แชร์

บทที่ 569

ผู้แต่ง: จูน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-10-29 19:42:56
แต่ทว่าการที่นางมาเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้สำคัญกว่าศักดิ์ศรีของนาง

ต้องการพบอย่างนั้นสินะ

นางจึงให้อาซื่อพาแขกไปยังห้องโถงต้อนรับ และสั่งอาซื่อไม่ให้พูดอะไรกับนางก่อนทั้งสิ้น

นางและหยวนหยงอี้เข้าไปกินอะไรง่าย ๆ รองท้องด้วยกันสักหน่อย พอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง จึงได้ถามหยวนหยงอี้ว่า “เจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่?”

“ไปสิเพคะ ข้าจะไปกับท่าน ผู้หญิงคนนั้นจัดการได้ยากนัก ชอบแสดงเสแสร้งทำเป็นน่าสงสาร เกรงว่าท่านอาจตกหลุมพรางนางได้” หยวนหยงอี้กล่าว

หยวนชิงหลิงกล่าวเรียบเฉยและเย็นชาว่า “ต่อให้นางคุกเข่าร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าข้า ข้าก็จะไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อย”

เรื่องของหมานเอ๋อร์สะกิดนิสัยดั้งเดิมในโลกก่อนของนาง ตัวตนของนางเคยเป็นเช่นนั้นจริง และนางพบว่าที่แท้จริงนางไม่เหมาะกับสถานที่แห่งนี้เลย

นางต้องจิตใจเข้มแข็ง และเย็นชามากพอที่จะทนต่อคมหอกคมดาบ และอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามา

ฉู่หมิงชุ่ยรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงและหยวนหยงอี้เดินเข้ามา นางเห็นยวนหยงอี้ก็รู้สึกแปลกใจบ้างเล็กน้อย “เจ้าทำไมถึงอยู่ที่นี่?”

”ข้ามาเยี่ยมพี่หญิงฉู่หวางเจ้าค่ะ” หยวนหยงอี้ย่อกายทำคว
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อเรื่องนี้บน Application

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 570

    เมื่อฉู่หมิงชุ่ยเห็นนางตอบตกลงอย่างง่ายดาย ก็อดเงยหน้าขึ้นถามด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “เจ้าน่าจะบอกว่าไม่อนุญาตให้พบนางข้าหลวงสี่? เจ้าไม่น่าจะมีจิตใจที่ดีอะไรเช่นนี้”แววตาหยวนชิงหลิงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “แม่เจ้าใกล้จะตายอยู่แล้ว เจ้ายังคิดสงสัยในท่าทีของข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”ฉู่หมิงชุ่ยหันไปรอบ ๆ อย่างเยือกเย็น และพูดกับอาซื่ออย่างเย็นชาว่า “เจ้าไปด้านหน้านำทาง”อาซื่อแค่นหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่าทำเหมือนข้าเป็นบ่าวรับใช้ ข้าไม่ใช่บ่าวรับใช้ของใคร เก็บท่าทางสูงส่งของเจ้าซะ”ฉู่หมิงชุ่ยโกรธจัด นางย่อมรู้ว่าอาซื่อคือใคร ในวันนั้นที่จวนอ๋องฉีที่มีการทะเลาะกัน อาซื่อก็อยู่ที่นั่นด้วยนางกลั้นหายใจและกล่าวว่า “รบกวนคุณหนูซื่อนำทางด้วย”อาซื่อก็ข่มใจ ซ่อนหมัดเล็ก ๆ ของนางที่อยากต่อยหน้าคนอย่างกระสับกระส่าย กลัวตัวเองจะทนไม่ไหวคุมมือไม่อยู่ ซัดหมัดเข้าสันจมูกนั่นไปสักทีอาซื่อพาฉู่หมิงชุ่ยมาถึงห้องของนางข้าหลวงสี่ ฉู่หมิงชุ่ยได้กลิ่นยาต้มก็แอบขมวดคิ้วขึ้นมา เมื่ออาซื่อพานางไปถึงข้างเตียง เห็นแม่นมฉีเฝ้านางข้าหลวงสี่ที่กำลังจะตายอยู่บนเตียงนั้น นางก็ตกใจเป็นอันมาก“นาง...เกิดอันใดข

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 571

    “เจ้า...” ฉู่หมิงชุ่ยข่มใจไว้ และพูดอย่างใจเย็น “ท่านตั้งใจทำให้ยุ่งยากใช่ไหม?” “ใช่!” อ๋องฉีมองใบหน้าโกรธเกรี้ยวเย็นชาของนาง ความโกรธในใจก็พวยพุ่งออกมา “ข้าทำอะไรให้เจ้าลำบากอย่างนั้นรึ? พวกเจ้าคนตระกูลฉู่ยังกลัวคนอื่นทำให้ลำบากอีกหรือ? พวกเจ้ามีเรื่องอะไรลำบากถึงต้องมาหาข้า มาเอาป้ายเข้าวังของข้า ยังไงใต้หล้านี้เป็นของตระกูลฉู่อยู่แล้ว”ฉู่หมิงชุ่ยโกรธเสียจนขอบตาแดง ปากสั่นไปหมด “ท่านจะทะเลาะกับข้าต่อหน้าคนอื่นแบบนี้เช่นนั้นหรือ?”กู้ซือกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะเดินหน้าถอยหลังอย่างไรดี ท่าทางเหล้านี้จะเป็นพิษเสียแล้วคิดดูแล้ว เขาอาจต้องรีบออกไป จึงลุกขึ้นและบอกว่ามีธุระบางอย่างต้องไปจัดการ และก็รีบวิ่งออกไปในทันทีอ๋องฉีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคงเห็นข้าเป็นแค่คนนอก ทะเลาะกันต่อหน้าคนนอก ยังมีอะไรต้องอับอายอีก อย่างไรเสียหน้าข้าก็ไม่จำเป็นอยู่แล้ว”ฉู่หมิงชุ่ยทั้งโกรธทั้งน้อยใจ นางกำหมัดแน่นกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าไม่น่าแต่งกับท่านเลยจริง ๆ”คำนี้แทงใจดำอ๋องฉีเข้าอย่างจังเขาลุกขึ้นยืนขึ้นมาทันที แววตาเต็มไปด้วยไฟแห่งโทสะ “ในที่สุดเจ้าก็พูดออกมาจนได้ ตั้งแต่แรก เจ้าไ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 572

    เมื่อนางกลับมาถึงที่หน้าประตูใหญ่ของจวนด้วยความอ่อนล้า แค่เห็นเกี้ยวของท่านย่าทวดหยุดอยู่ที่หน้าประตู ความขุ่นเคืองในใจของนาง ยิ่งได้เห็นใบหน้าของท่านย่าทวดตอนนี้ นางมีความสุขมากเหลือเกิน นางร้องไห้คุกเข่าต่อหน้าฮูหยินอาวุโส และกล่าวว่า “ท่านย่าทวด ท่านกลับมาให้ความเป็นธรรมแล้ว ถ้าท่านมาช้ากว่านี้อีกสักเล็กน้อย เกรงว่าคงไม่ทันแล้ว” นี่เป็นระเบียงทางเข้า แม้ว่าจะไม่มีใครเข้ามาที่นี่ แต่ฮูหยินอาวุโสไม่ชอบที่นางลืมตัวเสียกริยาเช่นนี้เป็นอย่างมาก ทันใดนั้นใบหน้าอ่อนโยนของนางก็ดูเย็นชาขึ้น นางกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ลุกขึ้น เข้าไปข้างในกับข้า”พูดจบก็มีหญิงรับใช้เฒ่ามาช่วยประคองและเดินตรงเข้าไปฉู่หมิงชุ่ยรู้ว่าตัวเองได้เผลอทำตัวเสียมารยาทไปแล้ว จึงลุกขึ้นแล้วเช็ดน้ำตา และเห็นท่านพ่อที่ถูกขับไล่ออกมายืนอยู่ข้างหลังด้วยท่าทางลนลานนางโศกเศร้า และพูดเสียงสะอื้นว่า “ท่านพ่อ”นายท่านฉู่พูดเสียงเบา “อย่าร้องไห้เลย เข้าไปเถอะ ท่านย่าทวดเจ้าต้องจัดการให้พวกเราได้แน่”มหาเสนาบดีฉู่รอจนฮูหยินอาวุโสมาถึงเมื่อเกี้ยวของฮูหยินอาวุโสมาถึงด้านนอก ก็มีคนเข้ามารายงานเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาลืมตาขึ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 573

    วันนี้นางขัดใจพ่อสามี ต้องถือโอกาสตอนที่เหล่าไท่ไท่ยังอยู่ ใช้เรื่องนี้ให้เหล่าไท่ไท่ออกคำสั่งเสีย นางไม่ยอมให้ใครทำให้นางลำบากหรอก ทางที่ดีให้เหล่าไท่ไท่จัดการให้นางให้เสร็จในรวดเดียว เท่านี้ก็ฆ่านางข้าหลวงสี่ได้สำเร็จแล้วนางข้าหลวงสี่ไม่ตาย นางจะกลายเป็นหายนะในไม่ช้าก็เร็วแน่แววตาของฮูหยินอาวุโสสูงสุดมีความโหดร้ายปรากฏขึ้น ความใจดีมีเมตตาที่เพิ่งมาถึงจวนนั้นได้จางหายไปในทันที นางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว คนปากเสีย ข้าจะไปสั่งสอนนางด้วยตัวเอง จะไม่ยอมให้เจ้าถูกพูดนินทาเหลวไหลเป็นแน่”มหาเสนาบดีฉู่ค่อย ๆ ถามออกมาอย่างช้า ๆ “ท่านแม่ ท่านจะไปสั่งสอนใครหรือ? นางข้าหลวงสี่อย่างนั้นรึ?”ฮูหยินอาวุโสสูงสุดที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันกลับมามองเขา สีหน้าดูไม่ค่อยพอใจนัก “ทำไมรึ? ข้าสั่งสอนไม่ได้”มหาเสนาบดีฉู่ส่ายหน้าเพียงเล็กน้อย เหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ และกล่าวว่า “ท่านมีสิทธิ์อะไร? ด้วยสังขารที่ใกล้จะลงโลงของท่านอย่างนั้นหรือ? ยังมีใครกล้าข้ามหัวข้าให้ท่านไปสั่งสอนนางด้วยงั้นรึ?”ฮูหยินอาวุโสแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยแม้แต่น้อย และเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าพูดว่าอะไ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 574

    ทันทีที่คำนั้นดังออกมา ทุกอย่างในที่นี้ต่างเงียบสงัด แม้กระทั้งเสียงร้องไห้ขอวิงวอนต่างก็ล้วนเงียบหายไปในทันทีฮูหยินอาวุโสโกรธจนลุกขึ้นยืน และกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้นแม้แต่แม่ของเจ้าก็จะไล่ไปด้วยใช่หรือไม่? วันนี้ถ้าเจ้าทำร้ายคนในห้องโถงนี้แม้แต่คนเดียว ข้าจะตายต่อหน้าเจ้า ให้เจ้าถูกตราหน้าว่าเป็นลูกอกตัญญู”มหาเสนาบดีฉู่มองนาง และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เดิมทีข้าคิดจะเรียกให้คนส่งท่านกลับอารามชีเยว่เหม่ย แต่ข้าอยากให้ท่านเห็นที่นี่ เห็นคนตระกูลฉู่ของข้าที่ถูกท่านตามใจจนเสียนิสัยไปหมดแล้ว ดูพวกคนที่อยู่ข้างล่างนั่น ยังมีคนที่มีประโยชน์อีกหรือไม่? ท่านตายแล้ว และข้าตายไปแล้ว คนพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเนื้อบนเขียง เมื่อถึงเวลานั้นแล้วท่านก็คงไม่ทันได้เห็น และข้าเองก็เช่นนั้น”ฮูหยินอาวุโสพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ดังนั้นข้าถึงได้แนะนำเจ้าอยู่เสมอ ในตอนที่เจ้ายังมีอำนาจ ให้เอากลุ่มคนในมือเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาซะ ตราบใดที่ตระกูลฉู่ของข้าเติบโตได้ดังต้นไม้ใหญ่ แผ่กิ่งก้านไพศาล หยั่งรากลึกลงไปทอดยาวได้ไกลพันลี้ ยังจะมีใครกล้าทำอะไรพวกเราอีก? ตอนนี้เรื่องยังไม่เกิดขึ้น เจ้าก็จะลงมีดก

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 575

    เขาปกป้องคนตระกูลฉู่มาโดยตลอด อย่างเช่นครั้งของฮุ่ยติ่งโฮว เขาก็ยังเหลือทางรอดชีวิตให้แก่เขาแต่ครั้งนั้นเอง เมื่อรู้ว่าพฤติกรรมของฮุ่ยติ่งโฮวเป็นอย่างไร เขาตกใจเป็นอย่างมากนี่คือพฤติกรรมของคนตระกูลฉู่หรือ?ใครมอบความกล้าให้พวกเขา? พวกเขาก้าวมาถึงจุดที่กระทำผิดอย่างเหิมเกริมเช่นนี้ได้อย่างไรประเด็นสำคัญที่สุดคือ ครั้งนั้นคนที่ฮุ่ยติ่งโฮวลักพาตัวคือพระชายาฉู่ หลังจากรู้ว่าคน ๆ นั้นคือพระชายาฉู่ แต่เขาไม่มีแม้แต่ความหวาดกลัวนั่นกล่าวได้ว่า พวกเขาไม่ได้เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตา ในใจของพวกเขาตระกูลฉู่สูงศักดิ์กว่าราชวงศ์แล้วเรื่องในห้องโถงชั้นในวันนี้ สิ่งที่พวกเขาพูดก็แสดงให้เห็นถึงจุดนี้ พวกเขาไม่สนใจการปรากฏตัวของอ๋องฉี และคำพูดขัดขืนดั่งการก่อกบฏเหล่านั้นพูดไม่ผิดจริง ๆตระกูลฉู่ไม่ได้ยโสโอหัง แต่ตระกูลฉู่อยากจะก่อกบฏแย่งชิงราชบังลังก์ในใจทุกคนล้วนมีความมั่นใจเช่นนี้ คิดว่าไม่ใช่ไม่สามารถชิงบังลังก์มาได้ แต่มันอยู่ที่ว่าพวกเขาอยากเอามันมาหรือไม่ต่างหากไท่ซ่างหวงทรงรับสั่งลงมา ตรัสว่าจะลงโทษคนที่ปล่อยข่าวลือออกไปอย่างหนัก ประหารคนในจวนของเขา แต่การเคลื่อนไหวของไท่ซ่างหวงก็คือ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 576

