หลังจากกินยาจื่อจินแล้ว หยวน ชิงหลิงก็นอนหลับไปกว่าหนึ่งชั่วโมง หลังจากตื่นนอน เธอรู้สึกว่าความเจ็บปวดของแผลลดลงมาก และเธอก็รู้สึกว่าบาดแผลไม่มีเลือดซึมออกมาแล้ว เธอลงไปเดินไม่กี่ก้าว และรู้สึกว่าความเจ็บปวดนั้นทุเลาลง อย่างน้อยการเดินด้วยวิธีนี้ก็ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดอย่างรุนแรงแม่นมสี่เปิดประตูเข้ามา เมื่อเห็นว่าเธอลุกขึ้น จึงเอ่ยขึ้น: “พระชายา ตื่นก็ดีแล้ว ควรจะออกไปเดินเล่นเพคะ หลังจากกินยาจื่อจิน ควรออกกำลังกาย เพื่อให้เลือดหมุนเวียน”หยวน ชิงหลิงตอบ: “ก็ดี ข้าอยากไปเดินเล่นพอดี”“หม่อมฉันจะไปเป็นเพื่อนเพคะ”ทั้งสองเพิ่งออกจากลานหน้าตำหนัก ก็เห็นขันทีหนุ่มวิ่งวิ่งเข้ามา ใบหน้าซีดและตกใจ “พระชายา อ๋องฉู่ให้มาเชิญพระชายาโปรดรีบไปที่วังเฉียนคุน”แม่นมสี่จับมือนาง “เกิดอะไรขึ้น ทำไมดูรีบร้อน”ขันทีแทบร้องไห้ “ฟูเป่าตกลงมาจากหอคอยเหวินชาง ใกล้จะหมดลมหายใจแล้ว ไท่ซ่างหวงทรงทราบแล้วและกำลังเสด็จไป บัดนี้ในวังกำลังโกลาหล และได้รับคำสั่งให้เชิญฮ่องเต้แล้ว”แม่นมสี่ตื่นตกใจทันที ไท่ซ่างหวงให้ความสำคัญกับฟูเป่าเช่นเดียวกับหลานชาย ฟูเป่าโดนลอบทำร้าย ไท่ซ่างหวงเสียใจและขุ่นเคืองอย่างแน่
"ฟูเป่า..."“ยังมีทางรอด!” หยวน ชิงหลิงพูดอย่างรวดเร็ว โยนผ้าให้เขา เป็นผ้าที่ใช้เช็ดบาดแผล “หม่อมฉันจะผ่าตัดม้ามที่เสียหาย ท่านช่วยข้าซับเลือดที ไท่ซ่างหวงห่วงใยฟูเป่า ฟูเป่าเปรียบเสมือนดวงใจของพระองค์ ถ้าฟูเป่าจากไปจริง ๆ มันจะกระทบต่อจิตใจ และส่งผลโดยตรงต่ออาการป่วยของพระองค์” อวี่เหวินห่าวหยิบผ้า และจ้องมองนางซึ่งสวมหน้ากากด้วยอาการงุนงง ท่าทางของนางดูน่าเกลียด แต่ก็ดูสวยอย่างบอกไม่ถูก วางยาสลบ, โกนขน, ลงมือผ่า หยวน ชิงหลิงฝีมือดีมาก จึงเจอม้ามอย่างรวดเร็ว “ซับเลือดสิเพคะ!” เมื่อเห็น อวี่ เหวินห่าวยืนนิ่งมองมาที่เธอ เธอจึงตะโกนขึ้น อวี่ เหวินห่าวได้สติกลับมา หยิบผ้าและซับเลือด แล้วนางก็ล้วงมือทั้งสองลงไป ฉากนี้น่ากลัวมาก ทำไมนางถึงไม่มีความกลัวเลย? เลือดกระเด็นออกมา เปื้อนบนใบหน้าของเธอ หน้าผากและคิ้วของเธอเต็มไปด้วยเลือด “เส้นเลือดแตก!” ใบหน้าของ หยวน ชิงหลิงเปลี่ยนไป “ต้องเย็บหลอดเลือดก่อน” เขายื่นผ้าไปเช็ดหน้าผากและคิ้วของเธอโดยไม่รู้ตัว เลือดที่เปื้อนระหว่างคิ้ว ดูเหมือนไฝขนาดใหญ่ ดูแปลกพิกล “ขอบคุณ!” หยวน ชิงหลิงกล่าวก่อนจะก้มศีรษะลง หนีบหลอดเลือดด้วยคีม จากน
หยวน ชิงหลิงมองเห็นได้จากการแสดงออกของเขา “จุดประสงค์ของอีกฝ่ายคือท่าน? ท่านเคยไปที่หอคอยเหวินชางหรือไม่?” อวี่ เหวินห่าวไม่ตอบ พลางนั่งลงอย่างช้า ๆ มองดูท่าทางที่น่าสงสารของฟูเป่า ความโกรธของเขาประทุออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ “อีกฝ่ายต้องการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ต้องการปลงพระชมน์ท่านปู่ของข้าแล้ว คิดจะดึงข้าเข้าไปเอี่ยวด้วย” อวี่ เหวินห่าวยิ้มเยาะ หยวน ชิงหลิงเงียบไปครู่หนึ่งมองไปที่เขา และกล่าวว่า “แม้จะทำร้ายไท่ซ่างหวงไม่ได้ แต่ยังไงก็จะให้ท่านอ๋องมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์นี้ เรื่องนี้มันดูผิดปกติ ไท่ซ่างหวงจะต้องให้มีการตรวจสอบอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าท่านอ๋องจะแก้ตัวไม่ได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะยังไง ไท่ซ่างหวงจะไม่มีวันกล่าวโทษท่านอ๋อง” แต่ไท่ซ่างหวงก็ผิดหวังในตัวท่านอ๋องเช่นกัน หยวน ชิงหลิงไม่ได้พูดประโยคสุดท้ายออกไป นั่นคือเขาจะไม่มีโอกาสได้ตำแหน่งองค์รัชทายาท อวี่ เหวินห่าวนิ่งเงียบไปสักพัก ขมวดคิ้วและทำตาแข็ง สีหน้าของเขาดูน่ากลัวมาก หยวน ชิงหลิงไม่กล้าที่จะปลุกปั่นเขาการสมรู้ร่วมคิดและกลอุบายในการใส่ร้ายแบบนี้ เธอเองก็ไม่อยากจะรับรู้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เรื่
“ถ้าอย่างนั้นตอนที่ท่านอ๋องนั้นออกมาจากหอคอยเหวินชาง ฟูเป่าลงมาด้วยหรือไม่?” กู้ซีถามอวี่เหวินห่าวส่ายหัว “ในเวลานั้นข้าเองก็ไม่ทันได้สังเกต”“ท่านฉลาดพอที่จะมีหัวคิด และก็รู้ว่าฟูเป่าเป็นสิ่งล้ำค่าของท่านปู่ ท่านจะบอกว่าท่านไม่ทันได้สังเกตได้อย่างไรกัน?”คำพูดของจักรพรรดิหมิงหยวนทิ่มแทงใจมาก แสดงให้เห็นว่าอวี่เหวินห่าวอยากจะประจบหวงไท่ซ่าง จึงเข้าหาสุนัขเพื่อเอาอกเอาใจ บรรยากาศในตำหนักตึงเครียดมากแม้แต่ไทเฮาก็ยังตกใจนางกล่าวว่า “ช่างเถอะ แค่สุนัขแค่ตัวเดียวทำไมถึงกับต้องโมโหลูกชายตัวเองถึงขนาดนั้นด้วย? ถึงเจ้าห้าจะพาขึ้นไปก็เถอะ ยังไรเสียเจ้าห้าเองก็คงไม่มีทางที่จะโยนลงมาได้หรอก เพราะเจ้าห้าเองก็รักฟูเป่าเหมือนกัน”ไทเฮามิทรงทราบเลยว่าจักรพรรดิหมิงหยวนมีความคิดอื่นในใจ คิดเพียงแต่ว่าจักรพรรดิหมิงหยวนทำให้เรื่องราวดูเป็นเรื่องใหญ่ แค่สุนัขตัวเดียวถึงกับขนาดเกลี้ยกล่อมให้ไท่ซ่างหวงสอบสวนเลยรึ เจตนาเพื่อที่จะให้เจ้าห้าเสียหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย?เมื่อไทเฮาเห็นว่าจักรพรรดิหมิงหยวนทรงเงียบลงแล้ว แต่สีหน้ายังคงดูโกรธเกรี้ยวอยู่ จึงหันไปหาไท่ซ่างหวงและกล่าวว่า “ไท่ซ่างหวง ท่านพูดอะ
เมื่อทุกคนพากันออกไปจากตำหนัก ไท่ซ่างหวงเหลือบมองไปที่ฉางกงกง ท่าที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ทำไมถึงยืนนิ่งเป็นท่อนไม้อย่างนั้นหล่ะ? ไม่เบื่อหรือไง? ฉางกงกงเหลือบมองหยวนชิงหลิงด้วยความน้อยใจ ตั้งแต่พระชายาฉู่เข้ามาอยู่ในวัง จนกระทั่งมาเป็นคนเฝ้าผู้ป่วย รู้สึกว่าไท่ซ่างหวงไม่เห็นความสำคัญของเขาเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เห็นแก่นางที่ได้ช่วยชีวิตฟูเป่าเอาไว้ฉางกงกงออกไปพร้อมกับไล่คนรับใช้ในตำหนัก และสั่งให้คนรับใช้ทุกคนห้ามเข้าไปวุ่นวายและห้ามส่งเสียงดังรบกวนไท่ซ่างหวงกวาดสายตามองหยวนชิงหลิง “สิ่งนั้นที่อยู่บนท้องของฟูเป่าคือสิ่งใดรึ?”“ตะขาบ…มั้งเพคะ” หยวนชิงหลิงตอบด้วยเสียงสั่นเครือเมื่อครู่ไม่มีใครจะจ้องไปที่ท้องของฟูเป่า เพราะตัวของฟูเป่าเต็มไปด้วยเลือดมีเพียงเจ้านายที่รักมัน ถึงได้สังเกตเห็นสิ่งนั้น“ยังจะไม่รีบพูดความจริงอีก? หรือต้องการให้เรียกเจ้าห้ามารับโทษก่อนเจ้าถึงจะยอมบอก” ไท่ซ่างหวงกล่าวอย่างหนักแน่นจะลงโทษเขาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง? ดีเสียอีกที่จะโบยเขา โบยสัก 30 ไม้ยิ่งดี หากเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าได้แก้แค้นแล้วแต่ทว่า นางไม่กล้าที่จะพูดเช่นนั้นออกมา ภายใต้สีหน้าที่เค
หยวนชิงหลิงส่ายหัว “หม่อมฉันมองไม่ออกหรอกเจ้าค่ะ”“เจ้าต้องสังเกตให้ดี ตราบใดที่ใจสงบพอ ดวงตาเจ้าจะมองเห็นอะไรบางอย่าง แววตาของปีศาจก็จะค่อย ๆ ออกมา ความโหดเหี้ยมของพวกมันไม่สามารถเก็บซ่อนได้ รอวันที่เจ้าเข้าใจ ข้าถึงจะบอกวิธีรับมือกับพวกมัน”หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจจริง ๆ “ในเมื่อพระองค์ทรงรู้ว่าใครเป็นคน ใครเป็นปีศาจ ทำไมพระองค์ไม่จัดการเพคะ”“เพราะไม่มีวันที่จะกำจัดให้หมดไปได้ง่าย ๆ เมื่อปีศาจถูกกำจัดไปแล้ว ก็จะมีปีศาจตนใหม่ขึ้นมาแทน ความทะเยอทะยาน จะเข้าครอบงำจิตใจของคน ส่วนข้าเหมือนคนที่รอวันตาย ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้แล้ว ที่สำคัญพวกเขาทั้งหมดเป็นคนในตระกูลอวี่เหวิน เป็นลูกหลานของข้า ฆ่าใครคนใดคนหนึ่ง ก็เหมือนตัดเนื้อตัวเอง”ไท่ซ่างหวงเมื่อพูดประโยคนี้จบแล้ว ก็ค่อย ๆ หลับตาลงหยวนชิงหลิงรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ล้วนแฝงไปด้วยความเศร้า ในเวลานี้เขาเป็นถึงไท่ซ่างหวงแห่งราชวงศ์ ผู้ที่มีอำนาจ และพระอิสริยยศฐานันดรสูงสุด น่าเสียดายที่พระองค์ไม่สามารถแม้แต่จะจัดการกับคนที่ทำร้ายพระองค์ได้ลง“เจ้าห้าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง น่าเสียดาย ตาบอด!” ไท่ซ่างหวงหลับตาแล้วพึมพำอีกประโยคหยวนชิงหลิงห่มผ
แต่ทว่า หยวนชิงหลิงกลับยืนอย่างเงียบแน่นิ่งแววตาสีหน้าท่าทางของนางดูไม่โกรธ เหมือนนางไม่สนใจแม้แต่น้อยฉู่หมิงชุ่ยไม่เชื่อว่านางจะไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ และยังคงยั่วโมโหหยวนชิงหลิงต่อ “เจ้าไม่อยากรู้เหรอ ว่าทำไมเขาถึงเอาเรื่องพวกนี้มาบอกข้า?”หยวนชิงหลิงคว้าข้อมือของนางอย่างรวดเร็ว ลากนางเดินเข้ามาในตำหนัก "อยากสิ แต่ข้ารู้สึกว่า เราทั้งสี่คนสามารถนั่งคุยกันได้"นางรู้อยู่แต่แรกแล้วว่า อวี่เหวินห่าวและอ๋องฉีอยู่ในตำหนัก จากที่นางได้คาดเดาตามสถานการณ์เอาไว้ จุดประสงค์ของทั้งคู่ที่มาหาอวี่เหวินห่าว นางรู้ว่าเพราะอะไรดังนั้น ฉู่หมิงชุ่ยถึงยืนอยู่ที่หน้าประตู ไม่เข้าไปด้านในเมื่อเห็นนางมา ก็หาเรื่องยั่วโมโห พูดโน่นพูดนี่ สร้างเรื่องทำให้นางโกรธ ทำให้นางต้องอับอายขายหน้าและถูกขับไล่ออกจากวัง และไม่ได้เข้าใกล้ไท่ซ่างหวงอีกต่อไป“ปล่อยข้านะ!” ฉู่หมิงชุ่ยไม่คิดว่านางจะทำเช่นนี้ หล่อนตกใจมาก พร้อมจับไปที่ข้อมือของหยวนชิงหลิงพยายามบังคับให้หยวนชิงหลิงปล่อยมือหยวนชิงหลิงมีความดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก หากคิดจะทำการสิ่งใดแล้ว แม้จะต้องเอาชีวิตเข้าแรกก็ยอมดังนั้นตลอดทางเข้าไปในตำหนัก เลือดก็หยด
หยวนชิงหลิงดูฉากนี้อย่างเย็นชา ในใจรู้สึกขบขันแทนที่จะโกรธคนสวยพูดแค่หนึ่งประโยค ก็ชนะนางที่โต้เถียงนับพันประโยคอย่างไรก็ตาม ความโกรธของอวี่เหวินห่าวค่อย ๆ จางหายไป ในท้ายที่สุด เขาก็สงบสติอารมณ์พูดกับอ๋องฉีว่า “พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”“ได้ พวกข้าไปก่อนนะ พี่ห้าอย่าทรงโกรธเลย ถือซะว่าฟังคำพูดของคนบ้า” อ๋องฉีกลัวว่าอวี่เหวินห่าวจะทุบตีพระชายาในวัง สร้างปัญหาต่อหน้าท่านพ่อ ซึ่งก็ยิ่งยากที่จะตามเก็บหลังจากพูดจบ เขาก็จับมือฉู่หมิงชุ่ยออกไปฉู่หมิงชุ่ยโกรธจนเลือดขึ้นหน้า จะให้กลับไปตอนนี้ได้ไงล่ะ? เรื่องนี้ยังไม่ได้พูดให้เข้าใจเลยนะเธอไม่ยอมที่จะหันกลับไปมองอวี่เหวินห่าวและพูดด้วยน้ำเสียงที่จุกอก “ข้าหวังว่าท่านอ๋องจะคืนความยุติธรรมให้แก่ข้า”อวี่เหวินห่าวกล่าวเล็กน้อย “พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”ฉู่หมิงชุ่ยไม่ได้รับการรับรอง รู้สึกหงุดหงิดและโกรธมาก แต่มันไม่ง่ายสำหรับนางที่จะแสดงท่าทีโกรธออกมา ทำได้แค่เดินตามอ๋องฉีกลับไปนางไม่กล้าแม้แต่จะย้อนกลับไปมองหยวนชิงหลิงอวี่เหวินห่าวดึงสายตากลับมองไปที่หยวนชิงหลิง ผู้ซึ่งถือปิ่นปักผมไว้ในมืออย่างแน่นหนา มวยผมของนางปล่อยสยาย ผมเผ้ายุ่งเห
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม