หยวนชิงหลิงกล่าว “ข้าขอตรวจท่านอ๋องหน่อยนะ”อ๋องหวยรีบยกมือห้ามไว้ “มิได้ ได้ยินเสด็จแม่บอกว่าพี่สะใภ้ห้าตั้งครรภ์อยู่ อย่าเข้าใกล้ข้าเลยพ่ะย่ะค่ะ”หยวนชิงหลิงพูด “ไม่เป็นไร โรคของท่านไม่สามารถแพร่เชื้อได้แล้ว เพียงแค่ตรวจเท่านั้นเอง”อ๋องหวยจึงพูดได้แค่ว่า “งั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ไปหลังฉากบังลมเถอะ”ในห้องโถงมีฉากบังลมกางกั้นไว้อยู่ หยวนชิงหลิงเข้าไปตรวจให้เขาแล้วได้ยินเสียงในปอดที่ดังมากขึ้นอย่างชัดเจนอาการป่วยของเขาหนักกว่าเมื่อก่อนซะอีกหลังจากเขากับหยวนชิงหลิงออกมาจากหลังฉากบังลม นางได้เอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องไม่ได้กินยาตรงเวลาทุกวันหรือเพคะ?”“กินสิ ทุกวันข้ากินยา”หยวนชิงหลิงเอ่ยถามต่อ “หนึ่งวันสามครั้ง? ครั้งละแปดเม็ด?”หลู่เฟยยิ้มและกล่าวว่า “หนึ่งวันหนึ่งครั้ง ยาพวกนี้กินมากไม่ดี ตอนนี้เขาเองก็ดีขึ้นมากแล้ว และอีกทั้งหลังจากที่เขาลดยาแล้ว เขาบอกว่ารู้สึกมีแรงขึ้นมาก”หยวนชิงหลิงที่ได้ยินก็โกรธ อย่างไรก็ตามนางก็คือผู้อาวุโสกว่า จึงทำได้แค่ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ลดยามานานเท่าไหร่แล้วเพคะ? ลดยาไปมากน้อยแค่ไหน? ลดยาชนิดไหนบ้าง?”องค์หญิงใหญ่ฉางกล่าว “ขายให้พระชายาจี้ไปแล้ว”
หลู่เฟยมองนางอย่างขุ่นเคืองและพูดอย่างไม่พอใจว่า “ดูเจ้าสิ จะโกรธขนาดนั้นเชียวหรือ? เจ้าจำไม่ได้แล้วรึว่านางสังให้มือสังหารมาทำร้ายเจ้า...ไม่สิ อีกนิดเดียวก็เกือบจะฆ่าเจ้าแล้ว? เจ้ายังสงสารไว้ชีวิตนางอีก นางเกลียดเจ้าจะเป็นจะตาย เจ้ามันพระโพธิสัตว์จอมปลอมจริง ๆ”หยวนชิงหลิงโกรธจนกระทืบเท้า “ใครสงสารชีวิตนางกัน? ข้าสงสารชีวิตของอ๋องหวย ท่านยังจำได้ไหมว่าข้าเคยบอกท่านว่าไม่สามารถหยุดยาได้? ตอนนี้ท่านกลับให้อ๋องหวยหยุดยาด้วยตัวเอง ท่านจะทำร้ายเขาจนตาย”หลู่เฟยตกใจ และรีบกล่าวว่า “ไม่นะ เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าเขาดีขึ้นมากแล้ว? เจ้าบอกว่าไม่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้แล้ว ไม่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้แล้วก็หายดีแล้วน่ะสิ ใช่ไหม?”หยวนชิงหลิงพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เขาแค่ไม่สามารถแพร่เชื้อ แต่ไม่ได้หมายความว่าอาการป่วยจะหายดี เขาไม่สามารถหยุดยาได้ ท่านให้เขาหยุดยาไปมากน้อยแค่ไหน? หยุดยาไปแล้วกี่วัน? พูดตามตรงนะเพคะ!”หลู่เฟยตื่นตระหนก “ไม่กี่วัน ประมาณสามสี่วันหรือสี่ห้าวัน ก็ไม่ใช่ไม่กินเลย แค่กินน้อยลง คงไม่เป็นอันใดใช่ไหม?”“ท่านว่าไงนะ? ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้เขาไออีกแล้ว? ไม่รู้สึกหรื
อวี่เหวินห่าวเองไม่ได้คัดค้านนาง แต่ว่าเขาก็ยังรู้สึกไม่วางใจ แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะใส่ชุดเกราะออกจากบ้านทุกวัน เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดีเขาคิดแล้วคิดอีก “เอาเป็นว่า ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าไท่ซ่างหวง ไปขอยืมตัวองค์รักษ์เงาสักสองคน มาแอบปกป้องเจ้าอย่างลับ ๆ”หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ต้องถึงขนาดนี้เลยรึ?”“ต้องขนาดนี้ถึงจะดี!” ท่าทางอวี่เหวินห่าวจริงจังมากหยวนชิงหลิงยักไหล่ “ตามที่ท่านชอบเถอะ”นางเชื่อในตัวอาซื่อมาก และอีกทั้งยังมีซูยี่อยู่อีกด้วยมิใช่หรือ?อวี่เหวินห่าวไม่เชื่อในตัวอาซื่อและซูยี่เลยสักนิด เพราะว่าพวกเขาทั้งคู่เป็นคนประเภทเดียวกัน ประมาทเลินเล่อ ไม่ค่อยระมัดระวังและยังเชื่อคนง่าย มักตกเป็นเป้าดึงดูดได้ง่ายแต่องค์รักษ์เงาไม่เหมือนกันทั้งสองเอนตัวนอนลง ฝ่ามือใหญ่ของอวี่เหวินห่าวลูบลงบนท้องน้อยของนาง และถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าคิดว่าเขาทำอะไรอยู่ข้างในรึ?”“นอนหลับอยู่สิ!” หยวนชิงหลิงบอกเขา“งั้นคุยกันสักครู่แล้วค่อยนอนเถอะ” อวี่เหวินห่าวพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ “เจ้าง่วงมากไหม?”ไม่รู้ว่าเขาจะมีสักวันหนึ่ง ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่สามารถพูดคุยได้แล้วหรือไม่?หยวนชิงหลิงพลิกตัวมามอ
อวี่เหวินห่าวก็เอ่ยถามนางด้วยว่า “แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าหวังว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว?”หยวนชิงหลิงที่ไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็กล่าวว่า “ข้าหวังว่าจะเป็นลูกชาย”“โอ้? เมื่อก่อนเจ้าเองก็เคยบอกไม่ใช่รึว่าชอบลูกสาว?”หยวนชิงหลิงกล่าวว่า “ตราบใดที่ข้าคลอดออกมา ลูกชายหรือลูกสาวข้าก็ชอบทั้งนั้น เป็นพ่อแม่ไม่สามารถรักได้น้อยลงหรือรักมากกว่าเพราะเพศของลูกหรอก”“งั้นทำไมเจ้าถึงบอกว่าหวังจะเป็นลูกชายกัน?” อวี่เหวินห่าวคิดว่าคงไม่ต่างกับเหตุผลของเขาแน่ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆหยวนชิงหลิงกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า "เพราะในยุคสมัยนี้ไม่ค่อยเป็นมิตรกับสตรีนัก ชีวิตสตรีอยู่ในมือของบุรุษ มีสตรีจํานวนน้อยคนนักที่จะต่อต้านได้ เว้นแต่ว่าท่านจะแข็งแกร่งพอ แต่ในยุคนี้ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงมีอำนาจโดยง่าย”อวี่เหวินห่าวตกใจเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของนาง"ความสุขของสตรีส่วนใหญ่ก็วัดจากการแต่งงาน เมื่อแต่งดี สามีก็มีอํานาจ มีผู้คนมากมายที่อิจฉา ไม่สนใจว่านางจะเผชิญหน้ากับพ่อสามีหรือแม่สามีหรือไม่ การแย่งชิงความโปรดปรานของอนุภรรยา พวกนางให้กําเนิดบุตร ดูแลเรื่องครอบครัว ปรนนิบัติแม่สามี จัดให้สามีแต่งพร
วันถัดมาพอมีเวลาว่างอวี่เหวินห่าวก็รีบเข้าวังไปถวายพระพรไท่ซ่างหวงทันทีจะมาขอให้คนช่วย จะมามือเปล่าไม่ได้ เหตุผลข้อนี้เขาเข้าใจดีเขาไปวนรอบถนนคนเดินมารอบเพราะเป็นเวลากระชั้นจริง ๆ จึงซื้อพวกใบยาสูบชั้นดีมาหลายก้อนแล้วจึงรีบเข้าวังไปไท่ซ่างหวงเหลือบตามองก้อนใบยาสูบชั้นดีเหล่านั้น แล้วเรียกถามฉางกงกงถึงยาสูบที่เซียวเหยากงให้เขามา เมื่อเอาทั้งสองชนิดมาเปรียบเทียบกันแล้ว ใบยาสูบชั้นดีเหล่านั้นก็กลายเป็นตะกรันไปในทันทีอวี่เหวินห่าวพูดอย่างไร้ยางอายว่า “ใบยาสูบไม่สามารถแยกได้ด้วยแค่ดูสี ดมกลิ่น หรือดูด้วยสายตาได้เพียงอย่างเดียวพ่ะย่ะค่ะ”“งั้นดูยังไง?” ไท่ซ่างหวงเอ่ยถาม“ดูด้วยน้ำใจพ่ะย่ะค่ะ” อวี่เหวินห่าวก้าวไปข้างหน้าโค้งตัวลงห่อไหล่ประจบ “เสด็จปู่ดูสิ นี่เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของหลาน ยังไงเสด็จปู่ก็ต้องรับไว้ อีกทั้งเหล่าหยวนบอกว่า คนแก่สูบมากไม่ดี ถ้าใบยาสูบไม่ดี พระองค์ก็จะสูบน้อยลง ทำให้สุขภาพพลามัยเสด็จปู่ก็จะดีขึ้น””ไม่ต้องมาอ้อมค้อมเลย พูดมา มีเรื่องอะไร?” ไท่ซ่างหวงถามอย่างเย็นชา ตอนนี้ได้แต่งภรรยาแล้วเปลี่ยนไปดูสบาย ๆ ไม่ได้จริงจังขึ้นมา แต่ว่าก็ดีกว่าเมื่อก่อน อายุยั
หยวนชิงหลิงคิดว่าการเข้าไปพัวพันแบบนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหา จึงเอ่ยว่า “เข้ามาเถอะ มีอะไรครั้งนี้พูดให้ชัดเจน”หลังจากที่นางกลับมาถึงบ้าน นางก็กินกรดโฟลิกและสวมหน้ากากอนามัยเพื่อไปพบพระชายาจี้“เจ้าบอกให้คนของเจ้าออกไปก่อน ข้าจะคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว” พระชายาจี้มองในห้องมีอาซื่อและนางข้าหลวงสี่ยืนอยู่จึงพูดเสียงเบา“ไม่ พวกเราไม่ออกไป” อาซื่อกล่าวพระชายาจี้มองหยวนชิงหลิงและยิ้มอย่างเฉยชา “หรือว่าเจ้าสงสัยว่าข้าในตอนนี้ยังจะสามารถทำร้ายเจ้าอีกหรือ? ข้าเดินไม่ได้มานานแล้ว”“อาซื่อ โมโม่ พวกท่านรออยู่ที่หน้าประตู” หยวนชิงหลิงกล่าว“พระชายา!” นางข้าหลวงสี่คิดว่าระวังไว้ก่อนเป็นการดีที่สุด“ไม่เป็นไรหรอก ไปเถอะ” หยวนชิงหลิงพูดอย่างเรียบเฉย “เรียกตัวเป่าเข้ามา”ได้ยินว่าให้ตัวเป่ามา นางข้าหลวงสี่ถึงได้วางใจได้สุนัขศักดิ์สิทธิ์อย่างตัวเป่าถูกจูงเข้ามานอนหมอบอยู่ข้างขาหยวนชิงหลิง และจ้องมองพระชายาจี้อย่างจริงจังพระชายาจี้ยิ้มและกล่าวว่า “เตรียมพร้อมเสียขนาดนี้ ก็คู่ควรกับข้าแล้ว”“ต้องคู่ควรอยู่แล้ว ข้าเคยประสบพบเจอการวิธีการลงมือของพระชายาจี้ วันนี้พวกเราไม่ต้องพูดพล่ามทําเพลง แล้
