วันนี้พระชายาเว่ยแต่งตัวด้วยชุดสีขาวล้วน ร่างกายอ่อนแอบอบบางของนางสวมเสื้อคลุมบุนวมที่ทำจากผ้าต่วนเนื้อดี บนผ้าต่วนปักลายเมฆาสีขาวไม่มีการปักตกแต่งสีอื่นนางทำทรงมวยสูงปักปิ่นหยกขาว เพราะต้องออกไปงานข้างนอกจึงสวมสร้อยลูกปัดปะการังสีแดงสด เมื่อสวมสร้อยเส้นนี้กับชุดสีขาว ช่วยทำให้เพิ่มความสดใสให้กับใบหน้าที่ซีดเซียวขึ้นมาทันทีนางพาสาวใช้มาด้วยคนหนึ่ง ดูไม่โดดเด่นมากนัก แต่ท่าทางดูมีมารยาทยิ่งนัก ดูก็รู้เลยว่านางได้รับการอบรมมาอย่างดีหยวนชิงหลิงลุกขึ้นทักทายนาง พระชายาเว่ยมองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส "พี่สะใภ้รองยังมาไม่ถึงอีกรึ?"หยวนชิงหลิงพูดอย่างเสียใจ "เมื่อครู่นี้นางสั่งให้คนมาแจ้งว่านางไม่สบาย วันนี้นางจึงมาไม่ได้"พระชายาเว่ยถอนหายใจและนั่งลง "บางทีนางอาจจะเป็นไข้หวัด เมื่อวานนี้บอกนางแล้วว่าเตาในห้องน้อยเกินไป นางยังกล้าบอกว่าไม่หนาวอีก"หยวนชิงหลิงมองนาง และเห็นว่าสีหน้าของนางแย่ลงกว่าเมื่อวาน นางจึงถามขึ้นว่า "เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับหรือไม่?"พระชายาเว่ยยกมือลูบหน้าผากตัวเอง “ปวดหัวเหลือเกิน แทบไม่ได้นอนเลย จนฟ้าสางแล้วถึงจะงีบได้แค่ครู่เดียวก็เถอะ”หยวนชิงหลิงเห็นว่า
หยวนชิงหลิงที่ได้ยินเช่นนั้น นางรู้สึกว่ามีอะไรหล่นหายออกไปจากชีวิตของนางฉู่หมิงชุ่ยที่พานางเข้าใกล้เงาแห่งความตาย จนตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันก็ไม่ได้จางหายไปเลยทว่าคนตายแล้วก็เหมือนเปลวเทียนที่มอดดับลง บุญคุณความแค้นมันก็ควรจางหายไปดั่งเมฆหมอกงานศพฉู่หมิงชุ่ยนั้นถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย เดิมทีนั้นไม่ควรจะมีงานศพด้วยซ้ำ แต่เพราะเรื่องหย่าร้างยังจัดการไม่เสร็จสิ้น อีกทั้งฝ่าบาทก็ยังทรงไว้หน้าตระกูลฉู่ ดังนั้นจึงยอมอนุญาตให้จัดงานศพให้กับนางได้คนผมหงอกส่งคนผมดำ ทางตระกูลฉู่ก็ต้องย่อมหม่นหมองเป็นธรรมดาหลังจากพระชายาจี้กลับไปแล้ว อวี่เหวินห่าวที่เห็นนางอยู่ในจวนดูเบื่อมาหลายวัน และอีกทั้งอาการบาดเจ็บก็ไม่ได้ร้ายแรงแล้วนั้น จึงอยากพานางออกไปเดินเล่นหน่อยถนนสายยาวที่เดินอยู่นั้น มีอาซื่อและหมานเอ๋อร์เดินนำอยู่ด้านหน้า อากาศหนาวในฤดูหนาวนั้นมีลมพัดผ่านมา ถนนอันว่างเปล่ายิ่งทำให้ความเหน็บหนาวทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก“ทำไมวันนี้ไม่มีคนเลย?” อาซื่อรู้สึกแปลกใจ เดิมทีผู้คนที่นี่ต่างขวักไขว่ไปมา แม้จะเป็นฤดูหนาวก็ไม่น่าจะเงียบสงบได้เช่นนี้ซูยี่กล่าวตอบข้อสงสัยนั้น “วันนี้มีงานเคลื่อนขบวนส่
นอกเสียจากมีเหตุผลบางอย่างที่บีบให้เขาต้องลงมือฆ่าฉู่หมิงชุ่ยไม่รู้ว่าทำไมเมื่อคิดถึงตรงจุดนี้แล้ว หัวใจนางก็เต้นแรงขึ้นอย่างตื่นตระหนก รู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นจู่ ๆ เสียงปี่แตรงานศพก็ดังขึ้นนี่คือเสียงปี่แตรงานเคลื่อนศพขบวนส่งศพอาซื่อพิงระเบียงและมองดูจากระยะไกล เมื่อเห็นขบวนศพกำลังใกล้เข้ามา นางจึงร้องอุทานด้วยความตกใจ "ทำไมถึงมาทางนี้? ไม่ใช่ออกไปทางนอกเมืองหรอกหรือ?"อวี่เหวินห่าวลุกขึ้น “พวกเราไปกันเถอะ”เขายื่นมือไปจูงหยวนชิงหลิงลุกขึ้นหยวนชิงหลิงเงยหน้ามองเขา “ไม่เป็นไร ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราก็เคยรู้จักกันมาก่อน พวกเราก็อยู่ที่นี่ส่งนางเถอะ”อวี่เหวินห่าวเอ่ยด้วยความตกใจ “ส่งนางไป? เดิมทีนางจะส่งเจ้าต่างหากเล่า”“ท่านให้อภัยเถิด ตอนนี้เป็นข้าเองที่อยู่ส่งนาง” หยวนชิงหลิงลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียงด้านข้าง มองขบวนศพที่ค่อย ๆ เข้ามาใกล้ บอกว่าเป็นขบวนก็ดูน่าเวทนาเลยเกิน มีคนเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น ข้างหน้ามีหนึ่งคนเป่าปี่ ด้านหลังสี่คนแบกโลงศพสีแดง เหลือแค่ไม่กี่คนที่โปรยกระดาษเงินกระดาษทอง ช่างดูอ้างว้างเหลือเกินใครเหล่าจะไปคิดว่า คนที่นอนอยู่ในโ
อ๋องฉีนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็คุกเข่าลงหยิบกาเหล้า กล่องอาหารเล็ก ๆ และธูปออกมาเขาเปิดกล่องอาหารนั้น ข้างในมีซาลาเปา และยังมีของที่ดูเหมือนจะเป็นรังนกที่ดูเหนียวข้น และเย็นชืดอยู่ถ้วยหนึ่งฉู่ฟูจุดธูปให้เขา เขาปักธูปนั้นลงกระถางธูปหน้าโลงศพ เมื่อลมพัดผ่านขี้ธูปนั้นก็ปลิวว่อนไปตกอยู่ที่ปลายเท้าของอ๋องฉีเขายืนอยู่หน้าโลงศพจ้องมองอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง และกระซิบเสียงเบาว่า “ที่จริงข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าชอบกินอะไร เห็นเจ้ามักจะดื่มรังนกแบบนี้เสมอ เลยคิดว่าเจ้าน่าจะชอบ เจ้าก็มารับมันไว้เถอะนะ”“เป็นสามีภรรยากันมาหนึ่งปี แม้ว่าจะไม่ได้รักกันมากมาย ไม่แม้แต่จะหน้าแดงด้วยความเขินอายเลยก็ตาม จนตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเราถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ข้าไม่เข้าใจเลย ทำไมเจ้าถึงอยากฆ่าข้าให้ตาย เจ้าเกลียดข้าขนาดนี้เลยหรือ?”“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าควรเกลียดเจ้า ในใจข้าเกลียดแค้นเจ้าเหลือเกิน แม้แต่ตื่นจากฝันกลับมาแล้ว ข้ายังนึกถึงเพลิงไหม้ใหญ่ในครั้งนั้น มักนึกถึงตอนที่เจ้าเอาปิ่นแทงข้า ข้าไม่เข้าใจ คนที่ดูอ่อนโยนมีเมตตาเช่นนี้ ใยถึงเปลี่ยนกลายเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดนั้นได้”เขาพูดออกม
ซูยี่ยกเก้าอี้มาสองตัวให้พวกเขานั่งอ๋องฉีที่เหม่อลอยเหมือนวิญญาณออกจากร่างไปแล้วนั้น แต่เพราะใบหน้าเคร่งขรึมของอวี่เหวินห่าว เขาจึงได้สติกลับมา และยิ้มเจื่อนออกมา “พี่ห้าก็อยู่ด้วย”“อืม!" อวี่เหวินห่าวตอบกลับอย่างเฉยชา“พี่สะใภ้ห้าก็อยู่ด้วย” อ๋องฉีที่เห็นหยวนชิงหลิงนั้นก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยฉู่หมิงชุ่ยทำร้ายนาง ที่จริงเขาไม่ควรรู้สึกผิดหรือละอายต่อหยวนชิงหลิงเลยด้วยซ้ำหยวนชิงหลิงมองไปที่เขา เห็นเขาไร้ชีวิตชีวาขนาดนี้ ก็อดพูดปลอบเขาไม่ได้ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันแล้วไปเถอะ”เขากระแอ่มไอและตอบกลับไปอย่าขัดเขิน “ปล่อยวางแล้ว ข้าไม่นึกถึงมันอีก”หยวนชิงหลิงรินน้ำชาให้เขาและหยวนหยงอี้ “พวกเจ้าคงยังไม่ได้กินอะไรมา? กินอะไรกันก่อนเถอะ”หยวนหยงอี้ที่หิวมากจึงรับน้ำใจและกล่าวว่า “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ พี่หญิงฉู่หวาง”ตอนที่นางหยิบตะเกียบ นางลอบมองอวี่เหวินห่าวอย่างระมัดระวัง เห็นเขาไม่มีท่าทีอะไรจึงเริ่มกินทันทีอ๋องฉีนั้นไม่กิน เขาเอาแต่ถือแก้วชาโซ่วเหมยเอาไว้ไม่ยอมดื่ม แต่เปลี่ยนสลับมือถือไปซ้ายขวา ราวกับคนเหม่อลอยวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจู่ ๆ เขาก็เงยหน้ามองอวี่เหวินห่
เขาเงยหน้ามองอวี่เหวินห่าวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสน “พี่ห้า ข้าไม่ได้บอกว่าท่านทำผิด แต่อย่างใด ข้าแค่ไม่เข้าใจ ทำไมท่านถึงลงมือฆ่านางได้ ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไร? พวกท่านเคย...”ทันทีที่เขาพูดก็รีบเหลือบไปมองทางหยวนชิงหลิง และไม่พูดอะไรต่ออีกเขาไม่ได้อยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้ฉู่หมิงชุ่ย หรือคิดว่าที่พี่ห้าฆ่านางเป็นความผิดของเขา ความผิดของฉู่หมิงชุ่ยนั้นตายอย่างง่ายดายในคุกเช่นนั้น ก็นับว่าเป็นการหลุดพ้นแล้วอย่างน้อยนางก็ไม่ต้องไปขึ้นศาล ยังคงเหลือไว้ซึ่งหน้าตาและศักดิ์ศรีของนางในใจเขายังคงเกลียดชังคนผู้นี้ แต่เขาอยากรู้เหลือเกินว่า ทำอย่างไรถึงลบคน ๆ นึงออกจากใจได้รวดเร็วเช่นนี้ได้ เขาไม่อยากให้ตัวเองจมปลักอยู่กับนาง เดิมทีคิดว่ามาส่งนางแล้ว ก็ถือเป็นการลาจากกันไป แต่ในใจของเขาตอนนี้กลับไม่สงบลงเลยอวี่เหวินห่าวไม่ตอบคำถามเขา และลุกขึ้นจูงหยวนชิงหลิง“พี่ห้า...” อ๋องฉีรีบลุกขึ้น “ข้าไม่ได้หมายความว่าท่านโหดเหี้ยมอำมหิตหรือเลือดเย็น ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมท่านถึงลืมคน ๆ หนึ่งไปได้รวดเร็วเช่นนี้”อวี่เหวินห่าวจูงหยวนชิงหลิงเดินไปไม่หันกลับไปมองอีกเมื่อขึ้นรถม้า อวี่เหวิ
หยวนหยงอี้กล่าวต่อไปว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็จะไม่ปิดปังท่านอีก เดิมทีที่ข้าแต่งเข้ามาเป็นชายารอง ข้านั้นไม่ได้อยากแต่ง ข้าไม่อยากแต่งงานด้วยซ้ำ แต่ท่านย่าบอกข้าว่า ฉู่หมิงชุ่ยมีความคิดที่จะทำร้ายผู้คน ท่านย่ากลัวว่าท่านจะเกิดเรื่องขึ้น จึงให้ข้ามาที่จวนอ๋องฉีจับตาดูฉู่หมิงชุ่ยเอาไว้ ตอนนี้ฉู่หมิงชุ่ยตายไปแล้ว หน้าที่ของข้าก็เป็นอันสำเร็จแล้วเช่นกัน”อ๋องฉีเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ได้แต่เหม่อมองหยวนหยงอี้ “ทุกคนต่างรู้ว่านางมีเจตนาทำร้ายข้า? แต่ข้ากลับไม่รู้อันใดเลย”หยวนหยงอี้ขำเล็กน้อย “จิตใจท่านบริสุทธิ์ถือเป็นเรื่องที่ดี”อันที่จริงหยวนหยงอี้รู้ว่าที่ท่านย่าพูดคือการโน้มนาวนาง ฉู่หมิงชุ่ยมีความทะเยอทะยาน และท่านย่าเองก็หวังให้นางแต่งกับอ๋องฉีอ๋องฉีนั้นทั้งเรียบง่ายและอ่อนโยนหลังจากผ่านเรื่องของฉู่หมิงชุ่ยไปแล้ว นางรู้สึกเรื่องราวของราชวงศ์นี้มันช่างวุ่นวาย สับสน คาดเดาอะไรไม่ได้เลย นางไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยนางไม่อยากใช้ชีวิตที่เปรียบผู้ชายเป็นดั่งผืนฟ้า นางมีเรื่องที่ตัวเองอยากทำหัวใจของอ๋องฉีรู้สึกเสียศูนย์และว่างเปล่ามากเหลือเกิน รู้สึกแย่ยิ่งกว่าคว
ไม่ง่ายเลยที่อ๋องฉีจะลุกขึ้นมาในทันที เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นมา และยกมือเช็ดเลือดที่ไหลซึมออกจากมุมปากพร้อมหันไปมองหยวนหยงอี้ด้วยแววตาเศร้าสร้อย “เป็นโรคหายาก ตอนนี้มีแค่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ที่ทรงทราบ ที่ผ่านมามันถูกเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด เดิมทีไม่ควรบอกเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าพบว่าข้าเป็นโรคเช่นนี้ คงไม่อาจปิดบังต่อไปได้อีก”หยวนหยงอี้ประคองเขานั่งกับเก้าอี้ นางขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียดและถามว่า “หมอหลวงรักษาไม่ได้เลยหรือ?”“ไม่ได้” อ๋องฉีพยักหน้าอย่างนิ่งสงบ เขายิ้มขมขื่นออกมา “ที่เจ้าพูดเมื่อครู่ว่าอยากจะเดินทางท่องเที่ยวล่องไปแม่น้ำไปให้ทั่วแผ่นดินเป่ยถัง ดีจริง ข้าเองก็อยากไป แต่ร่างกายของข้า...ช่างเถอะ ไว้วันหลังหากเจ้ากลับมาเมืองหลวงแล้ว ก็พาป้ายวิญญาณข้าไปด้วยนะ ให้ข้าได้เห็นแผ่นดินกว้างใหญ่อันสวยงามของเป่ยถัง”หยวนหยงอี้เห็นเขามองโลกในแง่ร้ายเช่นนี้ ก็รู้สึกลำบากใจยิ่งนัก จึงกล่าวปลอบโยนเขาไป “ยังมีหวังอยู่ ใต้หล้านี้มีหมอยอดฝีมือมากมาย ต้องมีทางรักษาแน่”“สองปีมานี้ เสด็จพ่อหาหมอที่มีชื่อเสียงมากมาย น่าเสียดายที่หาไม่พบ ช่างเถอะอย่าพูดอีกเลย ทำให้เจ้าเศร้าก่อนออกเดินทางแบบนี้เสียเปล่