หยวนชิงหลิงที่ได้ยินคำพูดพวกนี้ ก็หันกลับไปมองเต๋อเฟยในฐานะพระสนมที่มีชื่อเสียงของวังหลัง นางต้องได้รับการศึกษาและการอบรมสั่งสอน คงไม่ตกใจกับคำพูดหยาบคายพวกนี้หรอก อันที่จริงเต๋อเฟยตกใจมากราวกับถูกฟ้าผ่า ในหัวของนางเหมือนว่างเปล่า เมื่อค่อย ๆ คิดอย่างละเอียดแล้ว นางก็โกรธจนมือสั่น ยกนิ้วชี้ซู่ผิน ริมผีปากนางสั่งด้วยความโกรธ กว่าจะเค้นคำพูดออกมาสองสามคำ “พูดจาอะไร ช่างน่าอัปยศอดสูได้ถึงเพียงนี้!”ซู่ผินยิ้มแย้มราวกับภาพลวงตา งดงามเหมือนดอกไม้ในม่านหมอก ชวนให้คนมองดูรู้สึกถึงความสวยงามไม่น้อย นางมองเต๋อเฟยและพูดต่อไป “พระนางเต๋อเฟยรู้สึกอัปยศอดสู? ท่านรู้จักคำว่าอัปยศอดสู แต่ชั่วชีวิตนี้ของท่านไม่มีอะไรเลยสักนิด ความเมตตาโปรดปรานก็แค่ความว่างเปล่า เมื่อท่านชราแล้ว ไม่รู้ว่าจะไม่เสียใจได้หรือ? ไม่แม้แต่จะสน หรือจะใส่ใจมีช่วงเวลาที่ตื่นเต้นมีชีวิตชีวาได้?”“หุบปาก ข้าบอกหุบปาก” เต๋อเฟยชี้หน้านางโกรธจนหน้าเขียว “เจ้ารีบไปตายซะ”ซู่ผินเดินไปทางผ้าแพรขาวยื่นมือไปลูบไล้มันหยวนชิงหลิงรู้สึกว่า ถึงแม้คน ๆ นี้จะเลวร้าย แต่ว่านางเลือกเอง ถ้านางรู้สึกรักอู๋ซูฮว้าแล้วเติมเต็มชีวิตของนาง นาง
เต๋อเฟยเข้มงวดก็เพื่อหวังว่านางจะได้ดิบได้ดี จึงเอ่ยเสียงสั่นเทา "ถ้าเจ้ารู้ว่าต้องเป็นแบบนี้ก็คงไม่ทำตั้งแต่แรก? ตอนนี้มีราชโองการออกมาแล้วใครจะกล้าต่อต้านราชโองการ? ชีวิตของเจ้าไม่อาจรั้งไว้ได้ แม้แต่บิดา พี่ชาย และคนในตระกูลจะไม่ต้องถูกพัวพันเพราะเจ้า เจ้าไปซะเถอะ!"ซู่ผินเอามือปิดหน้า "ไม่ ไม่เพคะ!"หยวนชิงหลิงคิดว่าตนเองไม่สามารถทนดูต่อไปได้แล้วในสายตาของนาง ความผิดซู่ผินไม่ถึงขั้นที่ต้องตายอู๋ซู่ฮว้าคือสมควรตาย อู๋ซู่ฮว้าสังหารขันทีน้อย ทำร้ายองค์ชายแปด และทั้งหมดนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับซู่ผินเธอเอ่ยถาม "ตอนอู๋ซู่ฮว้าสังหารขันทีและทำร้ายองค์ชายแปดเจ้าได้ขัดขวางหรือไม่?"ซู่ผินร่ำไห้จนแทบจะบ้าคลั่ง เมื่อได้ยินหยวนชิงหลิงเอ่ยถามนัยน์ตาของนางกลอกไปมา "ข้าขัด ข้าขัดขวาง แต่ข้าขัดขวางไว้ไม่ไหว อู๋ซู่ฮว้าเป็นผู้สังหาร เขาโหดเหี้ยม เขาเป็นคนโหดเหี้ยมตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เรื่องทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า"แต่ดวงตาที่กวาดมองไปมากลับทำให้หยวนชิงหลิงระแคะระคายหยวนชิงหลิงจ้องมองนาง "อ๋องฉู่เคยถามอู๋ซู่ฮว้า เขาบอกว่าการสังหารขันทีน้อย และทำร้ายองค์ชายแปดเป็นความต้องการของเจ้า""เข
มู่หรูกงกงนำคนเข้ามาแล้วยกซู่ผินขึ้น ซู่ผินกรีดร้องออกมาแล้วพยายามออกแรงดิ้นรนขัดขืนแต่ว่าไหนเลยจะสามารถสู้แรงของทหารองครักษ์สองคนที่ตัวใหญ่และแข็งแรงได้นางถูแแขวนคอขึ้น เสียงติดอยู่ในลำคอไม่สามารถที่จะเปล่งเสียงออกมาได้ ขาทั้งสองข้างของนางยังคงดิ้นรนไม่หยุดหยวนชิงหลิงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเห็นเพียงรองเท้าผ้าปักดิ้นเงินดิ้นทองสีขาวปักลายคู่หนึ่งกวัดแกว่งอย่างแรงอยู่ด้านหน้าราวกับว่าใช้เวลาทั้งชีวิต แต่มันก็เป็นเวลาเพียงแค่หนึ่งนาทีที่ขาคู่นั้นหยุดดิ้นรนและห้อยตกลงมาหยวนชิงหลิงโกงตัวลงแล้วอาเจียนออกมานางรู้สึกแย่มาก ๆ ไม่ว่าซู่ผินจะสมควรตามหรือไม่สมควรตาย แต่มีหนึ่งชีวิตที่ค่อย ๆ หายไปต่อหน้านาง และนางไม่มีทางที่จะไม่แยแสได้นางข้าหลวงสี่เข้ามาช่วยพยุงนางออกไป และหลังจากที่นางออกไปก็ไปนั่งพักอยู่ที่ขั้นบันไดหิน นางสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แต่กลับรู้สึกราวกับหัวใจถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งบีบไว้ทำให้นางรู้สึกหายใจไม่ออกมือของนางข้าหลวงเฉียนลูบอยู่บนหลังของนาง "พระชายาไม่จำเป็นต้องโศกเศร้า ถึงนางตายก็ไม่สาสมกับความผิดบาปที่ได้ก่อขึ้นเพคะ"หยวนชิงหลิงพบว่าปลายนิ้วทั้งหมดของนางสั่นระริก "
หยวนชิงหลิงคอยเฝ้าอยู่ข้างกายองค์ชายแปดจักรพรรดิหมิงหยวน อ๋องรุ่ย และเหลิ่งจิ้งเหยียนทั้งสามคนสนทนากันอยู่ในห้องทรงพระอักษรเป็นเวลานานกลางดึกก็มีราชโองการหนึ่งฉบับมาถึงจวนอ๋องจี้ วันคล้ายวันประสูติของไทเฮากำลังจะมาถึง จึงมีพระราชกฤษฎีกาให้อ๋องจี้ไปที่วัดฮู้กั๋วเพื่อขอพรให้ไทเฮาเป็นเวลาหนึ่งเดือน ถือศีลกินเจและสวดมนต์ราชโองการนี้ทำให้ผู้คนไม่สามารถที่จะคาดเดาเจตนาของฝ่าบาทได้ปีที่แล้ว ๆ มาก็มีการขอพรก่อนวันคล้ายวันประสูติไทเฮาเพียงแต่ส่วนใหญ่จะเป็นพระชายาชินอ๋องหรือไม่ก็พระชายารองสนมซะมากกว่า และเป็นเวลาไม่เกินสองสามวันแต่ตอนนี้กลับเป็นอ๋องจี้ต้องไปด้วยตนเองเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ๆที่แท้แล้วมีความหมายลึกซึ้งก่อนที่เหลิ่งจิ้งเหยียนจะออกจากวังหลวง เขาไปพบอวี่เหวินห่าวที่วังเฉียนคุนเหลิ่งจิ้งเหยียนบอกเรื่องที่ซ่างหวงจัดการเรื่องราวก่อนหน้านั้น อวี่เหวินห่าวไม่ได้แปลกใจ แต่ว่าการที่ให้อ๋องจี้ไปขอพรที่วัดฮู้กั่วทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย"เสด็จพ่อหมายความว่าอย่างไร? เรื่องนี้ตรวจสอบไปถึงอ๋องจี้แล้วรึ? อวี่เหวินห่าวเอ่ยถาม"ยังตรวจสอบไม่ถึงทั้งหมด ล้วนเป็นฝีมือของหลี่กงกง
หลังจากที่จักรพรรดิหมิงหยวนกับอ๋องรุ่ย และเหลิ่งจิ้งเหยียนได้สนทนากันแล้วก็มีราชโองการถึงจวนอ๋องจี้ และเขาต้องกลับไปยังห้องทรงอักษรมู่หรูกงกงโน้มน้าวให้พระองค์พักผ่อน แต่เขาส่ายหน้า "เจ้าเข้ามาคุยกับข้าเถอะ"มู่หรูกงกงรับคำแล้วเข้ามาชงชาให้ก่อน จากนั้นก็เอามือลงแล้วยืนอยู่ด้านข้างจักรพรรดิหมิงหยวนพิงอยู่บนเตียงอรหันต์ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วและดูเหมือนว่ารอยย่นบนหน้าผากจะดูลึกขึ้นอีกเล็กน้อย"เจ้าใหญ่ปีนี้สามสิบแล้วใช่หรือไม่?" จักรพรรดิหมิงหยวนค่อย ๆ ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอ่อนเพลีย"ทูลฝ่าบาท ใช่พ่ะย่ะค่ะ อ๋องจี้ปีนี้อายุสามสิบแล้ว" มู่หรูกงกงตอบจักรพรรดิหมิงหยวนตอบรับเสียงในลำคอ "วันเวลานี่ดูเหมือนจะเดินไปเร็วนัก คล้ายกับว่าเมื่อวานข้ายังมองดูพวกเขาว่าเป็นเพียงเด็กตัวไม่เล็กไม่เติบใหญ่ แต่แค่พริบตาเดียวก็รู้วิธีลงมือโหดร้ายต่อพี่น้องเสียแล้ว"มู่หรูกงกงตกใจรีบคุกเข่าลงทันที แล้วเอ่ยอย่างตื่นตระหนก "ฝ่าบาท!"จักรพรรดิหมิงหยวนยิ้มเยาะ "ที่ผ่านมาข้าไม่เคยเอ่ยใช่หรือไม่? ถึงข้าไม่เอ่ย แต่ภายในใจจะไม่รู้อยู่หรือ?"มู่หรูกงกงไม่กล้าที่จะเอ่ย"ในบรรดาบุตรชายของข้า ข้าฝากความค
ราวกับว่าสายเลือดถูกปะปน จึงทำให้ฐานะทางสังคมถูกลดค่าลง หรือการปกปักรักษาจากสวรรค์จะลดน้อยลงหยวนชิงหลิงไม่ได้ตอบคำถามของฮองเฮา ในความจริงนั้นตัวเธอเองก็รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากใกล้จะหมดสภาพแล้วฮองเฮาเห็นว่านางไม่ได้สนใจก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก แต่ฝ่าบาททรงเชื่อนาง นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดวันที่ห้าในวังหลวง อาจเพราะสวรรค์สงสารเห็นว่าหยวนชิงหลิงที่ยืนจนกระดูกใกล้จะหักแล้ว ในที่สุดสถานการณ์ขององค์ชายแปดก็เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเขาฟื้นขึ้นมาแล้วจริง ๆ เขาลืมตาขึ้น และมองหยวนชิงหลิงอยู่ตลอดหยวนชิงหลิงยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงถอยออกไปฮองเฮาโผเข้าไปกอดเขาที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจไว้ จากนั้นก็ร้องไห้ออกมานางกำนัลเข้ามาช่วยพยุงฮองเฮาออกไป และหมอหลวงก็ก้าวเข้าไป สุดท้ายก็เอ่ยกับจักรพรรดิหมิงหยวนด้วยความดีใจ "พระอาการคงที่แล้ว คงที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ"จักรพรรดิหมิงหยวนใช้ทุกคนออกไปเหลือไว้เพียงหยวนชิงหลิงให้อยู่ในตำหนักฮองเฮาไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำได้เพียงทำตามรับสั่งแล้วรออยู่ด้านนอกหัวใจของหยวนชิงหลิงเต้นระรัวเป็นอย่างมากเขารู้ว่าสุดท้ายแล้วฝ่าบาทจะต้องตรวจสอบความจริงการตรวจสอบค
หลังจากที่กินยาจื่อจินเข้าไปอีกเม็ด อาการขององค์ชายแปดก็มั่นคงขึ้น หยวนชิงหลิงชื่นชมความเก่งกาจของยาจื่อจินอีกครั้งหลังจากอาการมั่นคงขึ้น ในที่สุดคู่สามีภรรยาหยวนชิงหลิงและอวี่เหวินห่าวทั้งคู่ก็สามารถที่จะกลับจวนได้แล้วอาซื่อรออยู่ในจวนด้วยความร้อนใจ เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงกลับมาแล้วก็ไม่ถามอะไรมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นสาวใช้ที่รู้ขอบเขตผู้หนึ่งอวี่เหวินห่าวก็พักรักษาบาดแผลอยู่ในวังมาหลายวันหลังจากออกมาโดยรวมก็ไม่มีสิ่งใดร้ายแรงแล้ว ทางด้านจวนจิงจ้าวมีคนมาหลายรอบบอกว่าว่ามีเรื่องเร่งด่วน อวี่เหวินห่าวคิดว่าจะรอให้หยวนชิงหลิงดื่มยาบำรุงครรภ์ลงไปก่อนจึงจะไป แต่หยวนชิงหลิงรำคาญเขาที่ขี้บ่นจึงไล่ให้เขาไปทำงาน เมื่ออวี่เหวินห่าวเห็นภรรยาโมโหมากจึงต้องหนีบหางแล้วจากไปดูแลองค์ชายแปดคราวนี้จักรพรรดิหมิงหยวนก็ไม่ได้มีรางวัลให้ความจริงหยวนชิงหลิงก็ไม่ได้คิดว่าเป็นความดีความชอบอะไรของนาง ถึงแม้ว่าการถ่ายเลือดจะมีประโยชน์อย่างมาก แต่เลือดนั้นก็ไม่ใช่ของนางเพราะเรื่องการถ่ายเลือด อีกทั้งยังล่วงเกินฮองเฮา ดังนั้นหยวนชิงหลิงคิดว่าผลงานครั้งนี้ไม่ชื่นชมก็ช่างเถอะหลังจากอยู่ในจวนจนผ่านวันเกิ
ไม่อาจเอื้อมหลังจากที่ออกมาจากวังหลวง นางก็นอนกลางวัน แล้วก็ได้ยินนางข้าหลวงสี่เข้ามาแล้วกล่าวว่า "คนจากจวนอ๋องจี้ขอเข้าพบเพคะ""ไม่พบ!" หยวนชิงหลิงยังไม่ทันได้คิดก็ตอบปฏิเสธออกไปทันที"บอกว่าเป็นเรื่องอาการป่วยของพระชายาจี้เพคะ""นั่นก็ไม่พบ" หยวนชิงหลิงนั่งลงตัวเป่าหมอบอยู่ข้างขา แต่หูกลับตั้งขึ้นมาราวกับว่ากำลังฟังที่พวกเขาคุยกันนางข้าหลวงสี่พยักหน้าแล้วเอ่ย "ความจริงแล้วไม่ควรพบ แต่ว่าก็ต้องหาข้ออ้างเพื่อที่จะให้จากไปเพคะ""บอกว่าข้าไม่สบาย" หยวนชิงหลิงเอ่ยนางข้าหลวงสี่หัวเราะ "จะเอ่ยเยี่ยงนี้กับตัวเองได้อย่างไร ไม่ได้ อาจจะบอกว่ากำลังยุ่งอยู่กับการบำรุงรักษาร่างกาย ไม่มีเวลาว่างมาต้อนรับผู้ใดก็ได้เพคะ""มีอะไรแตกต่างกันรึ?" หยวนชิงหลิงหัวเราะแล้วเอ่ยถาม"มีเพคะ การบำรุงรักษาร่างกายไม่ใช่การป่วย เพียงแค่ต้องการที่จะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น" นางข้าหลวงค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากหยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านสบายใจก็ดี"นางมองหา "อาซื่อล่ะ?""กล่าวไว้ว่าไปจวนอ๋องฉี ได้ยินว่าพระชายารองหยวนกับพระชายาฉีตบตีกัน หลังจากนั้นอ๋องฉีก็หาคนมาตีพระชายารองหยวน พระชายาร
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม