อให้ความคิดเห็นกันอยู่ตลอดเกือบจะทุกเวลา ฉะนั้นทั้งสองฝ่ายอยู่ในชั้นเดียวกัน แบ่งโซนให้อยู่กันอย่างชัดเจน ซึ่งก็ไม่ต่างกับออฟฟิตทั่วไปสักเท่าไหร่ เมื่อการมาเยือนของรสสุคันธ์ พร้อมกับพนักงานคนใหม่ พนักงานคนอื่นๆ จึงพากันหันมามองเป็นตาเดียว และแน่นอนว่าทุกคนรู้ว่าเวียงพิงค์เป็นใคร เพราะได้ไปร่วมงานประกวดพร้อมกันหมด เสียงซุบซิบนินทาจึงเกิดขึ้น แต่เป็นแง่ดี นั่นคือความสวยน่ารักของเวียงพิงค์นั่นเอง
“สาวๆ ผู้จัดการทั้งสองอยู่ในห้องใช่ไหม” รสสุคนธ์เอ่ยถามกับพนักงานที่กำลังจับกลุ่มกันคุยงานพอดี “ผู้จัดการอยู่ในห้องค่ะ” พนักงานสาวคนหนึ่งตอบ“โอเคขอบใจจ้ะ ปะพิ้งค์ไปหาผู้จัดการของพิ้งค์กัน” พูดจบรสสุคนธ์จึงเดินนำหน้าอีกครั้งกระทั่งถึงห้องทำงานของผู้จัดการฝ่ายออกแบบก่อน เพราะเวียงพิงค์ต้องเป็นดีไซเนอร์ฝ่ายนี้นั่นเอง ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! รสสุคนธ์เคาะประตูอย่างมีมารยาทและรอกระทั่งได้รับอนุญาต“เชิญค่ะ” น้ำเสียงของผู้จัดการดูเหมือนผู้ชาย แต่คล้ายไปทางผู้หญิง คิดว่าคงเข้าใจไม่ผิดแน่ เวียงพิงค์หวาดหวั่นอยู่ไม่น้อ“เหรอคะ พูดถึงท่าน แล้วท่านดุหรือเปล่าคะ ดูเหมือนที่พิ้งค์เห็นจากระยะไกลการ์ดท่านเยอะมาก”“ดุ แต่ก็ใจดีเหมือนกัน เพียงแต่ท่านไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่น่ะ ไม่ต้องคิดมาก ท่านไม่เรียกพนักงานพบหรอก เวลางานมีปัญหาหรือบกพร่องท่านเรียกหัวหน้านี่แหละไป”“ความน่ากลัวก็มาตกอยู่กับหัวหน้าใช่ไหมคะ”“ฮ่าๆ ไม่หรอกจ้ะ ไม่น่ากลัวขนาดนั้นเสียหน่อย เอาล่ะไปดูโต๊ะทำงานกัน” พิรัชหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ทำให้เวียงพิงค์รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะเลยทีเดียว“ได้ค่ะ” เมื่อเวียงพิงค์รับคำแล้วจึงลุกขึ้นไปเปิดประตูให้พิรัชก่อน ตามลำดับหัวหน้ากับลูกน้อง แล้วเธอจึงออกไปทีหลัง พิรัชเดินนำมาถึงโต๊ะทำงานที่เป็นของเวียงพิงค์ ซึ่งโต๊ะทำงานของเธอก็มีฉากกั้นเช่นกัน แต่ที่น่าแปลกใจคือ มีโต๊ะทำงานโต๊ะเดียวเท่านั้น คิดว่าคงจัดไว้สำหรับดีไซเนอร์ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมากๆ จากนั้นพิรัชจึงได้พาเวียงพิงค์ไปแนะนำตัวกับเพื่อนร่วมงานและฝ่ายการตลาดตามลำดับต
ขณะเดียวกันเมื่อเวียงพิงค์เรียนจบ ก็รับจ๊อบทำงานกลางคืนรอการสมัครงาน จากนั้นก็ทยอยส่งเงินไปให้มารดา ถึงจะไม่มากแต่เธอก็ส่งเงินกลับบ้านทุกเดือน นี่คือประวัติที่เวียงพิงค์กรอกเอาไว้ และเท่าที่คาเมรอนอ่านคร่าวๆ ก็รู้ว่าตอนเรียนหนังสือเวียงพิงค์ทำงานทุกอย่างที่สุจริต เพื่อให้ได้เงินส่งเสียตัวเองเรียนจนจบ“ทำงานทุกอย่างเลยเหรอ” คาเมรอนเอ่ยลอยๆ พลางยิ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ราวกับมีแผนการอยู่ในใจ แน่นอนว่าผู้หญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อเงินนั้นเขาชอบอยู่แล้ว หากมีโอกาสที่ได้ทำงานแลกเงิน ไม่ว่างานแบบไหนก็รับทำอยู่แล้วกระมัง แม้แต่งานอย่างว่า เขาคิดอย่างเหยียดหยัน รู้สึกไม่พอใจเมื่อคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าเวียงพิงค์ต้องเป็นผู้หญิงแบบนั้นแน่ๆ เหมือนแม่นางแบบที่เขาสอยมานอนกก“อีกไม่นานเราจะได้รู้จักกันเวียงพิงค์” เวลานี้สำหรับคาเมรอนแล้วเวียงพิงค์เป็นผู้หญิงที่เขาอยากจะใช้เวลาดูเธอให้นานกว่าคนอื่น เพราะความรู้สึกหลายๆ อย่างที่ตอบตัวเองไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่าอยากจะได้เธอ แต่ไม่อยากแสดงตัวให้ไก่ตื่น เพราะอย่างนี้เองเขาถึงซุ่มเงียบอยู่เช่นนี้และ ได้แ
“ตั้งแต่ทำงานมายังไม่เคยจ้ะ แต่ก็ไม่แน่ถ้ามีใครทำอะไรไม่เหมาะมากๆ เข้าท่านอาจจะเรียกเข้าพบเป็นการส่วนตัว”“งั้นพิ้งค์จะพยายามเป็นเด็กดีอยู่ในกฎระเบียบดีกว่าค่ะ ไม่งั้นแย่แน่เลย ฟังเท่านี้ยังน่ากลัว” เธออยากจะบอกเหลือเกินว่าท่านประธานอาจจะมีดีแค่ความหล่อ นอกนั้นไม่น่าเข้าใกล้เลย“ดีแล้วจ้ะ” อมิตาบอกยิ้มๆ อีกครั้ง แต่ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่นั่นๆ เสียงของผู้จัดการก็ดังขึ้น“อะแฮ่ม!” พิรัชกระแอมเพื่อให้สองสาวได้รู้ตัว และทันทีที่ได้ยินเสียงทั้งคู่ก็สะดุ้งพร้อมกับหยุดคุยกัน“อุ้ย! เอ่อพี่รัช มาเมื่อไหร่คะ ตาไม่เห็นได้ยินเลย” อมิตาแสร้งถามและยิ้มแห้งๆ เพราะกลัวความผิด“มาทันได้ยินเราสองคนกำลังนินทาเจ้านาย” พิรัชบอกเสียงปกติแต่แกล้งทำตาขึงขัง“พิ้งค์ขอโทษค่ะ พอดีพิ้งค์กำลังสอบถามเรื่องงานก็เลย...”“ก็เลยถามยาวถึงคนให้งานด้วย พี่ไม่ว่าหรอกนะ เพราะได้ยินที่พิ้งค์ถาม รู้
“อุ้ย! ไม่เอาหรอก เดี๋ยวพิ้งค์จัดการเองนั่นแหละ ไม่ต้องยุ่งเลย รออยู่ตรงนี้จะไปใส่ออกมาให้ดู” พูดจบเวียงพิงค์ก็รับชุดและรองเท้าจากเมษาทันทีก่อนจะเดินเข้าไปในห้องลองชุด เมษาได้แต่ยิ้มตามอย่างเจ้าเล่ห์ เพราะถ้าไม่ขู่ว่าจะจ่ายให้ไม่มีทางรับแน่ๆเวียงพิงค์เข้าไปในห้องลองชุดเพียงห้านาทีเท่านั้นเธอก็เปิดประตูออกมา พร้อมกับชุดใหม่สีชมพูเกาะอก สั้นเหนือหัวเข่าจริงๆ ส่วนรองเท้าก็เข้ากับชุดและเท้าขาวๆ เลือกเก่งไม่เบาเลย เมษาคิดชมตัวเอง ขณะที่มองเพื่อนรักแบบทึ่งๆ และอึ้งในความสวยน่ารัก“พิ้งค์ใส่มันโอเคไหมอ่ะเมย์” เวียงพิงค์ถามด้วยความไม่มั่นใจ“มันโอเคมากพิ้งค์ โอเคกว่าชุดก่อน ที่เมย์ให้ยืมเสียอีก”“จริงเหรอ พิ้งค์ว่ามันโป๊ไหมอ่ะ กลัวเกาะอกจะหลุดด้วย”“ไม่โป๊เลยต่างหาก เรียบๆ แต่ดูดี ขับผิวมากๆ คอว่างๆ โล่งๆ เอาไว้ใส่เครื่องประดับ เอาชุดนี้แหละ ไปถอดแล้วจ่ายเงินเลย” ดูเหมือนว่าเมษาจะเป็นคนจัดแจงทุกอย่างให้เวียงพิงค์ แม้จะไม่อยากรับก็ต้องรับเพราะมันคือความหวังดี หากไม่มีเมษา เวียงพิงค์ก็ไม่รู
แต่ถึงแม้ว่าจะทำห้องให้ดูอบอุ่นน่าอยู่เพียงใด ความเหงาก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องอยู่ดี ทั้งเหงาและคิดถึงบ้าน คิดถึงมารดาและน้าสาวที่อยู่ด้วยกันสองคน เธอเองก็กลับบ้านปีละครั้ง ทว่าตั้งแต่เรียนจบยังไม่มีโอกาสได้กลับ นอกจากโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวดีเรื่องที่เธอประกวดชนะเลิศพร้อมเงินรางวัล จากนั้นจึงได้ส่งเงินไปให้ เท่านี้มันก็ทำให้เธอมีความสุขมากแล้วการทำงานก้าวแรกมันไม่ได้ทำให้เวียงพิงค์หนักใจ เท่ากับตอนนี้ที่กำลังจะเตรียมตัว เพื่องานที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เป็นอีกครั้งที่จะต้องขึ้นพรีเซนต์ผลงานด้วยตัวเองโดยไม่ใช้พิธีกร เธอไม่ได้กลัวต่อการทำงานอยู่แล้ว แต่กลัวอย่างอื่น คือการได้เห็นหน้าผู้ชายในฝัน ที่เธอแอบเก็บซ่อนชายหนุ่มเอาไว้ในหัวใจตลอดระยะเวลาที่ทำงาน“ทำไมต้องตื่นเต้น เขาไม่ได้สนใจเราเสียหน่อย” เธอว่าให้ตัวเองอย่างหงุดหงิดใจก่อนจะเหลือบมองชุดราตรีที่ซื้อมาพร้อมกับรองเท้า แล้วจึงลุกขึ้นไปหยิบชุดราตรีแขวนเอาไว้ในตู้เสื้อผ้า“แปลงร่างเป็นนางซินอย่างนั้นเหรอ เจ้าชายที่ไหนจะสนใจ ยัยเตี้ย” เธอว่าให้ตัวเองพล
ทั้งหมดเตรียมความพร้อมเกือบจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหล่าดีไซน์เนอร์ทุกคนกำลังดูนางแบบซ้อมเดิน และต้องซ้อมคิวเพื่อขึ้นพรีเซนต์ผลงานแต่ละชิ้น ฝึกอ่านสคริปของตัวเองเพื่อความแม่นยำ งานจะได้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดให้สมกับเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งอัญมณี เพียงแต่ครั้งนี้มีน้องใหม่อย่างเวียงพิงค์ร่วมแสดงฝีมือด้วย“เฮ้อ!” เวียงพิงค์ถอนหายใจออกมาหนักๆ ขณะที่ดวงตาคู่หวานกำลังจ้องมองขึ้นไปบนเวทีเพื่อดูนางแบบแต่ละคนเดิน“เป็นอะไรจ๊ะพิ้งค์” อมิตาถามด้วยความเป็นห่วง“พิ้งค์ตื่นเต้นค่ะพี่ตา สั่นและมือเย็นไปหมดแล้ว”“เอาน่าเมื่อก่อนพี่ก็เป็นอย่างพิ้งค์นี่แหละ ไม่ต้องกลัวไม่มีใครเก่งตั้งแต่ครั้งแรกหรอก ต้องตื่นเต้นกันทุกคนอยู่แล้ว”“ตาพูดถูก ไม่มีใครเก่งตั้งแต่ครั้งแรก ฉะนั้นไม่ต้องตื่นเต้นงานของเรามันดีอยู่แล้ว หน้าที่ของเราคือพรีเซ็นต์เท่านั้นเอง” พิรัชแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ขอบคุณค่ะพี่รัช แล้วนี่เจ้าหน้าที่เรามาครบกันหมดหรือยัง
