สองวันมานี้นางข้าหลวงสี่และอาซื่อยุ่งมาก คนในจวนมีไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรอองค์ชายน้อยเกิดมาแล้ว ต้องวุ่นวายมากแน่ จวนอ๋องต้องการคนที่พึ่ๅงพาน่าเชื่อถือได้ต้องมีวรยุทธ์มีศิลปะป้องกันตัวสักเล็กน้อยดีที่สุด นี่คือสิ่งที่อาซื่อแนะนำ เพราะตอนที่พระชายาเดินทางเข้าออก ทางที่ดีที่คือสาวใช้ข้างกายต้องมีวรยุทธ์ดังนั้น รุ่งขึ้นยามเช้า อาซื่อจึงพานางข้าหลวงสี่ไปตลาดฝั่งตะวันตกด้วยกันพวกนางไม่ได้พูดถึงจวนอ๋องฉู่ พูดแค่ว่าต้องการสาวใช้ฝีมือไม่เลวสักสองสามคนมารับใช้ฮูหยิน จ่ายราคาดี ดังนั้นผ่านมาทุกวันคนก็ยังมาเยอะ แต่ก็ยังไม่เหมาะสมสักคน ความต้องการของอาซื่อสูงและเยอะ สามารถรับสิบกระบวนท่าจากนางได้ คือรับสามกระบวนท่าก็น้อยแล้ววันนี้เพิงร้านได้ถูกตั้งขึ้น สาวน้อยก็เข้ามาถาม อาซื่อโบกมือ “เจ้าช่างเถอะ พวกเราหาเอง”นางไม่เชื่อสาวน้อย นิสัยคำพูดคำจาเหมือนไม่ได้รับการสอน มองไม่ออกว่าจริงไหมสาวน้อยยิ้มแล้วยิ้มอีก “ท่านประกาศที่นี้สองสามวันแล้ว ยังหาไม่ได้แม้แต่คนเดียว ไม่มองคนแคระในมือดูล่ะ? คนร่างผอมอ้วนจะเป็นอย่างไรล้วนดีเยี่ยม ใช้ได้ทั้งนั้น สองสิ่งต่างกันล้วนดีเยี่ยมเหมือนกัน
ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ทั้งสองคนก็ผ่านไปร้อยกระบวนท่าและไม่มีใครเสียเปรียบเพียงแค่หอบหายใจเล็กน้อยเท่านั้นอาซื่อหล่นลงมา ยิ้มแล้วกล่าวว่า "ไม่ต้องสู้แล้ว ผ่านแล้ว" หมานเอ๋อร์จัดไรผมอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยอย่างแปลกใจ "จริงรึ?"นางข้าหลวงมองอาซื่ออย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง "เหตุใดไม่ถามความเป็นมาสักหน่อยล่ะ? ครอบครัวล่ะ? ชื่อแซ่ล่ะ?" อาซื่อยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น "ข้าเพียงแค่รับผิดชอบด้านวรยุทธ ส่วนด้านความเป็นมาชื่อแซ่ก็เป็นท่านกูกู"นางข้าหลวงมองหมานเอ๋อร์แล้วเอ่ยถาม "เจ้าชื่ออะไร? อายุเท่าไร? เป็นคนที่ไหน? แล้วมาเมื่อหลวงนานเท่าไรแล้ว?"หมานเอ๋อร์กล่าว "ข้าชื่อกู๋หมานเอ๋อร์เจ้าค่ะ มาที่เมืองหลวงได้สามปีแล้ว ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี ก่อนหน้านี้ข้าเป็นสาวใช้ในตระกูลหนึ่งและเพิ่งออกมา""เป็นคนที่ไหน?" นางข้าหลวงถามต่อหมานเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจับแขนเสื้อแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า "คนหนานเจียง" "เดิมทีอยู่กับตระกูลไหน?" นางข้าหลวงเอ่ยถาม"จวนฉู่" หมานเอ๋อร์กล่าวนางข้าหลวงตกตะลึง "ตระกูลมหาเสนาบดีฉู่?""ใช่เจ้าค่ะ" หมานเอ๋อร์กังวลเล็กน้อยนางข้าหลวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ตระกูลฉู่ดูแลจวน
ซูยี่มองอาซื่อ "ข้าไม่เข้าใจเคยเห็นแล้วทำไมถึงหน้าไม่อายล่ะ?""เห็นได้ชัดว่าเจ้าเห็นนางหน้าตาดีจึงบอกว่าเคยพบ คนไม่ได้ความเช่นเจ้าข้าเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว" อาซื่อหมุนตัวแล้วเดินจากไปซูยี่ตกตะลึง จึงดึงอาซื่อแล้วดันนางเข้าเข้าไปในมุม ยกมือข้างหนึ่งขึ้นดันกำแพงไว้ทำให้อาซื่อตกอยู่ภายใต้เงาที่ดูทรงพลังและแข็งแกร่งของตนเอง ใบหน้าใหญ่ขยับเข้าไปใกล้ แล้วเอ่ยอย่างเอาจริงเอาจัง "เจ้ากล่าวมาให้ชัด ใครบ้าตัณหา?"อาซื่อตกใจจนกระโดดออก แล้วรีบผลักฝ่ามือใส่หน้าเขา "เจ้าคิดจะทำอะไร?"มือที่ผลักออกไปของนางนิ้วมือก็ได้จิ้มเข้าไปในดวงตาของซูยี่ ซูยี่จึงยื่นมือออกไปปัดในทันที ส่วนอาซื่อก็ยื่นมือออกไปปัดสุดท้ายทั้งสองคนจึงทำให้เกิดเป็นอารมณ์ขึ้นซูยี่โมโหมาก "เจ้ามันงี่เง่าจริง ๆ อย่าคิดว่าข้าจะกลัวพวกเจ้าแซ่หยวน ที่เจ้ามักจะบอกว่าข้าโง่ข้าก็ไม่เคยถือสาเจ้า มาตอนนี้บอกว่าข้าบ้าตัณหาแล้วยังมาจิ้มตาข้าอีก"อาซื่อเอ่ยอย่างโมโห "ข้าเพียงเอ่ยหลอกล้อเจ้าเล่น เจ้านี้มันสมองหมูไม่รู้หรือไง?""ข้าไม่ใช่สมองหมู""ถ้าเจ้าไม่ใช่สมองหมูแล้วจะเป็นใครเล่า?" อาซื่อข่มอารมณ์ แล้วกล่าวอย่างโมโหซูยี่เห็นท่าทางน
หมานเอ๋อร์ส่ายหน้า "ไม่ ไม่เจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่กลัวว่าจวนอ๋องจะมีกฎที่เข้มงวด แล้วข้าจะทำผิดพลาด""ดังนั้นข้าถึงจะสอนกฎระเบียบให้เจ้าแล้ว เจ้าก็จงจำไว้ให้ดี" นางข้าหลวงสี่กล่าวหมานเอ๋อร์ทำเสียงร้องอย่างตกตะลึงในทุกวันพระชายาจี้จะมาวันละครั้ง ลากร่างที่ป่วยหนักมา หยวนชิงหลิงจะรักษานางก่อนจึงจะไปที่จวนอ๋องหวยนี่ก็ผ่านไปหลายวัน ไม่จำเป็นต้องไปที่จวนอ๋องหวยแล้ว จึงทำเพียงตั้งใจให้การรักษาอาการของพระชายาจี้เท่านั้นทางด้านอวี่เหวินห่าวก็ได้ตัดสินคดีออกมาแล้ว เมืองถิงเจียงได้ลงโทษขุนนางไปเป็นจํานวนมาก และประหารคนไปสามคน หนึ่งในนั้นคือ โม่เหวินลูกพี่ลูกน้องของพระชายาจี้ดังนั้นวันนี้เมื่อพระชายาจี้มาถึง ร่างทั้งร่างก็สั่นเทารักษาอาการป่วยมาหลายวันพระชายาจี้ไม่เคยกล่าวอะไรออกมา นอกเสียจากถามเกี่ยวกับอาการป่วยส่วนหยวนชิงหลิงเองก็ไม่ได้กล่าวอะไรมากเช่นกัน โดยปกติแล้วแค่ให้ยาแลวก็กลับไปพักผ่อนก่อน รอจนให้ยาเรียบร้อยจึงจะออกมาอีกครั้ง การสนทนาระหว่างทั้งสองนอกจากถามอาการก้แทบจะเป็นศูนย์แต่ว่าวันนี้ขณะให้ยาพระชายาจี้ก็มองหยวนชิงหลิงแล้วเอ่ยขึ้นอย่างคาดไม่ถึงว่า "ข้าสามารถเอ่ยกับเจ้าสั
หยวนชิงหลิงเริ่มฟังอย่างใจลอย แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงเคียดแค้นของนาง เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองนางในฐานะที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง พระชายาจี้ก็ไม่ทางเลือกอื่นจริง ๆบางทีอาจจะมีทางเลือกอื่น แต่ถ้าเลือกเส้นทางอื่นสิ่งที่รอคอยนางอยู่ก็คือ ชีวิตที่เงียบเหงาหมดหวังแต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลสำหรับจิตใจที่โหดร้ายของคนคนหนึ่งดังนั้นถึงแม้ว่านางจะต้องเผชิญกับชะตาชีวิตที่ขมขื่นแค่ไหน นางก็ไม่สามารถทำให้เกิดเสียงสะท้อนได้หยวนชิงหลิงกล่าว "มนุษย์ต่างจากเดรัจฉานตรงที่คนเราสามารถคิดพิจารณาได้ รู้ว่าเรื่องไหนควรทำ และเรื่องไหนไม่ควรทำ ทุกคนล้วนมีเส้นขอบเขต ไม่ว่ากับผู้ใด ท่านก็เคยทำเรื่องเลวร้ายมากมาย นี่เป็นสิ่งที่ท่านเต็มใจที่จะทำ ไม่มีผู้ใดบีบบังคับท่าน ถึงต่อให้อ๋องจี้เลวร้ายกว่าท่านเป็นร้อยเท่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีความผิด" "ข้าผิด และข้าไม่เคยบอกว่าข้าไม่ผิด" พระชายาจี้ดูเหมือนตื่นเต้นเล็กน้อย "ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าบอกถึงความผิดของข้า ข้ารู้ว่าการป่วยนี้เป็นกรรมตามสนองข้า""ดังนั้น ท่านต้องการจะกล่าวอะไร?" หยวนชิงหลิงมองนางด้วยนัยน์ตาเรียบเฉยพระชายาจี้ดูเหมือนไม่มีกำลังใจขึ้นมา "สุดท้ายก
หยวนชิงหลิงกล่าวจบก็จากไป เธอไม่ต้องการพูดจาไร้สาระกับนางมากขนาดนั้นที่จริงแล้วคำพูดเหล่านี้ของพระชายาจี้ ทำให้เธอสูญเสียตัวตนไปเล็กน้อย หรือกล่าวได้ว่าสูญเสียสติปัญญาความจริงนางรู้ว่าฉู่หมิงหยางไม่สามารถแต่งเข้าจวนอ๋องฉู่ได้ การวิเคราะห์ของนางเหมือนกับหยวนชิงหลิงทั้งหมดแต่ว่าเมื่อนางรู้เรื่องของฉู่หมิงหยางภายในใจของนางแอบยินดี นางรีบตะเกียดตะกายปีนขึ้นสู่เปลวไฟแห่งความหวัง ดังนั้นนางจึงไม่ลังเลที่จะเผยความอ่อนแอของตนเองออกมา และคิดว่าจะได้รับความกังวลใจที่เหมือนกันออกจากปากของหยวนชิงหลิง และที่หยวนชิงหลิงกล่าวมานั้นถูก นางกำลังหาเสียงสะท้อนนางตกอยู่ในสภาพเช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะเศร้าใจฉู่หมิงหยางอดอาหารประท้วงมาเป็นวันที่สามแล้วเริ่มตั้งแต่วันนั้นวันที่อ๋องฉู่อวี่เหวินห่าวมาก่อเรื่องวุ่นวาย นางก็ตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานความดื้อรั้นหัวแข็งนี้ใครก็จนปัญญาที่เอ่ยวาจาโน้มน้าวได้นางเคยเห็นท่าทางที่เขาปกป้องหยวนชิงหลิง รักใคร่หยวนชิงหลิง นางเคยเห็นสายตาที่เขามองหยวนชิงหลิง ท่าทางที่ไม่มีชีวิตชีวานั้นเปล่งประกายด้วยความสุขแทบจะล่องลอยไป นางเคยเห็นเขาตื่นเต้นจนอดใจไม่ไหวที่จะจั
นางอดอาหารสามวันมาแล้ว และก็ทนหิวมาสามวัน นอกจากดื่มน้ำนางก็ไม่ได้ทานสิ่งใดเลยจริง ๆในชีวิตนี้นางไม่เคยลองพยายามช่วงชิงเพื่อสิ่งใด เพื่อตัวเองเช่นนี้แม้กระทั่งช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ ที่อวี่เหวินห่าวแขวนนางบนคานบ้านแล้วมัดแน่นจนหายใจไม่ออก หรือแม้กระทั่งทำให้นางโดยโบยสามสิบไม้ตามกฎของตระกูล ภายในหัวใจของนางก็ยังรักเพียงเขามากกว่าเดิมไม่ได้ลดน้อยลงเลยเพราะชั่วพริบตาเดียวที่เขาโกรธอย่างบ้าคลั่ง จนอยากจะทำให้นางถึงแก่ชีวิตนั้นเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง ราวกับว่านางเห็นตนเองตอนที่ยกแส้ฟาดสาวใช้ ที่แท้พวกเขาก็เป็นคนประเภทเดียวกันฮูหยินใหญ่ฉู่คอยเฝ้าอยู่ข้างเตียงของนางเอ่ยขึ้นพร้อมน้ำตาที่ร่วงหล่น "เจ้าบอกมาสิ เหตุใดเจ้าเด็กคนนี้ถึงได้ดื้อรั้นนัก? อวี่เหวินห่าวนั่นมีอะไรดี? เจ้าถึงจะต้องแต่งงานกับเขาเพื่อท่านปู่ของเจ้าโกรธ แต่งงานกับอ๋องจี้ไม่ดีหรือ? พระชายาจี้มองดูแล้วว่านางเป็นคนอายุสั้น ถ้าเจ้าแต่งเข้าไปไม่นานก็จะได้กลายเป็นพระชายาเอก แล้วทำไมเจ้าจะต้องมาทนทุกข์ทรมานกับความโกรธของอ๋องฉู่ด้วยเล่า? ตอนนี้หยวนชิงหลิงกำลังตั้งครรภ์ ถ้าหากนางให้กำเนิดบุตรชายตำแหน่งของนางก็จะมั่นคงราวกับภูเขา
”ทาสคนเดี่ยวจะนับเป็นอะไรได้?" ฉู่หมิงหยางกล่าวอย่างเคียดแค้น "ท่านปู่ทำลายความสุขทั้งชีวิตของข้าเพื่อทาสคนเดียว เช่นนี้ท่านสามารถทนได้หรือ? ท่านไม่สงสารลูกสาวของท่านบ้างหรือ?"ฮูหยินใหญ่ฉู่เอ่ยปลอบโยน "เช่นนั้นก็ได้ เจ้าไปทานอะไรก่อนสักหน่อยเถอะ แล้วแม่จะไปพบนาง" “ไม่ ท่านหามันก่อนแล้วข้าจะยอมทานทันที" ฉู่หมิงหยางเอ่ยทั้งน้ำตาฮูหยินใหญ่ฉู่ลำบากใจเป็นอย่างมากนางข้าหลวงสี่เป็นคนของวังหลวง เคยปรนนิบัติไท่ซ่างหวง และมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับท่านมหาเสนาบดีฉู่ ถ้าจะไปหานางจะเหมาะสมหรือไม่?การข่มขู่นางนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่บางทีเงินอาจจะซื้อนางได้แล้วให้นางเอ่ยสักสองสามประโยค ก็ไม่น่าจะมีอะไรมากเกินไปหลอกนะ?นางข้าหลวงสี่ได้รับเทียบเชิญของฮูหยินใหญ่ฉู่ก็รู้สึกแปลกใจอย่างมาก ฮูหยินใหญ่ฉู่เชิญนางไปดื่มชาที่หย่าเซวียนในเมือง ในเทียบเชิญไม่ได้ระบุว่าเรื่องอะไร เพียงต้องการให้นางไปพบเท่านั้นนางข้าหลวงสี่แจ้งเรื่องนี้ให้หยวนชิงหลิงทราบหยวนชิงหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจในทันที นางยิ้มแล้วกล่าวว่า "เกรงว่าคงจะเป็นการขอร้องท่านให้ฉู่หมิงหยางแล้ว" นางข้าหลวงสี่ขมวดคิ้ว "ไม่ไปแล