ซูยี่ยกเก้าอี้มาสองตัวให้พวกเขานั่งอ๋องฉีที่เหม่อลอยเหมือนวิญญาณออกจากร่างไปแล้วนั้น แต่เพราะใบหน้าเคร่งขรึมของอวี่เหวินห่าว เขาจึงได้สติกลับมา และยิ้มเจื่อนออกมา “พี่ห้าก็อยู่ด้วย”“อืม!" อวี่เหวินห่าวตอบกลับอย่างเฉยชา“พี่สะใภ้ห้าก็อยู่ด้วย” อ๋องฉีที่เห็นหยวนชิงหลิงนั้นก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยฉู่หมิงชุ่ยทำร้ายนาง ที่จริงเขาไม่ควรรู้สึกผิดหรือละอายต่อหยวนชิงหลิงเลยด้วยซ้ำหยวนชิงหลิงมองไปที่เขา เห็นเขาไร้ชีวิตชีวาขนาดนี้ ก็อดพูดปลอบเขาไม่ได้ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันแล้วไปเถอะ”เขากระแอ่มไอและตอบกลับไปอย่าขัดเขิน “ปล่อยวางแล้ว ข้าไม่นึกถึงมันอีก”หยวนชิงหลิงรินน้ำชาให้เขาและหยวนหยงอี้ “พวกเจ้าคงยังไม่ได้กินอะไรมา? กินอะไรกันก่อนเถอะ”หยวนหยงอี้ที่หิวมากจึงรับน้ำใจและกล่าวว่า “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ พี่หญิงฉู่หวาง”ตอนที่นางหยิบตะเกียบ นางลอบมองอวี่เหวินห่าวอย่างระมัดระวัง เห็นเขาไม่มีท่าทีอะไรจึงเริ่มกินทันทีอ๋องฉีนั้นไม่กิน เขาเอาแต่ถือแก้วชาโซ่วเหมยเอาไว้ไม่ยอมดื่ม แต่เปลี่ยนสลับมือถือไปซ้ายขวา ราวกับคนเหม่อลอยวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจู่ ๆ เขาก็เงยหน้ามองอวี่เหวินห่
เขาเงยหน้ามองอวี่เหวินห่าวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสน “พี่ห้า ข้าไม่ได้บอกว่าท่านทำผิด แต่อย่างใด ข้าแค่ไม่เข้าใจ ทำไมท่านถึงลงมือฆ่านางได้ ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไร? พวกท่านเคย...”ทันทีที่เขาพูดก็รีบเหลือบไปมองทางหยวนชิงหลิง และไม่พูดอะไรต่ออีกเขาไม่ได้อยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้ฉู่หมิงชุ่ย หรือคิดว่าที่พี่ห้าฆ่านางเป็นความผิดของเขา ความผิดของฉู่หมิงชุ่ยนั้นตายอย่างง่ายดายในคุกเช่นนั้น ก็นับว่าเป็นการหลุดพ้นแล้วอย่างน้อยนางก็ไม่ต้องไปขึ้นศาล ยังคงเหลือไว้ซึ่งหน้าตาและศักดิ์ศรีของนางในใจเขายังคงเกลียดชังคนผู้นี้ แต่เขาอยากรู้เหลือเกินว่า ทำอย่างไรถึงลบคน ๆ นึงออกจากใจได้รวดเร็วเช่นนี้ได้ เขาไม่อยากให้ตัวเองจมปลักอยู่กับนาง เดิมทีคิดว่ามาส่งนางแล้ว ก็ถือเป็นการลาจากกันไป แต่ในใจของเขาตอนนี้กลับไม่สงบลงเลยอวี่เหวินห่าวไม่ตอบคำถามเขา และลุกขึ้นจูงหยวนชิงหลิง“พี่ห้า...” อ๋องฉีรีบลุกขึ้น “ข้าไม่ได้หมายความว่าท่านโหดเหี้ยมอำมหิตหรือเลือดเย็น ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมท่านถึงลืมคน ๆ หนึ่งไปได้รวดเร็วเช่นนี้”อวี่เหวินห่าวจูงหยวนชิงหลิงเดินไปไม่หันกลับไปมองอีกเมื่อขึ้นรถม้า อวี่เหวิ
หยวนหยงอี้กล่าวต่อไปว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็จะไม่ปิดปังท่านอีก เดิมทีที่ข้าแต่งเข้ามาเป็นชายารอง ข้านั้นไม่ได้อยากแต่ง ข้าไม่อยากแต่งงานด้วยซ้ำ แต่ท่านย่าบอกข้าว่า ฉู่หมิงชุ่ยมีความคิดที่จะทำร้ายผู้คน ท่านย่ากลัวว่าท่านจะเกิดเรื่องขึ้น จึงให้ข้ามาที่จวนอ๋องฉีจับตาดูฉู่หมิงชุ่ยเอาไว้ ตอนนี้ฉู่หมิงชุ่ยตายไปแล้ว หน้าที่ของข้าก็เป็นอันสำเร็จแล้วเช่นกัน”อ๋องฉีเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ได้แต่เหม่อมองหยวนหยงอี้ “ทุกคนต่างรู้ว่านางมีเจตนาทำร้ายข้า? แต่ข้ากลับไม่รู้อันใดเลย”หยวนหยงอี้ขำเล็กน้อย “จิตใจท่านบริสุทธิ์ถือเป็นเรื่องที่ดี”อันที่จริงหยวนหยงอี้รู้ว่าที่ท่านย่าพูดคือการโน้มนาวนาง ฉู่หมิงชุ่ยมีความทะเยอทะยาน และท่านย่าเองก็หวังให้นางแต่งกับอ๋องฉีอ๋องฉีนั้นทั้งเรียบง่ายและอ่อนโยนหลังจากผ่านเรื่องของฉู่หมิงชุ่ยไปแล้ว นางรู้สึกเรื่องราวของราชวงศ์นี้มันช่างวุ่นวาย สับสน คาดเดาอะไรไม่ได้เลย นางไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยนางไม่อยากใช้ชีวิตที่เปรียบผู้ชายเป็นดั่งผืนฟ้า นางมีเรื่องที่ตัวเองอยากทำหัวใจของอ๋องฉีรู้สึกเสียศูนย์และว่างเปล่ามากเหลือเกิน รู้สึกแย่ยิ่งกว่าคว
ไม่ง่ายเลยที่อ๋องฉีจะลุกขึ้นมาในทันที เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นมา และยกมือเช็ดเลือดที่ไหลซึมออกจากมุมปากพร้อมหันไปมองหยวนหยงอี้ด้วยแววตาเศร้าสร้อย “เป็นโรคหายาก ตอนนี้มีแค่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ที่ทรงทราบ ที่ผ่านมามันถูกเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด เดิมทีไม่ควรบอกเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าพบว่าข้าเป็นโรคเช่นนี้ คงไม่อาจปิดบังต่อไปได้อีก”หยวนหยงอี้ประคองเขานั่งกับเก้าอี้ นางขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียดและถามว่า “หมอหลวงรักษาไม่ได้เลยหรือ?”“ไม่ได้” อ๋องฉีพยักหน้าอย่างนิ่งสงบ เขายิ้มขมขื่นออกมา “ที่เจ้าพูดเมื่อครู่ว่าอยากจะเดินทางท่องเที่ยวล่องไปแม่น้ำไปให้ทั่วแผ่นดินเป่ยถัง ดีจริง ข้าเองก็อยากไป แต่ร่างกายของข้า...ช่างเถอะ ไว้วันหลังหากเจ้ากลับมาเมืองหลวงแล้ว ก็พาป้ายวิญญาณข้าไปด้วยนะ ให้ข้าได้เห็นแผ่นดินกว้างใหญ่อันสวยงามของเป่ยถัง”หยวนหยงอี้เห็นเขามองโลกในแง่ร้ายเช่นนี้ ก็รู้สึกลำบากใจยิ่งนัก จึงกล่าวปลอบโยนเขาไป “ยังมีหวังอยู่ ใต้หล้านี้มีหมอยอดฝีมือมากมาย ต้องมีทางรักษาแน่”“สองปีมานี้ เสด็จพ่อหาหมอที่มีชื่อเสียงมากมาย น่าเสียดายที่หาไม่พบ ช่างเถอะอย่าพูดอีกเลย ทำให้เจ้าเศร้าก่อนออกเดินทางแบบนี้เสียเปล่
