หยวนชิงหลิงคิดว่าความเจ็บฝังใจเหล่านี้ ส่งผลต่อการมองโลกในแง่ดีของคนมากจริง ๆการกลั่นแกล้งอวี่เหวินห่าวครั้งนั้น นางรู้สึกละอายใจเหลือเกินนางข้าหลวงสี่ได้ยินว่าพรุ่งนี้จะมีแขกมาที่นี่ ในวังเองก็ประทานเนื้อมาให้ทุกวันก็น่าจะเกินพอ จึงสั่งในคนซื้อของอย่างอื่นอีกสักเล็กน้อย ทำอาหารเพิ่มอีกสักสองสามอย่างก็ไม่เป็นการเสียมารยาทแล้ววันรุ่งขึ้นยามเช้า หยวนชิงหลิงก็แต่งตัวเรียบร้อย คาดว่าฮูหยินหยวนกับพระชายารองหยวนคงมาสักประมานตอนเที่ยง จึงเรียกให้คนเตรียมอาหารให้นางกินก่อนเช้าขนาดนี้เพิ่งกินข้าวเช้าเสร็จ ได้ยินคนข้างนอกเข้ามารายงานว่า “พระชายา พระชายารองหยวนพาคนในจวนของท่านแม่ทัพใหญ่หยวนมาคารวะเจ้าค่ะ”หยวนชิงหลิงตกใจ “เช้าขนาดนี้เลยรึ? รีบเชิญไปห้องโถงด้านข้าง ข้าจะไปที่ห้องโถงด้านข้าง”ห้องโถงหลักดูเป็นทางการมากกว่า ดังนั้นเวลาอวี่เหวินห่าวต้อนรับแขกเรื่อจะใช้ห้องโถงหลัก ส่วนนางรับแขกผู้หญิงส่วนมากจะใช้ห้องโถงด้านข้างที่ดูนุ่มนวลกว่ามาก คนรับใช้พูดอย่างยากลำบากใจว่า “ห้องโถงด้านข้างเกรงว่าจะนั่งไม่พอเจ้าค่ะ”หยวนชิงหลิงตกใจกระโดดขึ้นมา “นั่งไม่พอ? มากันกี่คน?”คนรับใช้กล่าวว่า
มีฮูหยินอีกท่านลุกขึ้นยืนย่อกายคารวะต่อหยวนชิงหลิง “หม่อมฉันขอขอบพระทัยพระชายาที่ช่วยชีวิตไว้หม่อมฉันไว้เพคะ”หยวนชิงหลิงจำนางได้ ฮูหยินท่านนั้นวันที่โรงทานโจ๊กถล่มลงมา ได้รับบาดเจ็บที่มือ นางเป็นคนพันผ้าพันแผลให้นางยิ้มและกล่าวว่า “ฮูหยิน เรื่องช่วยชีวิตท่าน ข้าไม่อาจรับไว้ได้ มือของท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”“ทูลพระชายา ไม่เป็นไรเพคะ” ฮูหยินหยวนรู้สึกตื่นเต้นนางตอบเสียงดังเหมือนเด็กนักเรียนที่ตอบคำถามต่อมาก็เป็นคนอื่น ๆ ที่เข้ามาแนะนำตัวหลังจากคนกลุ่มใหญ่แนะนำตัวแล้ว หยวนชิงหลิงทำได้แค่ยิ้มและพยักหน้า ยิ้มจนหน้านางแข็งไปหมดแล้วแต่ว่านางก็จำไม่กี่คน อย่างไรก็ตามล้วนเป็นพวกกลุ่มฮูหยินหยวน กลุ่มคุณหนูหยวนซะส่วนใหญ่ มิเช่นั้นก็พวกลูกพี่ลูกน้อง ท่านป้าหรือท่านน้า หยวนชิงหลิงพบว่าพวกนางทุกคนเต็มไปด้วยพลังลมปราณ ตอนเดินก้าวย่างของพวกนางล้วนมีพลัง ดูเหมือนว่าทุกคนล้วนฝึกวิทยายุทธ์มานางอดไม่ได้ที่จะแอบหันไปถามนางข้าหลวงเฉียน “หญิงสาวตระกูลหยวนล้วนฝึกวิทยายุทธ์งั้นหรือ?”“ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือเพคะ!” นางข้าหลวงเฉียนกระซิบเสียงเบาหยวนชิงหลิงรู้สึกนับถือยิ่งนักนางมองไปที่เด็กสาวตั
ฮูหยินหยวนยิ้มและกล่าวว่า “พระชายาเชิญตามสบายเถอะเพคะ ที่จริงหญิงมีครรภ์มักไปห้องน้ำบ่อยครั้ง”หยวนชิงหลิงมองลวี่หยาและฉีหลัว “พวกเจ้าทั้งคู่มาประคองข้าที ขาข้ามันอ่อนแรง... ไม่ แค่ชานิดหน่อย นั่งนานไปแล้วเลือดลมไหลเวียนไม่ค่อยสะดวก”ลวี่หยาและฉีหลัวตัวสั่นงก ๆ ก้าวไปประคองหยวนชิงหลิงเดินออกไป ขาของหยวนชิงหลิงก้าวออกไปอย่างรวดเร็วและทรุดตัวกับผนัง มือนางกุมหน้าอกและสูดหายใจเข้าลึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ตกใจหมดเลย ตกใจหมดเลย” นางคิดว่าลูกธนูนั้นเกือบจะบินมาปักหัวนางแล้วในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมอวี่เหวินห่าวถึงบอกว่าฉู่หมิงชุ่ยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหยวนหยงอี้หรอก ใครก็สู้นางไม่ได้อ๋องฉี เจ้านี่ช่างน่าอนาถแท้ หากเจ้ากล้ารังแกหยวนหยงอี้ล่ะก็ ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้าคงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้วหยวนชิงหลิงเข้าห้องน้ำกลับมาแล้ว มวยผมก็เกล้าหวีขึ้นเรียบร้อย คุณหนูหยวนพึ่งดึงลูกศรออกจากกำแพงและนำปิ่นที่ติดอยู่ตรงนั้นมาคืน “พระชายา ปิ่นปักผมของท่านเพคะ”หยวนชิงหลิงยิ้มเมื่อเห็นนาง “ข้าให้เจ้า”คุณหนูหยวนร้องอุทานด้วยความดีใจ และพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “จริงหรือเพคะ?”“จริงสิ ชอบหรือไม่?” หยวนชิงหลิ
หยวนซื่อเหม่ยที่เป็นคนยิงธนูคุกเข่าลง “ขอพระชายาได้โปรดให้หม่อมฉันได้อยู่ข้างกายด้วยเพคะ อาซื่อจะตั้งใจฟังพระชายาสั่งสอน และจะคอยปกป้องคุ้มครองพระชายาเพคะ”หยวนชิงหลิงใจเต้นแม้ว่าตอนนี้อวี่เหวินห่าวจะสั่งให้ซูยี่อยู่กับนาง แต่ซูยี่เองก็เป็นผู้ชาย บางสถานที่นางไปได้ แต่เขาไปไม่ได้ อย่างพวกงานเลี้ยงของพวกผู้หญิง เขาทำได้เพียงรอข้างนอกเท่านั้น แต่อาซื่อไม่เหมือนกัน อาซื่อสามารถเข้านอกออกในได้แต่ว่าอาซื่อเป็นคุณหนูตระกูลหยวน ชื่อเสียงของนางจะเป็นอย่างไรถ้าอยู่จวนอ๋อง? คนข้างนอกจะไม่พูดจาเหลวไหลเลอะเทะหรือ?นางข้าหลวงสี่ยิ้มและกล่าวว่า “พระชายา ตอนท่านตั้งครรภ์มักจะคิดมาก ท่านต้องการหญิงสาวสดใสร่าเริงอยู่ข้างกาย หากท่านชอบคุณหนูอาซือจริง ๆ ก็ให้นางพักในจวนกับท่านสักสองสามเดือนดีไหมเพคะ?”ได้ยินนางข้าหลวงสี่แนะนำ หยวนชิงหลิงรู้ว่านางข้าหลวงสี่ชอบใจเรื่องพวกนี้ จึงยิ้มและกล่าวกับอาซื่อว่า “เช่นนั้น เจ้าก็มาอยู่ข้างกายข้า มาอยู่เป็นเพื่อนข้าคุยกับข้าเป็นบางครั้งบางคราว คลายเบื่อเถอะนะ”อาซื่อพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เพคะ ขอบพระทัยพระชายามากเพคะ!”อาซื่อได้รับสายตาอิจฉาจากพวกพี่น้องของนา
หยวนชิงหลิงรินน้ำให้อวี่เหวินห่าวแก้วหนึ่ง และถามด้วยความสงสัยว่า “ที่จริงข้าเองก็ไม่เข้าใจมากนัก ข้ากับฮูหยินหยวนเองก็เหมือนพบกันโดยโชคชะตา พวกนางทั้งครอบครัวทำไมถึงกระตือรือร้นกับข้านัก?”อวี่เหวินห่าวพูดอธิบาย “ฮูหยินเฒ่าเกิดมาจากคนในยุทธภพ ลูกสะใภ้ของนางเองส่วนมากก็มาจากยุทธภพ พวกนางเป็นคนของยุทธภพล้วนซื่อสัตย์ รักความยุติธรรมและรักคุณธรรมเป็นที่สุด เจ้าตอนที่อยู่นอกเมืองในเหตุการณ์นั้น ไม่สนสถานะ ไม่สนว่าจะสกปรกเลอะเทอะแค่ไหน ช่วยคนจำนวนมากมายไว้ ในสายตาของพวกนางย่อมต้องชื่นชมเจ้าเป็นธรรมดา”“นี่มันน่ายกย่องขนาดนั้นเลยหรือ?” หยวนชิงหลิงรู้สึกคาดไม่ถึง ยกย่องในเรื่องที่ธรรมดาขนาดนี้เชียวหรือ? ในใต้หล้านี้คนทำดีก็มีไม่น้อย“พวกนางเข้าใจมองคน คน ๆ หนึ่งไม่ว่าจะมีจิตใจบริสุทธิ์ไร้เดียงสาแค่ไหน พวกนางล้วนมองออก สิ่งที่เจ้ากระทำวันนั้น มันบริสุทธิ์มาจากใจ ไม่ได้หาผลประโยชน์ใส่ตัวแม้แต่น้อย จึงย่อมควรค่าแก่การยกย่อง”หยวนชิงหลิงกระพริบตา “คำพูดพวกนี้ท่านคาดเดา หรือว่าในใจท่านคิดเช่นนี้จริง ๆ”อวี่เหวินห่าวมองนางและถอนหายใจออกมา ก้มใบหน้าอันหล่อเหลาลงมา “คนตาบอดเท่านั้นที่มองไม่เข้าใ
แรกเริ่มหยวนชิงหลิงอยากจะไปคารวะเซียวเหยากงมาก ดังนั้นหลังจากอาซื่อออกไปแล้ว นางจึงกล่าวขอว่า “หาวันว่างสักวัน พวกเราไปคารวะเยี่ยมเยือนเซียวเหยากงสักหน่อยนะเพคะ”อวี่เหวินห่าวขัดขืนปฏิเสธไปโดยทันที “ไม่ไป!””“ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เซียวเหยากงเป็นคนดี ท่านทำไมถึงจงเกลียดจงชังเขานัก?”อวี่เหวินห่าวพูดอย่างหดหู่ว่า “ใครบอกว่าข้าเกลียดเขากัน? ข้าแค่ไม่อยากเจอเขาเท่านั้น”“ทำไมกัน?” หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจ“ทำไมเจ้าถึงอยากพบเขาขนาดนี้?” อวี่เหวินห่าวก็ไม่เข้าใจ ก็แค่ตาแก่คนนึง แถมยังเป็นตาแก่นิสัยไม่ดีมีอะไรน่าพบ?หยวนชิงหลิงกล่าว “ข้าเองอยากถามเขา มันเป็นเรื่องสำคัญ”“ต้องถามให้ได้รึ?”มันคล้ายเหมือนว่าเขาเองก็มาจากที่เดียวกัน จึงต้องถามให้จงได้ดังนั้นหยวนชิงหลิงจึงพยักหน้าอย่างหนักแน่นอวี่เหวินห่าวจึงทำได้แค่ยอมและกล่าวว่า “งั้นก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะหยุดงาน ข้าสั่งให้คนไปเขียนเทียบลาก่อน”หยวนชิงหลิงกอดเขา หอมเขาไปทีหนึ่ง และยิ้มอย่างร่าเริง “ขอบคุณนะ!”ในตอนนั้นอวี่เหวินห่าวคิดว่ามันคุ้มค่าเหลือเกินวันรุ่งขึ้นยามเช้า อวี่เหวินห่าวก็ลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าเขาสั่งให้ซูยี่หยิบชุดเก
เทียบเชิญได้ส่งมาถึงจวนของเซียวเหยากงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ลูกสะใภ้ของเซียวเหยากง ฮูหยินเหลียงก็ได้มาเตรียมการต้อนรับด้วยตัวเอง รถม้ามาถึงแล้ว ฮูหยินเหลียงได้พาครอบครัวออกไปต้อนรับด้านหน้า“คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา!” ฮูหยินเหลียงยิ้มทำความเคารพ คนในบ้านก็ล้วนทำความเคารพเช่นกันหยวนชิงหลิงมองฮูหยินเหลียง พบว่าวันนี้นางสวมชุดผ้าไหมสีแดงลายเมฆดำ บนมวยผมปักปิ่นหยกม่วงทองคำ ให้ความรู้สึกโดดเด่นยิ่ง เมื่อดูจากวันนั้นที่นอกเมืองแล้วดูไม่เหมือนกันสักนิด เห็นได้ชัดว่านางเจตนาให้เป็นแบบนั้นเพื่อให้เกียรติ หยวนชิงหลิงยิ้มและกล่าวว่า “ฮูหยินไม่ต้องมากพิธี”ฮูหยินเหลียงมองอวี่เหวินห่าวที่สวมชุดเกราะก็อดขำไม่ได้ “ท่านอ๋อง ถึงขนาดนี้เชียวหรือเพคะ!”อวี่เหวินห่าวพูดอย่างหดหู่ “ระวังไว้ก่อนเป็นการดี”หยวนชิงหลิงมองทั้งคู่ นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?ฮูหยินเหลียงยิ้มและเชิญคู่สองสามีภรรยาเข้าไปในจวน จวนเซียวเหยากงกว้างขวางมาก มองดูแล้วน่าจะมีพื้นที่สักประมาณสิบกว่าตารางกิโลเมตรได้ ลานกว้างด้านหน้าคือสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ปลูกพืชพรรณไว้หลากหลายชนิด ตอนนี้เริ่มเข้าช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาว มีดอกไม้
ฮูหยินเหลียงลุกขึ้น “ท่านพ่อ ท่านอ๋อง และพระชายามาถึงแล้วเจ้าค่ะ”หยวนชิงหลิงที่ได้ยินก็อดตกใจไม่ได้ ท่านปู่ที่แบกมูลกวางคนนี้ก็คือ เซียวเหยากงนางรีบลุกขึ้นย่อตัวคารวะ “คารวะ ผู้อาวุโส”เซียวเหยากงมองนางแล้วจึงเลิกคิ้วหนานั้นขึ้น และหัวเราะเล็กน้อย “ท่านเป็นพระชายาคาวระคนแก่อย่างข้ามันไม่เหมาะสม รีบนั่งลงเถิด”หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างถ่อมตัวว่า “ท่านเป็นผู้อาวุโส ดังนั้นข้าจึงคารวะท่าน” พระชายามันไม่มีอะไรเลย ก็แค่ตำแหน่งที่มีเกียรติน่ายกย่อง ถ้าเรื่องของกำลัง คนอื่นถือว่าทิ้งห่างนางไปหลายช่วงตึก ต่อหน้าจิ้งจอกเฒ่าพวกนี้ นางไม่เกรงใจไม่ได้หรอก“เจ้าเป็นสาวน้อยที่อยู่เป็นจริง ๆ” เซียวเหยากงพูดและตบมือให้นาง สายตาของเขาจ้องมองไปทางใบหน้าของอวี่เหวินห่าว และหยอกล้อเขา “เจ้าห้าน้อย ไม่ได้มาที่นี่ตั้งนาน ยังกลัวข้าแกล้งเจ้าดีดป๊อก ๆ อยู่หรือ?”ใบหน้าของอวี่เหวินห่าวดูไร้ความรู้สึกไปเลย “ท่านผู้อาวุโสเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลัง อย่าทำให้คนไม่เคารพและหัวเราะเลย”เซียวเหยากงนั่งลง ยกขาวางลงบนเก้าอี้ตัวเล็ก คราบสีดำ ๆ นั้นดูเหมือนว่าเป็นโคลน ดูเหมือนว่าเขาไปดำนามา “เรื่องอาวุโสแก่แล้วค