“ใจป้ำแต่ท่านก็เปิดเอาไว้แค่ไม่กี่ห้องจ้ะ สำหรับพวกเราที่ต้องมาขึ้นเวทีจริงๆ ต้องแต่งตัวสวยๆ และต้องซักซ้อม เปิดไม่เยอะน่าจะห้าห้องเพราะเราเอาไว้แต่งตัวเท่านั้นเอง” พิรัชอธิบายน้ำเสียงเรียบ“ก็เรียกว่าใจป้ำอยู่ดีค่ะเพราะห้องราคาแพงอยู่นะคะ” อมิตาแทรกขึ้น“ไม่แพงเท่ากับห้องท่านประธานหรอก ชาตินี้ระดับเราอย่าหวังได้ขึ้นไปพักบนห้องนั้น ห้องพักราคาเกือบแสนต่อคืน เงินเดือนๆ ละแสนยังไม่กล้าพักเลย”“แหมพี่รัช นั่นท่านประธานนะคะ ต้องแพงอยู่แล้ว” อมิตาให้ความเห็นยิ้มๆ“อยากขึ้นไปยลห้องท่านจังเลยเนอะ” พิรัชเอ่ยลอยๆ ราวกับเพ้อฝัน แต่คุยกันอยู่ดีๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นกริ้ง! กริ้ง! พิรัชต้องหยิบเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาพร้อมกับยกขึ้นดูเบอร์ที่โชว์หราทันที“ท่านประธาน! ตายห่า!” พิรัชอุทานด้วยความตกใจ แทนที่จะดีใจขัดกับตอนที่กำลังเพ้ออย่างสิ้นเชิง ทำเอาทุกคนตกใจเช่นกัน“สวัสดีครับท่าน” พิรัชรับสายเสียงเรียบและเข้มแบบหนุ่มๆ ทันที&ld
“เอ่อไม่เลยครับ ทุกคนแฮปปี้มากครับท่าน ขอบคุณครับ” “น้องใหม่เป็นยังไงบ้าง ความประพฤติดีหรือเปล่าและปรับตัวได้หรือยัง” น่าแปลกที่คาเมรอนถามถึงพนักงานหน้าใหม่ตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้สำคัญอะไร ซึ่งคาเมรอนไม่เคยถามถึงใครมาก่อน“ก็ ทำงานดีครับ อย่างที่ท่านทราบคือเธออัจฉริยะด้านนี้ มอบหมายงานให้ก็ทำออกมาได้ดีและเต็มที่ ส่วนเรื่องความประพฤติไม่ต้องห่วงครับ น่ารักมาก” พิรัชออกปากชมเปราะและยิ้มบางๆ“คะแนนเต็มสิบให้เท่าไหร่” คาเมรอนถามพลางมองออกไปนอกกระจกเช่นเดิม“ให้สิบเลยครับท่าน น่ารักมากๆ ดูซื่อๆ แต่เรื่องงานเธอมั่นใจในตัวเองมาก” “แล้วงานนี้ไว้ใจได้มากแค่ไหน ว่าจะไม่พลาด ผมหมายถึงคนเก่งๆ มักจะใจฝ่อเวลาที่ต้องอยู่ต่อหน้าคนเยอะ ประหม่าหรือเปล่า” “ก็มีบ้างครับท่าน แต่คิดว่าเธอน่าจะทำได้” “คิดว่าอย่างนั้นหรือ ทำไมไม่ทำให้ผมมั่นใจล่ะคุณรัช ถ้าไม่มั่นใจก็เตรียมหาคนอื่นเสียบแทนได้เลย เพราะถ้าขึ้นไปเก้ๆ กังๆ บนเวทีซึ่งเป็นหน้าเป็นตาบริษัทล่ะก็ ผมเรียกพบแน่ๆ ไม่ว่าใครก็ตาม” คาเมรอนบอกด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นจนน่าหวาดหวั่น“คือ รัชมั่นใจว่าเธอทำได้แน่นอนครับ แต่ว่ามือใหม่ก็ต้องสั่นเป็นธรรมดา” “ทำยังไงถ
“ขอโทษค่ะท่านดาเองค่ะ” กานดา เลขานุการหน้าห้องเป็นโทรศัพท์มานั่นเอง“มีอะไร” น้ำเสียงของเขาดุเข้ม ราวกับอารมณ์ไม่ดี ลำบากคนโทรมาสิคราวนี้“คือว่า ท่านไม่ได้ เอ่อ... ผู้บริหารท่านอื่นถามถึงท่านว่าจะเข้ามาเมื่อไหร่ ดาตอบไม่ได้ค่ะ”“ผมไม่เข้า เพราะถ้าเข้าคุณได้เห็นหน้าผมแล้ว มีอะไรเอาไว้คุยพรุ่งนี้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงดุเข้มขึ้น“ก็... ก็ได้ค่ะ แล้วท่านเอ่อ... คือว่าเผื่อมีคนถามดาจะได้ตอบถูกว่าท่านติดธุระหรือเปล่า”“ผมไม่สบาย ลุกไม่ไหว เพิ่งลุกจากเตียงเมื่อกี้นี้เอง” เขาแสร้งโกหกแต่เรื่องลุกจากเตียงเมื่อกี้นั้นเขาพูดความจริง“อ้าว! ท่านไม่สบาย ต้องไปหาหมอหรือเปล่าคะ” ให้ตายสิถามยาวอีกต่างหาก“ผมโอเคแล้ว แค่นี้ก็แล้วกันเดี๋ยวผมจะพักผ่อนต่อ” เขารีบตัดบททันทีเพราะไม่อยากตอบคำถาม และแน่นอนว่าเลขาฯ ของเขาก็ถามซักไซ้เหลือเกิน“ค่ะ สวัสดีค่ะท่าน” กานดารีบวางสายทันที ขณะที่คาเมรอนชักสีหน้าเรียบตึงไม่พอใจเล็กน้อย แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังรบกวนอีก คราวนี้เขารับสายโดยที่ไม่ได้มองเบอร์โทรเลย “มีอะไรอีก!” เขารับสายด้วยน้ำเสียงดุดัน“เฮ้! ฉันเอง วิล รับสายเพื่อนแบบนี้เหรอวะคาเมล” เพื่อนฝรั่งโทรมา แต่เพราะ
“ตอบว่า... ตอบว่าอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ค่ะ มันเหมือน... คงชินแล้วสิท่า แล้วที่เจ็บเนี่ยคงเพราะไม่ได้ทำมันนานแล้วใช่ไหม” ให้ตายสิ ทำไมความคิดของเขามันสกปรกนัก ทั้งที่รู้ว่าเธอมีเขาเป็นคนแรก“ใช่ค่ะ ไม่ได้ทำมันนานแล้ว” เธอตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เพื่อให้ความคิดสกปรกของเขาเป็นจริงและแน่นอนว่าเขาโกรธมาก พลางกัดกรามแน่นจนเส้นเลือดนูนเป็นสัน “งั้นคงต้องทำบ่อยๆ มันจะได้ไม่ต้องเจ็บ” พูดจบเขาก็ก้มหน้าลงขยี้จูบเธออย่างรุนแรง หนักหน่วง เร่าร้อนจนปากแทบพัง ลิ้นอุ่นซ่านสอดแทรกสู่โพรงปากหวานอย่างรวดเร็ว พร้อมกับอารมณ์โกรธที่อยู่ๆ ก็ถาโถมสู่จิตใจ เพราะไม่คิดว่าเธอจะกล้าประชดถึงเพียงนี้ทั้งที่รู้ว่าเป็นคนแรกของเธอ ทว่าครั้งนี้เวียงพิงค์ไม่ยอมให้เขารุกเร้าได้ง่ายนัก จึงพยายามพลักใสและดิ้นรนขัดขืน แต่ยิ่งต่อต้านเขาก็ยิ่งชอบเพราะมันเร่าร้อน ฉะนั้นอารมณ์บรรเจิดบังเกิดขึ้นทันที เขาจึงรีบขยับตัวขึ้นทาบทับเธอเอาไว้พร้อมกับขึงมือทั้งสองของเธอตรึงลงไปบนที่นอน สะโพกแกร่งแทรกอยู่ระหว่างขาเรียวสวย ก่อนจะขยับออกทำให้เธอต้องแยกขาออกจากกันอัตโนมัติ“อืม” เธอบิดเร้าดิ้นรนขัดขืนแต่เขากลับชอบและพอใจมาก“อย่า! พอแล้วค่ะ”
ความเป็นชายแข็งแกร่งพร้อมทะยานสู่จุดหมาย ขึงขังตั้งตัวอยู่ชิดกับบั้นท้ายของหญิงสาวพอดี ทำให้เธอตกใจไม่น้อย ทั้งวาบหวามและหวาดกลัวกับบทรักที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น บั้นท้ายสวยๆ ถูกจับให้แนบกับกายแกร่ง เรียวขาขยับแยกจากกันโดยอัตโนมัติ ทำให้แผ่นหลังของเธอแอ่นโก้งโค้งนิดหน่อยเพื่อที่เขาจะนำพาส่วนนั้นเข้าสู้เส้นทางรักอันแสนคุ้นเคย“พิ้งค์กลัว อย่าทำแบบนี้ได้ไหมค่ะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นขณะที่เขากำลังใช้กายแกร่งถูไถกับบั้นท้ายอย่างพอใจ“อืม แล้วคุณจะรู้ว่ามันยอดเยี่ยมมาก” เขากระซิบแผ่วเบาเสียงพร่า และพยายามกดส่วนนั้นบดเบียดช่อกุหลาบนุ่ม“พิ้งค์ไม่... พิ้งค์ไม่เคย” เธอบอกตรงๆ เพราะ... ให้ตายสิจะว่าเธอไม่เคยเห็นในคลิปก็ไม่ใช่ แต่ไม่เคยเจอกับตัว “จ๋าครับ มันไม่น่ากลัวหรอกนะ ไม่คิดจะทำแบบนั้น” เมื่อเห็นว่าเธอหวาดกลัวเขาจำต้องใช้ไม้อ่อนด้วยการเรียกอย่างออดอ้อน“แต่ว่า...” เธอกำลังจะเอ่ยแต่ไม่ทันจบคำ เขาก็พลิกตัวเธอให้หันกลับไปหา พร้อมกับขยี้จูบอย่างดูดดื่มอีกครั้ง จากนั้นเขาจึงเดินถอยหลังมาที่ปลายเตียงและประคองให้นอนลงไป แต่ริมฝีปากยังคงจูบแนบแน่นเหมือนเดิม “ทำใจให้สบาย ผ่อนคลายไปกับผม แล้ว
“เอ๊ะ! ดิ้นจัง ไม่งั้นจะปล่อยให้ตกบันไดไปเลย” เขาดุอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอยังดิ้นแบบไม่พูดไม่จา“พิ้งค์ก็ไม่ได้บังคับให้คุณต้องจูงนี่คะ” เธอว่าน้ำเสียงหม่นระคนด้วยความหวานเล็กน้อย“ก็ต้องจูง เผื่อกระโดดลงบันได อีกอย่างเดี๋ยวจะพาไปดูห้องทำงาน” ห้องทำงานอย่างนั้นหรือ เธอคิดพลางมองใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์ที่เจือด้วยรอยยิ้มมุมปากจางๆ จากที่เมื่อครู่นี้ตึงเครียดเหลือเกิน“ห้องทำงานอยู่ข้างบนนี้เหรอคะ” เธอถามอย่างซื่อๆ ทว่าเขาไม่ตอบ แต่กลับจูงมือเธอขึ้นไปจนถึงด้านบนและมีแต่ประตูห้องนอนตรงด้านหน้ามันบานใหญ่ที่สุดคาดว่าจะเป็นห้องนอนของคาเมรอนหรือเปล่า “โน่นห้องทำงานคุณ” เขาใบ้หน้าไปทางเดียวกับที่เธอเข้าใจนั่นแหละ จากนั้นจึงได้เดินนำเข้าไปและเปิดประตูอย่างช้าๆ เขาเดินเข้าไปก่อน เวียงพิงค์จึงได้ตามและต้องอึ้ง ตื่นตา กับภายในที่ถูกจัดตกแต่งราวกับห้องนอนเจ้าชาย มีสัดส่วนแบ่งเป็นห้องทำงาน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น สีสันภายในห้องคือสีขาว ฟ้า และสีทองของเฟอร์นิเจอร์“เอ่อ ห้องนี้มันไม่ใช่ห้องทำงาน” เธอเอ่ยลอยๆ เพราะยังคงทึ่ง และไม่คิดว่าเขาจะมีแผนหรอก“ถูก นี่ไม่ใช่ห้องทำงาน มานี่” พูดจบเขาก็คว้าแขนเธอให้เดิน
“อืม” เวียงพิงค์สะดุ้งและเสียวแปลบๆ จนต้องรีบหนีบเข้าหากัน ทว่ามือหนาของเขากลับสร้างความเสียวซ่านให้กับเธอด้วยการบดเบียดฝ่ามือและนิ้วแกร่งกับช่อกุหลาบนุ่มอย่างหนักหน่วงมีชั้นเชิง ทำให้ร่างบางสะท้านไปทั้งกายและเผลอขยับขาออกจากกัน คาเมรอนได้ใจ ด้วยการขยับริมฝีปากออกมาจูบซุกไซ้ไปตามซอกคอ พร้อมกับมือที่กำลังถอดกางเกงชั้นในเธอลงมาไว้ที่ใต้สะโพก แล้วจึงเคลื่อนฝ่ามือลูบไล้เนื้อนุ่มอวบอย่างสุดจะห้ามใจ “อ่า... คุณ... พอแล้วค่ะ นี่มันบนรถ” เธอห้ามปรามเสียงพร่าเมื่อปากเป็นอิสระแต่กายส่วนล่างถูกจู่โจมอย่างหนัก“บนรถผมก็ทำได้ ถ้าเรามีเวลา” เขาพูดพลางซุกไซ้ใบหน้าฝังไปตามเนินอกอวบ พร้อมกับมือหนากำลังบดเบียดเค้นคลึงช่อกุหลาบหวานที่กำลังชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำอุ่นๆ ไหลซึมออกมาอย่างช้าๆ “ได้โปรด พิ้งค์กลัวคนได้ยิน” เธอกระซิบแผ่วเบาอีกครั้ง พลางแอ่นกายรับสัมผัสจากฝ่ามือร้อน“ไม่ได้ยินหรอกน่า แปบเดียว ผมทำเร็ว” เขากระซิบเช่นเดียวกันและไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าใครจะได้ยินหรือเปล่า “แต่มัน อืม...” เธอเผลอครางออกมาด้วยความลืมตัวเมื่อเขาสอดแทรกนิ้วแกร่งเข้าสู่เส้นทางรักที่ไหลลื่น ทว่ามันกลับโอบรัดนิ้วเขาเอาไว้ พร้อมกับ
“คุณ เราลงลิฟต์คนละครั้งได้หรือเปล่าคะ” เวียงพิงค์หันมากระซิบถามเขาเบาๆ ทว่าเขากลับปรายตามองด้วยแววตาเฉยชา นั่นคงหมายความว่าไม่ได้สินะ เมื่อได้คำตอบทางสายตาเธอจึงต้องเดินก้มหน้าต่อไป จนลิฟต์เปิดออกและทุกคนลงไปพร้อมกัน พอลงมาถึงชั้นล่างคาเมรอนจึงให้พีระเป็นคนไปจัดการเช็คเอ้าท์ให้เฉพาะห้องที่คาเมรอนพักเท่านั้นเพราะห้องอื่นๆ นั้นจัดการเรียบร้อยแล้วรวมทั้งค่าจัดงาน “พิ้งค์ขอไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าตรงรีเซฟชั่นได้หรือเปล่าคะ พี่รัชฝากเอาไว้ให้น่ะค่ะ” เวียงพิงค์เอ่ยกับคาเมรอนด้วยน้ำเสียงแสนเบาหวาดหวั่นเพราะเขากลายเป็นคนนิ่งเฉยไปในทันที เมื่ออยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก “เดี๋ยวให้การ์ดไปเอาให้” คาเมรอนตอบเสียงเรียบขณะที่กำลังจูงเธอมานั่งรอที่โซฟารับแขกของโรงแรม จากนั้นจึงหันไปบอกบอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งไปเอาให้ “ไปเอากระเป๋าให้คุณพิ้งค์ทีไป บอกว่ามีคนฝากไว้ให้” คาเมรอนสั่งเสียงเรียบ “ครับผม” บอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งรับคำก่อนจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์โรงแรม “ความจริงพิ้งค์ไปเอาเองก็ได้ค่ะ” ดูเหมือนว่าเธอกำลังพยายามใช้น้ำเสียงเรียบๆ ข่มเขาสินะ คงไม่รู้ตัวว่าเสียงของเธอมันหวานเหมือนลูกแมว “ไม่ได้! ผู้หญิงข
“อุ้ย! ว้าย!” หญิงสาวสะดุ้งและร้องอุทานด้วยความตกใจ เพราะอยู่ๆ วงแขนของเขาก็ตวัดรัดรอบเอวแล้วรั้งเข้าไปสวมกอดจากทางด้านหลัง“นี่ พิ้งค์บอกให้ไปอาบน้ำ” เธอว่าและดิ้นจนสุดแรงแต่เขาก็กอดรัดเสียแน่น“ผมต่างหากที่สมควรจะสั่งคุณ และอย่างที่คุณบอก ทำให้คุ้มซิ” เขาพูดและกัดกรามแน่นพลางเอื้อมมือลูบไล้ไปตามร่างกายของเธอผ่านชุดคลุมพร้อมกับซุกไซ้ใบหน้าลงไปตรงบริเวณซอกคอและดูดเม้มหนักๆ “นี่! หยุดนะ! คนไม่รักษาคำพูด” เธอว่าพลางวาดฝ่ามือหนักๆ ลงไปตามแขนของเขา แถมด้วยการทุบหนักๆเพียะ! เพียะ! เพียะ! เธอฟาดที่หลังมือของเขาไม่ยั้งแต่มือหนาแทบไม่สะทกสะท้าน“ผมไม่รักษาคำพูดตรงไหน” เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงอู้อี้“ก็ตรงนี้แหละ อืม ปล่อย คน... บ้า...” “ตีไปเถอะผมไม่เจ็บหรอก เพราะผมกำลังจะได้ขึ้นสวรรค์แทนความเจ็บปวด” พูดจบเขาก็ถลกชายเสื้อคลุมเธอขึ้นและสอดแทรกฝ่ามือเข้าไปล้วงลึกถึงด้านใน และก็พบกับความว่างเปล่าที่นวลเนียนน่าสัมผัส“คุณ! ไม่เอา... พอก่อน ให้พิ้งค์แต่งตัวนะคะ” เธอพยายามยกขาขึ้นหนีบกันเอาไว้ เพื่อไม่ให้มือฝ่าหนาเข้าครอบครองและแสดงความเป็นเจ้าของต่อส่วนนั้น“จะแต่งตัวไปไหน ในเมื่อผมบอกว่าพักงานคุ
“สวัสดีค่ะพี่รัช ขอโทษค่ะที่ทำให้รอสายนาน” เวียงพิงค์กดรับสายและทักทายอย่างสุภาพพลางปรายตามองคนใจร้ายที่ยืนจับชายผ้าห่มรอฟังเธอพูด“ไม่เป็นไรจ้ะ พิ้งค์เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง พี่เป็นห่วงนอนไม่หลับเลยกลัวท่านประธานจะไม่พอใจเอามากๆ” น้ำเสียงปลายสายเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“คือ...ใช่ค่ะ ท่านก็...” เวียงพิงค์ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรดีว่าท่านประธานไม่พอใจแค่ไหน “ท่านดุมากไหมพิ้งค์ ฮืม” พิรัชถามน้ำเสียงหม่น“ก็... ค่ะ... ดุ... ดุเหมือน... ดุเหมือนหมา! กัดมั่วไปหมด” คำว่าดุเหมือนหมาเธอตั้งใจหันมาว่าให้เขาชัดๆ แถมยังลั้กคิ้วหลิ่วตาใส่ จนเขาขึงตาจ้องมองเธอราวกับจะเอาเรื่องเลยทีเดียว“แล้วพิ้งค์กำลังมาทำงานหรือเปล่า” “เอ่อ พี่รัช... คือพิ้งค์ พิ้งค์คงยังไปทำงานไม่ได้ในตอนนี้ พิ้งค์...” “ว่าไงนะ! เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า นี่โดนดุนิดหน่อยถึงกับไม่อยากมาทำงานเลยเหรอ ไม่เอาน่าพี่รออยู่นะ” “เปล่าค่ะพี่รัช เขาสั่งพักงานพิ้งค์หนึ่งอาทิตย์ เพื่อทบทวนตัวเอง”“พักงาน! ให้ตายสิ โอ้ยพิ้งค์พี่ขอโทษที่ทำให้เป็นแบบนี้ แล้วจะทำไงละจ้ะ หืม”“พี่รัชไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดี๋ยวพิ้งค์ก็จะไปทำงานตามเดิม เจอกันอาทิตย์หน้านะค
“เห็นผู้หญิงไร้ค่า และคุณกำลังเห็นพิ้งค์เป็นแบบนั้น ไร้ค่าใต้อานัสของคุณและเงินคุณ” “รู้ไว้ก็ดี และทำให้ดีที่สุดจำไว้” พูดจบเขาก็ก้มลงจูบเธอเสียดื้อๆ จนแทบตั้งตัวไม่ทัน“อืม” เพราะความตกใจทำให้เวียงพิงค์ร้องอู้อี้และดิ้นนิดหน่อย แต่เมื่อเขามอบความอ่อนโยนให้เธอจึงหยุดดิ้นและจูบตอบเขาตามอารมณ์ที่กำลังก่อตัว อยากเกลียดตัวเองที่กำลังหลงเสน่ห์ผู้ชายคนนี้ “พอแล้วค่ะ พอแล้ว” เธอผลักเขาออกและห้ามเบาๆ ก่อนจะเมินหน้าหนี“น้ำเสียงไม่หนักแน่น” เขาบอกอย่างเป็นต่อและยิ้มบางๆ“คุณ... จูบบ่อยเกินไปแล้ว ปากพิ้งค์แทบจะ...” เธอจำเป็นต้องบอกความจริงและอยากรู้เหลือเกินว่าเขาทำกับคนอื่นแบบนี้บ้างหรือไม่ แต่คำตอบอาจจะทำให้เธอเจ็บปวดก็เป็นได้ “ก็ปากมีไว้จูบนี่ ฮืม หรืออยากให้ผมทำอย่างอื่น เอาอีกไหมจ๊ะจ๋า” ทำไมคำว่า จ๊ะจ๋ะของเขามันทำให้เธอเขินอายหน้าแดงขนาดนี้ บ้าจัง“ไม่ ไม่เอาแล้ว ง่วงแล้วค่ะ” เธอแสร้งโกหกไปอย่างนั้นเอง เพราะไม่อยากจะดื้อดึงกับเขาอีกแล้ว แต่เอาไว้พรุ่งนี้ก่อนเถอะเธอจะแผลงฤทธิ์ให้ดู“งั้นเรียกจ๋าเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นไม่ให้นอน ขอเพราะๆ นะครับ” เขาเองก็ไม่ได้พูดเพราะกับเธอเสียหน่อย“พิ้งค์ไม่..