Share

โซ่เสน่หากามเทพ
โซ่เสน่หากามเทพ
Author: มณีมายา/แอล/รมตี

บทที่ 1

ภายในโรงแรมหรู ระดับห้าดาวแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ คลาคล่ำไปด้วยสื่อมวลชนคับคั่ง เหล่าคนดังไฮโซและนักธุรกิจแถวหน้าของเมืองไทยที่ต่างตบเท้ากันมาร่วมงานประกวดการออกแบบเครื่องประดับ เพื่อเฟ้นหาดีไซเนอร์มาประดับวงการพร้อมทั้งเซ็นสัญญาร่วมงานกับบริษัทเพชรยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยอย่างบริษัท Grey&M Jewelry จำกัด(มหาชน) 

โดยการจัดงานครั้งนี้ เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดของประธานบริษัทคนใหม่อย่าง คาเมรอน เกรย์ มหัทธนวงศ์สกุล ผู้บริหารหนุ่มวัยสามสิบเอ็ดปี ที่เพิ่งจะมารับตำแหน่งได้ไม่นาน ด้วยความที่เป็นคนตั้งใจทำงาน เก่ง ไฟแรง จึงอยากได้ดีไซเนอร์เป็นคนรุ่นใหม่ และไฟแรงพอๆ กันมาร่วมงานด้วย เพื่อจะได้มีไอเดียร์แปลกๆ ไม่ซ้ำใครในการตีตลาดอัญมณีเมืองไทย สู่ระดับเอเชีย ไปจนถึงระดับโลก และการประกวดก็ได้ค้นพบเพชรเม็ดงามสิบคนสุดท้าย เพื่อที่จะขึ้นโชว์ผลงานจริงในค่ำคืนนี้ โดยการสวมใส่ของนางแบบแถวหน้าของเมืองไทย 

เวียงพิงค์ ขวัญคำ สาวน้อยเมืองเชียงใหม่ หนึ่งในผู้เข้าร่วมการแข่งขันและเข้ารอบสิบคนสุดท้าย จากการคัดเลือกกว่าหนึ่งร้อยคนผ่านผลงานการวาดภาพในรอบแรก หญิงสาวอายุยี่สิบเอ็ดปีและเพิ่งจะคว้าปริญญาหมาดๆ ทางด้านการออกแบบอัญมณีโดยเฉพาะ และหวังว่าเรียนจบจะได้ทำงานในบริษัทอัญมณีที่ไหนสักแห่ง แต่แล้วอยู่ๆ โอกาสทองก็มาถึง เมื่อมีการจัดการประกวดเฟ้นหาดีไซเนอร์รุ่นใหม่ ของบริษัท Grey&M Jewelry แต่เธอไม่กล้าสมัครเพราะดูจะเกินเอื้อม แต่สุดท้ายได้รับแรงผลักดันมาจากเพื่อนรักให้สมัครแข่งขัน และก้าวแรกก็เป็นผลสำเร็จนั่นคือเข้ารอบสุดท้าย เพื่อสร้างชิ้นงานและโชว์ในค่ำคืนนี้ แต่เธอไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังความสำเร็จได้มาเพราะอะไร

แต่เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ออกงานใหญ่ระดับเฟิร์สคลาส ทำให้เวียงพิงค์ออกอาการประหม่าไม่น้อย อีกทั้งเรื่องการแต่งตัวที่ไม่เคยแต่งมาก่อน คือการใส่ชุดราตรี แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะชุดที่สวมใส่มาในค่ำคืนนี้ยังหยิบยืมจากเพื่อนรัก เพราะเธอไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อชุดใหม่ แต่ชุดที่สวมใส่ก็เป็นชุดน่ารัก คือราตรีเกาะอกสีฟ้าความยาวประมาณหัวเข่ากับรองเท้าส้นสูงอวดขาขาวๆ แม้จะไม่เคยแต่งแต่มันคือความจำเป็นเพราะถือเป็นการให้เกียรติงานและอาชีพในอนาคตของตัวเอง 

“ไม่เห็นต้องประหม่าขนาดนั้นเลยยัยเตี้ย” เมษาซึ่งเป็นเพื่อนรักของเวียงพิงค์ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระซิบขณะที่กำลังนั่งรออยู่ในห้องแต่งตัว เพื่อให้ประธานมาเปิดงานเสียก่อน

“ใครจะไม่ประหม่าล่ะ เมย์ลองมาเป็นพิ้งค์ไหมล่ะ ไม่เคยออกงานแบบนี้มาก่อนเลย” เวียงพิงค์ตอบอย่างเครียดๆ

“ใครจะเคยล่ะ แต่มันเป็นการประกวดสู้ๆ สิ ดูผู้แข่งขันคนอื่นไม่เห็นตื่นเต้นอย่างพิ้งค์เลย” เมษาพยายามปลอบใจพร้อมกับบุ้ยหน้าไปทางผู้แข่งขันคนอื่นๆ ซึ่งอยู่ในห้องเดียวกัน 

“เค้าตื่นเต้นแต่ไม่แสดงออกเท่านั้นเอง อีกอย่างงานยักษ์ขนาดนี้ โห๋! สั่นหมดแล้ว” เวียงพิงค์ค่อนข้างตื่นกลัวเพราะไม่เคยมาสัมผัสกับงานใหญ่ๆ แบบนี้ และควบคุมความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่

“แต่ที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กันเลยคือจะได้เห็นหน้าประธานบริษัทคนใหม่ พร้อมๆกับสื่อมวลชนและคนทั้งประเทศ” เมษาบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระริกระรี้เพราะได้ยินข่าวลือหนาหูว่าประธานบริษัทรูปหล่อมาก

“ทำไมต้องตื่นเต้นด้วยล่ะ แค่ประธานบริษัทคนใหม่” เวียงพิงค์แสร้งทำเป็นไม่สนใจ ทั้งที่อยากรู้เช่นกัน

“ตกข่าวหรือยังไง ท่านประธานบริษัทน่ะอายุสามสิบเอ็ดปีนะจ๊ะ ทายาทคนเดียวของเจ้าสัวหัสนัยน์ ฉะนั้นเขาคือหนุ่มลูกเสี้ยว ไทย - อเมริกัน - จีน ได้ยินข่าวลือหลุดจากพนักงานในบริษัทว่า หล่อมากอย่างกับพระเอกฮอลลีวู้ด หุ่นอย่างกับนายแบบ” น้ำเสียงของเมษาดูจะชื่นชมประธานบริษัทคนนี้เสียเหลือเกินราวกับเคยเห็นหน้ามาก่อน 

“แหม บรรยายราวกับเคยเห็นตัวจริงมาแล้วอย่างนั้นแหละ” เวียงพิงค์อดแซวไม่ได้

“ก็ลูกครึ่งซะขนาดนั้น ต้องหล่ออยู่แล้วล่ะ ถ้าได้ทำงานในบริษัทจริงๆ ล่ะก็ ฝากพิ้งค์อ่อยท่านประธานให้เมย์หน่อยนะ” ประโยคสุดท้ายเมษาถึงกับต้องยื่นหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆ เนื่องจากกลัวว่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่นจะหมั่นไส้

“บ้า! ให้พิ้งค์อ่อยให้เมย์เนี่ยนะ ไม่เอาหรอก หางตาของเขาไม่รู้ว่าจะหันมาแลพิ้งค์หรือเปล่า” 

“เฮ้ย! ยัยเตี้ย นี่ไม่รู้ตัวเองเลยใช่ไหมว่าตัวเองสวย น่ารัก ขาวจั๊วะ น่าเจี้ยะไปทั้งตัวเนี่ย หนุ่มๆ ในมหาวิทยาลัยยังพากันรุมจีบเลย แต่เล่นตัวไม่ยอมเอาใคร” เมษาชมเวียงพิงค์พร้อมกับตำหนิเล็กน้อย

“พิ้งค์ไม่ได้อยู่ในสถานะให้ใครจีบนี่นา พิ้งค์มาเรียน เรียนให้จบแล้วหางานทำ

ส่งเงินกลับไปให้แม่และน้าที่เชียงใหม่ เท่านี้ที่พิ้งค์ต้องการ ไม่ใช่อ่อยผู้ชาย” เวียงพิงค์ว่ากลับยิ้มๆ เหมือนหยอกเย้าไม่ได้คิดอะไรมากนัก

“พูดจาน่าหมั่นไส้เดี๋ยวหยิกสักที ตอนนี้กำลังจะได้ทำงานแล้ว ต้องหาคนดูแลเผื่อเอาไว้ เพื่อจะได้ปกป้องตัวเองไง ถ้าได้คนรวยๆ ล่ะดีเลย ฮ่าๆ” เมษาหัวเราะชอบใจ ไม่ต่างอะไรกับเพ้อเลย 

 “นิสัยไม่ดี พิ้งค์ไม่พูดกับเมย์แล้ว รอฟังเสียงพิธีกรเปิดงานดีกว่า สงสัยป่านนี้ประธานใกล้จะมาถึงงานแล้วมั้ง”

“ย่ะ” เมษารับคำพร้อมกับตัดบทการสนทนาลงเพื่อให้เวียงพิงค์ได้ทำสมาธิ จะได้ไม่ตื่นเต้นจนเกินไป ระหว่างนั้นก็พากันรอฟังเสียงว่าพิธีกรจะกล่าวเปิดงานเมื่อไหร่ 

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ห้องแกรนบอลรูมเริ่มมีแขกทยอยเข้ามาในงาน ทุกคนต่างรอเวลาที่จะให้ประธานมาเปิดงาน ตามหมายกำหนดการที่วางเอาไว้ ทว่ามันยังไม่ถึงเวลา ประธานจึงยังมาไม่ถึง ทำให้ทุกคนเอาแต่ชะเง้อคอ มองไปตรงบริเวณทางเข้างานอยู่ตลอด และแต่ละคนพยายามคุยกันในกลุ่มว่าประธานบริษัทคนใหม่จะหน้าตาเป็นอย่างไร 

ทั้งนี้เพราะชายหนุ่มไม่เคยออกสื่อ ไม่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อไหนตั้งแต่รับตำแหน่ง และน้อยนักที่จะมีคนเคยเห็นหน้า นอกจากเห็นหน้าประธานบริษัทคนก่อนคือเจ้าสัวหัสนัยน์ ฉะนั้นภายในงานจึงมีการซุบซิบเรื่องหน้าตาของประธานคนใหม่ ที่มีเพียงคนในบริษัทระดับผู้บริหารเท่านั้นที่เคยเห็น ระหว่างนั้นฝ่ายที่ถูกนินทามากที่สุดก็อยู่ในช่วงของการเดินทางซึ่งใกล้จะถึงโรงแรมเต็มทีแล้วเช่นกัน 

“รบกวนป๋าขึ้นไปเปิดงานด้วยได้ไหมครับ ตามแผนที่เราวางเอาไว้” คาเมรอน 

ประธานบริษัทคนล่าสุด เอ่ยกับบิดาด้วยน้ำเสียงเรียบ เพราะเขาไม่ต้องการออกสื่อนัก

“แผนมันปรับเปลี่ยนได้ แกเป็นประธานบริษัทแล้วนะ จะกลัวอะไรรู้จักออกสื่อเสียบ้าง คนจะได้รู้จักทำตัวลึกลับไปได้” หัสนัยน์เอ่ยด้วยน้ำเสียง

“ผมไม่ชอบ ป๋าก็รู้นี่ครับ แล้วอีกอย่างผมเพิ่งจะมาทำงานได้เดือนกว่าๆ นะครับ ผมไม่ชอบที่นักข่าวจุ้นจ้านเรื่องส่วนตัวแทนที่จะเป็นเรื่องงาน ถามนั่นโน่นนี่น่ารำคาญ” คาเมรอนบ่นน้ำเสียงเรียบและขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดใจ

“ไม่ชอบก็ต้องทำใจ เพราะงานนี้มันเป็นงานของลูก ลูกเป็นคนจัดขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอ แล้วจะให้ป๋าออกหน้ารับแทนทุกครั้งมันไม่ได้ อย่าทำตัวให้คนอื่นเข้าถึงยากนัก” เคียร่า มารดาคนสวยเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาน 

“ตำหนิผมเพราะว่าผมเข้าถึงตัวยากเหรอครับ แค่นี้เองมันจะเป็นปัญหาอะไรล่ะครับคุณแม่” คาเมรอนบอกอย่างไม่แยแส เพราะมันเป็นนิสัย เขาไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องให้ใครเห็นหน้า แต่ผลงานยอดเยี่ยมก็น่าจะเพียงพอ

“แม่แค่บอกว่ามันถึงเวลาแล้วก็เท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ทำใจเถอะเพราะวันนี้ก็เท่ากับว่าเป็นวันเปิดตัวลูกนะคาเมล” 

“ครับผม จะพยายามทำใจ แต่ถ้าทำให้หงุดหงิดอย่าหาว่าผมเหวี่ยงสื่อก็แล้วกันครับ” 

“ระดับเจ้าของงานใครจะกล้าว่าเล่า” หัสนัยน์แทรกขึ้นยิ้มๆ พลางเอื้อมมือไปตบที่หัวไหล่ของบุตรชายเบาๆ ด้วยความเอ็นดู 

คาเมรอน เกรย์ มหัทธนวงศ์สกุล หรือคาเมลที่บิดาและมารดาเรียกสั้นๆ เขาเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบเอ็ดปี จบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ จากประเทศอังกฤษ ทว่าเมื่อเรียนจบแล้วไม่ยอมกลับเมืองไทยเป็นปี กระทั่งหัสนัยน์อยากจะเกษียณตัวเองพร้อมกับภรรยาคู่ชีวิตจากงานที่เหน็ดเหนื่อยมานาน จึงต้องตามคาเมรอนกลับเมืองไทย เพื่อรับตำแหน่งประธานบริษัทคนใหม่นั่นเอง และคาเมรอนก็ทำงานได้เป็นอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง

 

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status