หยวนหยงอี้กล่าวต่อไปว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็จะไม่ปิดปังท่านอีก เดิมทีที่ข้าแต่งเข้ามาเป็นชายารอง ข้านั้นไม่ได้อยากแต่ง ข้าไม่อยากแต่งงานด้วยซ้ำ แต่ท่านย่าบอกข้าว่า ฉู่หมิงชุ่ยมีความคิดที่จะทำร้ายผู้คน ท่านย่ากลัวว่าท่านจะเกิดเรื่องขึ้น จึงให้ข้ามาที่จวนอ๋องฉีจับตาดูฉู่หมิงชุ่ยเอาไว้ ตอนนี้ฉู่หมิงชุ่ยตายไปแล้ว หน้าที่ของข้าก็เป็นอันสำเร็จแล้วเช่นกัน”อ๋องฉีเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ได้แต่เหม่อมองหยวนหยงอี้ “ทุกคนต่างรู้ว่านางมีเจตนาทำร้ายข้า? แต่ข้ากลับไม่รู้อันใดเลย”หยวนหยงอี้ขำเล็กน้อย “จิตใจท่านบริสุทธิ์ถือเป็นเรื่องที่ดี”อันที่จริงหยวนหยงอี้รู้ว่าที่ท่านย่าพูดคือการโน้มนาวนาง ฉู่หมิงชุ่ยมีความทะเยอทะยาน และท่านย่าเองก็หวังให้นางแต่งกับอ๋องฉีอ๋องฉีนั้นทั้งเรียบง่ายและอ่อนโยนหลังจากผ่านเรื่องของฉู่หมิงชุ่ยไปแล้ว นางรู้สึกเรื่องราวของราชวงศ์นี้มันช่างวุ่นวาย สับสน คาดเดาอะไรไม่ได้เลย นางไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยนางไม่อยากใช้ชีวิตที่เปรียบผู้ชายเป็นดั่งผืนฟ้า นางมีเรื่องที่ตัวเองอยากทำหัวใจของอ๋องฉีรู้สึกเสียศูนย์และว่างเปล่ามากเหลือเกิน รู้สึกแย่ยิ่งกว่าคว
ไม่ง่ายเลยที่อ๋องฉีจะลุกขึ้นมาในทันที เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นมา และยกมือเช็ดเลือดที่ไหลซึมออกจากมุมปากพร้อมหันไปมองหยวนหยงอี้ด้วยแววตาเศร้าสร้อย “เป็นโรคหายาก ตอนนี้มีแค่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ที่ทรงทราบ ที่ผ่านมามันถูกเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด เดิมทีไม่ควรบอกเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าพบว่าข้าเป็นโรคเช่นนี้ คงไม่อาจปิดบังต่อไปได้อีก”หยวนหยงอี้ประคองเขานั่งกับเก้าอี้ นางขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียดและถามว่า “หมอหลวงรักษาไม่ได้เลยหรือ?”“ไม่ได้” อ๋องฉีพยักหน้าอย่างนิ่งสงบ เขายิ้มขมขื่นออกมา “ที่เจ้าพูดเมื่อครู่ว่าอยากจะเดินทางท่องเที่ยวล่องไปแม่น้ำไปให้ทั่วแผ่นดินเป่ยถัง ดีจริง ข้าเองก็อยากไป แต่ร่างกายของข้า...ช่างเถอะ ไว้วันหลังหากเจ้ากลับมาเมืองหลวงแล้ว ก็พาป้ายวิญญาณข้าไปด้วยนะ ให้ข้าได้เห็นแผ่นดินกว้างใหญ่อันสวยงามของเป่ยถัง”หยวนหยงอี้เห็นเขามองโลกในแง่ร้ายเช่นนี้ ก็รู้สึกลำบากใจยิ่งนัก จึงกล่าวปลอบโยนเขาไป “ยังมีหวังอยู่ ใต้หล้านี้มีหมอยอดฝีมือมากมาย ต้องมีทางรักษาแน่”“สองปีมานี้ เสด็จพ่อหาหมอที่มีชื่อเสียงมากมาย น่าเสียดายที่หาไม่พบ ช่างเถอะอย่าพูดอีกเลย ทำให้เจ้าเศร้าก่อนออกเดินทางแบบนี้เสียเปล่
เสด็จพ่อมักจะเสวยพระกระยาหารคนเดียว ครั้งก่อนที่เสวยร่วมโต๊ะกับหยวนชิงหลิงนั้น ยังดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย ตอนนี้ยังไปร่วมโต๊ะเสวยด้วยอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นมาอีกหยวนชิงหลิงที่แต่งตัวอยู่ข้างในนั้น เขาเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลหยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “วางใจเถอะ เสด็จพ่อไม่เอาชีวิตข้าหรอก”“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้น ตอนนี้กลัวความโปรดปรานของพระองค์มากกว่า” อวี่เหวินห่าวกล่าว สถานการณ์ในตอนนี้ยิ่งทวีความไม่แน่นอนมากขึ้น เขาคิดว่าอยู่นิ่ง ๆ ยังดีกว่าออกมาเคลื่อนไหว หวังว่าเสด็จพ่อคงไม่ลากเหล่าหยวนเข้าไปสู่ความวุ่นวายนี้หยวนชิงหลิงเปลี่ยนชุดเป็นกระโปรงผ้าไหมยาวสีน้ำเงิน ปักลายดอกทับทิม สวมเสื้อคลุมกันลมที่ทำผ้าต่วนเนื้อดี ด้วยทักษะอันเชี่ยวชาญของลวี่หยา นางทำมวยเมฆาลอยอย่างประณีต ถัดไปสองก้าวแม่นมฉีนำเตาอุ่นมือสีเงินอันเล็กมาให้เพราะต้องเข้าวังจึงไม่อาจไปแบบหน้าสดไร้การประทินโฉมได้ ดังนั้นแม่นมฉีจึงแต่งหน้าอ่อน ๆ ให้นาง วาดคิ้วโก่งดั่งคันศร ริมฝีปากแต่งแต้มชาดแดง การแต่งหน้าอย่างเบาบางเช่นนี้ ดูดึงดูดเสน่ห์ผู้คนขึ้นมา งดงามน่าชมยิ่ง
หยวนชิงหลิงยื่นมืออกไปดึงแขนเสื้อของมู่หรูกงกงเบา ๆ พร้อมเอ่ยกระซิบถามว่า “กงกง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคดีของฉู่หมิงชุ่ยหรือไม่?”มู่หรูกงกงกล่าวตอบ “พระชายา พระองค์อย่าได้ทรงกังวลใจไปเลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ฝ่าบาทย่อมต้องถามความคิดเห็นพระองค์ก่อน ถ้าหากพระองค์คัดค้านอย่างรุนแรง ฝ่าบาทย่อมต้องไตร่ตรองพ่ะย่ะค่ะ”คำพูดพวกนี้ยิ่งทำให้หยวนชิงหลิงกังวลใจกว่าเดิมเสียอีกเรื่องอะไรกันที่ต้องถามความคิดเห็นของนางก่อน? เรื่องราชการบ้านเมืองคงมิใช่ นอกเสียจากเรื่องในจวนเสียมากกว่าเรื่องในจวน ถ้าถามนางแล้ว นางต้องคัดค้านอย่างรุนแรง และก็คงจะเป็นเรื่องรับชายารองมาเพิ่มเป็นแน่หยวนชิงหลิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เรื่องนี้อุตส่าห์เงียบไปนานแล้วมิใช่หรือ? แถมฉู่หมิงหยางเองก็เพิ่งแต่งออกไป เพิ่งจะได้พักหายใจหายคอ ตอนนี้จะเอาอีกแล้วหรือนี่?อาหารมื้อนี้เกรงว่าจะกินไม่ลงเสียแล้วหลังจากเข้าวังแล้ว มู่หรูกงกงก็พานางไปยังพระตำหนักอวิ้นหลงพระตำหนักอวิ้นหลงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระราชวัง ติดกับตำหนักบูรพาด้านข้างของพระตำหนักอวิ้นหลงคือ พระที่นั่งอวิ้นหลง เป็นประทับที่ของฮ่องเต้ในฤดูหนาวพระตำหนั
อาหารที่ได้ยกขึ้นบนโต๊ะเสวยล้วนเป็นอาหาที่ดูเรียบง่าย ธรรมดาที่ชาวบ้านกินกันทั่วไป ไม่ได้เลิศหรูอลังการในแบบของราชวงศ์ และจัดเป็นถ้วยเล็ก ๆ อย่างประณีตอาหารห้าจานซุปอีกหนึ่งถ้วยมีไอร้อนกรุ่นลอยขึ้นมาจักรพรรดิหมิงหยวนไม่ตรัสสิ่งใด หยวนชิงหลิงเองก็ย่อมไม่พูดอะไรด้วยเช่นกัน มองดูนางกำนัลที่อยู่ข้าง ๆยกอาหารมาให้ จักรพรรดิหมิงหยวนตรัสว่ายกตะเกียบได้ นางจึงเริ่มกินเพราะรู้สึกไม่สบายใจ จึงกินได้ไม่มากสักเท่าไหร่แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เสวยพระกระยาหารกับจักรพรรดิหมิงหยวน แต่หยวนชิงหลิงก็ยังค่อนข้างระมัดระวัง และไม่กล้าที่จะกินมากเกินไป ในทางกลับกัน เมื่อเทียบกับครั้งก่อนนั้น ยังดูท่าทางผ่อนคลายกว่านี้มากนางแอบยิ้มอย่างขมขื่นในใจ นางไม่อยากรู้หรือสนใจอะไรอีกแล้วจักรพรรดิหมิงหยวนชินกับการเสวยแบบไม่พูดคุยกับใคร เพราะว่าเขามักเสวยอยู่คนเดียวเสมอ จึงไม่มีใครร่วมสนทนาด้วยอาหารห้าอย่างกินเกือบหมดแล้ว ทั้งสองคนเองกินกันไม่ได้เยอะสักเท่าไหร่ และเดิมทีอาหารพวกนี้ก็ไม่ได้แพงมากมาย แต่มันดูงดงามประณีตเป็นพิเศษ มีซุปเหลืออยู่เล็กน้อย จักรพรรดิหมิงหยวนจึงประทานให้มู่หรูกงกงมู่หรูกงกงข
จักรพรรดิหมิงหยวนหัวเราะเย้ยหยัน "ฆ่าตัวตายรึ? ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่ เรื่องราวภายในเป็นอย่างไร ข้ารู้หมดแล้ว ฉู่หมิงชุ่ยสารภาพในคุก โดยบอกว่ามหาเสนาบดีฉู่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังและเจ้าห้าฆ่านาง ไม่อนุญาตให้นางขึ้นศาล เพราะเขากลัวว่านางจะสารภาพให้การไปถึงมหาเสนาบดีฉู่”หยวนชิงหลิงกำชายแขนเสื้อด้วยมือทั้งสองไว้แน่น จนปลายนิ้วซีดขาว "เสด็จพ่อ พระองค์ทรงเชื่อเช่นนั้นหรือเพคะ? พระองค์ทรงเชื่อจริง ๆ หรือว่ามหาเสนาบดีฉู่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง?”"จะเชื่อหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่อง สำหรับคำสารภาพของฉู่หมิงชุ่ยนั้นก็อีกเรื่องเช่นกัน เอามาพูดรวมกันไม่ได้ ไม่ว่าฉู่หมิงชุ่ยจะพูดอะไร แต่การที่เจ้าห้าฆ่านางนั้นเป็นความจริง"หยวนชิงหลิงจ้องมองจักรพรรดิหมิงหยวนโดยตรง ในใจนางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วฝ่าบาทรู้ถึงความตั้งใจของเจ้าห้า และเขายังเชื่อว่ามหาเสนาบดีไม่ได้เป็นผู้บงการ แต่เขาต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อบีบบังคับนางหรือ เจ้าห้าให้ทำในสิ่งที่พวกเขาทั้งคู่ไม่อยากทำนางสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดต่อไปว่า "เสด็จพ่อ เจ้าห้าคือโอรสของพระองค์ เขาจะเป็นฆาตกรหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพระองค์เช่นกัน แต่ลูกสะใภ้มั่นใจมากว่าสิ
ท่าทางของจักรพรรดิหมิงหยวนทั้งนิ่งเฉยและเย็นชา "ไปซะ"มู่หรูกงกงจึงได้แต่ขานรับ และมองไปทางหยวนชิงหลิงหยวนชิงหลิงพูดอย่างจนปัญญา "เสด็จพ่อ พระองค์กำลังบังคับหม่อมฉัน เอาชีวิตเจ้าห้าเพื่อมาบีบบังคับหม่อมฉัน"สีพระพักตร์ของจักรพรรดิหมิงหยวนแปรเปลี่ยนไปทันที "บังอาจ!"เมื่อหยวนชิงหลิงได้ยินเช่นนี้ นางรู้ว่าตัวเองต้องคุกเข่าลงมา นางเกาะโต๊ะแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น จากนั้นก็ค่อย ๆคุกเข่าลงอย่างช้า ๆ นางทำใจให้สงบลงแทบไม่ได้เลย น้ำเสียงของนางจึงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง "เสด็จพ่อโปรดสงบสติอารมณ์ด้วยเพคะ”จักรพรรดิหมิงหยวนพูดอย่างเคร่งขรึม "หยวนชิงหลิง เรื่องแต่งชายารอง ข้าหารือกับเจ้า เพราะข้าให้เกียรติเจ้า เจ้าไม่เห็นด้วย ข้าก็ไม่ได้บังคับเจ้า เจ้าไม่เพียงแต่จะไม่ขอบคุณ เจ้ายังกล้าเอ่ยวาจาหยาบคายล่วงเกินข้าอีก? เจ้าไม่รู้รึการลบหลู่เบื้องสูงมีโทษสถานใด!"หยวนชิงหลิงรู้สึกกระสับกระส่ายหวาดกลัว จนสะอึกอกสั่นขวัญแขวนไปหมด จนแทบอาเจียนออกมาแล้ว "เสด็จพ่อ ถ้าพระองค์ให้เกียรติลูกสะใภ้จริง ก็ไม่ควรพูดเรื่องรับชายารองกับลูกสะใภ้ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ในตอนนี้ ส่วนทำไมเจ้าห้าถึงฆ่าฉู่หมิงชุ่ย พระองค
อาหารมื้อนี้ไม่ต่างจากงานเลี้ยงที่หงเหมินมีไว้ใช้ทำร้ายผู้คนโดยแท้จริงมู่หรูกงกงช่วยประคองนางลุกขึ้นอย่างช้า ๆ นางรู้สึกขาของนางอ่อนแรงลงอย่างกะทันหัน ไม่แม้แต่จะยืนได้อย่างมั่นคงคำพูดของจักรพรรดิหมิงหยวนแทงเข้าใจดำทุกจุดจริง ๆสิ่งที่เจ้าห้าเป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ คนก่อเรื่องก็คือนางเองไม่ผิดเลยสักนิดไม่ว่านางจะเป็นหยวนชิงหลิงคนก่อนหรือไม่ก็ตาม โทษทัณฑ์นี้นางต้องรับไว้มิฉะนั้นหากเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต ก็จะมีคนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกนางมองไปที่ฉลองพระองค์สีเหลืองสดใสของจักรพรรดิหมิงหยวน ที่ปักลวดลายทะเลเมฆและมีมังกรห้าเล็บที่ดูสมจริงหลายตัวอยู่บนนั้น การตัดเย็บนั้นดูยอดเยี่ยมยิ่งนัก ลายปักก็ประณีตสวยงาม มังกรเสหมือนจริงมาก จนดูเหมือนพวกมันพร้อมจะบินเหาะออกจากตัวของพระองค์ดวงตาของนางร้อนผ่าวไปหมด นางย่อกายโค้งคำนับและพูดอย่างยากลำบาก "เสด็จพ่อถนอมพระวรกายด้วย หยวนชิงหลิงทูลลาเพคะ!"จักรพรรดิหมิงหยวนหันหลังให้นาง และไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ใบหน้าของพระองค์ดูหดหู่ รัศมีอันสูงส่งของพระองค์ดูเหมือนจะถูกปกคลุมด้วยความเศร้าโศก ทั้งดูเฉยเมยและดื้อรั้นมู่หรูกงกงประคองหยวนชิงลง
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม