“ถ้าอย่างนั้นตอนที่ท่านอ๋องนั้นออกมาจากหอคอยเหวินชาง ฟูเป่าลงมาด้วยหรือไม่?” กู้ซีถามอวี่เหวินห่าวส่ายหัว “ในเวลานั้นข้าเองก็ไม่ทันได้สังเกต”“ท่านฉลาดพอที่จะมีหัวคิด และก็รู้ว่าฟูเป่าเป็นสิ่งล้ำค่าของท่านปู่ ท่านจะบอกว่าท่านไม่ทันได้สังเกตได้อย่างไรกัน?”คำพูดของจักรพรรดิหมิงหยวนทิ่มแทงใจมาก แสดงให้เห็นว่าอวี่เหวินห่าวอยากจะประจบหวงไท่ซ่าง จึงเข้าหาสุนัขเพื่อเอาอกเอาใจ บรรยากาศในตำหนักตึงเครียดมากแม้แต่ไทเฮาก็ยังตกใจนางกล่าวว่า “ช่างเถอะ แค่สุนัขแค่ตัวเดียวทำไมถึงกับต้องโมโหลูกชายตัวเองถึงขนาดนั้นด้วย? ถึงเจ้าห้าจะพาขึ้นไปก็เถอะ ยังไรเสียเจ้าห้าเองก็คงไม่มีทางที่จะโยนลงมาได้หรอก เพราะเจ้าห้าเองก็รักฟูเป่าเหมือนกัน”ไทเฮามิทรงทราบเลยว่าจักรพรรดิหมิงหยวนมีความคิดอื่นในใจ คิดเพียงแต่ว่าจักรพรรดิหมิงหยวนทำให้เรื่องราวดูเป็นเรื่องใหญ่ แค่สุนัขตัวเดียวถึงกับขนาดเกลี้ยกล่อมให้ไท่ซ่างหวงสอบสวนเลยรึ เจตนาเพื่อที่จะให้เจ้าห้าเสียหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย?เมื่อไทเฮาเห็นว่าจักรพรรดิหมิงหยวนทรงเงียบลงแล้ว แต่สีหน้ายังคงดูโกรธเกรี้ยวอยู่ จึงหันไปหาไท่ซ่างหวงและกล่าวว่า “ไท่ซ่างหวง ท่านพูดอะ
เมื่อทุกคนพากันออกไปจากตำหนัก ไท่ซ่างหวงเหลือบมองไปที่ฉางกงกง ท่าที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ทำไมถึงยืนนิ่งเป็นท่อนไม้อย่างนั้นหล่ะ? ไม่เบื่อหรือไง? ฉางกงกงเหลือบมองหยวนชิงหลิงด้วยความน้อยใจ ตั้งแต่พระชายาฉู่เข้ามาอยู่ในวัง จนกระทั่งมาเป็นคนเฝ้าผู้ป่วย รู้สึกว่าไท่ซ่างหวงไม่เห็นความสำคัญของเขาเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เห็นแก่นางที่ได้ช่วยชีวิตฟูเป่าเอาไว้ฉางกงกงออกไปพร้อมกับไล่คนรับใช้ในตำหนัก และสั่งให้คนรับใช้ทุกคนห้ามเข้าไปวุ่นวายและห้ามส่งเสียงดังรบกวนไท่ซ่างหวงกวาดสายตามองหยวนชิงหลิง “สิ่งนั้นที่อยู่บนท้องของฟูเป่าคือสิ่งใดรึ?”“ตะขาบ…มั้งเพคะ” หยวนชิงหลิงตอบด้วยเสียงสั่นเครือเมื่อครู่ไม่มีใครจะจ้องไปที่ท้องของฟูเป่า เพราะตัวของฟูเป่าเต็มไปด้วยเลือดมีเพียงเจ้านายที่รักมัน ถึงได้สังเกตเห็นสิ่งนั้น“ยังจะไม่รีบพูดความจริงอีก? หรือต้องการให้เรียกเจ้าห้ามารับโทษก่อนเจ้าถึงจะยอมบอก” ไท่ซ่างหวงกล่าวอย่างหนักแน่นจะลงโทษเขาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง? ดีเสียอีกที่จะโบยเขา โบยสัก 30 ไม้ยิ่งดี หากเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าได้แก้แค้นแล้วแต่ทว่า นางไม่กล้าที่จะพูดเช่นนั้นออกมา ภายใต้สีหน้าที่เค
หยวนชิงหลิงส่ายหัว “หม่อมฉันมองไม่ออกหรอกเจ้าค่ะ”“เจ้าต้องสังเกตให้ดี ตราบใดที่ใจสงบพอ ดวงตาเจ้าจะมองเห็นอะไรบางอย่าง แววตาของปีศาจก็จะค่อย ๆ ออกมา ความโหดเหี้ยมของพวกมันไม่สามารถเก็บซ่อนได้ รอวันที่เจ้าเข้าใจ ข้าถึงจะบอกวิธีรับมือกับพวกมัน”หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจจริง ๆ “ในเมื่อพระองค์ทรงรู้ว่าใครเป็นคน ใครเป็นปีศาจ ทำไมพระองค์ไม่จัดการเพคะ”“เพราะไม่มีวันที่จะกำจัดให้หมดไปได้ง่าย ๆ เมื่อปีศาจถูกกำจัดไปแล้ว ก็จะมีปีศาจตนใหม่ขึ้นมาแทน ความทะเยอทะยาน จะเข้าครอบงำจิตใจของคน ส่วนข้าเหมือนคนที่รอวันตาย ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้แล้ว ที่สำคัญพวกเขาทั้งหมดเป็นคนในตระกูลอวี่เหวิน เป็นลูกหลานของข้า ฆ่าใครคนใดคนหนึ่ง ก็เหมือนตัดเนื้อตัวเอง”ไท่ซ่างหวงเมื่อพูดประโยคนี้จบแล้ว ก็ค่อย ๆ หลับตาลงหยวนชิงหลิงรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ล้วนแฝงไปด้วยความเศร้า ในเวลานี้เขาเป็นถึงไท่ซ่างหวงแห่งราชวงศ์ ผู้ที่มีอำนาจ และพระอิสริยยศฐานันดรสูงสุด น่าเสียดายที่พระองค์ไม่สามารถแม้แต่จะจัดการกับคนที่ทำร้ายพระองค์ได้ลง“เจ้าห้าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง น่าเสียดาย ตาบอด!” ไท่ซ่างหวงหลับตาแล้วพึมพำอีกประโยคหยวนชิงหลิงห่มผ
แต่ทว่า หยวนชิงหลิงกลับยืนอย่างเงียบแน่นิ่งแววตาสีหน้าท่าทางของนางดูไม่โกรธ เหมือนนางไม่สนใจแม้แต่น้อยฉู่หมิงชุ่ยไม่เชื่อว่านางจะไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ และยังคงยั่วโมโหหยวนชิงหลิงต่อ “เจ้าไม่อยากรู้เหรอ ว่าทำไมเขาถึงเอาเรื่องพวกนี้มาบอกข้า?”หยวนชิงหลิงคว้าข้อมือของนางอย่างรวดเร็ว ลากนางเดินเข้ามาในตำหนัก "อยากสิ แต่ข้ารู้สึกว่า เราทั้งสี่คนสามารถนั่งคุยกันได้"นางรู้อยู่แต่แรกแล้วว่า อวี่เหวินห่าวและอ๋องฉีอยู่ในตำหนัก จากที่นางได้คาดเดาตามสถานการณ์เอาไว้ จุดประสงค์ของทั้งคู่ที่มาหาอวี่เหวินห่าว นางรู้ว่าเพราะอะไรดังนั้น ฉู่หมิงชุ่ยถึงยืนอยู่ที่หน้าประตู ไม่เข้าไปด้านในเมื่อเห็นนางมา ก็หาเรื่องยั่วโมโห พูดโน่นพูดนี่ สร้างเรื่องทำให้นางโกรธ ทำให้นางต้องอับอายขายหน้าและถูกขับไล่ออกจากวัง และไม่ได้เข้าใกล้ไท่ซ่างหวงอีกต่อไป“ปล่อยข้านะ!” ฉู่หมิงชุ่ยไม่คิดว่านางจะทำเช่นนี้ หล่อนตกใจมาก พร้อมจับไปที่ข้อมือของหยวนชิงหลิงพยายามบังคับให้หยวนชิงหลิงปล่อยมือหยวนชิงหลิงมีความดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก หากคิดจะทำการสิ่งใดแล้ว แม้จะต้องเอาชีวิตเข้าแรกก็ยอมดังนั้นตลอดทางเข้าไปในตำหนัก เลือดก็หยด
หยวนชิงหลิงดูฉากนี้อย่างเย็นชา ในใจรู้สึกขบขันแทนที่จะโกรธคนสวยพูดแค่หนึ่งประโยค ก็ชนะนางที่โต้เถียงนับพันประโยคอย่างไรก็ตาม ความโกรธของอวี่เหวินห่าวค่อย ๆ จางหายไป ในท้ายที่สุด เขาก็สงบสติอารมณ์พูดกับอ๋องฉีว่า “พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”“ได้ พวกข้าไปก่อนนะ พี่ห้าอย่าทรงโกรธเลย ถือซะว่าฟังคำพูดของคนบ้า” อ๋องฉีกลัวว่าอวี่เหวินห่าวจะทุบตีพระชายาในวัง สร้างปัญหาต่อหน้าท่านพ่อ ซึ่งก็ยิ่งยากที่จะตามเก็บหลังจากพูดจบ เขาก็จับมือฉู่หมิงชุ่ยออกไปฉู่หมิงชุ่ยโกรธจนเลือดขึ้นหน้า จะให้กลับไปตอนนี้ได้ไงล่ะ? เรื่องนี้ยังไม่ได้พูดให้เข้าใจเลยนะเธอไม่ยอมที่จะหันกลับไปมองอวี่เหวินห่าวและพูดด้วยน้ำเสียงที่จุกอก “ข้าหวังว่าท่านอ๋องจะคืนความยุติธรรมให้แก่ข้า”อวี่เหวินห่าวกล่าวเล็กน้อย “พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”ฉู่หมิงชุ่ยไม่ได้รับการรับรอง รู้สึกหงุดหงิดและโกรธมาก แต่มันไม่ง่ายสำหรับนางที่จะแสดงท่าทีโกรธออกมา ทำได้แค่เดินตามอ๋องฉีกลับไปนางไม่กล้าแม้แต่จะย้อนกลับไปมองหยวนชิงหลิงอวี่เหวินห่าวดึงสายตากลับมองไปที่หยวนชิงหลิง ผู้ซึ่งถือปิ่นปักผมไว้ในมืออย่างแน่นหนา มวยผมของนางปล่อยสยาย ผมเผ้ายุ่งเห
อวี่เหวินห่าวหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารที่เย็นชืด เงยหน้าขึ้นพูดกับนางด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ“ถ้าอยากจะสู้? กินให้อิ่มมีแรงแล้วค่อยมาสู้” หยวนชิงหลิงรู้แล้วว่าตัวเองเข้าใจเขาผิดไป จึงรู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง เธอนำปิ่นปักผมปักบนมวยผมแล้วนั่งลงจริง ๆ แล้วเธอเองก็รู้สึกหิวจนไส้กิ่ว ตั้งแต่มาถึงที่นี้ เธอก็รู้สึกหิวอยู่ตลอดเพราะในใจยังรู้สึกหวาดระแวงอยู่ตลอด เธอกินไวมากกินอย่างตะกละตะกลามอวี่เหวินห่าวกินข้าวอย่างเชื่องช้า สีหน้ายังคงเคร่งขรึม แต่เห็นได้ชัดว่าเขาดูเงียบสงบลงเป็นพิเศษ ทว่าความเงียบสงบนี้ทำให้รู้สึกราวกับว่าเขามีแผนการอะไรซ่อนอยู่หยวนชิงหลิงกินข้าวหมดในชั่วอึดใจ หลังจากนั้นเธอก็เดินเข้าไปที่หลังฉากกั้น ฉีดยาให้ตนเองและกินยาฉากกั้นที่ทอขึ้นด้วยผ้าไหมนั้นโปร่งแสง อวี่เหวินห่าวมองเห็นได้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ข้างในเขาจับตาดูอย่างจริงจัง หลายวันมานี้ทุกอย่างดูสูญเสียการควบคุม หยวนชิงหลิงเปลี่ยนไป เกิดอะไรขึ้นถึงเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้เขาจดจ่อกับความคิดราวกับติดอยู่ในวังวนแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากทำให้ท่านปู่ดีขึ้น เขาก็ไม่ติดใจอะไรการเปลี่ยนแปลงของหยวนชิงหลิงตอนกลับจวนก
ข้างเตียงมีเบาะนุ่มรองอยู่ ซึ่งมันทำให้หยวนชิงหลิงคุกเข่าสบายขึ้น ไท่ซ่างหวงรู้ว่านางได้รับบาดแผล หยวนชิงหลิงที่บาดเจ็บจนนั่งลงไม่ได้ การนั่งคุกเข่าคือวิธีสบายที่สุดแล้ว ดังนั้นจึงได้ให้ฉางกงกงเตรียมเบาะนุ่มรองเอาไว้ให้ หยวนชิงหลิงเมื่อคุกเข่านั่งลงเรียบร้อยแล้ว อยู่รับใช้ในวังมาสามวัน จึงพอรู้อุปนิสัยใจคอของไท่ซ่างหวง ชอบทำตัวเป็นอาจารย์สั่งสอนบทเรียน ไม่ยอมรับคำอธิบายและคำโต้เถียงด้วยแน่นอน มันเริ่มขึ้นแล้ว“เจ้ารู้สึกว่าการที่ข้าให้เจ้าเรียนรู้ต่อการอดทนอดกลั้นนั้น ทำให้เจ้าเป็นคนโง่เง่าไหม?”หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “หม่อมฉันไม่เคยคิดเช่นนั้นเพคะ”“ไม่เคยคิด? ข้าเห็นชัดว่าเจ้าคิด ในใจเจ้านั้นไม่พอใจ เจ้าคิดว่าหากเกิดเรื่องที่ไม่ยุติธรรมก็ต้องพูดออกมา จะยอมความไม่ได้”จริง ๆ หยวนชิงหลิงก็ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น ดังนั้นเธอส่ายหน้าแรงขึ้น “จริง ๆ เพคะ หม่อมฉันไม่เคยคิดเช่นนั้น”ไท่ซ่างหวงใช้หลังมือเคาะขอบเตียงและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “แล้วเจ้าจะอายอะไรอีก ทุกคนต่างก็คิดแบบเดียวกัน ตอนสมัยข้ายังเด็กข้าเองก็คิดเช่นนั้น ข้าเจออุปสรรคมานับไม่ถ้วนจึงได้เข้าใจในสัจธรรม ตอนเจ
แสงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ อาบไล่ไปทั่วตำหนัก จนตอนนี้ก็ยังไม่พบว่าอวี่เหวินห่าวเข้าวังหยวนชิงหลิงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่บ้าง วันนี้ผ่านไปได้อย่างเงียบสงบ ตั้งแต่นางทะลุมิติมาอยู่ที่นี่ ไม่เคยมีวันไหนที่สงบเท่าวันนี้มาก่อน ตกดึกหลังจากช่วยฟูเป่าล้างแผลเสร็จ ฉางกงกงก็พานางกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักซีหน่วน หยวนชิงหลิงออกจากตำหนัก เห็นเกี้ยวเสด็จขององค์จักรพรรดิหมิงหยวนมาถึงหน้าประตูตำหนักแล้ว นางลังเลอยู่ว่าจะกลับตำหนักเลยดี หรือว่าจะรอให้ฮ่องเต้เข้าเฝ้าถวายบังคมให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกลับ ถึงหน้าตำหนักแล้วกลับหันกายกลับไป? หรือว่ามีเรื่องให้เกิดขึ้น?หยวนชิงหลิงเดินใจลอยกลับถึงตำหนักซีหน่วน นางข้าหลวงสี่ เข้ามาเปลี่ยนยาให้นาง หยวนชิงหลิงเช็ดตัวด้วยน้ำร้อน ล้างหน้า ทั้งตัวรู้สึกสบายขึ้นมากนางกินยาแก้อักเสบ กลับไปที่เตียงแล้วนอนหลับไปหลายวันมานี้ที่กินยาแก้อักเสบอยู่ตลอด มันทำให้นางรู้สึกง่วงซึม อยากนอนอยู่ตลอดเวลา เปลือกตาก็ลืมแทบไม่ขึ้นแล้วถึงกระนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่า ฮ่องเต้ทำไมมาแล้ว แล้วก็กลับไปซะอย่างนั้นดึกดื่นค่ำคืน นางข้าหลวงสี่เข้ามาปลุกนางหยวนชิงหลิงขยี้ตา เห็นนางข้าหลวงสี่ถ