จักรพรรดิหมิงหยวนลุกขึ้นยืน “เสด็จพ่อ งั้นเรื่องนี้ก็...”ไท่ซ่างหวงหันกายออกไป “ใครจะไปรู้? แต่ข้าได้ยินมาว่าเดิมทีจิ้งโฮ่วจะเอาลูกสาวไปแต่งเป็นภรรยาฮุ่ยติ่งโฮ่ว จิ้งโฮ่วคนนี้ก็เป็นคนที่น่าสนใจเสียจริง ถ้าให้พูด มีเวลาเจ้ามองสถานการณ์ในราชสำนักไม่ชัดเจน ก็จะเห็นเพียงคนประเภทจิ้งโฮ่ว พวกเขาก็จะกระดิกหางไปมา คน ๆ นี้ใครก็ต้องเป็นคนที่แย่มากๆ ”จักรพรรดิหมิงหยวนรู้สึกถ่มถุยจิ้งโฮ่วจากของก้นบึ้งหัวใจ เป็นญาติกับคนแบบนี้ ช่างน่าขายหน้าเสียจริงจักรพรรดิหมิงหยวนโค้งคำนับแล้วทูลลามารอบนี้ ในใจก็เข้าใจกระจ่างชัดดูเหมือนว่า เขาประเมินเจ้าห้าต่ำเกินไปจิ้งโฮ่วอยากจะเอาลูกสาวไปแต่งกับฮุ่ยติ่งโฮ่ว พระชายากับน้องสาวผูกพันลึกซึ้ง เพื่อนางจึงไม่ลังเลเลยสักนิด เจ้าห้าสบโอกาสนี้ใช้หักแขนข้างหนึ่งของตระกูลฉู่ เมื่อคิดเช่นนี้ ไฟโกรธเกรี้ยวก็มอดลงไปกว่าครึ่ง แล้วเมื่อคิดดูก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่เพิ่งเกิดขึ้นทำให้คนรู้สึกยินดีจริง ๆในใจของจักรพรรดิหมิงหยวนรู้สึกมีความสุข รับสั่งให้พระราชทานอาหารอันโอชะและเครื่องประดับจำพวกไข่มุกพลอยมากมายให้แก่พระชายาฉู่ โดยใช้พระเมตตาขององค์จักรพรรดิ เพื่อ
หยวนชิงหลิงมองดูการลดความอ้วนของอ๋องซุนที่สลายหายไป ของว่างสองจาน ซี่โครงแกะทอดจานนึง ยังต้องการเมนูผัดอีกสองอย่าง ข้าวขาวอีกหนึ่งถ้วย กินเสียจนน้ำก็ไม่มีเหลือ “พี่รองถ้าไม่พอ เรียกให้คนทำมาเพิ่ม” หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าเขายังมองจานเปล่าพวกนั้นอย่างโหยหา การกินไม่อิ่มแบบนี้มันน่าสงสารอ๋องซุนมองหยวนชิงหลิงอย่างจริงจัง “ไม่ต้องแล้ว ข้าต้องลดน้ำหนัก เจ้าต้องไม่ทำร้ายข้าแบบนี้”หยวนชิงหลิงรู้สึกทำอะไรไม่ถูก มีคนบอกว่าจะลดน้ำหนักมาหาเธอที่นี่แล้วก็กินข้าวไปชุดใหญ่ หลังจากนั้นก็บอกว่าเธอทำร้ายเขา“ถ้าอย่างนั้นพี่รองก็อย่ากินอีกเลย” หยวนชิงหลิงทำได้แค่พูดแบบนี้อ๋องซุนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าที่โศกเศร้าเสียใจ “ไม่ให้กินของว่างสองชิ้นของเจ้าแล้วหรือ? ทำไมถึงขี้งกแบบนี้?”“ไม่ใช่เพคะ...” หยวนชิงหลิงมองใบหน้าอ้วนกลมที่มองหน้าเธออย่างขุ่นเคืองใจ เธอปล่อยไหล่ลงแล้วพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ข้าจะบอกว่า วันนี้พี่รองเองก็กินไปพอควรแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมากินอีก”“พรุ่งนี้ทำของว่างอะไร?” อ๋องซุนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเปื้อนมันที่มุมปาก ถึงจะถามแบบเฉย ๆ ดูไม่มีอะไร แต่ในแววตาของเขาคาดหวังอย่างชั
ฉู่หมิงชุ่ยได้ยินคำพูดของพระชายาจี่ ในใจรู้สึกไม่ยินดีอยู่บ้าง แม้ว่าเป็นความหายนะที่ฮุ่ยติ่งโฮ่วเป็นคนก่อขึ้น แต่นี้เป็นเจตนาจงใจพูดต่อหน้านางนางไม่พูดไม่จา มองแค่เพียงหยวนชิงหลิงอย่างเงียบ ๆทั้งคู่เคยมีเรื่องขัดแย้งบาดหมางกันมาก่อน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องมาเสแสร้งต่อกัน แต่อ๋องฉีกำลังจะมา นางจ้องเขม่งเล็กน้อยอยู่ตรงนั้น ด้วยความสับสนพระชายาจี่ดูเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นมีชีวิตชีวา “ได้ยินว่าเสด็จพ่อทรงพระราชทานพ่อครัวหลวงสองคนมาที่จวนนี้ วันนี้พวกเรามากินข้าวด้วยกันดีไหม? นี่ก็นานมากแล้ว ที่พวกเราเหล่าสะใภ้ไม่ได้นั่งพูดคุยด้วยกัน” หยวนชิงหลิงพยักหน้า “ได้สิ!”เดิมทีทั้งสามคนก็ไม่ได้พูดคุยสนุกสนาน แต่พระชายาจี่หาเรื่องพูดได้เก่งจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศดูเย็นลงเลย นางดึงหยวนชิงหลิงเข้ามาในบทสนทนา ถามโน้นถามนี้ตลอด ทั้งเรื่องในจวนหรือนอกจวน รวมไปถึงการพูดถึงการรับใช้ไท่ซ่างหวง “ไท่ซ่างหวงทรงโปรดอะไรบ้าง? เจ้าตอนอยู่ที่พระตำหนักเฉียนคุนรับใช้ไท่ซ่างหวงยากไหม?”หยวนชิงหลิงรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาเล็กน้อยและกล่าวอย่างยิ้ม ๆ ว่า “ข้าเพียงแค่อยู่ในพระตำหนักรับใช้ไท่ซ่างหวงใน
หลังจากที่ผู้หญิงสองนั้นเดินออกไปแล้ว หยวนชิงหลิงพ่นหายใจยาว ๆ และกล่าวกับนางข้าหลวงสี่ด้วยความซาบซึ้งว่า “เจ้าได้ช่วยชีวิตข้าไว้”นางข้าหลวงสี่พูดอย่างเรียบเฉยว่า “พระชายาจี่เป็นคนลึกซึ้ง พระชายาก็พูดตอบโต้กับนางให้น้อย ๆ ไว้นะเพคะ”หยวนชิงหลิงพูดอย่างยิ้ม ๆ “นางลึกซึ้ง? ไม่รู้สึกเลย ออกจะดูเหลาะแหละไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวสักเท่าไหร่”นางข้าหลวงสี่ยิ้มเย้ยหยัน “เหลาะแหละ? นั้นมันแค่การเสแสร้งแกล้งทำออกมา”หยวนชิงหลิงตกตะลึง “แสร้งทำออกมา? ทำไมต้องเสแสร้งด้วย?”“คนเราล้วนมีด้านพรางตัวเพื่อปกป้องตัวเอง” นางเทน้ำชาให้หยวนชิงหลิงหนึ่งแก้วแล้วนั่งลงเล่าต่อ “พระชายาฉีเองก็คิดไปเอง ด้วยความเฉลียวฉลาดเล็กน้อยนั้น นางคิดว่าตัวเองสามารถควบคุมทุกอย่างได้ นางไม่เพียงก่อให้เกิดปัญหา แต่หากนางจะยืนกรานอย่างดื้อรั้น ก็คงเป็นเพราะนางคือคนตระกูลฉู่ แต่พระชายาจี่นั้นไม่เหมือนกัน พระชายาจี่เชี่ยวชาญเรื่องการเขียนมาตั้งแต่เด็ก ทรงรอบรู้ นางคือที่ปรึกษาเบื้องหลังของอ๋องจี่ พระชายารู้ไหมเพคะ ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของพระชายาจี่คืออะไร?”หยวนชิงหลิงถาม “อะไรเหรอ?”“ถึงแม้ว่านางจะเก่งกาจ แต่นางก็เต็มใจ
“เจ้าขอโทษนางได้หรือเปล่า?” อ๋องฉีถาม ฉู่หมิงชุ่ยมองมาที่เขา ในใจก่นด่าเขาว่าโง่เขลาตลอด แต่กลับทำได้เพียงพูดแล้วถอนหายใจ “แค่พูดคำขอโทษแล้วเรื่องมันจะจบเหรอ?” “คำขอโทษก็แค่คำที่พูดในเหตุการณ์นั้น ๆ พูดกันตามตรงคือเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า” อ๋องฉีคิดว่านางจะโกรธและรู้สึกผิดจริง ๆ กับสิ่งที่หุ้ยติ่งโฮ่วทำ พร้อมกล่าวด้วยความสบายใจฉู่หมิงชุ่ยตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ และเมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวเดินเข้ามาอีกครั้ง นางก็ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับต่ออวี่เหวินห่าว “ท่านพี่ห่าว ข้าขอโทษแทนท่านลุงของข้าด้วย ข้าไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำเรื่องแบบนั้นได้ โชคดีที่พระชายาไม่ได้เป็นอะไรมาก มิฉะนั้น ข้าคงรู้สึกผิดไปจนตาย”เสียงร้องไห้ของนางมีทั้งอารมณ์ตกใจและโกรธอวี่เหวินห่าวมองไปที่นางและพูดว่า “นางได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”เมื่อฉู่หมิงชุ่ยได้ยินแบบนี้ ในใจก็รู้สึกสับสนมาก แม้ว่าเขาจะหมดห่วงเรื่องของนาง แต่ก็ยังกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของหยวนชิงหลิง ด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น เขานั่งลงอย่างเหม่อลอย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ต
หยวนชิงหลิงไม่อยากออกมาร่วมมื้ออาหารนี้จริง ๆ เธอเองก็มีเหตุผล อาจพูดได้ว่าแผลของเธอนั้นเจ็บปวด หรือเป็นเพราะร่างกายเลยต้องการกินอาหารคนป่วย แต่เมื่อเธอนึกถึงสิ่งที่นางข้าหลวงสี่พูด เธอก็อยากจะสังเกตพระชายาจี้อีกครั้ง ดูว่านางเป็นคนที่ตีสองหน้าหรือเป็นเพียงคนที่มีหลายแง่มุมเมื่อเห็นนางมา อวี่เหวินห่าวดูแย่กว่าเมื่อวาน ท่าทางขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา “กินยาหรือยัง?” “กินแล้ว” หยวนชิงหลิงตอบรับ เธอกินยาของตัวเอง ยาที่หมอหลวงสั่งเหล่านั้น กินเข้าไปคำเดียว ก็หาเหตุผลต่าง ๆ นานาที่จะเททิ้ง “กินจริง ๆ ถึงจะดี พอข้าหันหลังกลับพบว่าเจ้าแอบเททิ้ง ถ้าเจ้ากล้าทำอีกก็ลองดู” อวี่เหวินห่าวขู่ด้วยเสียงต่ำ หยวนชิงหลิงหดคอ “ไม่กล้า” เขากำลังขู่จริง ๆ ซึ่งหยวนชิงหลิงก็รู้สึกผิดเช่นกัน แต่เมื่อฉู่หมิชุ่ยได้ยินสิ่งนี้ ดูเหมือนเป็นพูดสัพยอกหยอกเอิน หลังจากนั่งแล้ว อวี่เหวินห่าวอยู่ทางซ้ายของเธอ ฉู่หมิงชุ่ยอยู่ถัดจากอ๋องฉีทางด้านขวาของนาง ตามด้วยพระชายาจี้, อ๋องจี้, และอ๋องซุนคนใช้เข้ามารับใช้ระหว่างรับประทาน แต่อ๋องซุนโบกมือ “วันนี้เหล่าพี่น้องได้มาร่วมมื้ออาหารกันคงไม่จำเป็นต้องรับใช้แล้ว พวกเจ
อ๋องฉีเปล่งเสียงด้วยความตกตะลึง “ร่างกายไม่ตอบสนองกับยาเป็นไปได้เหรอ?” เขามองไปที่หยวนชิงหลิง “ถ้าอย่างนั้น พี่สะใภ้ห้าเข้ามาช่วยเถอะ” อวี่เหวินห่าวคว้าแขนหยวนชิงหลิงและกล่าวว่า “นำไปส่งที่ห้องเซียงก่อน ในจวนมีหมอหลวง แล้วสั่งให้หมอหลวงไปที่นั่น” “ได้!” อ๋องฉีกอดฉู่หมิงชุ่ยและเดินออกไป แม่นมฉีนำทางไป ทุกคนนั่งลงอีกครั้ง แต่ไม่มีอารมณ์จะกินแล้ว นอกจากอ๋องซุน พระชายาจี้ยิ้มและกล่าวว่า “ไม่คิดว่าพวกเขาจะแต่งงานกันไม่ถึงปี พวกเขาจะกระวนกระวายอะไรขนาดนี้” อ๋องซุนพูดไปด้วยกินไปด้วย “จะไม่ให้กระวนกระวายได้อย่างไร? พี่ชายของเรายังไม่มีลูกชายเลย” พระชายาจี้ยิ้ม ๆ “เช่นนั้น น้องรองคงต้องทำงานหนักขึ้นแล้วล่ะ” “ข้าทำได้แน่ พี่ใหญ่ก็คงทำงานหนักกว่านี้” อ๋องซุนใช้เวลาในการดูอ๋องจี้ “พี่ใหญ่คงเป็นกังวล?” ทันทีที่อ๋องจี้หยิบตะเกียบขึ้นมา เมื่อได้ยินแบบนี้ก็ค่อย ๆ วางลง และพูดอย่างเคร่งขรึม “ถ้าเจ้ามีความคิดเห็นใด ที่เกี่ยวกับข้าก็พูดมาตรง ๆ ไม่จำเป็นต้องเหน็บแหนม ข้าจำได้ว่าไม่เคยผิดใจอะไรกับเจ้ามาก่อน” “ไม่มี” อ๋องซุนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ข้าก็พูดแบบนี้มาตลอด เหน็บแหนมอะไร
อ๋องซุนมองดูจานเปล่าที่วางเต็มโต๊ะอย่างโกรธจัด ไม่ทันระวังจนกินหมด รู้สึกผิดอยู่ลึก ๆ ในใจ ว่าหยวนชิงหลิง “ข้าบอกให้เจ้าเตรียมอาหารแค่สามอย่าง ทำไมต้องเตรียมเยอะขนาดนี้? เจ้านี่ช่างเป็นคนฟุ่มเฟือย ขูดเลือดขูดเนื้อผู้คน เจ้านี่เป็นหนอนดูดเลือด" ว่าเสร็จ ก็เดินพุงกางกลับไป หยวนชิงหลิงถูกว่าโดยไม่มีเหตุผล ตกตะลึงและพูดว่า “ใครบอกให้เจ้ากินเยอะขนาดนี้ล่ะ?” เธอไม่ได้เป็นคนที่กินเยอะที่สุด ทำไมเธอถึงเป็นหนอนดูดเลือด? ต้องเป็นเขาไม่ใช่เหรอ? เธอมองไปที่อวี่เหวินห่าว “น้องรองของท่านมีปัญหาทางสมองหรือเปล่า?” อวี่เหวินห่าวดูสงบและผ่อนคลาย “ใช่” หากเป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร เธอจะไม่ถือสาโกรธคนที่มีปัญหาทางสมองหรอก แม่นมฉีออกมารายงาน “อ๋องฉีและพระชายาฉีกลับไปแล้ว จึงสั่งให้หม่อมฉันมากราบทูล” หยวนชิงหลิงถามเป็นมารยาท “พระชายาฉีไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วใช่ไหม?” แม่นมฉีกล่าวว่า “หมอหลวงกล่าวว่าพระชายาฉีแค่หงุดหงิดและรู้สึกไม่สบายใจเพียงชั่วครู่ กลับไปพักฟื้นสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว” หยวนชิงหลิงมองไปที่อวี่เหวินห่าว อวี่เหวินห่าวลุกขึ้นเดินออกไปโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรเลย หยวนชิงหลิงยักไหล่