นัยน์ตาของฉู่หมิงชุ่ยแฝงความประชดประชันมากขึ้น มุมปากก็ยกขึ้น ดูท่าทางเหยียดหยามเป็นอย่างมากในที่สุดอ๋องฉีกับเอ่ยขึ้น "พระชายาเหนื่อยแล้ว กลับตำหนักไปพักเถอะ"ฉู่หมิงชุ่ยมองหน้าเขาแล้วส่ายหน้ายิ้ม ๆ แล้วกล่าวว่า "คนของราชวงศ์จิตใจเหี้ยมเกรียมเป็นที่สุด วันนี้ข้าได้เห็นชัดแล้ว"แล้วนางก็เดินจากไปอย่างหยิ่งยโสฮูหยินเฒ่าหยวนรู้ว่าตอนนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยแล้วจึงกล่าวว่า "ท่านอ๋องเยี่ยงนั้นข้าตอนขอตัวก่อนแล้ว""เหล่าไท่ไท่เดินทางปลอดภัย" อ๋องฉียกมือประสานกลางอกคนของตระกูลหยวนจากไปแล้ว เพียงแลกเปลี่ยนกันผ่านแววตากับหยวนหย่งอี้ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจามากมายการเหยียบย่ำซ้ำเติมคนที่หมดอำนาจ หรือทำเรื่องลำพองใจอวดฉลาด ตระกูลหยวนจะไม่ทำอาซื่อก็จากไปแล้วหยวนหย่งอี้มองอ๋องฉีแล้วกล่าวอย่างจริงจัง "เรื่องราววันนี้เป็นท่านที่ผิด ท่านไม่ควรให้คนตีข้าโดยที่ยังไม่ถามความเป็นมา จากชื่อเสียงท่านเป็นสามีของข้า ท่านควรจะปกป้องข้า ไม่ใช่ร่วมมือกับผู้อื่นมารังแกข้า ข้าหวังว่าถ้าเกิดเรื่องราวทำนองเดียวกันอีกครั้ง ท่านจะให้โอกาสข้าอธิบายสักครั้ง”อ๋องฉีมองหน้ากลมเหมือนไข่ที่จริงจังแล้วไม่สามารถท
คนของจวนอ๋องจี้มาที่จวนอ๋องฉู่อีกครั้งเพียงแต่ว่าครั้งนี้ผู้ที่มาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพระชายาจี้ที่มาด้วยตนเองหลังจากที่นางลงจากเกี้ยว ก็ใช้เกี้ยวคนแบกยกเข้ามาโดยตรงนางไม่ได้มาด้วยตนเอง แต่ได้เรียกให้องค์หญิงใหญ่แห่งเจิ้นกั๋วมาด้วยกันองค์หญิงใหญ่แห่งเจิ้นกั๋วคือป้าใหญ่ของจักรพรรดิหมิงหยวน และเป็นพี่สาวของไท่ซ่างหวง ตอนนี้อายุเจ็ดสิบกว่าชันษาแล้วถ้าพระชายาจี้มาเพียงลำพัง หยวนชิงหลิงจะต้องหลบเลี่ยงไม่พบอีกแน่แต่ว่าเมื่อองค์หญิงใหญ่แห่งเจิ้นกั๋วเสด็จมาด้วยจึงยังต้องให้เกียรตินางอยู่ หลังจากข่าวคราวการตั้งครรภ์แพร่สะพัดออกไป องค์หญิงใหญ่แห่งเจิ้นกั๋วก็ให้คนส่งของขวัญมาแสดงความยินดีในทันทีหยวนชิงหลิงสวมหน้ากากอนามัยออกมา ตอนนี้นางตั้งครรภ์อยู่จึงไม่อาจที่จะสะเพร่าได้องค์หญิงใหญ่แห่งเจิ้นกั๋วสวมชุดผ้าไหมลวดลายกลุ่มดอกไม้สีดำ บนลำคอมีลูกประคำอยู่หนึ่งพวงเม็ดเล็ก ๆ กลมเกลี้ยงมีลวดลาย ใบหน้าอ่อนโยนมีเมตตาและอบอุ่นหยวนชิงหลิงคารวะนางก่อน องค์หญิงใหญ่ก็เข้ามากุมมือนางไว้อมยิ้ม และมองดูเธออย่างละเอียดแล้วกล่าว "ไม่ต้องมากพิธีแล้ว ตัวเจ้าหนักแล้ว"หยวนชิงหลิงขอบคุณจากนั้นก็หันไปม
นางมองไปที่พระชายาจี้ "เรื่องนี้คนที่เจ้าส่งมากลับไปแล้วไม่ได้แจ้งรึ? เจ้าควรแจ้งให้ข้ารู้ เช่นนั้นเมื่อข้ามาจะได้เตรียมยามาให้ด้วย แต่ข้าไม่รู้ยาบำรุงครรภ์ก็ยังมีอยู่"น้ำเสียงในตอนท้ายมีการตำหนิเบา ๆ ครรภ์ของพระชายาฉู่ครั้งนี้ ทุกคนในราชวงศ์ทั้งหมดล้วนกังวลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะองค์หญิงใหญ่แห่งเจิ้นกั๋วภายในใจรู้สึกเป็นกังวลอย่างมากพระชายาจี้กล่าวขอโทษ "บ่าวที่ข้าส่งมานั้นทำงานไม่ได้ความนัก กลับไปก็ไม่ยอมแจ้งสิ่งใด มาในวันนี้จึงไม่ได้จัดเตรียมสิ่งใดมาด้วย"หยวนชิงหลิงเอ่ย "อย่าได้กังวล ก่อนหน้านี้พระชายาจี้ได้ให้คนส่งเจ้าแม่กวนอิมให้ลูกมาให้ข้าแล้ว มันมีชื่อเสียงและล้ำค่านักข้าชื่นชอบมันมาก"นางข้าหลวงสี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "ใช่เพคะ ถ้าหากเจ้าแม่กวนอิมองค์นั้นไม่มีรอยร้าว เช่นนั้นคงเป็นของชั้นดีจริง ๆ"องค์หญิงใหญ่แห่งเจิ้นกั๋วได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย "เจ้าแม่กวนอิมให้ลูก? เจ้าแม่กวนอิมให้ลูกจะมีรอยร้าวได้อย่างไร? บ่าวรับใช้หกล้มรึ?""เป็นบ่าวในจวนที่มือเท้าไม่ระวัง หม่อมฉันลงโทษไปเรียบร้อยแล้วเพคะ" พระชายาจี้กล่าวอย่างเฉยชาองค์หญิงใหญ่แห่งเจิ้นกั๋วกล่าวด้วยความโมโห
หยวนชิงหลิงมองไปที่พระชายาจี้แล้วกล่าวขอโทษ "พระชายาจี้ไม่ใช่ว่าข้าไม่เต็มใจที่จะมอบยาให้ท่าน แต่ยานั้นไม่เพียงพอที่จะแบ่งให้ทั้งสองคน""มิเป็นไร" ดวงตาทั้งสองข้างของพระชายาจี้นั้นลึกล้ำเป็นพิเศษ "ไม่ทราบว่าใบสั่งยานั้นสามารถที่จะให้ข้าได้หรือไม่? ข้าจะให้คนกลั่นมัน"หืม มาเพื่อสูตรยารึ? คาดเดาผิดจุดประสงค์เสียแล้วโชคดีที่หยวนชิงหลิงเตรียมตัวไว้ก่อนแล้วจึงเอ่ยว่า "ลวี่หยา เจ้าไปนำสมุดเล่มที่อยู่บนโต๊ะมา"ลวี่หยารับคำสั่งแล้วจากไปไม่นานลวี่หยาก็นำสมุดมาให้ หยวนชิงหลิงกล่าว "เอาสมุดให้พระชายาจี้"พระชายาจี้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก มอบให้ง่ายดายเช่นนี้เลยรึ?"นี่คือใบสั่งยา?" พระชายาจี้เอ่ยถาม"ใช่แล้ว ข้ากลั่นยาตามสูตรนี้ทั้งหมด" หยวนชิงหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้มหลังจากที่พระชายาจี้รับมา ก็เปิดอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทันใดนั้นก็ตกตะลึงจนตาค้าง “นี่มันอะไรกัน?"สิ่งที่เขียนอยู่ในนี้นางอ่านไม่ออกแม้แต่คำเดียว มันคล้ายกับสัญลักษณ์หยวนชิงหลิงกล่าว "นี่คือใบสั่งยา""นี่ไม่ใช่ใบสั่งยา" พระชายาจี้ปิดสมุดลง "พระชายาฉู่เพียงแค่เอ่ยว่าไม่ให้ตรง ๆ ไม่จำเป็นต้องทำแบบส่งเดชเยี่ยงนี้"องค์ห
"ถ้ากล่าวว่าไม่มีผลกระทบใด ๆ เลยก็เป็นไปไม่ได้เพคะ คงต้องระวังตัวเองให้มากหน่อย" หยวนชิงหลิงต้องปิดประตูหลังให้แน่นหนาก่อน เพื่อที่องค์หญิงใหญ่จะได้ไม่กลับมาส่งเสริมอีกครั้งคนแก่นั้นเกลี้ยกล่อมได้ง่ายที่สุด และพระชายาจี้นั้นก็ถนัดที่จะแสดงละครให้คนดูนักองค์หญิงใหญ่ถอนหายใจออกมา "เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ ส่วนเจ้าหกก็มีวาสนาเป็นของตนเอง"หยวนชิงหลิงลองหยั่งเชิงเอ่ยถาม "เป็นเสด็จแม่หลู่ที่บอกท่านว่าหม่อมฉันมียาหรือเพคะ?""วันก่อนคุยกันเรื่อยเปื่อยแล้วเอ่ยถึงอาการป่วยของเจ้าหก นางก็กล่าวว่าโชคดีที่เจ้ามียา ไม่เช่นนั้นนางคงต้องเป็นคนผมขาวส่งคนผมดำแล้ว ข้าเล่าถึงเรื่องของพระชายาจี้ ถึงอย่างไรพระชายาจี้ก็ป่วยเพราะไปดูแลเจ้าหก หลู่เฟยจึงกล่าวว่าจะยอมให้ยา แต่ว่าหลู่เฟยขอค่ายาครั้งละหนึ่งพันตำลึงเงิน พระชายาจี้ซื้อไปสองครั้ง หลังจากนั้นอาจจะมีเงินไม่พอแล้ว จึงขอให้ข้ามากับนางด้วย แล้วให้ถามเจ้าให้เอายาให้ หรือไม่ก็ใบสั่งยามา"หยวนชิงหลิงตกตะลึง "หลู่เฟยเอายาจากไหนให้พระชายาจี้กันเพคะ? ยาที่หม่อมฉันให้เพียงพอแค่ขนาดของอ๋องหวยเท่านั้น"องค์หญิงใหญ่ส่ายหน้า "เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้ แต่ข้า
หยวนชิงหลิงกล่าว “ข้าขอตรวจท่านอ๋องหน่อยนะ”อ๋องหวยรีบยกมือห้ามไว้ “มิได้ ได้ยินเสด็จแม่บอกว่าพี่สะใภ้ห้าตั้งครรภ์อยู่ อย่าเข้าใกล้ข้าเลยพ่ะย่ะค่ะ”หยวนชิงหลิงพูด “ไม่เป็นไร โรคของท่านไม่สามารถแพร่เชื้อได้แล้ว เพียงแค่ตรวจเท่านั้นเอง”อ๋องหวยจึงพูดได้แค่ว่า “งั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ไปหลังฉากบังลมเถอะ”ในห้องโถงมีฉากบังลมกางกั้นไว้อยู่ หยวนชิงหลิงเข้าไปตรวจให้เขาแล้วได้ยินเสียงในปอดที่ดังมากขึ้นอย่างชัดเจนอาการป่วยของเขาหนักกว่าเมื่อก่อนซะอีกหลังจากเขากับหยวนชิงหลิงออกมาจากหลังฉากบังลม นางได้เอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องไม่ได้กินยาตรงเวลาทุกวันหรือเพคะ?”“กินสิ ทุกวันข้ากินยา”หยวนชิงหลิงเอ่ยถามต่อ “หนึ่งวันสามครั้ง? ครั้งละแปดเม็ด?”หลู่เฟยยิ้มและกล่าวว่า “หนึ่งวันหนึ่งครั้ง ยาพวกนี้กินมากไม่ดี ตอนนี้เขาเองก็ดีขึ้นมากแล้ว และอีกทั้งหลังจากที่เขาลดยาแล้ว เขาบอกว่ารู้สึกมีแรงขึ้นมาก”หยวนชิงหลิงที่ได้ยินก็โกรธ อย่างไรก็ตามนางก็คือผู้อาวุโสกว่า จึงทำได้แค่ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ลดยามานานเท่าไหร่แล้วเพคะ? ลดยาไปมากน้อยแค่ไหน? ลดยาชนิดไหนบ้าง?”องค์หญิงใหญ่ฉางกล่าว “ขายให้พระชายาจี้ไปแล้ว”
หลู่เฟยมองนางอย่างขุ่นเคืองและพูดอย่างไม่พอใจว่า “ดูเจ้าสิ จะโกรธขนาดนั้นเชียวหรือ? เจ้าจำไม่ได้แล้วรึว่านางสังให้มือสังหารมาทำร้ายเจ้า...ไม่สิ อีกนิดเดียวก็เกือบจะฆ่าเจ้าแล้ว? เจ้ายังสงสารไว้ชีวิตนางอีก นางเกลียดเจ้าจะเป็นจะตาย เจ้ามันพระโพธิสัตว์จอมปลอมจริง ๆ”หยวนชิงหลิงโกรธจนกระทืบเท้า “ใครสงสารชีวิตนางกัน? ข้าสงสารชีวิตของอ๋องหวย ท่านยังจำได้ไหมว่าข้าเคยบอกท่านว่าไม่สามารถหยุดยาได้? ตอนนี้ท่านกลับให้อ๋องหวยหยุดยาด้วยตัวเอง ท่านจะทำร้ายเขาจนตาย”หลู่เฟยตกใจ และรีบกล่าวว่า “ไม่นะ เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าเขาดีขึ้นมากแล้ว? เจ้าบอกว่าไม่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้แล้ว ไม่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้แล้วก็หายดีแล้วน่ะสิ ใช่ไหม?”หยวนชิงหลิงพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เขาแค่ไม่สามารถแพร่เชื้อ แต่ไม่ได้หมายความว่าอาการป่วยจะหายดี เขาไม่สามารถหยุดยาได้ ท่านให้เขาหยุดยาไปมากน้อยแค่ไหน? หยุดยาไปแล้วกี่วัน? พูดตามตรงนะเพคะ!”หลู่เฟยตื่นตระหนก “ไม่กี่วัน ประมาณสามสี่วันหรือสี่ห้าวัน ก็ไม่ใช่ไม่กินเลย แค่กินน้อยลง คงไม่เป็นอันใดใช่ไหม?”“ท่านว่าไงนะ? ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้เขาไออีกแล้ว? ไม่รู้สึกหรื
อวี่เหวินห่าวเองไม่ได้คัดค้านนาง แต่ว่าเขาก็ยังรู้สึกไม่วางใจ แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะใส่ชุดเกราะออกจากบ้านทุกวัน เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดีเขาคิดแล้วคิดอีก “เอาเป็นว่า ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าไท่ซ่างหวง ไปขอยืมตัวองค์รักษ์เงาสักสองคน มาแอบปกป้องเจ้าอย่างลับ ๆ”หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ต้องถึงขนาดนี้เลยรึ?”“ต้องขนาดนี้ถึงจะดี!” ท่าทางอวี่เหวินห่าวจริงจังมากหยวนชิงหลิงยักไหล่ “ตามที่ท่านชอบเถอะ”นางเชื่อในตัวอาซื่อมาก และอีกทั้งยังมีซูยี่อยู่อีกด้วยมิใช่หรือ?อวี่เหวินห่าวไม่เชื่อในตัวอาซื่อและซูยี่เลยสักนิด เพราะว่าพวกเขาทั้งคู่เป็นคนประเภทเดียวกัน ประมาทเลินเล่อ ไม่ค่อยระมัดระวังและยังเชื่อคนง่าย มักตกเป็นเป้าดึงดูดได้ง่ายแต่องค์รักษ์เงาไม่เหมือนกันทั้งสองเอนตัวนอนลง ฝ่ามือใหญ่ของอวี่เหวินห่าวลูบลงบนท้องน้อยของนาง และถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าคิดว่าเขาทำอะไรอยู่ข้างในรึ?”“นอนหลับอยู่สิ!” หยวนชิงหลิงบอกเขา“งั้นคุยกันสักครู่แล้วค่อยนอนเถอะ” อวี่เหวินห่าวพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ “เจ้าง่วงมากไหม?”ไม่รู้ว่าเขาจะมีสักวันหนึ่ง ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่สามารถพูดคุยได้แล้วหรือไม่?หยวนชิงหลิงพลิกตัวมามอ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม