ติดตามเขามาหลายปี ไม่มีค่าในสายตาเลยสักนิดฉางกงกงกระอักกระอ่วนกล่าวว่า "ไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ"หยวนชิงหลิงยิ้มน้อย ๆ แต่มือก็ยังคงใช้แรงนวดคลึงเหมือนเดิมคนสูงอายุ อันที่จริงก็เหมือนเด็กน้อย ต้องการให้คนมารักและเอาใจใส่นวดคลึงได้สักพัก ไท่ซ่างหวงบอกนางให้นั่งลง ยังแบ่งขนมให้นางชิ้นหนึ่ง"อาการปวดหายดีหรือยังเพคะ?" ไท่ซ่างหวงเห็นนางถาม จึงตอบไปว่า"หายดีแล้ว!" หยวนชิงหลิงกินขนม ยิ้มเล็กน้อยกับคำตอบ"โง่ขนาดนี้ เจ้าจะตายหรือไม่?" ไท่ซ่างหวงมีลิ้นที่ร้ายกาจเสมอมา หยวนชิงหลิงเบ้ปากพลางพูดว่า "ยังไม่ตาย"รู้อยู่แล้วว่ามาที่นี่ต้องโดนต่อว่าอยู่ไม่น้อยไท่ซ่างหวงถลึงตาจ้องมองนางเขม็ง "เข้าวังครั้งที่แล้ว ข้าเพียงบอกเจ้าว่า ให้เจ้าคิดทุกอย่างคิดจนถึงที่สุด คิดให้สุดทาง หรือว่าเจ้าสมองพิการไปแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าหกมีอาการป่วยอย่างไร?”หยวนชิงหลิงถอนหายใจ คำว่าสมองพิการช่างเป็นคำที่ข้ามมิติมาบ้างแล้ว "รู้แล้ว รู้แล้ว ข้าประมาทไปชั่วขณะ" หยวนชิงหลิงสมควรถูกดุ ที่จริงวันนั้นอ๋องหวยถูวางยา นางควรจะตื่นตัวให้มากกว่านี้แต่ว่าในเวลานั้น นางคิดว่าฝ่ายตรงข้ามวางยาอ๋องหวย ไม่ได้คิดถึงตัวเอง
ฉางกงกงยิ้มแล้วกล่าว "ท่านรีบนำกลับไปเถอะ หยกนี้หายากมาก ท่านไม่สามารถหาได้ดีขนาดนี้ นี่เป็นของที่เซียวเหยาโฮ่ว เข้าวังมาถวายไท่ซ่างหวงเมื่อสองวันก่อน พระองค์ชอบมันมาก แต่พระองค์ก็ไม่เก็บมันไว้เพื่อตัวเอง"หยวนชิงหลิงรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก กำลังจะปลีกเดินออกไป ไท่ซ่างหวงตวาด "อย่าเพิ่งไป! ตกลงเจ้าจะรับหรือไม่?".หยวนชิงหลิงรีบแย่งกล่องไปถือไว้ในมือ โค้งคำนับ "หลานสะใภ้ทูลลา"นางคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรับความหวังดีของผู้เฒ่าหยวนชิงหลิงออกจากวังเฉียนคุนแล้ว จึงถือกล่องไปหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมองไปที่กล่อง ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พลางกล่าว "นี่เป็นหยกที่เซียวเหยาโฮ่วมอบให้ไท่ซ่างหวงใช่หรือไม่? ทำไมถึงให้เจ้าหมดเลยล่ะ?""ใช่เพคะ" หยวนชิงหลิงมองพระองค์แว๊บนึง รีบถวาย "เสด็จพ่อชอบหรือไม่เพคะ? ถ้าอย่างนั้น หม่อมฉันคงจะต้องเปลี่ยนเป็น ยืมดอกไม้บูชาพระ ขอถวายฝ่าบาทเพคะ"จักรพรรดิหมิงหยวนโบกมือพลางกล่าว "ของที่ไท่ซ่างหวงให้เจ้า เจ้าก็เก็บรักษาไว้ ข้าไม่สนใจของพวกนี้ เพียงแต่ ไท่ซ่างหวงดูเหมือนจะให้ราคากับเจ้ามาก"ไท่ซ่างหวงชอบหยกนี้มาก ขนาดลูก ๆ ของเขาเห็น ไท่ซ่างหวงยังรีบใ
“เอาเถอะ ไปได้แล้ว ข้าคุยกับเจ้าวันนี้ เจ้ากลับไปที่บ้านบอกเจ้าห้าให้เรียบร้อย ที่นี่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก” จักรพรรดิหมิงหยวนกล่าวเสริมอีกประโยคหยวนชิงหลิงย่อตัวลงเพื่อทูลลา แต่ในใจกลับรู้สึกสงสัยยิ่งนักยามค่ำคืน สามีภรรยาสองคนที่อยู่บนเตียงนอนไม่ได้ทำกิจกรรมบนเตียงด้วยกัน เพียงแค่วิเคราะห์รับสั่งของฝ่าบาทในวันนี้หยวนชิงหลิงกล่าวว่า “เสด็จพ่อของท่าน ทำไมถึงสนพระทัยเรื่องที่ข้าจะมีลูกหรือไม่?”อวี่เหวินห่าวกอดนางเอาไว้ มือที่หมุนเส้นผมเรียบลื่นดั่งแพรไหมของนาง “เจ้าคิดว่ายังไง?”หยวนชิงหลิงใจกล้าบังอาจลองคาดเดา “ไม่ใช่ว่าพระองค์ทรงคิดแต่งตั้งให้ท่านเป็นรัชทายาทหรอกหรือ?”อวี่เหวินห่าวส่ายหน้า “ไม่มีทาง หนึ่งปีมานี้ ท่านพ่อทรงเย็นชาและทรงผิดหวังกับข้ายิ่งนัก”“นั่นเป็นเพราะข้า...เรื่องที่ตำหนักองค์หญิง ตอนนี้พวกเราคืนดีกันแล้ว แสดงว่าเรื่องก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับท่านมาก?”อวี่เหวินห่าวพูดว่า “การแต่งตั้งตำแหน่งรัชทายาท ต้องมีทั้งอายุอาวุโสหรือตำแหน่งทายาทเกิดจากภรรยาเอกเองก็มีส่วน”“เป็นไปได้หรือไม่ทีจำเป็นต้องมีคุณธรรม?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถามอวี่เหวินห่าวหัวเร
อวี่เหวินห่าวไม่ทันสังเกตอารมณ์ของนาง “เรื่องนี้เจ้าควบคุมมันไม่ได้หรอก นี่คงเป็นโชคชะตาของเราและลูก”ม่านมุ้งเบาบางที่ถูกคลายออก แขนเสื้อโบกพัดเปลวเทียนดับลง“วันนี้ขอพักได้ไหม?” ในความมืด ได้ยินเพียงแค่เสียงขอร้องของหยวนชิงหลิง“พักผ่อนมาสองปีแล้ว” อวี่เหวินห่าวทาบทับลงบนร่างนางไม่ให้นางเปิดปากพูดอะไรได้เลย ห้องนี้ช่างงดงามเสียจริง!วันรุ่งขึ้น คู่สามีภรรยาอ๋องซุนมาเยี่ยมเยือนเป็นแขกจวนอ๋องอวี่เหวินห่าวที่สะสางงานจากที่สำนักผู้ตรวจการเสร็จจึงรีบกลับมาพูดคุยกับอ๋องซุนในห้องโถง หยวนชิงหลิงกับพระชายาซุนจึงออกไปเดินเล่นที่สวนในใจของพระชายาซุนดูเหมือนมีเรื่องหนักใจอย่างไรอย่างนั้น“พี่สะใภ้รองเป็นอะไรไปหรือ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม และเอื้อมมือไปทุบที่หลังตัวเอง นางปวดเอวเจ็บหลังไปหมด“ไม่เป็นไร” พระชายาซุนกล่าวอย่างเรียบเฉย แล้วมองไปที่นาง “เอวเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? ตีหลังทำไมน่ะ?”“ไม่เป็นไร!” หยวนชิงหลิงดึงมือกลับแล้วตอบอย่างเรียบเฉยเหมือนนางพระชายาซุนยิ้มออกมา “เอาเถอะ ใครไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้าง?”หยวนชิงหลิงเคอะเขิน “พี่สะใภ้รองคิดมากไปแล้ว ข้าแค่เหนื่อยเท่านั้น”“เข้
พระชายาซุนหัวเราะออกมา “แต่ว่าช่วงนี้ข้าชอบเจ้านะ ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล ถึงแม้ว่าข้าจะทำไม่ได้ แต่ได้ยินแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก”หยวนชิงหลิงรู้ว่าไม่มีทางเกลี้ยกล่อมนาง ความคิดขนถธรรมเนียมบางอย่างมันหยั่งรากฝังลึก ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืนหลังจากที่ส่งคู่สามีภรรยาอ๋องซุนกลับแล้ว อวี่เหวินห่าวก็พาหยวนชิงหลิงไปที่จวนอ๋องหวยก็เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ตรวจอาการจ่ายยาแล้วพูดคุยกันอยู่สักพัก แล้วจึงกลับ “พวกเราออกไปเดินซื้อของกันดีกว่า” หยวนชิงหลิงออกมาพบอ๋องหวยยังเช้าอยู่มาก และเขาเองก็แทบไม่มีเวลาว่างอยู่เป็นเพื่อนนางแบบนี้ นางมาที่นี่ก็ตั้งนานแล้ว เคยเดินถนนสายการค้าหลักนี้เพียงไม่กี่ครั้งเอง แต่กลับไม่เคยเดินซื้อของมาก่อนอวี่เหวินห่าวเองก็อารมณ์ดีมาก ทั้งสองเดินอย่างช้า ๆ ไปพร้อมกัน ลวี่หยาและซูยี่เดินตามอยู่ข้างหลังอย่างสบายอกสบายใจหยวนชิงหลิงไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับเกี่ยวกับเป่ยถัง แต่ว่าเมื่อได้เห็นความคึกครื้นของเมืองหลวงแล้วนั้น เป่ยถังต้องเจริญรุ่งเรืองมากแน่นางเดินไปถามไปที่ร้านค้า ร้านขายข้าว ร้านธัญพืช ร้านขายเครื่องประดับ ร้านขายผ้าไหม โรงหมอ และก็เข้าไปด
หยวนชิงหลิงเห็นสีหน้าของอวี่เหวินห่าวเหมือนมีความไม่สบายใจอยู่นางจึงเอ่ยถาม “ท่านเป็นอะไรไป?”อวี่เหวินห่าวถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความโล่งอก แล้วจับข้อมือนาง “แค่ข้ารู้สึกว่าตัวเองไร้พลัง”เขาเป็นคนในราชวงศ์ เขาสามารถปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของราษฏรได้ แต่ว่าเขากลับไร้พลังอำนาจที่สุดหยวนชิงหลิงเข้าใจสิ่งที่เขาคิด และรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่ารักเสียจริง ทางข้างหน้าเป็นเส้นทางแคบ ๆ เหมือนคอขวดบีบเข้าไป ด้านในสุดมีโรงหมอ ปากทางเข้าประตูมีคนเข้าแถวกันยาวเหยียด มีผู้ป่วยบางคนนอนอยู่บนพื้นถนน เสื้อผ้าสกปรกขาดวิ่น และมีแมลงวันบินอยู่รอบ ๆ“คนเข้าแถวมากขนาดนี้? ไม่สามารถไปโรงหมอที่อื่นได้งั้นหรือ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถามซูยี่ยิ้มออกมา “พระชายา โรงหมอที่อื่นพวกเขาก็ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา”“ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา? ถ้าอย่างนั้นรัฐบาล… ราชสำนักคงมีโรงหมอที่อื่นอะไรแบบนี้?”“มีหมอชาวบ้านประจำชุมชน ” อวี่เหวินห่าวกล่าวหยวนชิงหลิงถามต่อ “งั้นที่หมอชาวบ้านเองค่ารักษาก็แพงมากหรือ?”“ในเมืองหลวงมีหมอชาวบ้านอยู่แค่สองแห่ง ถ้าคนมาต่อแถวตรวจโรค อย่างดีหน่อยก็ต้องรอสามถึงห้าเดือน หากนานกว่
“สุขภาพของท่านย่าเป็นอย่างไรบ้าง?”หยวนชิงผิงตอบ “ก็เหมือนเดิม ไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่ลง”“อีกสองวันข้าจะกลับไปดูนาง” หยวนชิงหลิงบอกน้องสาวของนางสองพี่น้องออกจากจวนไปขึ้นรถมา สารถีถามว่า “พระชายาจะเสด็จไปที่ใด?”หยวนชิงหลิงถามลวี่หยา “เมื่อวานพวกเราไปที่ไหนกัน?”“ถนนซิงผิงเพคะ” ลวี่หยาตอบ“งั้นก็ไปถนนซิงผิงเถอะ”สารถีตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ!”ล้อรถม้าบดลงแผ่นหินปูถนน และขับควบออกไปจากถนนเส้นจวนอ๋องไม่นานนัก รถม้าก็ได้หยุดลง“พระชายาถึงแล้ว พ่ะย่ะค่ะ!” สารถีพูดเมื่อถึงที่หมายหยวนชิงหลิงเปิดม่านออก เห็นว่าไม่ใช่ที่ ๆ นางอยากไป และเมื่อวานที่ได้ไปเดินที่ถนนเส้นหลักครั้งแรกมันก็ยังคงจริญรุ่งเรืองเช่นเคยหยวนชิงผิงลงจากม้าแล้วนางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “พี่สาว พวกเราไปเดินร้านแป้งสีชาดกันเถอะ ข้าอยากซื้อของเยอะแยะเลย”พูดจบ นางก็ยื่นมือเข้าไปคล้องแขนหยวนชิงหลิงหยวนชิงหลิงจึงเดินไปเป็นเพื่อนนางซื้อของไปก่อนนางไม่มีอะไรจะซื้อ แต่หยวนชิงผิงชอบที่นี่มาก โดยเฉพาะร้านเครื่องหอมและร้านแป้งสีชาดนางซื้อน้ำมันหอมไปหลายอย่าง ทั้งสองเดินไปดูแป้งทาหน้าและชาดทาปากเมื่อเข้าไปก็เห็นฉู่หมิ
คนอย่างหยวนชิงผิงมีที่ไหนจะให้คนตบหน้าตัวเองง่าย ๆ? แค่จงใจให้นางผลักแค่ไหล่เท่านั้น นางจึงตวาดด้วยความโกรธ “ได้ ในเมื่อเจ้ากล้าตบคน? ดูสิว่าวันนี้ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ หรือไม่” พูดแล้วนางก็ตบลงไปบนหน้าของฉู่หมิงเฝิง ตบแล้วยังตบด้วยหลังมือซ้ำลงไปอีกฉาดฉู่หมิงเฝิงถึงกับอึ้งไป ยังไม่ทันจะง้างมือโต้กลับ ก็ได้ยินเสียงพยายามข่มความโกรธของฉู่หมิงชุ่ย “หยุดนะ!”ฉู่หมิงเฝิงตกใจจนรีบถถอยหลังไป และจ้องมองหยวนชิงหลิงด้วยสายตาเคียดแค้นฉู่หมิงชุ่ยกวาดสายตามองหยวนชิงผิงอย่างเย็นชา หลังจากนั้นก็ก้มหัวต่อหน้าหยวนชิงหลิง และกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “พระชายาฉู่ ข้าและเจ้าต่างก็เป็นพี่สะใภ้ น้องสะใภ้ ยังไงเราก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน นางกล้าพูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกมาเช่นนี้ เจ้าก็อย่าได้ถือโทษไปเลย น้องสาวผู้ต่ำต้อยของเจ้าก่อเรื่องขึ้น เจ้าในฐานะพี่สาวมิอาจนิ่งดูดายได้ จะให้สอนมันก็กะไรอยู่ หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานออกเรือนเช่นนี้ หากข่าวแพร่ออกไปแล้วช่างชวนให้คนอื่นหัวเราะขบขันเสียจริง”หยวนชิงหลิงไม่ใช่คู่มือในการทะเลาะกันครั้งนี้ แต่ว่าการพูดด้วยเหตุผลนางก็ทำได้ดีทีเดียวนางกล่าวอย่างยิ้มแ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม