หรงจือจือค่อย ๆ ยิ้มออกมา นางกล้าที่จะพูดถึง ‘ความผิด’ของตนเองต่อหน้าของนางถาน แต่ไม่รู้ว่านางถานจะยินดีฟังหรือไม่ตลอดทางที่กลับถึงจวนโหว ฉีจื่อฟู่เหมือนกับนกหัวขวานที่ปากยื่นยาว พูดมาก ถึงขนาดพูด‘เหตุผล’มากมาย แต่ไม่มีสักประโยคที่หรงจือจือรู้สึกเข้าหูล้วนเป็นคำพูดที่ไร้จิตใจ เนรคุณ แต่กลับยังพูดออกมาได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ฟังแล้วไม่น่าพอใจสักนิดหรงจือจือจึงผล็อยหลับไปเสียเลยในขณะที่ฉีจื่อฟู่พูดอยู่ ก็เห็นหรงจือจือหลับไปแล้ว ใบหน้าที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ เพียงแค่เห็นใบหน้าของนางที่ผล็อยหลับไป หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัวใบหน้าที่งามล่มเมืองเช่นนี้ นางไม่จำเป็นต้องอวดโอ้ความงาม เพียงแค่นั่งหลับตาเงียบ ๆ ก็ทำให้คนจิตใจฟุ้งซ่านได้แล้วเขายื่นมือออกไปลูบใบหน้าของหรงจือจืออย่างอดไม่ได้ในเวลานี้รถม้าก็หยุดลงอย่างกะทันหัน หรงจือจือได้สติกลับมาคนบังคับรถม้าด้านนอกกล่าว “ซื่อจื่อ ฮูหยินซื่อจื่อ ถึงแล้วขอรับ”หรงจือจือมองฉีจื่อฟู่ที่มือยื่นอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าประหลาดใจ กล่าวเสียงเรียบ “ท่านพี่กำลังทำอะไรหรือ?”ฉีจื่อฟู่รีบหดมือกลับทันที เขาจะให้หรงจือจือรู้ถึง ความใส่ใ
ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า กลับกลายเป็นบุญวาสนาของตนไปเสียแล้วนางถานพ่นลมหายใจ “เจ้าต้องรู้จักรักษาเอาไว้ ปรนนิบัติลูกชายของข้าดี ๆ! ลูกชายของข้า ต้องนอนอยู่ที่ห้องหนังสือในเรือนของเขามาหลายวันแล้ว ถ้าหากเจ้ารู้ความ ก็ขอร้องเขาดี ๆ ให้เข้าไปนอนที่ห้องของเจ้า ทำเช่นนี้ก็ถือเป็นหน้าเป็นตาของเจ้าด้วยเช่นกัน”หรงจือจือไม่ต้องการหน้าตาแบบนี้เลยสักนิดเดียวเมื่อนางถานเห็นว่าหรงจือจือไม่รีบรับปาก ก็พูดด้วยความไม่พอใจ “ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะว่าเจ้า อันที่จริงเจ้ามีชีวิตอยู่ในความสุขแต่ไม่เห็นค่าของความสุข เสน่ห์ของลูกชายข้า แม้แต่องค์หญิงแห่งแคว้นเจายังต้านไม่ได้”“ไม่มีงานแต่งไม่มีสินสอด นางก็ยอมถวายตัวให้ลูกชายข้า สามีที่โดดเด่นเช่นนี้ ตอนนี้อยู่ตรงหน้าของเจ้าแล้ว เจ้ายังมีอะไรไม่พอใจอีกหรือ?”ถึงอย่างไรฉีจื่อฟู่ก็อยากได้หน้า จึงกล่าวขึ้น “พอแล้ว ท่านแม่ คำพูดพวกนี้ไม่ต้องพูดอีก จือจือมาเพื่อจะขอโทษท่าน พวกเราพูดธุระกันเถอะ”ไม่แต่งงานไม่มีสินสอด อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าโอ้อวดอะไร เขาก็ไม่อยากจะให้ใครพูดถึงบ่อย ๆตอนนั้นที่อยู่กับอวี้ม่านหวา ฉีจื่อฟู่คิดเพียงแค่ตนเป็นบุรุษที่ประสบความส
ตอนนี้นางถานคิดว่า นับตั้งแต่ที่ลูกชายของตนกลับมายังแคว้นต้าฉี ชีวิตของตนก็ทุกข์ทรมานขึ้นเรื่อย ๆ ถูกยั่วโมโหจนหัวใจจะวายทุกวัน ไม่มีวันไหนที่จะได้สบายใจ!แต่นางจะโทษลูกชายของตนเองได้อย่างไร แน่นอนว่าต้องนำเรื่องทั้งหมดนี้ ไปโยนให้ภรรยาแพศยาอย่างหรงจือจือนางถานในเวลานี้สั่นระริกไปทั่วทั้งตัว ด่าว่าต่อ “หากทำให้แม่สามีอย่างข้าต้องโมโหตาย ในใจของเจ้าคงจะมีความสุขมากใช่หรือไม่?”หรงจือจือเยาะหยัน “ท่านแม่ จือจือปฏิบัติตามเจตนาของท่านพี่ สารภาพความผิดของตนเอง อันที่จริงก็เพื่อปลอบโยนจิตใจของท่านแม่ มีความคิดที่อยากจะยั่วโมโหท่านแม่ที่ไหนกัน?”นางถานโมโห ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้น “มีผู้ใดเขาปลอบใจเช่นเจ้าบ้าง? หากคำพูดเหล่านี้ ทำให้ข้ารู้สึกว่าเป็นการปลอบใจได้ เช่นนั้นหากหัวใจของข้าเป็นมหาสมุทร ก็คงจะกว้างเกินไป กว้างจนไปถึงแคว้นใกล้เคียงแล้ว!”หรงจือจือขมวดคิ้ว “แต่ท่านแม่ นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ลูกนึกความผิดเรื่องอื่นของตนเองไม่ออกแล้วจริง ๆ หรือว่าท่านแม่อยากจะฟังลูกพูดอะไรที่ขัดแย้งกับความตั้งใจอย่างนั้นหรือ? แต่คำขอโทษที่ไม่จริงใจ คิดว่าท่านแม่ก็คงจะไม่ต้องการเช่นกัน”นางถานกล่าวในใจ
ตามหลักแล้ว ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังคำพูดนี้ของนาง ย่อมรู้ว่านางกำลังไม่พอใจเดิมนางคิดว่าหรงจือจือฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว จะยอมอ่อนข้อ ถึงอย่างไรก็อยู่ต่อหน้าของลูกชาย มีหรือที่นังแพศยาคนนี้จะไม่กลัวจริง ๆ ว่าตนจะไม่ยอมให้นางนวดศีรษะให้ จนทำให้ความประทับใจของลูกชายที่มีต่อนางแย่ลงยิ่งกว่าเดิม?แต่นางคิดไม่ถึงว่าเมื่อหรงจือจือฟังจบ ก็โค้งตัวทันที กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “ในเมื่อท่านแม่ไม่ต้องการ ถ้าอย่างนั้นลูกขอตัวกลับก่อน”นางถาน “???”นางพูดว่าไม่ต้องการอย่างนั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่นางพูดคือ ถูกนังแพศยาคนนี้ทำให้โมโห หากฉลาดสักหน่อย สิ่งที่ควรทำคือขอโทษตน ง้อตนไม่ใช่หรือ?เมื่อเห็นหรงจือจือพูดจบ หันหลังแล้วเดินออกไปนางถานก็กล่าวด้วยความโมโห “หยุดเดี๋ยวนี้!”หรงจือจือชะงักฝีเท้า หันหน้ากลับไปมองนางถาน “ท่านแม่ มีอะไรหรือ?”เมื่อเห็นนางแสร้งโง่แบบนี้ ยังถามตนว่ามีอะไรอีก นางถานก็โมโหจนแทบอยากจะลุกขึ้นไป แล้วข่วนหน้าของหรงจือจือให้ลายแต่ฉีจื่อฟู่เกรงว่าหากมีเรื่องกันต่อไปแบบนี้ เรื่องที่จะนวดศีรษะให้ท่านแม่ ก็คงจะดำเนินต่อไปไม่ได้จริง ๆจึงกล่าว “พอแล้ว จือจือ! ท่านแม่พูดเพราะแค
ความเจ็บปวดประเภทนี้ ทำให้นางถานค่อย ๆ จำได้ว่า อันที่จริงตอนนั้นที่นางเริ่มสังเกตเห็นถึงอาการปวดหัวของนาง นอกจากเหมือนกับมีคนกระแทกที่บริเวณหัวภายนอกแล้ว ยังรู้สึกเหมือนมีพลั่ว มาคนอยู่ในหัวสมองของนางพร้อมกันเมื่อสามปีก่อน เป็นหรงจือจือที่คอยนวดและฝังเข็มให้ตนเป็นประจำทุกวัน ความเจ็บปวดภายในหัวถึงได้หายไปอย่างช้า ๆ เหลือไว้เพียงอาการปวดหัวด้านนอกเท่านั้นเพียงแต่บัดนี้ทันทีที่ถูกหรงจือจือนวดแบบนี้ ไม่รู้เป็นเพราะจินตนาการของนางหรือไม่ นางถึงรู้สึกว่าความรู้สึกปวดที่เหมือนกับถูกคนในหัวสมองที่คุ้นเคยก่อนหน้านี้ กลับมาอีกแล้วความเจ็บปวดจากแรงกดดันภายนอก ทำให้นางรู้สึกทรมานเป็นอย่างยิ่งหรงจือจือแสร้งทำเป็นสงสัย “ไม่น่าหรอกกระมัง? จะเจ็บกว่าเดิมได้อย่างไรกันนะ? เมื่อก่อนนี้ข้าก็นวดให้ท่านแม่แบบนี้นี่นา”แน่นอนว่าต้องเจ็บกว่าเดิม เพราะวิธีการของนาง กำลังช่วยนางถานฟื้นคืนความเจ็บปวดก่อนหน้านี้อย่างช้า ๆความรู้สึกที่ภายในหัวสมองถูกคน กว่าจะนวดให้นางถานหายดี นางใช้เวลาถึงสามปีเต็ม ๆ แต่หากคิดอยากจะทำให้อาการกำเริบอีกครั้ง ใช้เวลาสามวันก็เพียงพอแล้ว นี้เป็นการทำให้ป่วยหนักอย่างกะทันหั
เจาซี “คุณหนู เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?”หรงจือจือ “ท่านพ่อกล่าวว่า เมื่อวานนี้ที่พาฉีจื่อฟู่กลับไปที่สกุลหรง มีประโยชน์จริง ๆ สุขภาพของท่านย่าดีขึ้นมาก อาจารย์หมอเทวดากล่าวว่า เขาจะฝังเข็มให้ท่านย่าด้วยตัวเองสามวัน ท่านย่าก็จะดีขึ้นมาก”เจาซีดีใจจนออกนอกหน้า “นั่นก็หมายความว่า หลังจากนี้สามวัน นายท่านก็จะสามารถบอกเรื่องที่ท่านจะหย่า ให้นายหญิงใหญ่ฟังได้แล้ว และมารับท่านกลับจวนใช่หรือไม่เจ้าคะ?”ในที่สุดก็ใกล้จะได้เงยหน้าอ้าปากเสียที การใช้ชีวิตอยู่ที่สกุลฉีนี้ เจาซีไม่สามารถทนต่อไปได้อีกแม้แต่วันเดียวแล้วทุกครั้งที่นางรู้สึกว่าคนสกุลฉีน่าขยะแขยงเต็มทน คนสกุลฉีมักจะใช้คำพูดและการกระทำของพวกเขา เพื่อทำให้เจาซีเข้าใจอย่างรวดเร็วว่า พวกเขามีความสามารถที่จะทำให้คนสะอิดสะเอียนได้ยิ่งกว่านี้หรงจือจือกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ถูกต้อง!”เมื่อคิดว่าท่านย่าใกล้จะหายดีแล้ว และคิดว่าตนต้องอยู่ที่สกุลฉีอีกแค่สองสามวันเท่านั้น ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้อยู่หลายวัน นางก็อารมณ์ดี เมื่อวานนี้ต้องอดทนต่อรังเกียจพาฉีจื่อฟู่กลับไปที่สกุลหรง แต่ผลลัพธ์กลับคุ้มค่าเจาซี “ยอดไปเลยเจ้าค่ะ!
หรงจือจือไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่ยิ้มฉีอวี่เยียนเห็นรอยยิ้มของนาง ก็โมโหมาก “ท่านยิ้มอะไร?”นางถานกล่าวอย่างไม่พอใจเช่นกัน “นางหรง วันข้างหน้าลูกสาวของข้าจะเป็นฮูหยินแห่งจวนอ๋องแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าอาจเอื้อมไม่ถึง นางให้โอกาสเจ้าได้ใกล้ชิด เจ้ายังไม่รู้จักเห็นคุณค่าอีกหรือ?”หรงจือจือเหลือบตามองนางถานแวบหนึ่ง เกรงว่าแม่สามีคงจะเป็นโรคความจำเสื่อมหากจวนอ๋องเฉียนเป็นสิ่งที่ตนอาจเอื้อมไม่ถึง ก่อนหน้านี้ตนจะไปคุยเรื่องการแต่งงานครั้งนี้กับพระชายาอ๋องเฉียนถึงที่จวนได้หรือ? ลูกสาวของนางอาศัยบารมีของตนทั้งนั้นตอนนี้กลับเริ่มถีบหัวส่ง และดูถูกตนแล้ว?นางวางแผนผลักจะฉีอวี่เยียนที่ข้ามแม่น้ำสำเร็จแล้ว กลับลงไปในแม่น้ำ จึงกล่าวช้า ๆ “ท่านแม่กล่าวถูกต้อง”นางถานไม่พอใจขึ้นมาทันที รู้สึกว่าช่วงนี้แค่เห็นหรงจือจือก็หงุดหงิดรถม้ามาถึงจวนอ๋องเฉียนแล้ว คนใช้ที่อยู่ด้านในพาพวกหรงจือจือทั้งสามคนเดินเข้าไปด้านใน ตอนนี้มีผู้หญิงมาถึงจำนวนไม่น้อยแล้วเมื่อเห็นว่าครอบครัวของนางมาถึง ก็พากันทำสีหน้าสอดรู้สอดเห็นเรื่องที่ฉีจื่อฟู่ลดตำแหน่งภรรยาเอกเป็นอนุครั้งก่อน ผู้ใดบ้างที่ไม่รู้?นางถานถูกมอ
นางถานสีหน้าโกรธเคือง “เหลวไหล คนนอกกำลังใส่ร้ายข้า!”นางเซี่ย “ดี ถ้าอย่างนั้นท่านแม่ยายลองว่ามา สามพิธีการ ห้าคัมภีร์ แบ่งออกเป็นอะไรบ้าง? ชวีหลี่กับจงยงอยู่ในเล่มใดของสามพิธีการ? แล้วอยู่บทที่เท่าไหร่ของหนังสือ?”สีหน้าของนางถานอึดอัดยิ่งกว่าเดิม “คือ คือ...ข้าจำไม่ได้แล้ว!”นางเซี่ยหัวเราะอย่างเย็นชา “เฮอะ เจ้าจำไม่ได้เสียที่ไหนกัน ข้าว่า เจ้าน่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำ แม่ยายที่ไม่ได้เรียนหนังสือเช่นเจ้า จะสั่งสอนลูก ๆ ได้อย่างไร? เหตุใดลูกชายข้าถึงได้โชคร้ายขนาดนี้ ถึงต้องมาหมั้นหมายกับลูกสาวของสกุลเจ้า!”นางเซี่ยเกิดในตระกูลใหญ่ ข่าวสารรวดเร็ว รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านางถานไม่เรียนหนังสือ ถึงได้จงใจหาข้ออ้างนี้มาแสดงนางจึงพูดอย่างไม่เกรงใจ จนนางถานเก้อเขินฉีอวี่เยียนยิ่งอับอายหนัก ถึงขนาดมองนางถานด้วยสายตาดุร้ายแวบหนึ่ง แอบโทษที่ท่านแม่ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ สิ่งที่ทำให้นางสุดจะทนไหวก็คือ ตนก็จำไม่ได้ว่าอยู่ในบทที่เท่าไหร่ของจงยง ไม่อย่างนั้นยังพอแอบเตือนได้ในฐานะที่นางเจียงเป็นเพื่อนสนิทของนางเซี่ย รู้ถึงจุดประสงค์ในวันนี้ของนางเซี่ยตั้งแต่แรกแล้ว จึงกล่าวอย่างให้ความร่วมมือ “ก็ใช่
