ถึงอย่างไรนางเซี่ยก็ไม่มีทางยอมให้ใครเป็นอะไรไปที่จวนของตนอย่างเด็ดขาด จึงบอกให้คนไปเรียกหมอประจำจวนมา ใช้การฝังเข็มที่บริเวณร่องตรงกลางริมฝีปากบนเพื่อปลุกฉีอวี่เยียนฉีอวี่เยียนที่ค่อย ๆ ได้สติ เมื่อเห็นว่าเรื่องทุกอย่างทำให้ตนยากที่จะยอมรับได้นั้น ไม่ใช่เพียงภาพมายาหรือความฝันชั่วขณะเมื่อเห็นบรรดาฮูหยินทั้งหลายที่อยู่ในงาน รวมถึงหญิงสาวจากตระกูลร่ำรวยบางคนที่นางคิดว่าอิจฉานาง ต่างก็พากันมองดูนางด้วยความสอดรู้สอดเห็นนางก็รู้สึกรับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง ร้องไห้กล่าวกับนางเซี่ย “พระชายาซื่อจื่อ ท่านจะยกเลิกงานแต่งงานได้อย่างไร! ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิด”นางเซี่ยเหลือบตา “น่าประหลาดใจจริง ๆ ข้าเพียงแค่เสนอให้เจ้าเป็นอนุ แต่แม่ของเจ้าต่างหากที่เป็นคนพูดว่าจะยกเลิกงานแต่งงาน เป็นอย่างที่คิดไว้แม่ที่ไม่รู้หนังสือของเจ้า ชอบทำอะไรแตกต่างจากชาวบ้านจริง ๆ ด้วย”“ข้ายังคิดว่า เจ้าจะแตกต่างกับแม่ของเจ้า คิดว่าเจ้าจะแตกต่างกับนาง เพราะว่าเจ้ารู้หนังสือ ให้ข้ารับเจ้าเป็นสะใภ้เช่นเดิม แต่ใครจะไปรู้ว่านางใช้เรื่องการยกเลิกงานแต่งงานมาข่มขู่ข้า ด้วยท่าทีร้อนตัวที่ไม่รู้หนังสือของพวกเจ้า“หรือว่า
นางเซี่ยยิ้มมองนางแวบหนึ่ง “เชื่อว่าเจ้าเข้าใจ ถึงเจตนาที่วันนี้ข้าทำแบบนี้”หรงจือจือวางตัวอย่างเหมาะสม “เข้าใจเจ้าค่ะ พระชายาซื่อจื่อวางใจได้”ทุกคนงุนงง แต่ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างรู้กันดี นางเซี่ยกำลังเตือนสติหรงจือจือ ‘เรื่องที่เจ้าให้ข้าช่วยจัดการ ข้าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว อย่าได้คิดเรื่องที่อยากจะแต่งงานกับบุตรชายของข้าอีก’ถึงแม้หรงจือจือจะไม่ชอบคำพูดเหล่านั้นที่นางเซี่ยพูดกับนางในวันนั้น แต่ก็จำต้องยอมรับว่า นางเซี่ยตอบสนองคำขอของนางได้ดียิ่ง อีกทั้งเดิมทีนางไม่ได้คิดอยากจะแต่งงานกับจีอู๋เหิงเลยด้วยซ้ำถึงแม้นางเจียงจะไม่เข้าใจความลับระหว่างนางเซี่ยกับหรงจือจือแต่เมื่อมองหรงจือจือ ก็ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง “น่าเสียดาย ที่เจ้าเป็นบุตรสาวของนาง ไม่อย่างนั้นข้าจะพูดเพื่อช่วยทวงความยุติธรรมให้เจ้า!”หรงจือจือมีหรือจะไม่เข้าใจ ว่านางเจียงกำลังหมายถึง เรื่องความไม่ลงรอยของอีกฝ่ายกับนางหวังมารดาของนางนางโค้งคำนับอีกครั้ง “เจตนาดีของท่าน ข้าได้จดจำเอาไว้ในใจแล้ว”นางเจียงเคยพูดแทนตนสองครั้งแล้ว มีหรือที่หรงจือจือจะไม่ซาบซึ้งใจ?นางเจียงยิ้ม “เป็นเรื่องสมควร”ไม่คิดสงสัยว่าตนมีคว
แวบแรกฉีอวี่เยียนเริ่มสงสัย ว่าพี่สะใภ้ของตนคนนี้ ไม่ได้อ่อนโยนและจิตใจเมตตาดั่งเช่นที่เห็นภายนอก นางถึงขั้นรู้สึกว่าธาตุแท้ของหรงจือจือ ที่จริงแล้วเป็นคนเลวหลังจากนางถานได้ยิน ก็กล่าวด้วยความโมโห “เจ้าไม่เห็นหรือว่าน้องสามีของเจ้าเสียใจจนสภาพเป็นแบบนี้แล้ว ยังพูดจาแดกดันแบบนี้อีก!”หรงจือจือ “ท่านแม่ นั่นไม่ใช่คำพูดแดกดัน ลูกเพียงแค่อยากบอกว่า น้องสามียกเลิกงานแต่งงานแล้ว ลูกก็ไม่มีบารมีให้อาศัยอีกแล้ว”สองคนแม่ลูกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อลองคิดดูแล้วก็เป็นเหตุผลข้อหนึ่งเช่นกันพระชายาอ๋องเฉียนชื่นชอบหรงจือจือจริง ๆ แต่อีกฝ่ายอายุปูนนั้นแล้ว ผู้ใดจะไปรู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี หรงจือจืออาศัยฮูหยินอายุน้อยอย่างฉีอวี่เยียนเพื่อเข้าหาจวนอ๋องเฉียน จะไม่ยืนยาวกว่าอาศัยนายหญิงใหญ่คนนั้นหรอกหรือ?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ก็ไม่ได้สงสัยในเจตนาของนางอีกต่อไปรถม้ากลับถึงจวนโหวเรื่องการยกเลิกการแต่งงาน ทำให้คนสกุลฉีตื่นตกใจ ซิ่นหยางโหวที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านมาแต่ไหนแต่ไร เดินมายังสวนฉางโซ่วด้วยใบหน้าโกรธเคืองนางถานในเวลานี้ก็มองหรงจือจือด้วยเช่นกัน กล่าวอย่างไม่พอใจ “จะว่าไป ตอนน
ดังนั้นเมื่อฟังคำพูดของหรงจือจือจบ นางก็ร้องไห้กล่าว “ท่านแม่ ทั้งหมดต้องโทษท่าน! ข้าช่างน่าสงสารเหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าจะมีแม่อย่างท่าน! !นางถาน “เจ้า...เหตุใดเจ้าถึงได้อกตัญญูแบบนี้! ลูกไม่รังเกียจที่แม่อัปลักษณ์ หมาไม่รังเกียจที่ครอบครัวยากจน ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรังเกียจแม่ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเจ้ามา?”ซิ่นหยางโหวกล่าวอย่างอารมณ์เสีย “ป่านนี้แล้ว เจ้ายังจะแก้ตัวอีก! เจ้ารู้หนังสือเพิ่มอีกสองสามคำ อ่านหนังสืออีกสองสามเล่มมันจะเป็นอะไรไปหรือ? บัดนี้ทำลายการแต่งงานที่ดีงามของอวี่เยียน ในใจของเจ้ามีความสุขหรือไม่?”นางถานขุ่นเคืองใจอย่างยิ่งซิ่นหยางโหวหันหน้าไปทางหรงจือจือ “พระชายาอ๋องเฉียนประทับใจเจ้ายิ่งนัก เรื่องนี้เจ้าไปจวนอ๋องเฉียนอีกสักสองสามรอบ ช่วยไกล่เกลี่ย บอกว่าเป็นเพราะท่านแม่ของเจ้าวู่วาม ให้พระชายาลองคิดเรื่องนี้ดี ๆ อีกครั้ง”หรงจือจือกล่าวยั่วยุต่อ “แต่ท่านพ่อ ท่านแม่พูดเรื่องยกเลิกแต่งงานกับนางเซี่ยยังพอทน ยังพูดจาข่มขู่อีก หากข้าไปพูดอะไรอีก คนนอกอาจจะคิดว่าข้าเป็นคนอกตัญญู จงใจเป็นปฏิปักษ์กับท่านแม่ หากทำเช่นนั้นจะยิ่งทำให้คนอื่นนินทา เกรงว่าเรื่องนี้ทำได้เพียงใ
หรงจือจืออยากจะหัวเราะ ฉีอวี่เยียนจะเคารพนางยิ่งกว่าเดิม?‘เคารพ’ของฉีอวี่เยียน แม้แต่สุนัขยังไม่ต้องการตอนนี้ได้ยุยงนางถานกับฉีอวี่เยียนเรียบร้อยแล้ว จุดประสงค์ของหรงจือจือสำเร็จแล้วจึงกล่าวอย่างเยาะเย้ยถากถาง “ท่านพี่ อันที่จริงอวี่เยียนยังมีพี่สะใภ้คนอื่นอีก ตามที่ท่านแม่พูด นางผู้นั้นแม้ต้องไร้ชื่อเสียงเรียงนามก็ยังยินดีที่จะติดตามท่าน เมื่อเทียบกับข้าแล้ว นางคงรักท่านมากกว่า เรื่องงานแต่งงานของน้องสามี ท่านพี่ก็ไปรบกวนองค์หญิงม่านหวาเถอะนะ ข้าไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับไปพักผ่อน”ฉีจื่อฟู่สะอึกไปอีกครั้ง “จือจือ...”หรงจือจือไม่สนใจเขาเลยสักนิด หันหลังแล้วเดินจากไปนางถานกล่าวด้วยสีหน้าโกรธเคือง “นังแพศยา ข้าว่าวันนี้ที่อวี่เยียนถูกยกเลิกการแต่งงาน เกรงว่านางคงจะเป็นคนที่ดีใจมากที่สุด”ซิ่นหยางโหวกลับหันไปมองฉีจื่อฟู่อย่างอารมณ์ไม่ดี “ข้าคิดจนสมองจะระเบิด ก็ไม่เข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้ามีความแค้นอะไรกับครอบครัวนี้กันแน่ ถึงได้ก่อเรื่องลดตำแหน่งภรรยาเอกเป็นอนุแบบนี้ขึ้นมาได้”“อวี้ม่านหวานั่นก็เป็นแค่องค์หญิงประเทศที่สูญเสียเอกราช หากนางแต่งงานกับเจ้าจริง ๆ ฝ่าบาทยังจะทรงประทา
หรงจือจืออยู่ด้านในสวน ผึ่งสมุนไพรที่ตนซื้อมาก่อนหน้านี้ วันนี้แสงแดดกำลังดี นำพวกมันออกมาตาก เพื่อจะไม่ได้ชื้นจนขึ้นราเจาซีกล่าว “คุณหนู สมุนไพรพวกนี้ทิ้งไปเถอะเจ้าค่ะ แค่เงินเล็กน้อย พวกเรากลับไปที่สกุลหรงแล้วค่อยซื้อใหม่ก็สิ้นเรื่องเจ้าค่ะ เหตุใดจึงต้องเปลืองแรงแบบนี้ด้วยเจ้าคะ?”หรงจือจือยิ้ม “เจาซี บนโลกใบนี้มีเงินเพียงแบบเดียว ที่ไม่ควรเอาเปรียบผู้อื่น นั่นก็คือเงินที่ซื้อยา บนโลกใบนี้มีสิ่งของเพียงอย่างเดียวเช่นกัน ที่ไม่ควรสิ้นเปลืองยิ่งกว่าเงินทอง นั่นก็คือสมุนไพร”“หากเจ้ามองว่าพวกมันไม่มีค่าอะไร ไม่เหมือนกับโสมคนและเห็ดหลินจือ แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญ สิ่งที่รักษาไว้ได้ก็คือชีวิตคนนะ”เจาซี “ถ้าอย่างนั้นก็ได้เจ้าค่ะ บ่าวจะช่วยท่านเอง”ติดตามหรงจือจือมาหลายปี เจาซีก็ได้รู้จักสมุนไพรไม่น้อยแต่ว่าไม่รู้เพราะสาเหตุใด นังหนูถึงเอาแต่โมโหหรงจือจือถามด้วยความขบขัน “วันนี้เจ้าเป็นอะไรหรือ? เอาแต่ทำหน้ามุ่ย เหมือนกับถูกใครยั่วโมโหมาอย่างนั้น”เจาซี “ก็เพราะโดนยั่วโมโหมานะสิเจ้าคะ? นังปีศาจจิ้งจองไร้ยางอายนั่น เมื่อวานปวดครรภ์ ซื่อจื่อจริงวิ่งโร่ไปดูแลนาง จนป่านนี้ยังไม่กลับมาเ
เจาซีโมโหจนหน้าเขียวคล้ำอีกครั้ง นางรู้สึกว่าอวี้หมัวมัวพูดไม่ถูกต้อง บางครั้งไม่ใช่ว่าตนวู่วามชอบโมโห ทั้งยังต้องให้คุณหนูมาปลอบใจตนเองตอนที่อารมณ์ไม่ดี แต่คนสกุลฉีต่างหากที่ทำให้รู้สึกน่าสะอิดสะเอียนจริง ๆผู้ที่เรียนหนังสือย่อมแตกต่างออกไป ฉีจื่อเสียนผู้นี้ถึงขนาดอ้างอิงคำพูดในคัมภีร์มาพูดจาไร้ยางอาย ให้ฟังดูมีเหตุผลได้หรงจือจือยิ้มบาง ๆ “ในเมื่อน้องสามีอยากจะอภิปราย เช่นนั้นข้าก็ขออภิปรายกับเจ้า”ฉีจื่อเสียนตกตะลึง แม้ปากเขาจะอ้างว่าเป็นการอภิปราย แต่ความจริงที่คิดอยู่ภายในใจก็คือผู้หญิงอย่างหรงจือจือ จะไปเข้าใจเหตุผลอะไร?จากการที่ถูกตนยั่วยุเพียงเล็กน้อย นางจะต้องรู้สึกตระหนักและเข้าใจ จะต้องกลับตัวกลับใจ ปฏิบัติตามที่ตนเองกล่าว แต่ตอนนี้...หรงจือจือ “น้องสามีกล่าวว่า ผู้ชายจะต้องปกป้องคนในครอบครัวอย่างสุดความสามารถ แต่ท่านพี่ของเจ้าได้ปกป้องข้าสักนิดหรือไม่? เขาไร้จิตสำนึก เจ้ากลับอยากให้ข้าเสียสละเพื่อคนแบบนี้ เหตุผลคืออะไร?”“หนังสือแห่งปราชญ์สอนเจ้าว่าผู้หญิงควรทำอะไร แต่ไม่ได้สอนเจ้าหรือว่า การมีที่จิตใจโหดเหี้ยมเป็นสิ่งที่สามีไม่พึงกระทำ?”“หากไม่ใช่เพราะข้า เจ้าคง
ฉีจื่อเสียนเดินจากไปด้วยความโมโหเจาซีรู้สึกเพียงว่าสะใจเป็นอย่างยิ่ง “คุณหนู สมกับที่เป็นท่าน! ฉีจื่อเสียนนี่ เพิ่งร่ำเรียนได้ไม่นาน ก็คิดว่าตนเองเก่งกาจนัก โล่มาเห่าถึงที่นี่ คิดว่าในใต้หล้านี้ มีเขาเพียงคนเดียวที่เคยเรียนหนังสือหรืออย่างไร?”หรงจือจือชะงัก เอ่ยปากกล่าว “ท่านเจียงเขียนจดหมายกี่ฉบับแล้ว?”เจาซี “เขียนมาเป็นฉบับที่ห้าแล้วเจ้าค่ะ บอกว่าปวดหัวมาก กล่าวว่าท่านหาเรื่องยุ่งยากให้เขาชัด ๆ นักเรียนที่สามารถเข้าสำนักของเขาได้ แต่ละคนล้วนเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ เมื่อเทียบกับพวกเขา คุณชายสี่ไม่ใช่ปัญญาชนเลยสักนิด”“ท่านเจียงยังกล่าวอีกว่า ไม่ว่าเขาจะสอนอะไร คุณชายสี่มักจะมีข้อโต้แย้งที่บิดเบือนบ่อย ๆ มักจะบิดเบือนความหมายของท่านเจียงเป็นประจำ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อแก้ไข”“จดหมายฉบับนั้นเมื่อหลายวันก่อนของท่านเจียง กล่าวว่าเขาสอนไม่ได้แล้วจริง ๆ บอกให้ท่านช่วยมีเมตตา ปล่อยเขาไปสักครั้ง ท่านเองก็กำลังลังเลอยู่ใช่หรือไม่ ว่าอยากจะทำให้คนแก่อย่างเขาต้องลำบากใจอยู่อีกหรือไม่?”หรงจือจือกล่าวเสียงเบา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ตอบท่านเจียงไปว่า หากเขาไม่อยากสอนก็ไม่ต้องสอนแล้ว
เจ้าหน้าที่พวกนั้นหนังศีรษะชาวาบ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าท่านเสนาบดีหมายความว่าอย่างไร เหตุใดดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก? ระดับชั้นที่ต่ำต้อยอย่างพวกเขา ไม่เคยมีโอกาสพบหรงจือจือมาก่อน วันนี้ขอหวังสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรกระมัง?พวกเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรสักหน่อย แต่อยากเห็นก็เท่านั้นเองตอนที่ยังไม่เข้าใจความคิดของผู้บังคับบัญชา เจ้าหน้าที่ที่ฉลาด มักจะรู้จักรักษาความสงบนิ่งอยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ยิ่งพูดยิ่งผิดพวกเขาตัวสั่น ต่างก็ไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมาเสิ่นเยี่ยนซูมองพวกเขาอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง ก็หมุนกายเดินเข้าไปในโถงหลักที่ว่าการของศาลหลงสิง เจ้าหน้าที่องครักษ์หลงสิงส่วนใหญ่ ล้วนทำงานกันอยู่ด้านในโถงหลักแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นรวมทั้งฉีจื่อฟู่ด้วยเห็นเสิ่นเยี่ยนซูเข้ามา ทุกคนต่างคุกเข่าลง “คารวะท่านสมุหราชเลขาธิการขอรับ!”เสิ่นเยี่ยนซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ไม่ต้องมากพิธี”ฉีจื่อฟู่เงยหน้ามองอย่างระมัดระวัง หากไม่ใช่เพราะอัครมหาเสนาบดีเสิ่น ม่านหวาคงไม่ใช่แค่อนุ ตนเองก็ไม่ใช่เป็นแค่ขุนนางชั้นหกเล็ก ๆ นี้เท่านั้นอย่างไรก็ตาม แม้ฝ่าบาทยังเคารพอีกฝ่ายในฐานะท่านเสนาบดี แต่
หากเป็นเมื่อก่อน อย่างน้อยหรงจือจืออาจจะใส่ใจจริง ๆ แต่ตอนนี้ นางยังมีอะไรให้ต้องใส่ใจอีกหรือ?นางดื่มรังนกเสร็จ ก็หัวเราะช้า ๆ “แก้เคล็ด? เช่นนั้นหวังว่าในคืนเข้าหอของถานผิงถิง นางถานจะมีความสุขขึ้นมาได้จริง ๆ แล้วกัน!”ทำชุดแต่งงานสีแดงสดให้ถานผิงถิงงั้นหรือ?รอให้ถึงวันนั้น เกรงว่านางถานจะมองทุกอย่างที่เป็นสีแดงในจวนนี้แล้ว ต้องรู้สึกขัดหูขัดตาไปเสียหมดเจาอู้กล่าว “เนื่องจากถานผิงถิงบาดเจ็บที่ใบหน้า ทั้งสองสกุลจึงต้องการให้งานแต่งนี้จัดขึ้นโดยเร็วที่สุด คิดว่าความเศร้าเสียใจของนางถานที่จะเกิดขึ้นหลังจากความปีติยินดีถึงขีดสุด คงจะเกิดขึ้นในไม่กี่วันนี้แล้วเจ้าค่ะ”หรงจือจือ “หลังนางถานส่งสินสอดถึงมือนางหลิว อันธพาลที่นางหลิวเลี้ยงไว้คนนั้น ช่วงนี้คงมีเงินอยู่ในมืออีกแล้วใช่หรือไม่?”เจาอู้ “จะไม่ใช่ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ? เขายังไปบ่อนอีกด้วย เมื่อคืนเขาเสียเงินไปเยอะมาก เล่นพนันทั้งคืน คิดไม่ถึงว่าจะเสียเงินไปหกพันตำลึงเชียวเจ้าค่ะ!”“พูดขึ้นมาก็บังเอิญ ที่เขาไปก็คือบ่อนที่ก่อนหน้านี้ตงหลิงเคยพาคุณชายสี่ไป หากไปอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจจะพบกับคุณชายสี่ก็เป็นได้นะเจ้าค่ะ!”เจาซีเข้
ชิวยี่ “...ขอรับ!”อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่อวี้ม่านหวายังตะลึงงันตอนนี้หรงจือจือเกลียดชังและเย็นชาต่อฉีจื่อฟู่ จนแทบจะเขียนอยู่บนใบหน้าแล้ว เขายังคงพูดคำเช่นนี้ออกมาได้ ก็ไม่รู้ว่าสติเลอะเลือนไปหรือไม่ไม่รอให้นางจะพูดอะไรฉีจื่อฟู่ก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “เจ้าอย่ามองว่าช่วงนี้จือจือมักไม่สนใจข้า ความจริงแล้วนางงอนข้าอยู่เท่านั้น เพียงแต่ความโกรธของนางรุนแรงเกินไปหน่อย”“ข้าแค่ต้องให้โอกาสนางอีกสักหน่อย นางต้องยอมอ่อนข้อเป็นแน่”อวี้ม่านหวาถึงกับไม่กล้าบอกเขาว่าพูดถูกอย่างที่ผ่านมา เพราะกังวลว่าหากตนเองส่งเสริมเขาแล้ว หรงจือจือกลับไม่ไปส่งจริง ๆ หากเขาต้องหิวทั้งวัน และกลับมาโทษตนเองที่ส่งเสริมเขามั่วซั่วจะทำอย่างไร?หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็คิดวิธีที่ไม่ข้อผิดพลาดขึ้นมาได้ “ช่วงนี้ฮูหยินรองค่อนข้างเอาแต่ใจ หากไม่ไปจริง ๆ......ท่านพี่ฟู่นำขนมใส่กล่องไปบ้างไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ พอถึงที่ว่าการแล้วหิวขึ้นมา ก็ยังพอกินรองท้องได้บ้าง”จากนั้นฉีจื่อฟู่ก็โบกมือ พลางกล่าว “ไม่ล่ะ! หากนำไป จือจือจะคิดว่าข้าจริงใจได้อย่างไร? เรื่องของซี่อวี่เจ้าวางใจ วันนี้ข้าจะไปสอบถามที่อยู่ของนา
เห็นข้าจากมาแล้ว นางจะต้องรู้ว่าตนเองทำเกินไป จากนั้นไม่นาน นางก็จะเข้ามาขอโทษข้าเป็นแน่”ดังนั้นเขาจึงไม่ไปเรือนจวี่ แต่กลับมาที่เรือนของตนเอง เพราะกลัวว่าหรงจือจือจะคิดว่าม่านหวายังอยู่ จึงอายเกินกว่าจะขอโทษตนเองเขาคิดแทนจือจือรอบคอบเช่นนี้แล้ว นางไม่ยังไม่มาอีก ก็ดูจะไร้เหตุผลไปหน่อย ชิวยี่ตกตะลึง “ฮะ? ฮูหยินรองจะมาหรือขอรับ?”ความจริงท่าทีที่ฮูหยินรองมีต่อคุณชายในตอนนี้ ดูเฉยชามากจริง ๆ นางถึงขนาดเข้าไปฟ้องบ้านมารดาให้เปลี่ยนจวนโหวให้กลายเป็นคนธรรมดาได้ แล้วยังจะสงสารคุณชายอยู่อีกหรือ? นี่ไม่เหมือนท่าทางของความสงสารเลยปากของฉีจื่อฟู่พูดเช่นนั้น แต่ความจริงเมื่อนึกถึงท่าทีในช่วงนี้ของจือจือ ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนักตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็ไม่รู้ว่าพูดให้ชิวยี่ฟัง หรือว่าปลอบใจตนเองกันแน่ “เจ้าลืมแล้วหรือ? เมื่อก่อนจือจือดีต่อข้าเช่นนั้น ความรู้สึกที่ลึกซึ้งเช่นนี้ นางจะปล่อยไปง่าย ๆ ได้อย่างไร?”“ก็แค่อารมร์ฉุนเฉียวของพวกผู้หญิง อยากให้ข้าสงสาร และเอาใจใส่นางเหมือนสงสารม่านหวาบ้างก็เท่านั้น!”เมื่อพูดจบ ฉีจื่อฟู่ก็สงบลงไปบ้างแล้ว หลังอาบน้ำและล้มตัวลงนอนอยู่บนเตียง ก็รอหรง
หรงจือจือ “เป็นไปได้หรือไม่ ว่านกแก้วตัวนี้จะจำทางผิดเอง?”เจาซี “...ไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง?หรงจือจือมองพวงดอกไม้นั่นอย่างละเอียดอีกครั้ง พบว่ากิ่งก้านที่อยู่ในพวง เคยถูกขัดเงาอย่างประณีตมาก่อน จนกลมกลึงอย่างยิ่ง แม้หน้าผากนางจะมีบาดแผลเล็ก ๆ หากสวมเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก็ไม่อาจทำให้หน้าผากเจ็บได้แต่เจาซีในเวลานี้ ยังนึกอะไรขึ้นมาได้อีก “คุณหนู จู่ ๆ ข้าน้อยนึกขึ้นได้ว่า ตอนพวกเราพบท่านเสนาบดีที่ได้รับบาดเจ็บในปีนั้น บนศีรษะของท่าน ก็สวมพวงดอกไม้ ดูสวยงามมากทีเดียว หรือว่าจะเป็น...”ท่านเสนาบดีคิดว่าท่านชอบ?ดอกไม้ของปีนั้น ล้วนเป็นดอกไม้ที่พบตอนไปเก็บผลไม้ป่าในป่า หลังหรงจือจือเด็ดมันลงมา ก็สานทำเป็นพวงดอกไม้ แล้วสวมบนศีรษะ อายุสิบหกปีเป็นวัยแห่งความไร้เดียงสาพอดีแม้อารมณ์ในตอนนี้จะแตกต่างจากเมื่อก่อน แต่พอมองสิ่งที่งดงามเช่นนี้ ก็ยังคงทำให้อารมณ์ดีขึ้นโดยไม่รู้ตัวหรงจือจือก็รู้ว่าเจาซีกำลังคาดเดาถึงผู้ใดแต่ไม่มีหลักฐาน จึงไม่มีอะไรน่าคาดเดา นางวางพวงดอกไม้ลง “ลองดูวันพรุ่งนี้ ว่าจะมีคนมาขอรับไปหรือไม่”เจาซี “เจ้าค่ะ! หากวันพรุ่งนี้ตอนกลางวันยังไม่มีใครมา ท่านก็สวมเ
