดังนั้นแล้วก่อนที่นางจะกลับไป นางจึงพูดกับพระชายาเว่ยว่า "พรุ่งนี้ที่จวนข้าจะจัดงานเลี้ยงชมหิมะ หวังว่าท่านจะมาเข้าร่วมนะ"พระชายาเว่ยมองไปทางพระชายาซุน พระชายาซุนก็รีบกล่าวทันทีว่า "ข้าไปแน่นอน"พระชายาเว่ยยิ้มและพูดว่า "ตกลง ข้าจะไปอย่างแน่นอน"หลังจากที่หยวนชิงหลิงกลับไปแล้ว ก็สั่งให้คนส่งจดหมายถึงพระชายาซุน บอกนางว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมา นางอยากคุยกับพระชายาเว่ยเป็นการส่วนตัวพระชายาซุนเป็นคนที่รู้ความ นางจึงเขียนตอบกลับไป และบอกว่านางรู้ว่าต้องทำอย่างไรอวี่เหวินห่าวไม่อยากให้หยวนชิงห

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 655

    วันนี้พระชายาเว่ยแต่งตัวด้วยชุดสีขาวล้วน ร่างกายอ่อนแอบอบบางของนางสวมเสื้อคลุมบุนวมที่ทำจากผ้าต่วนเนื้อดี บนผ้าต่วนปักลายเมฆาสีขาวไม่มีการปักตกแต่งสีอื่นนางทำทรงมวยสูงปักปิ่นหยกขาว เพราะต้องออกไปงานข้างนอกจึงสวมสร้อยลูกปัดปะการังสีแดงสด เมื่อสวมสร้อยเส้นนี้กับชุดสีขาว ช่วยทำให้เพิ่มความสดใสให้กับใบหน้าที่ซีดเซียวขึ้นมาทันทีนางพาสาวใช้มาด้วยคนหนึ่ง ดูไม่โดดเด่นมากนัก แต่ท่าทางดูมีมารยาทยิ่งนัก ดูก็รู้เลยว่านางได้รับการอบรมมาอย่างดีหยวนชิงหลิงลุกขึ้นทักทายนาง พระชายาเว่ยมองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส "พี่สะใภ้รองยังมาไม่ถึงอีกรึ?"หยวนชิงหลิงพูดอย่างเสียใจ "เมื่อครู่นี้นางสั่งให้คนมาแจ้งว่านางไม่สบาย วันนี้นางจึงมาไม่ได้"พระชายาเว่ยถอนหายใจและนั่งลง "บางทีนางอาจจะเป็นไข้หวัด เมื่อวานนี้บอกนางแล้วว่าเตาในห้องน้อยเกินไป นางยังกล้าบอกว่าไม่หนาวอีก"หยวนชิงหลิงมองนาง และเห็นว่าสีหน้าของนางแย่ลงกว่าเมื่อวาน นางจึงถามขึ้นว่า "เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับหรือไม่?"พระชายาเว่ยยกมือลูบหน้าผากตัวเอง “ปวดหัวเหลือเกิน แทบไม่ได้นอนเลย จนฟ้าสางแล้วถึงจะงีบได้แค่ครู่เดียวก็เถอะ”หยวนชิงหลิงเห็นว่า