เสด็จพ่อมักจะเสวยพระกระยาหารคนเดียว ครั้งก่อนที่เสวยร่วมโต๊ะกับหยวนชิงหลิงนั้น ยังดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย ตอนนี้ยังไปร่วมโต๊ะเสวยด้วยอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นมาอีกหยวนชิงหลิงที่แต่งตัวอยู่ข้างในนั้น เขาเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลหยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “วางใจเถอะ เสด็จพ่อไม่เอาชีวิตข้าหรอก”“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้น ตอนนี้กลัวความโปรดปรานของพระองค์มากกว่า” อวี่เหวินห่าวกล่าว สถานการณ์ในตอนนี้ยิ่งทวีความไม่แน่นอนมากขึ้น เขาคิดว่าอยู่นิ่ง ๆ ยังดีกว่าออกมาเคลื่อนไหว หวังว่าเสด็จพ่อคงไม่ลากเหล่าหยวนเข้าไปสู่ความวุ่นวายนี้หยวนชิงหลิงเปลี่ยนชุดเป็นกระโปรงผ้าไหมยาวสีน้ำเงิน ปักลายดอกทับทิม สวมเสื้อคลุมกันลมที่ทำผ้าต่วนเนื้อดี ด้วยทักษะอันเชี่ยวชาญของลวี่หยา นางทำมวยเมฆาลอยอย่างประณีต ถัดไปสองก้าวแม่นมฉีนำเตาอุ่นมือสีเงินอันเล็กมาให้เพราะต้องเข้าวังจึงไม่อาจไปแบบหน้าสดไร้การประทินโฉมได้ ดังนั้นแม่นมฉีจึงแต่งหน้าอ่อน ๆ ให้นาง วาดคิ้วโก่งดั่งคันศร ริมฝีปากแต่งแต้มชาดแดง การแต่งหน้าอย่างเบาบางเช่นนี้ ดูดึงดูดเสน่ห์ผู้คนขึ้นมา งดงามน่าชมยิ่ง
หยวนชิงหลิงยื่นมืออกไปดึงแขนเสื้อของมู่หรูกงกงเบา ๆ พร้อมเอ่ยกระซิบถามว่า “กงกง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคดีของฉู่หมิงชุ่ยหรือไม่?”มู่หรูกงกงกล่าวตอบ “พระชายา พระองค์อย่าได้ทรงกังวลใจไปเลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ฝ่าบาทย่อมต้องถามความคิดเห็นพระองค์ก่อน ถ้าหากพระองค์คัดค้านอย่างรุนแรง ฝ่าบาทย่อมต้องไตร่ตรองพ่ะย่ะค่ะ”คำพูดพวกนี้ยิ่งทำให้หยวนชิงหลิงกังวลใจกว่าเดิมเสียอีกเรื่องอะไรกันที่ต้องถามความคิดเห็นของนางก่อน? เรื่องราชการบ้านเมืองคงมิใช่ นอกเสียจากเรื่องในจวนเสียมากกว่าเรื่องในจวน ถ้าถามนางแล้ว นางต้องคัดค้านอย่างรุนแรง และก็คงจะเป็นเรื่องรับชายารองมาเพิ่มเป็นแน่หยวนชิงหลิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เรื่องนี้อุตส่าห์เงียบไปนานแล้วมิใช่หรือ? แถมฉู่หมิงหยางเองก็เพิ่งแต่งออกไป เพิ่งจะได้พักหายใจหายคอ ตอนนี้จะเอาอีกแล้วหรือนี่?อาหารมื้อนี้เกรงว่าจะกินไม่ลงเสียแล้วหลังจากเข้าวังแล้ว มู่หรูกงกงก็พานางไปยังพระตำหนักอวิ้นหลงพระตำหนักอวิ้นหลงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระราชวัง ติดกับตำหนักบูรพาด้านข้างของพระตำหนักอวิ้นหลงคือ พระที่นั่งอวิ้นหลง เป็นประทับที่ของฮ่องเต้ในฤดูหนาวพระตำหนั
อาหารที่ได้ยกขึ้นบนโต๊ะเสวยล้วนเป็นอาหาที่ดูเรียบง่าย ธรรมดาที่ชาวบ้านกินกันทั่วไป ไม่ได้เลิศหรูอลังการในแบบของราชวงศ์ และจัดเป็นถ้วยเล็ก ๆ อย่างประณีตอาหารห้าจานซุปอีกหนึ่งถ้วยมีไอร้อนกรุ่นลอยขึ้นมาจักรพรรดิหมิงหยวนไม่ตรัสสิ่งใด หยวนชิงหลิงเองก็ย่อมไม่พูดอะไรด้วยเช่นกัน มองดูนางกำนัลที่อยู่ข้าง ๆยกอาหารมาให้ จักรพรรดิหมิงหยวนตรัสว่ายกตะเกียบได้ นางจึงเริ่มกินเพราะรู้สึกไม่สบายใจ จึงกินได้ไม่มากสักเท่าไหร่แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เสวยพระกระยาหารกับจักรพรรดิหมิงหยวน แต่หยวนชิงหลิงก็ยังค่อนข้างระมัดระวัง และไม่กล้าที่จะกินมากเกินไป ในทางกลับกัน เมื่อเทียบกับครั้งก่อนนั้น ยังดูท่าทางผ่อนคลายกว่านี้มากนางแอบยิ้มอย่างขมขื่นในใจ นางไม่อยากรู้หรือสนใจอะไรอีกแล้วจักรพรรดิหมิงหยวนชินกับการเสวยแบบไม่พูดคุยกับใคร เพราะว่าเขามักเสวยอยู่คนเดียวเสมอ จึงไม่มีใครร่วมสนทนาด้วยอาหารห้าอย่างกินเกือบหมดแล้ว ทั้งสองคนเองกินกันไม่ได้เยอะสักเท่าไหร่ และเดิมทีอาหารพวกนี้ก็ไม่ได้แพงมากมาย แต่มันดูงดงามประณีตเป็นพิเศษ มีซุปเหลืออยู่เล็กน้อย จักรพรรดิหมิงหยวนจึงประทานให้มู่หรูกงกงมู่หรูกงกงข
จักรพรรดิหมิงหยวนหัวเราะเย้ยหยัน "ฆ่าตัวตายรึ? ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่ เรื่องราวภายในเป็นอย่างไร ข้ารู้หมดแล้ว ฉู่หมิงชุ่ยสารภาพในคุก โดยบอกว่ามหาเสนาบดีฉู่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังและเจ้าห้าฆ่านาง ไม่อนุญาตให้นางขึ้นศาล เพราะเขากลัวว่านางจะสารภาพให้การไปถึงมหาเสนาบดีฉู่”หยวนชิงหลิงกำชายแขนเสื้อด้วยมือทั้งสองไว้แน่น จนปลายนิ้วซีดขาว "เสด็จพ่อ พระองค์ทรงเชื่อเช่นนั้นหรือเพคะ? พระองค์ทรงเชื่อจริง ๆ หรือว่ามหาเสนาบดีฉู่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง?”"จะเชื่อหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่อง สำหรับคำสารภาพของฉู่หมิงชุ่ยนั้นก็อีกเรื่องเช่นกัน เอามาพูดรวมกันไม่ได้ ไม่ว่าฉู่หมิงชุ่ยจะพูดอะไร แต่การที่เจ้าห้าฆ่านางนั้นเป็นความจริง"หยวนชิงหลิงจ้องมองจักรพรรดิหมิงหยวนโดยตรง ในใจนางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วฝ่าบาทรู้ถึงความตั้งใจของเจ้าห้า และเขายังเชื่อว่ามหาเสนาบดีไม่ได้เป็นผู้บงการ แต่เขาต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อบีบบังคับนางหรือ เจ้าห้าให้ทำในสิ่งที่พวกเขาทั้งคู่ไม่อยากทำนางสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดต่อไปว่า "เสด็จพ่อ เจ้าห้าคือโอรสของพระองค์ เขาจะเป็นฆาตกรหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพระองค์เช่นกัน แต่ลูกสะใภ้มั่นใจมากว่าสิ