เพียงเพราะตนเองคุกเข่านานเกินไป แต่ก็ไม่ได้สนใจพอกลับมาถึงเรือน อวี้ม่านหว่าก็หลั่งน้ำตา เมื่อเห็นหมอประจำจวนพันแผลให้เขา “ท่านพี่ฟู่ เห็นท่านเป็นเช่นนี้ ข้าปวดใจเหลือเกินเจ้าค่ะ”ฉีจื่อฟู่ได้ยินก็ซาบซึ้งใจแค่ตนเองทุกข์นิดหน่อย ม่านหวาก็หลั่งน้ำตาแล้ว แต่จือจือเล่า? นางเป็นคนทำร้ายตนเองจนกลายเป็นเช่นนี้!ท่านพ่อตำหนิที่เมื่อวานตนเองไม่ยอมไปเกลี้ยกล่อมจือจือ หากไม่ใช่เพราะไม่กล้าขัดคำสั่งบิดา เขาคงอยากจะถามว่า เมื่อเทียบกับท่าทีของพวกนางที่มีต่อเขา เขาไม่ควรอยู่ข้างกายม่านหวาหรอกหรือ?หลังหมอประจำจวนจากไป ฉีจื่อฟู่ก็นอนลง พลางกล่าวช้า ๆ ว่า “เจ้าเป็นองค์หญิง เพราะติดตามข้า ช่วงนี้กลับโดนตบตีอยู่เสมอ แถมยังไม่ได้รับความเคารพนับถืออีก ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย!”อวี้ม่านหวา “ตราบใดที่สามารถอยู่กับท่านพี่ฟู่ได้ ข้ายินดี เพียงแต่...”ฉีจื่อฟู่มองนางทีหนึ่ง ในดวงตาล้วนเต็มไปด้วยความระมัดระวัง “เพียงแต่อะไรหรือ?”จือจือรักเขาเพราะมีเงื่อนไข ว่าต้องรับประกันตำแหน่งภรรยาเอกของนาง แถมยังต้องหมุนรอบตัวนาง และทำทุกอย่างเพื่อนางก่อน มิเช่นนั้นนางก็จะสร้างความวุ่นวายให้ตนเองหรือว่าความรักที่
นางหวังมองนางทีหนึ่ง พลางกล่าวตำหนิ “ช่างไร้ยางอายเสียจริง ข้ากับท่านพ่อเจ้าพูดคุยกัน เจ้ามาแอบฟังทำไม?”หรงเจียวเจียว “มีหนึ่งลวดลายที่ปักไม่สวยเท่าท่านแม่ จึงคิดจะมาขอให้ท่านแม่สอน ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังสักหน่อยเจ้าค่ะ”ขณะที่พูดใบหน้าของนางยิ่งแดงมากขึ้นแล้วนางแตกต่างกับหรงจือจือ หรงจือจือมักจะไม่ไปงานเลี้ยงเพราะท่านย่า แต่หรงเจียวเจียวยังคงไปกับมารดาอยู่หลายครั้งครั้งแรกที่นางเห็นอัครมหาเสนาบดีเสิ่น ก็รู้สึกว่าบนโลกไม่มีผู้ใดสง่างามและโดดเด่นไปกว่าเขาอีกแล้ว นางเก็บเขาไว้ในใจมาสองปีแล้ว ก่อนหน้านี้มารดาคิดจะหาคู่ให้นาง นางมักจะปฏิเสธอยู่เสมอนางหวังรู้ถึงความในใจของนาง แต่อัครมหาเสนาบดีเสิ่นกล่าวไว้ว่าอุทิศตนเพื่อแผ่นดิน นางจะกล้าพูดมากได้อย่างไร? กระทั่งครั้งนี้เห็นอัครมหาเสนาบดีเสิ่นมีท่าทีเป็นมิตร นางจึงเอ่ยปากกับมหาราชครูหรงมหาราชครูหรงมองหรงเจียวเจียวอย่างไม่พอใจทีหนึ่ง “ในเมื่อเตรียมจะพูดคุยเรื่องแต่งงาน เจ้าก็ควรทิ้งภาพลักษณ์ที่ไร้ประโยชน์จากอดีตนั่นเสียบ้าง อย่าได้แต่งเข้าบ้านสามีแล้วยังไม่รู้ความเช่นนี้อีก มันจะทำให้สกุลหรงของพวกเราขายหน้า!”หรงเจียวเจียวกล่าว “ท่า
เขาแทบจะคิดว่า ฮ่องเต้องค์ก่อนตอนนั้นได้ขอให้ตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแทนจริง หรือว่าตนเองจำผิดมาเป็นเวลานานหลายปี เลยประเมินอิทธิพลของตนเองต่ำเกินไป?นางหวังกล่าว “ท่านพี่ดีทุกอย่างมาโดยตลอด ราวกับพระจันทร์ที่ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้า แล้วลูกศิษย์ก็มีมากมาย การมีอำนาจเช่นนี้ แล้วมันมีอะไรน่าแปลกหรือเจ้าคะ?”มหาราชครูหรงกลับรู้สึก เกรงว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นเวลานี้ พ่อบ้านเข้ามารางงานพอดี “นายท่าน ใต้เท้าสวีเจ๋อเสนาธิการฝ่ายซ้ายกรมโยธาธิการขอเข้าพบขอรับ”คิดว่าสวีเจ๋อคงมาเพราะเรื่องนี้เช่นกัน มหาราชครูหรงจึงกล่าวว่า “เชิญเขาไปที่ห้องหนังสือของข้า!”นางหวังรีบกล่าว “ข้าจะไปเตรียมขนมเข้ามาด้วยตนเองนะเจ้าคะ”สวีเจ๋อเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจของมหาราชครูหรง เขาโดดเด่นมากในหมู่รุ่นน้อง และมักจะเรียกนางหวังว่าอาจารย์แม่ นางหวังจึงสนิทสนมกับเขาอย่างมากมหาราชครูหรงพยักหน้าตอนที่นางหวังเข้ามาในห้องหนังสือ ก็บังเอิญได้ยินสวีเจ๋อกับมหาราชครูหรงคุยกัน ว่าเรื่องนี้ท่านเสนาบดีเข้ามาแทรกแซงแล้วมหาราชครูฟังจนนิ่งเงียบไปเล็กน้อยแต่สวีเจ๋อกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ท่านอาจารย์ ตอนน
ฉีอวิ่น “....”ขันทีน้อย “อย่าให้ใต้เท้าของสำนักฮั่นหลินต้องรอจนหงุดหงิดเลย!”ผู้ที่รับผิดชอบในการติเตียน ก็คือบัณฑิตขั้นห้าของสำนักฮั่นหลินท่านหนึ่ง หากเป็นเมื่อก่อน ตำแหน่งขุนนางแค่นี้ ย่อมไม่คู่ควรให้ซิ่นหยางโหวชายตามองด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ฉีอวิ่นเป็นคนธรรมดาแล้ว ยังมีค่าพอให้คนอื่นรอที่ไหนกัน?เขาขานรับด้วยหน้าถอดสีเสียงหนึ่ง “ขอรับ!”ขันทีน้อยนั่นยังตักเตือนฉีจื่อฟู่อีกหนึ่งประโยคว่า “ใต้เท้าฉี อย่าลืมโขกศีรษะด้วยนะขอรับ!”พูดจบเขาก็แอบกลอกตา ปกติไปประกาศพระราชโองการที่ไม่ดีในบ้านผู้ใด ทั้งครอบครัวจะกอดกันร้องไห้ และปลอบใจซึ่งกันและกันมีเพียงสกุลฉีเท่านั้น ที่โทษซึ่งกันและกัน คิดว่าความผิดเป็นของคนรอบกาย วันนี้เขาก็ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้วฉีจื่อฟู่ขานรับด้วยความหงุดหงิดแต่ก่อนฉีอวิ่นจะออกไป ยังมองฉีจื่อฟู่ด้วยความดุร้ายอีกหนึ่งครั้ง “หลังโขกศีรษะแล้วไปเกลี้ยกล่อมหรงจือจือให้ข้า แล้วบอกให้นางไปขอร้องพ่อตาเจ้าเพื่อครอบครัวเราด้วย!”ในความคิดของฉีอวิ่น ในเมื่อมหาราชครูหรงมีอิทธิพลทำให้ครอบครัวเขาถูกปลดจากตำแหน่งได้ก็สามารถมีอิทธิพลให้ครอบครัวพวกเขากลับมาสู่จุดสูงสุดได้อีก