แต่เขาคิดจนหัวแตก ก็ไม่เกิดประโยชน์แม้แต่น้อย คนยังคงไม่สามารถขึ้นไปอยู่บนเตียงหลังเดียวกับหรงจือจือ รู้สึกเพียงว่า ในใจของตนกระวนกระวายอย่างที่สุด ปากคอยิ่งแห้งผากกว่าเดิม อวี้ม่านหวารับรู้ได้ว่า ใจของเขาไม่อยู่ที่นี่ จึงกล่าวด้วยหยาดน้ำตาที่ขังคลอในเบ้าตาว่า “ท่านพี่ หรือว่าท่านไม่ปรารถนาจะมาหาข้า? ถ้าเป็นแบบนั้น ท่านก็ไปหาพี่หญิง…ไม่สิ ท่านก็ไปหาฮูหยินซื่อจื่อเถอะ” พูดจบ ก็เริ่มซับน้ำตา ในอดีต ฉีจื่อฟู่มีความอดทนให้การปลอบนางอย่างมาก ทว่าวันนี้ ความคาดหวังอันเต็มอกที่จะได้ร่วมหอกับหรงจือจือถูกดับลงสิ้น จากที่เดิมที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว หนนี้ จึงขมวดคิ้วเหลือบตามองนางคราหนึ่ง แล้วถามอย่างประหลาดใจว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าแสร้งเป็นปวดท้อง เพื่อเรียกให้ข้ามาหรือ?” อวี้ม่านหวาถูกทำให้พูดไม่ออก ฉีจื่อฟู่รู้สึกว่านางช่างประหลาดนัก ปวดท้องอะไรกัน? เขาไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นเรื่องเท็จ กระทั่งลูกไม้เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานเล็กๆ พวกนี้ของนาง เขาก็มองไม่ออกอย่างนั้นหรือ? แล้วบัดนี้ ยังจะมาเล่นตัวเพื่อการใดอีก? อวี้ม่านหวาเริ่มหลั่งน้ำตา “ท่านพี่ฟู่ เหตุใดท่านจึงกล่าวกับข้าเช่นนี้? ข้าเป
ตงจื้อกล่าวอย่างคิดว่าตนมีเหตุผลว่า “แต่ข้าคิดว่า ซื่อจื่อ ท่านจึงจะเป็นดั่งฟ้าของฮูหยินซื่อจื่อมิใช่หรือขอรับ? ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าหรงจะสำคัญเช่นไร ก็ไม่มีทางสำคัญเท่าการทำให้ท่านเบิกบานใช่ไหมขอรับ?”เมื่อฉีจื่อฟู่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้ามืดมนลงแล้ว “ที่เจ้าพูดมาก็ถูก !”ตนเป็นสามีของจือจือ นางควรจะให้ความสำคัญกับตนเป็นอันดับแรกในทุกเรื่องชัดๆในเวลานั้นเอง ก็มีข้ารับใช้อีกคนเข้ามารายงานว่า “ซื่อจื่อ อนุอวี้บอกว่าท้องของนางรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง บอกให้ท่านไปอยู่เป็นเพื่อนนางขอรับ!”ฉีจื่อฟู่ “รู้แล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้! ในเมื่อหรงจือจือไม่รู้จักรับน้ำใจของผู้อื่น เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางเดียวดายไปเถอะ มีคนมากมายที่รักข้า ข้าก็มิใช่ว่าต้องเป็นนางเพียงผู้เดียวเสียหน่อย!“ชิวอี้ เจ้าจงส่งความไปบอกเรือนหลัน ให้ฮูหยินซื่อจื่อสำนึกตนให้ดี คิดดูว่าจะขอโทษข้าเช่นไร ไม่เช่นนั้น ถึงเวลาคลอดบุตรภรรยาเอกออกมาไม่ได้ ก็จงอย่าได้มาขอร้องข้าแล้วกัน!”ชิวอี้สั่นสะท้านขึ้นมา เหลือบมองตงจื้อคราหนึ่ง แล้วคุกเข่ากล่าวว่า “ซื่อจื่อ ไม่เช่นนั้นเปลี่ยนเป็นเด็กรับใช้รับหน้าที่ช่วยจัดการธุระต่างๆ ไปส่งข่าวดีไหมขอร
หรงจือจือมองไปที่ตงจื้อ ถามอย่างราบเรียบที่แฝงไปด้วยความเย็นชาและเย้ยหยันว่า “คำพูดที่บอกไม่ได้ข้าสวมชุดไว้ทุกข์ เป็นเจ้าหรือซื่อจื่อที่พูด?”ตงจื้อตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็กล่าวต่อว่า “เป็นข้าพูดเองขอรับ ฮูหยินซื่อจื่อ ข้าก็พูดไปเพื่อประโยชน์ของท่าน ข้า…”หรงจือจือกล่าวด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบว่า “ข้ารับใช้ในจวนนี้ ล้วนต่างก็ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้ว แต่ละคนต่างกล้ามาสั่งสอนข้า ว่าควรจัดการเรื่องราวอย่างไร คิดว่าครั้งก่อนที่โบยบ่าวรับใช้แซ่เฉินนั่นไป คงยังไม่พอจะเชือดไก่ให้ลิงดูกระมัง”ตงจื้องงแล้ว นี่ฮูหยินซื่อจื่อหมายความว่าอย่างไรกัน?หรงจือจือ “เด็กๆ! ลากออกไปโบยซะ! ครั้งก่อนสั่งสอนบ่าวแซ่เฉินนั่นเช่นไร วันนี้ก็จงสั่งสอนเขาเช่นนั้น!”ตงจื้อรีบกล่าวว่า “ฮูหยินซื่อจื่อ นี่ท่านกำลังทำสิ่งใดกัน? ข้าหวังดีต่อท่านจริงๆ นะขอรับ หรือท่านไม่อยากปรนนิบัติซื่อจื่อพักผ่อนแล้วหรือ? หากโบยข้า ซื่อจื่อจะต้องไม่พอใจแน่!”หรงจือจือคิดในใจว่า อย่างนั้นย่อมดีที่สุด ทางที่ดีให้ฉีจื่อฟู่ไร้ความสุขทุกคืน ไม่พอใจตนทุกวัน จะได้ไม่คิดถึงเรื่องร่วมเตียงกันที่น่าขยะแขยงแบบนี้อีกนางไม่แม้จะเงยหน้า ไม่ม
หรงจือจือ “ถูกแล้ว คำพูดพวกนั้น จะไม่ทำให้เจ้าพลอยเดือดร้อน และยังจะช่วยเจ้าให้พ้นผิดด้วย แต่หากเจ้าไม่วางใจ ไม่ยินดีช่วยก็ไม่เป็นไร ข้าจะไม่บังคับ”ทว่า ชุนเซิงกลับโขกศีรษะให้หรงจือจือครั้งหนึ่ง “ในตอนนั้น ชีวิตนี้ของข้าก็เป็นฮูหยินซื่อจื่อท่านที่ช่วยกลับมา ข้าจดจำพระคุณของท่านได้ ข้าเชื่อว่าท่านไม่มีทางทำร้ายข้า เรื่องนี้ข้าจะช่วยท่านขอรับ”หรงจือจือกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เช่นนี้ก็ดีนัก ลำบากเจ้าแล้ว”เจาซีก้าวเข้าไปเพื่อยัดตั๋วเงินให้ชุนเซิงแต่ชุนเซิงกับยืนกรานไม่ยอมรับ “ฮูหยินซื่อจื่อ เดิมบุญคุณที่ช่วยชีวิต ก็ควรตอบแทนอยู่แล้ว! และตอนนั้น ยังเป็นข้าที่บอกว่าตนเองก็อยากร่ำเรียนหนังสือ ท่านถึงได้จัดให้ข้าไปเป็นเด็กรับใช้เรื่องเรียนของคุณชายสี่”“เวลานี้ ข้าพอรู้อักษรอยู่บ้าง จึงเข้าใจหลักการและเหตุผลจำนวนหนึ่ง บุญคุณที่ท่านมีต่อข้า ดุจดั่งการให้กำเนิดใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ หากมอบเงินให้ข้า กลับจะเป็นการดูหมิ่นข้านะขอรับ”คำพูดของชุนเซิง มิได้อยู่เหนือความคาดหมายของหรงจือจือเลยเพราะหลายปีมานี้ แม้สัญญาขายตัวของเขาจะอยู่กับนางถาน ทว่า เรื่องของฉีจื่อเสียนนั้น ชุนเซิงก็มักมารายงา
เพียงแต่ตอนนั้น เมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีถูกกัด หลังคุณหนูตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องด้วยความตกใจของนาง ก็รีบดูบาดแผลให้เขา ทว่า ทันทีที่ท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินเอ่ยปากกลับพูดว่า ในป่ารกร้างเช่นนี้ถึงกับมีงูมากัดเขา แต่ไม่เอ่ยว่าเป็นเพราะช่วยคุณหนูเลยสักคำตอนนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็กำลังงีบหลับอย่างสะลึมสะลือ จึงไม่ทราบเรื่องนี้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และสังเกตเห็นเรื่องนี้ จึงมีเพียงเจาซีเท่านั้นในใจของเจาซีนั้น รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็มิได้เปิดโปงอย่างหุนหัน เพียงสอบถามเขาเป็นการส่วนตัวประโยคหนึ่งในภายหลัง ตอนส่งท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินจากไปว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายมีเจตนาใดกันแน่?”ท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินมิได้ตอบ เพียงกล่าวว่า “ขอแม่นางโปรดเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าได้บอกให้คุณหนูของเจ้ารู้”เจาซีคิดว่า น่าจะเป็นเพราะไม่ต้องการให้คุณหนูของนางเกิดภาระทางใจ จึงรับปากไปต่อมาท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินจึงได้จากไปพร้อมกับลูกน้องที่มารับเขาหรงจือจือมองเจาซีอย่างแปลกใจทีหนึ่ง “เหตุใจเจ้าจึงมั่นใจเพียงนี้?”เจาซีจึงได้สติกลับมา “นี่…”นางคิดว่า ในเมื่อตอนนั้นรับปากท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินไปแล
กล่าวจบ หรงจือจือก็สาวเท้าจากไปฉีอวี่เยียนดีใจจนแทบกระโดดขึ้นมา “ท่านแม่ นี่ดีเหลือเกิน ข้ายังกังวลว่าข้าจะได้แต่งงานไม่ดีแล้ว คิดไม่ถึงว่าพี่สะใภ้จะยังวางแผนให้ข้า”นางถาน “ล้วนเป็นเพราะลูกเสียนของข้าศึกษาตำรามา จึงไปเกลี้ยกล่อมนางได้สำเร็จ เจ้าต้องขอบคุณน้องเจ้าให้ดี!”ฉีจื่อเสียนได้หน้าก็ยิ่งยินดี แต่ในใจก็รู้สึกแปลกอยู่บ้าง เพราะวันนี้หรงจือจือไม่ไว้หน้าเขาเลยชัดๆ หรือว่ามาคิดได้เอาภายหลังกัน?ใช่แน่แล้ว คำพูดของตนมีเหตุผลจะตาย การที่หรงจือจือเชื่อฟังก็เป็นเรื่องสมควรแล้วฉีอวี่เยียนรีบกล่าวว่า “ต้องขอบคุณน้องชายแล้ว!”ซิ่นหยางโหวส่งขันทีอาวุโสหยางจากไป เมื่อกลับมาก็เห็นพวกเขากำลังเริงร่า เมื่อสอบถามจนรู้สาเหตุ ก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกทีหนึ่งจากนั้นก็มองฉีจื่อฟู่ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “จือจือกลับมาคิดเพื่อครอบครัวนี้อีกครั้ง คิดว่าในใจคงยังมีเจ้าอยู่ ในอนาคต เจ้าจงอย่างทำเรื่องโง่ๆ อีก คืนนี้ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนจือจือให้ดีๆ ซะ!”ฉีจื่อฟู่ “ขอรับ!”เขาจะไม่อยากนอนกับจือจือได้อย่างไร?อวี้ม่านหวากำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น แต่กลับไม่เอ่ยสิ่งใดแม้แต่คำเดียว……เมื่อกลับมาถึงเรือนหลัน
ในเมื่อเฉินเยี่ยนซูลงมือแล้ว หรงจือจือก็ไม่ใช่พวกไม่รู้ถึงความปรารถนาดีของผู้อื่นจึงหยิบยืมคำพูดของเฉินเยี่ยนซู มาทำให้อวี้ม่านหวาสงบเสงี่ยมลงหน่อยอวี้ม่านหวาก็หวาดกลัวจนหดร่างด้วยความสั่นสะท้านไปครู่หนึ่งจริงๆนางถานกล่าวด้วยความโมโหว่า “หรงจือจือ ในท้องของม่านหวา…”หรงจือจือราวกับไม่ได้ยินคำพูดของนางถาน มองไปที่ฉีอวี่เยียนนิ่งๆ “น้องสามี ข้าวางแผนว่าผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง จะจัดงานชมดอกไม้ในนามของท่านแม่ เจ้าคิดว่าอย่างไร? ส่วนเรื่องเทียบเชิญ ก็จะให้คนในเรือนของข้าไปส่งเอง”ตามกฎหมายของแคว้นต้าฉี หากบิดามารดาเสียชีวิต บุตรธิดาต้องไว้ทุกข์สามปี หากผู้เป็นปู่ย่าวายชนม์ ชนรุ่นหลานต้องไว้ทุกข์เป็นเวลาหนึ่งปีไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวที่แต่งงานออกไปแล้วหรือไม่ ล้วนเป็นเช่นเดียวกับยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหรงถึงแก่กรรม หรงจือจือจึงไม่สะดวกที่จะใช้ชื่อตนไปจัดงานเลี้ยงทุกประเภทเมื่อฉีอวี่เยียนได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาก็สว่างไสวขึ้นทันที “พี่สะใภ้ จริงหรือ?”ในแคว้นต้าฉี การจัดงานประชุมบทกวี เป็นการพบปะสังสรรค์ของเหล่าบัณฑิต ส่วนการจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้ ส่วนมากล้วนเป็นงานดูตัวที่เหล่าฮูหยินผู้สูงศักดิ์
หรงจือจือกำลังปวดหัวว่าไม่มีเหตุผลจะใช้อยู่ต่อ คาดไม่ถึงว่าจะมีคนส่งหมอนมาให้ตอนง่วงพอดีคำพูดเสแสร้งที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีของอวี้ม่านหวานี้ กลับเป็นการช่วยตนอีกแรง “อนุอวี้กล่าวได้ถูกต้องอย่างยิ่ง ในเมื่อยามนี้เจ้าก็เป็นอนุแล้ว ข้ายังจะจากไปทำไมอีก? เรื่องการหย่าร้าง ก็ให้ถือเสียว่าไม่เคยพูดถึงเถอะ”อวี้ม่านหวา “?”ไม่ใช่นะ นี่ เหตุใดจึงไม่เหมือนที่ข้าคิดไว้เล่า?ฉีจื่อฟู่ถอนใจอย่างโล่งอกทันที แม้ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของเขา ที่จะให้หรงจือจือเป็นอนุ แต่อย่างน้อย นางก็ไม่พูดถึงเรื่องการหย่าร้างแล้วหรงจือจือจับตามองสีหน้าที่เปลี่ยนไปด้วยความตระหนกของอวี้ม่านหวา “ที่สีหน้าของอนุอวี้ไม่น่ามองถึงเพียงนี้ หรือการที่ข้าอยู่ต่อ ทำให้เจ้าไม่พอใจแล้ว?”อวี้ม่านหวาฝืนยิ้มว่า “ไม่…ไม่ใช่! ในใจของท่านพี่ฟู่มีพี่หญิงอยู่ หากพี่หญิงจากไป ท่านพี่ฟู่จะต้องเสียใจแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น น้องจะหวังให้พี่หญิงจากไปได้อย่างไร?”เมื่อฉีจื่อฟู่ฟังจบ ก็เหลือบมองอวี้ม่านหวาอย่างตื้นตัน “ม่านหวา…”เมื่อเห็นพฤติกรรมอันน่าทุเรศของเขา เจาซีก็โมโหจนหน้าเขียวใจของหรงจือจือกลับสงบนิ่ง ไร้ระลอกคลื่น เพร
อวี้ม่านหวาจะคาดได้อย่างไรว่า ขันทีอาวุโสหยางผู้นี้ไม่เพียงมาประกาศราชโองการที่ทำจิตใจของตนหนักอึ้งหดหู่เท่านั้น แถมยังพูดถึงเรื่องความเป็นตายขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัวอีกเมื่อฟังคำพูดนี้ของอีกฝ่ายจบ นางก็หวาดกลัวจนท้องเริ่มปวดแปลบขึ้นมาแล้ว!นางถานรีบประคองนาง “องค์หญิง…”เมื่อขันทีอาวุโสหยางได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบมองนางถานอย่างไม่พอใจทีหนึ่ง “ฮูหยิน แคว้นเจาล่มสลายไปแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีองค์หญิงอันใดแล้ว หรือว่า จวนโหวของพวกท่านมีความคิดเป็นอื่น?”นางถานตกใจจนสะดุ้ง รีบกล่าวว่า “มิกล้า! ข้าแค่พูดผิดไปชั่วขณะเท่านั้น ขอหยางกงกงโปรดอย่าได้ถือสาเลย!”ขันทีอาวุโสหยางแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง สะบัดแส้ในมือทีหนึ่ง “เช่นนั้น ข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว!”ซิ่นหยางโหว “ข้าจะไปส่งกงกง!”ขันทีอาวุโสหยางก็ไม่ได้บ่ายเบี่ยง เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่า ซิ่นหยางโหวต้องการประจบตน บัดนี้ฉีจื่อฟู่ทำลายอนาคตตัวเอง หนทางเบื้องหน้าของจวนโหวจึงน่าเป็นห่วงรอจนพวกเขาออกไปแล้วฉีจื่อฟู่มองไปทางหรงจือจือ ขมวดคิ้วถามว่า “จือจือ เจ้ารู้จักท่านอัครมหาเสนาบดีหรือ?”หรงจือจือสงบความคิดลง นางก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า เฉินเยี่ยน