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 656

    หยวนชิงหลิงที่ได้ยินเช่นนั้น นางรู้สึกว่ามีอะไรหล่นหายออกไปจากชีวิตของนางฉู่หมิงชุ่ยที่พานางเข้าใกล้เงาแห่งความตาย จนตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันก็ไม่ได้จางหายไปเลยทว่าคนตายแล้วก็เหมือนเปลวเทียนที่มอดดับลง บุญคุณความแค้นมันก็ควรจางหายไปดั่งเมฆหมอกงานศพฉู่หมิงชุ่ยนั้นถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย เดิมทีนั้นไม่ควรจะมีงานศพด้วยซ้ำ แต่เพราะเรื่องหย่าร้างยังจัดการไม่เสร็จสิ้น อีกทั้งฝ่าบาทก็ยังทรงไว้หน้าตระกูลฉู่ ดังนั้นจึงยอมอนุญาตให้จัดงานศพให้กับนางได้คนผมหงอกส่งคนผมดำ ทางตระกูลฉู่ก็ต้องย่อมหม่นหมองเป็นธรรมดาหลังจากพระชายาจี้กลับไปแล้ว อวี่เหวินห่าวที่เห็นนางอยู่ในจวนดูเบื่อมาหลายวัน และอีกทั้งอาการบาดเจ็บก็ไม่ได้ร้ายแรงแล้วนั้น จึงอยากพานางออกไปเดินเล่นหน่อยถนนสายยาวที่เดินอยู่นั้น มีอาซื่อและหมานเอ๋อร์เดินนำอยู่ด้านหน้า อากาศหนาวในฤดูหนาวนั้นมีลมพัดผ่านมา ถนนอันว่างเปล่ายิ่งทำให้ความเหน็บหนาวทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก“ทำไมวันนี้ไม่มีคนเลย?” อาซื่อรู้สึกแปลกใจ เดิมทีผู้คนที่นี่ต่างขวักไขว่ไปมา แม้จะเป็นฤดูหนาวก็ไม่น่าจะเงียบสงบได้เช่นนี้ซูยี่กล่าวตอบข้อสงสัยนั้น “วันนี้มีงานเคลื่อนขบวนส่

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 657

    นอกเสียจากมีเหตุผลบางอย่างที่บีบให้เขาต้องลงมือฆ่าฉู่หมิงชุ่ยไม่รู้ว่าทำไมเมื่อคิดถึงตรงจุดนี้แล้ว หัวใจนางก็เต้นแรงขึ้นอย่างตื่นตระหนก รู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นจู่ ๆ เสียงปี่แตรงานศพก็ดังขึ้นนี่คือเสียงปี่แตรงานเคลื่อนศพขบวนส่งศพอาซื่อพิงระเบียงและมองดูจากระยะไกล เมื่อเห็นขบวนศพกำลังใกล้เข้ามา นางจึงร้องอุทานด้วยความตกใจ "ทำไมถึงมาทางนี้? ไม่ใช่ออกไปทางนอกเมืองหรอกหรือ?"อวี่เหวินห่าวลุกขึ้น “พวกเราไปกันเถอะ”เขายื่นมือไปจูงหยวนชิงหลิงลุกขึ้นหยวนชิงหลิงเงยหน้ามองเขา “ไม่เป็นไร ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราก็เคยรู้จักกันมาก่อน พวกเราก็อยู่ที่นี่ส่งนางเถอะ”อวี่เหวินห่าวเอ่ยด้วยความตกใจ “ส่งนางไป? เดิมทีนางจะส่งเจ้าต่างหากเล่า”“ท่านให้อภัยเถิด ตอนนี้เป็นข้าเองที่อยู่ส่งนาง” หยวนชิงหลิงลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียงด้านข้าง มองขบวนศพที่ค่อย ๆ เข้ามาใกล้ บอกว่าเป็นขบวนก็ดูน่าเวทนาเลยเกิน มีคนเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น ข้างหน้ามีหนึ่งคนเป่าปี่ ด้านหลังสี่คนแบกโลงศพสีแดง เหลือแค่ไม่กี่คนที่โปรยกระดาษเงินกระดาษทอง ช่างดูอ้างว้างเหลือเกินใครเหล่าจะไปคิดว่า คนที่นอนอยู่ในโ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 658

    อ๋องฉีนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็คุกเข่าลงหยิบกาเหล้า กล่องอาหารเล็ก ๆ และธูปออกมาเขาเปิดกล่องอาหารนั้น ข้างในมีซาลาเปา และยังมีของที่ดูเหมือนจะเป็นรังนกที่ดูเหนียวข้น และเย็นชืดอยู่ถ้วยหนึ่งฉู่ฟูจุดธูปให้เขา เขาปักธูปนั้นลงกระถางธูปหน้าโลงศพ เมื่อลมพัดผ่านขี้ธูปนั้นก็ปลิวว่อนไปตกอยู่ที่ปลายเท้าของอ๋องฉีเขายืนอยู่หน้าโลงศพจ้องมองอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง และกระซิบเสียงเบาว่า “ที่จริงข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าชอบกินอะไร เห็นเจ้ามักจะดื่มรังนกแบบนี้เสมอ เลยคิดว่าเจ้าน่าจะชอบ เจ้าก็มารับมันไว้เถอะนะ”“เป็นสามีภรรยากันมาหนึ่งปี แม้ว่าจะไม่ได้รักกันมากมาย ไม่แม้แต่จะหน้าแดงด้วยความเขินอายเลยก็ตาม จนตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเราถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ข้าไม่เข้าใจเลย ทำไมเจ้าถึงอยากฆ่าข้าให้ตาย เจ้าเกลียดข้าขนาดนี้เลยหรือ?”“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าควรเกลียดเจ้า ในใจข้าเกลียดแค้นเจ้าเหลือเกิน แม้แต่ตื่นจากฝันกลับมาแล้ว ข้ายังนึกถึงเพลิงไหม้ใหญ่ในครั้งนั้น มักนึกถึงตอนที่เจ้าเอาปิ่นแทงข้า ข้าไม่เข้าใจ คนที่ดูอ่อนโยนมีเมตตาเช่นนี้ ใยถึงเปลี่ยนกลายเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดนั้นได้”เขาพูดออกม

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 659

    ซูยี่ยกเก้าอี้มาสองตัวให้พวกเขานั่งอ๋องฉีที่เหม่อลอยเหมือนวิญญาณออกจากร่างไปแล้วนั้น แต่เพราะใบหน้าเคร่งขรึมของอวี่เหวินห่าว เขาจึงได้สติกลับมา และยิ้มเจื่อนออกมา “พี่ห้าก็อยู่ด้วย”“อืม!" อวี่เหวินห่าวตอบกลับอย่างเฉยชา“พี่สะใภ้ห้าก็อยู่ด้วย” อ๋องฉีที่เห็นหยวนชิงหลิงนั้นก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยฉู่หมิงชุ่ยทำร้ายนาง ที่จริงเขาไม่ควรรู้สึกผิดหรือละอายต่อหยวนชิงหลิงเลยด้วยซ้ำหยวนชิงหลิงมองไปที่เขา เห็นเขาไร้ชีวิตชีวาขนาดนี้ ก็อดพูดปลอบเขาไม่ได้ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันแล้วไปเถอะ”เขากระแอ่มไอและตอบกลับไปอย่าขัดเขิน “ปล่อยวางแล้ว ข้าไม่นึกถึงมันอีก”หยวนชิงหลิงรินน้ำชาให้เขาและหยวนหยงอี้ “พวกเจ้าคงยังไม่ได้กินอะไรมา? กินอะไรกันก่อนเถอะ”หยวนหยงอี้ที่หิวมากจึงรับน้ำใจและกล่าวว่า “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ พี่หญิงฉู่หวาง”ตอนที่นางหยิบตะเกียบ นางลอบมองอวี่เหวินห่าวอย่างระมัดระวัง เห็นเขาไม่มีท่าทีอะไรจึงเริ่มกินทันทีอ๋องฉีนั้นไม่กิน เขาเอาแต่ถือแก้วชาโซ่วเหมยเอาไว้ไม่ยอมดื่ม แต่เปลี่ยนสลับมือถือไปซ้ายขวา ราวกับคนเหม่อลอยวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจู่ ๆ เขาก็เงยหน้ามองอวี่เหวินห่

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 660

    เขาเงยหน้ามองอวี่เหวินห่าวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสน “พี่ห้า ข้าไม่ได้บอกว่าท่านทำผิด แต่อย่างใด ข้าแค่ไม่เข้าใจ ทำไมท่านถึงลงมือฆ่านางได้ ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไร? พวกท่านเคย...”ทันทีที่เขาพูดก็รีบเหลือบไปมองทางหยวนชิงหลิง และไม่พูดอะไรต่ออีกเขาไม่ได้อยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้ฉู่หมิงชุ่ย หรือคิดว่าที่พี่ห้าฆ่านางเป็นความผิดของเขา ความผิดของฉู่หมิงชุ่ยนั้นตายอย่างง่ายดายในคุกเช่นนั้น ก็นับว่าเป็นการหลุดพ้นแล้วอย่างน้อยนางก็ไม่ต้องไปขึ้นศาล ยังคงเหลือไว้ซึ่งหน้าตาและศักดิ์ศรีของนางในใจเขายังคงเกลียดชังคนผู้นี้ แต่เขาอยากรู้เหลือเกินว่า ทำอย่างไรถึงลบคน ๆ นึงออกจากใจได้รวดเร็วเช่นนี้ได้ เขาไม่อยากให้ตัวเองจมปลักอยู่กับนาง เดิมทีคิดว่ามาส่งนางแล้ว ก็ถือเป็นการลาจากกันไป แต่ในใจของเขาตอนนี้กลับไม่สงบลงเลยอวี่เหวินห่าวไม่ตอบคำถามเขา และลุกขึ้นจูงหยวนชิงหลิง“พี่ห้า...” อ๋องฉีรีบลุกขึ้น “ข้าไม่ได้หมายความว่าท่านโหดเหี้ยมอำมหิตหรือเลือดเย็น ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมท่านถึงลืมคน ๆ หนึ่งไปได้รวดเร็วเช่นนี้”อวี่เหวินห่าวจูงหยวนชิงหลิงเดินไปไม่หันกลับไปมองอีกเมื่อขึ้นรถม้า อวี่เหวิ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 661

    หยวนหยงอี้กล่าวต่อไปว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็จะไม่ปิดปังท่านอีก เดิมทีที่ข้าแต่งเข้ามาเป็นชายารอง ข้านั้นไม่ได้อยากแต่ง ข้าไม่อยากแต่งงานด้วยซ้ำ แต่ท่านย่าบอกข้าว่า ฉู่หมิงชุ่ยมีความคิดที่จะทำร้ายผู้คน ท่านย่ากลัวว่าท่านจะเกิดเรื่องขึ้น จึงให้ข้ามาที่จวนอ๋องฉีจับตาดูฉู่หมิงชุ่ยเอาไว้ ตอนนี้ฉู่หมิงชุ่ยตายไปแล้ว หน้าที่ของข้าก็เป็นอันสำเร็จแล้วเช่นกัน”อ๋องฉีเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ได้แต่เหม่อมองหยวนหยงอี้ “ทุกคนต่างรู้ว่านางมีเจตนาทำร้ายข้า? แต่ข้ากลับไม่รู้อันใดเลย”หยวนหยงอี้ขำเล็กน้อย “จิตใจท่านบริสุทธิ์ถือเป็นเรื่องที่ดี”อันที่จริงหยวนหยงอี้รู้ว่าที่ท่านย่าพูดคือการโน้มนาวนาง ฉู่หมิงชุ่ยมีความทะเยอทะยาน และท่านย่าเองก็หวังให้นางแต่งกับอ๋องฉีอ๋องฉีนั้นทั้งเรียบง่ายและอ่อนโยนหลังจากผ่านเรื่องของฉู่หมิงชุ่ยไปแล้ว นางรู้สึกเรื่องราวของราชวงศ์นี้มันช่างวุ่นวาย สับสน คาดเดาอะไรไม่ได้เลย นางไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยนางไม่อยากใช้ชีวิตที่เปรียบผู้ชายเป็นดั่งผืนฟ้า นางมีเรื่องที่ตัวเองอยากทำหัวใจของอ๋องฉีรู้สึกเสียศูนย์และว่างเปล่ามากเหลือเกิน รู้สึกแย่ยิ่งกว่าคว

Latest chapter

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1015

    ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1014

    อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1013

    เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1012

    พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ ​​หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1011

    มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1010

    หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1009

    ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1008

    หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1007

    เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม

DMCA.com Protection Status