    ฮูหยินอาวุโสฟื้นขึ้นหลังได้ยินพระบัญชานั้น ริมฝีปากนางสั่นอยู่สักพัก ดวงตาฝ้าฟางนั้นฉายแววหวาดกลัว “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ตระกูลฉู่ตกต่ำถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน?”“ท่านหญิง” หญิงรับใช้ที่อยู่ข้างกายนางมานานหลายปีอย่างถงโม่โม่ถอนหายใจ และกล่าวว่า “เกรงว่านายท่านเองก็ไม่ได้ทำผิด หลายปีมานี้ตระกูลฉู่ทำเกินไปมากจริง ๆ”“นี่คือสิ่งที่พวกเราสมควรได้รับ” ฮูหยินอาวุโสสุงสุดยังไม่ยอมรับความจริง นางกล่าวอย่างเจ็บปวดและสับสนว่า “พวกเราสกุลฉู่ ลูกสาวข้าแต่งงานเข้าวังเป็นถึงฮองเฮา หลานสาวข้าก็แต่งงานเข้าวังเป็นฮองเฮา ตอนนี้พวกเราตระกูลฉู่เป็นครอบครัวที่ทรงอำนาจอันดับหนึ่งของเป่ยถัง ไทเฮาสกุลซูยังไม่คู่ควรสวมรองเท้าให้พวกเราด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้ ไท่ซางหวงเพื่อผู้พิทักษ์แผ่นดินที่ตายไปแล้ว เพื่อนางบ่าวแพศยาผู้นั้น ถึงกับต้องสั่งประหารฮูหยินฉู่ของเรา? ข้าไม่เข้าใจ ข้ารับไม่ได้ เจ้า...เจ้ารีบมาประคองข้าออกไป ข้าจะเข้าวัง ข้าจะไปขอเข้าเฝ้าไท่ซ่างหวง”“ท่านหญิง ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลยนะเจ้าคะ เรื่องมาถึงจุดจบแล้ว ฮูหยินใหญ่ก็ได้ถูกประหารไปแล้ว พวกเรากลับอารามชีเยว่เหมยเถอะเจ้าค่ะ” ถงโม่โม่

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 577

    หยวนชิงหลิงย่อตัวทำความเคารพ เป็นการทักทายมหาเสนาบดีฉู่ที่มาขอเข้าเยี่ยมมหาเสนาบดีฉู่เดินเข้าไปและปิดประตูนางข้าหลวงสี่ที่นั่งอยู่บนเตียงเห็นเส้นผมของเขาเป็นสีขาวโพล่นก็รู้สึกตกตะลึง และรู้สึกปวดใจเล็กน้อย “ท่าน...”เขารีบเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง นั่งมองนางเงียบ ๆเขายิ้มและยื่นมือออกไปลูบผมนาง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนว่า “เห็นเจ้านั่งอยู่ที่นี่ รู้สึกไม่เลวเลยจริง ๆ”นางข้าหลวงสี่พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ใช่แล้ว การมีชีวิตอยู่ไม่เลวจริง ๆ”“ข้ากับเจ้าล้วนแก่ชราแล้ว มีชีวิตได้อีกไม่นาน ไม่ควรเสียเวลา” เขาพูดและหยิบของชิ้นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ และวางไว้ตรงหน้านางนางข้าหลวงสี่มองดูอย่างตั้งใจ นั่นก็คือกระเป๋าเงินปักลายที่ขึ้นราแล้วนางก็หัวเราะออกมา “ท่านยังเก็บไว้อีกหรือ?””ใช่แล้ว ด้ายรุ่ยไปบ้าง ล้างฆ่าเชื้อราแล้ว แต่ก็ล้างไม่ออก แต่สิ่งนี้ในตอนที่ข้ายังเยาว์วัยนั้นเป็นสิ่งที่มีค่า จึงต้องเก็บมันไว้ข้างกาย คิดดูแล้ว วันหลังข้าก็จะเอามันโลงไปเป็นของติดตัวไปโลกหน้าของข้า” เขาเขย่ามันเบา ๆ และเก็บกลับลงไปในแขนเสื้อนางข้าหลวงสี่ขมวดคิ้ว “เอาไปเป็นของติดตัวไปโลก

บทล่าสุด

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1015

    ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1014

    อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1013

    เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1012

    พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ ​​หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1011

    มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1010

    หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1009

    ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1008

    หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1007

    เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม

DMCA.com Protection Status