อวี่เหวินห่าวกลัวว่านางจะไปคุยกับพระชายาจี้อีก จึงกล่าวย้ำอีกครั้งว่า “ถ้านางยังมาอีก เจ้าก็ไม่อยากไปพบเจอ สรุปก็คือ พวกเราไม่ไปยุ่งกับคนของจวนอ๋องจี้” เขาคิดดีแล้ว ไม่สนว่าเสด็จพ่อตอนนี้จะคิดเห็นอย่างไรหรือมีความคาดหวังอย่างไรกับพี่ใหญ่ เขาไม่สนทั้งนั้นตอนนี้เรื่องที่ควรใส่ใจที่สุดคือเรื่องนางกับลูก เรื่องอื่น ๆ ไว้รอให้นางคลอดลูกออกมาก่อนค่อยว่ากัน“ข้ารู้แล้ว ใช่แล้ว เรื่องคดีเป็นอย่างไรบ้าง?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถามอวี่เหวินห่าวช่วงนี้ออกไปแต่เช้ากลับมาก็ค่ำมืด เพื่อพยายามหาเบาะแสเรื่องเมืองถิงเจียง สำหรับคดีนี้แม้ว่าเขาจะเพิ่งพักฟื้นหายดีจากเรื่องในวัง คนของสำนักผู้ตรวจการล้วนจัดการได้อย่างไม่มีผิดพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถังหยาง ช่วงนี้หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา คิดว่าต้องยุ่งอยู่กับเรื่องนี้เป็นแน่อวี่เหวินห่าวกล่าวว่า “ความผิดของโม่เหวินได้รับการตัดสินไปแล้ว แต่หัวจะขาดหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเขาจะยอมสารภาพออกมาว่ามีกี่คน”“โม่เหวินคนนี้ เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระชายาจี้ใช่หรือไม่?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม“ใช่แล้ว ข้าได้สืบสวนแล้ว หลายปีมานี้ โม่เหวินได้ทำการส่งเงินสินบนไปให้จวนอ๋องจี้ไ
หยวนชิงหลิงเลี่ยงที่จะไม่พบนาง จึงให้นางข้าหลวงสี่ไปพูดแทนนางนางข้าหลวงสี่ออกไปพูดกับพระชายาจี้ว่า “พระชายาจี้ วันนี้พระชายาฉู่รู้สึกง่วงนอนเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงไม่สะดวกที่จะออกมาพบท่าน จึงเรียกฝากให้บ่าวออกมาบอกกับท่านว่า นางมิอาจช่วยได้ ขอให้ท่านโปรดรักษาตัว ไม่ต้องมาที่นี่อีกเจ้าค่ะ”พระชายาจี้ค่อย ๆ ขมวดคิ้ว และยิ้มออกมาอย่างเย็นเยือก “เมื่อคนตกต่ำย่อมมีคนเหยียบซ้ำ ไม่คิดเลยว่าพระชายาฉู่เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ฝากไปบอกนางด้วย ไม่เป็นมิตรก็เป็นศัตรู คนใกล้ตายไม่มีอะไรต้องกลัว ขอให้นางระวังตัวด้วย”พูดจบ นางก็ลากสังขารอันเหนื่อยล้าของนางจากไปนางข้าหลวงสี่นำคำพูดฝากมาให้หยวนชิงหลิงฟัง และกล่าวด้วยความกังวลใจว่า “พระชายา พระชายาจี้คนนี้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ถ้านางรู้ตัวว่าตัวนางเองมาถึงทางตันแล้ว ต้องไม่มีทางปล่อยมือท่าน นางต้องลงมือจัดการท่านทุกวิถีทางแน่”หยวนชิงหลิงพูดอย่างแค้นเคือง “นางเป็นสุนัขบ้า!”ตัวเป่าไม่พอใจจึงเห่าโฮ่งเรียกหยวนชิงหลิงรีบเข้าไปปลอบ “ไม่ได้พูดถึงเจ้า อย่าโวยวายสิ”ตัวเป่าหมอบลงครางเสียงหงิงด้วยความน้อยใจหยวนชิงหลิงหยิบกล่องยาออกมาด้วยความโกรธแล้ววางล
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม