ขณะเดียวกันเมื่อเวียงพิงค์เรียนจบ ก็รับจ๊อบทำงานกลางคืนรอการสมัครงาน จากนั้นก็ทยอยส่งเงินไปให้มารดา ถึงจะไม่มากแต่เธอก็ส่งเงินกลับบ้านทุกเดือน นี่คือประวัติที่เวียงพิงค์กรอกเอาไว้ และเท่าที่คาเมรอนอ่านคร่าวๆ ก็รู้ว่าตอนเรียนหนังสือเวียงพิงค์ทำงานทุกอย่างที่สุจริต เพื่อให้ได้เงินส่งเสียตัวเองเรียนจนจบ“ทำงานทุกอย่างเลยเหรอ” คาเมรอนเอ่ยลอยๆ พลางยิ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ราวกับมีแผนการอยู่ในใจ แน่นอนว่าผู้หญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อเงินนั้นเขาชอบอยู่แล้ว หากมีโอกาสที่ได้ทำงานแลกเงิน ไม่ว่างานแบบไหนก็รับทำอยู่แล้วกระมัง แม้แต่งานอย่างว่า เขาคิดอย่างเหยียดหยัน รู้สึกไม่พอใจเมื่อคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าเวียงพิงค์ต้องเป็นผู้หญิงแบบนั้นแน่ๆ เหมือนแม่นางแบบที่เขาสอยมานอนกก“อีกไม่นานเราจะได้รู้จักกันเวียงพิงค์” เวลานี้สำหรับคาเมรอนแล้วเวียงพิงค์เป็นผู้หญิงที่เขาอยากจะใช้เวลาดูเธอให้นานกว่าคนอื่น เพราะความรู้สึกหลายๆ อย่างที่ตอบตัวเองไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่าอยากจะได้เธอ แต่ไม่อยากแสดงตัวให้ไก่ตื่น เพราะอย่างนี้เองเขาถึงซุ่มเงียบอยู่เช่นนี้และ ได้แ
“ตั้งแต่ทำงานมายังไม่เคยจ้ะ แต่ก็ไม่แน่ถ้ามีใครทำอะไรไม่เหมาะมากๆ เข้าท่านอาจจะเรียกเข้าพบเป็นการส่วนตัว”“งั้นพิ้งค์จะพยายามเป็นเด็กดีอยู่ในกฎระเบียบดีกว่าค่ะ ไม่งั้นแย่แน่เลย ฟังเท่านี้ยังน่ากลัว” เธออยากจะบอกเหลือเกินว่าท่านประธานอาจจะมีดีแค่ความหล่อ นอกนั้นไม่น่าเข้าใกล้เลย“ดีแล้วจ้ะ” อมิตาบอกยิ้มๆ อีกครั้ง แต่ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่นั่นๆ เสียงของผู้จัดการก็ดังขึ้น“อะแฮ่ม!” พิรัชกระแอมเพื่อให้สองสาวได้รู้ตัว และทันทีที่ได้ยินเสียงทั้งคู่ก็สะดุ้งพร้อมกับหยุดคุยกัน“อุ้ย! เอ่อพี่รัช มาเมื่อไหร่คะ ตาไม่เห็นได้ยินเลย” อมิตาแสร้งถามและยิ้มแห้งๆ เพราะกลัวความผิด“มาทันได้ยินเราสองคนกำลังนินทาเจ้านาย” พิรัชบอกเสียงปกติแต่แกล้งทำตาขึงขัง“พิ้งค์ขอโทษค่ะ พอดีพิ้งค์กำลังสอบถามเรื่องงานก็เลย...”“ก็เลยถามยาวถึงคนให้งานด้วย พี่ไม่ว่าหรอกนะ เพราะได้ยินที่พิ้งค์ถาม รู้
“อุ้ย! ไม่เอาหรอก เดี๋ยวพิ้งค์จัดการเองนั่นแหละ ไม่ต้องยุ่งเลย รออยู่ตรงนี้จะไปใส่ออกมาให้ดู” พูดจบเวียงพิงค์ก็รับชุดและรองเท้าจากเมษาทันทีก่อนจะเดินเข้าไปในห้องลองชุด เมษาได้แต่ยิ้มตามอย่างเจ้าเล่ห์ เพราะถ้าไม่ขู่ว่าจะจ่ายให้ไม่มีทางรับแน่ๆเวียงพิงค์เข้าไปในห้องลองชุดเพียงห้านาทีเท่านั้นเธอก็เปิดประตูออกมา พร้อมกับชุดใหม่สีชมพูเกาะอก สั้นเหนือหัวเข่าจริงๆ ส่วนรองเท้าก็เข้ากับชุดและเท้าขาวๆ เลือกเก่งไม่เบาเลย เมษาคิดชมตัวเอง ขณะที่มองเพื่อนรักแบบทึ่งๆ และอึ้งในความสวยน่ารัก“พิ้งค์ใส่มันโอเคไหมอ่ะเมย์” เวียงพิงค์ถามด้วยความไม่มั่นใจ“มันโอเคมากพิ้งค์ โอเคกว่าชุดก่อน ที่เมย์ให้ยืมเสียอีก”“จริงเหรอ พิ้งค์ว่ามันโป๊ไหมอ่ะ กลัวเกาะอกจะหลุดด้วย”“ไม่โป๊เลยต่างหาก เรียบๆ แต่ดูดี ขับผิวมากๆ คอว่างๆ โล่งๆ เอาไว้ใส่เครื่องประดับ เอาชุดนี้แหละ ไปถอดแล้วจ่ายเงินเลย” ดูเหมือนว่าเมษาจะเป็นคนจัดแจงทุกอย่างให้เวียงพิงค์ แม้จะไม่อยากรับก็ต้องรับเพราะมันคือความหวังดี หากไม่มีเมษา เวียงพิงค์ก็ไม่รู
แต่ถึงแม้ว่าจะทำห้องให้ดูอบอุ่นน่าอยู่เพียงใด ความเหงาก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องอยู่ดี ทั้งเหงาและคิดถึงบ้าน คิดถึงมารดาและน้าสาวที่อยู่ด้วยกันสองคน เธอเองก็กลับบ้านปีละครั้ง ทว่าตั้งแต่เรียนจบยังไม่มีโอกาสได้กลับ นอกจากโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวดีเรื่องที่เธอประกวดชนะเลิศพร้อมเงินรางวัล จากนั้นจึงได้ส่งเงินไปให้ เท่านี้มันก็ทำให้เธอมีความสุขมากแล้วการทำงานก้าวแรกมันไม่ได้ทำให้เวียงพิงค์หนักใจ เท่ากับตอนนี้ที่กำลังจะเตรียมตัว เพื่องานที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เป็นอีกครั้งที่จะต้องขึ้นพรีเซนต์ผลงานด้วยตัวเองโดยไม่ใช้พิธีกร เธอไม่ได้กลัวต่อการทำงานอยู่แล้ว แต่กลัวอย่างอื่น คือการได้เห็นหน้าผู้ชายในฝัน ที่เธอแอบเก็บซ่อนชายหนุ่มเอาไว้ในหัวใจตลอดระยะเวลาที่ทำงาน“ทำไมต้องตื่นเต้น เขาไม่ได้สนใจเราเสียหน่อย” เธอว่าให้ตัวเองอย่างหงุดหงิดใจก่อนจะเหลือบมองชุดราตรีที่ซื้อมาพร้อมกับรองเท้า แล้วจึงลุกขึ้นไปหยิบชุดราตรีแขวนเอาไว้ในตู้เสื้อผ้า“แปลงร่างเป็นนางซินอย่างนั้นเหรอ เจ้าชายที่ไหนจะสนใจ ยัยเตี้ย” เธอว่าให้ตัวเองพล
ทั้งหมดเตรียมความพร้อมเกือบจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหล่าดีไซน์เนอร์ทุกคนกำลังดูนางแบบซ้อมเดิน และต้องซ้อมคิวเพื่อขึ้นพรีเซนต์ผลงานแต่ละชิ้น ฝึกอ่านสคริปของตัวเองเพื่อความแม่นยำ งานจะได้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดให้สมกับเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งอัญมณี เพียงแต่ครั้งนี้มีน้องใหม่อย่างเวียงพิงค์ร่วมแสดงฝีมือด้วย“เฮ้อ!” เวียงพิงค์ถอนหายใจออกมาหนักๆ ขณะที่ดวงตาคู่หวานกำลังจ้องมองขึ้นไปบนเวทีเพื่อดูนางแบบแต่ละคนเดิน“เป็นอะไรจ๊ะพิ้งค์” อมิตาถามด้วยความเป็นห่วง“พิ้งค์ตื่นเต้นค่ะพี่ตา สั่นและมือเย็นไปหมดแล้ว”“เอาน่าเมื่อก่อนพี่ก็เป็นอย่างพิ้งค์นี่แหละ ไม่ต้องกลัวไม่มีใครเก่งตั้งแต่ครั้งแรกหรอก ต้องตื่นเต้นกันทุกคนอยู่แล้ว”“ตาพูดถูก ไม่มีใครเก่งตั้งแต่ครั้งแรก ฉะนั้นไม่ต้องตื่นเต้นงานของเรามันดีอยู่แล้ว หน้าที่ของเราคือพรีเซ็นต์เท่านั้นเอง” พิรัชแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ขอบคุณค่ะพี่รัช แล้วนี่เจ้าหน้าที่เรามาครบกันหมดหรือยัง
“ใจป้ำแต่ท่านก็เปิดเอาไว้แค่ไม่กี่ห้องจ้ะ สำหรับพวกเราที่ต้องมาขึ้นเวทีจริงๆ ต้องแต่งตัวสวยๆ และต้องซักซ้อม เปิดไม่เยอะน่าจะห้าห้องเพราะเราเอาไว้แต่งตัวเท่านั้นเอง” พิรัชอธิบายน้ำเสียงเรียบ“ก็เรียกว่าใจป้ำอยู่ดีค่ะเพราะห้องราคาแพงอยู่นะคะ” อมิตาแทรกขึ้น“ไม่แพงเท่ากับห้องท่านประธานหรอก ชาตินี้ระดับเราอย่าหวังได้ขึ้นไปพักบนห้องนั้น ห้องพักราคาเกือบแสนต่อคืน เงินเดือนๆ ละแสนยังไม่กล้าพักเลย”“แหมพี่รัช นั่นท่านประธานนะคะ ต้องแพงอยู่แล้ว” อมิตาให้ความเห็นยิ้มๆ“อยากขึ้นไปยลห้องท่านจังเลยเนอะ” พิรัชเอ่ยลอยๆ ราวกับเพ้อฝัน แต่คุยกันอยู่ดีๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นกริ้ง! กริ้ง! พิรัชต้องหยิบเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาพร้อมกับยกขึ้นดูเบอร์ที่โชว์หราทันที“ท่านประธาน! ตายห่า!” พิรัชอุทานด้วยความตกใจ แทนที่จะดีใจขัดกับตอนที่กำลังเพ้ออย่างสิ้นเชิง ทำเอาทุกคนตกใจเช่นกัน“สวัสดีครับท่าน” พิรัชรับสายเสียงเรียบและเข้มแบบหนุ่มๆ ทันที&ld
“เอ่อไม่เลยครับ ทุกคนแฮปปี้มากครับท่าน ขอบคุณครับ” “น้องใหม่เป็นยังไงบ้าง ความประพฤติดีหรือเปล่าและปรับตัวได้หรือยัง” น่าแปลกที่คาเมรอนถามถึงพนักงานหน้าใหม่ตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้สำคัญอะไร ซึ่งคาเมรอนไม่เคยถามถึงใครมาก่อน“ก็ ทำงานดีครับ อย่างที่ท่านทราบคือเธออัจฉริยะด้านนี้ มอบหมายงานให้ก็ทำออกมาได้ดีและเต็มที่ ส่วนเรื่องความประพฤติไม่ต้องห่วงครับ น่ารักมาก” พิรัชออกปากชมเปราะและยิ้มบางๆ“คะแนนเต็มสิบให้เท่าไหร่” คาเมรอนถามพลางมองออกไปนอกกระจกเช่นเดิม“ให้สิบเลยครับท่าน น่ารักมากๆ ดูซื่อๆ แต่เรื่องงานเธอมั่นใจในตัวเองมาก” “แล้วงานนี้ไว้ใจได้มากแค่ไหน ว่าจะไม่พลาด ผมหมายถึงคนเก่งๆ มักจะใจฝ่อเวลาที่ต้องอยู่ต่อหน้าคนเยอะ ประหม่าหรือเปล่า” “ก็มีบ้างครับท่าน แต่คิดว่าเธอน่าจะทำได้” “คิดว่าอย่างนั้นหรือ ทำไมไม่ทำให้ผมมั่นใจล่ะคุณรัช ถ้าไม่มั่นใจก็เตรียมหาคนอื่นเสียบแทนได้เลย เพราะถ้าขึ้นไปเก้ๆ กังๆ บนเวทีซึ่งเป็นหน้าเป็นตาบริษัทล่ะก็ ผมเรียกพบแน่ๆ ไม่ว่าใครก็ตาม” คาเมรอนบอกด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นจนน่าหวาดหวั่น“คือ รัชมั่นใจว่าเธอทำได้แน่นอนครับ แต่ว่ามือใหม่ก็ต้องสั่นเป็นธรรมดา” “ทำยังไงถ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! พิรัชเคาะประตูอย่างมีมารยาท และยืนรอให้คนอยู่ในห้องเปิดประตู ซึ่งก็ไม่นานนักประตูก็เปิดเข้าไปโดยที่อมิตาเป็นคนเปิด“อ้าวพี่รัช ไปเร็วมาเร็ว” อมิตาถามก่อนจะเปิดทางให้พิรัชเข้ามาแล้วจึงปิดประตูลงอีกครั้ง“เร็วเหรอ พี่ว่าพี่ไปนานนะ เป็นยังไงบ้างสาวๆ หิวกันไหม แล้วนี่เริ่มทยอยอาบน้ำแต่งตัวกันหรือยัง” พิรัชถามทุกคนด้วยความเป็นห่วงแต่สายตาดันกวาดมองไปทั่วทั้งห้องเพื่อหาคนตัวเล็กน่าทะนุถนอมนั่น“พิ้งค์อาบน้ำเหรอ” พิรัชถามอมิตาทันทีเพราะเวลานี้ให้ความสนิทกับเวียงพิงค์มากที่สุด เนื่องจากยังใหม่อยู่“พิ้งค์อาบน้ำค่ะ พี่รัชมีอะไรหรือเปล่าคะ ขึ้นไปพบเจ้านายมาน่ะ ห้องนอนเจ้านายใหญ่โตหรูหราไหม”“อย่าให้พูดถึง อย่างกับห้องพักเจ้าชายแน่ะ น่าอยู่มาก” พิรัชบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“แล้วท่านประธานเรียกไปทำไมเหรอคะพี่รัช” อมิตาถามด้วยความอยากรู้“ก็ ท่านอยากให้เราตั้งใจทำให้ดีที่สุดน่ะ แล้วตอนนี้อยากจะกินอะไรดื่มอะไรก็โทรสั่งห้องอาหารให้ขึ้นมาส่งได้เลยนะ ท่านจัดการเรื่องทั้งหมดเอง วันนี้เราก็สบายเหมือนเจ้าหญิงเจ้าชายเลย” พิรัชบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง ทำเอาทุกคนเฮลั่นกันเลย“เย้!” เสียงเฮดั
“อ๊ะ! ซี๊ดดดด อ่า คาเมล” ด้วยความเสียวซ่านทำให้เธอกดกลั้นเสียงครางเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะต้องพ่ายแพ้ให้แก่ความคิดถึง ความปรารถนา และทะยานพุ่งสู่จดหมายที่ปลายขอบฟ้า ร่างบางกระตุกเกร็งและแอ่นสะโพกยกขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือมาจิกที่ตัวไหล่ทั้งสองข้างของเขาเพื่อปลดปล่อยความทรมาน ผ่านไปชั่วครู่ร่างกายเริ่มผ่อนคลายล่องลอยราวกับอยู่กลางท้องฟ้า เสียงหายใจหอบพร่ากระชั้นด้วยความเหนื่อย คาเมรอนยังคงอ้อยอิ่งจูบซับความหวานกระทั่งพอใจ แล้วจึงขยับกายขึ้นไปหาพร้อมกับจูบที่ริมฝีปากบางอย่างปลอบโยนอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปรั้งผ้าห่มที่อยู่ปลายเท้าขึ้นมาคลุมให้ แล้วยิ้มหวานพลางเอื้อมมือขึ้นเสยผมที่เลื่อนมาปิดใบหน้าออกให้อย่างอ่อนโยน แต่เวียงพิงค์แปลกใจไม่น้อยที่เขายอมทำตามคำขอร้องของเธอ “ทำไมคุณถึงได้ยอม ทั้งที่เมื่อก่อน...” เธอถามอย่างแปลกใจ“เมื่อก่อนผมไม่ยอมใช่ไหม จะเอาให้ได้ใช่หรือเปล่า ก็ตอนนี้ร่างกายคุณไม่โอเคจะให้ผมบังคับเหรอ คุณจะไม่เกลียดผมมากกว่านี้หรือยังไง” เขากระซิบบอกเสียงนุ่มแล้วก้มหน้าจูบที่หน้าผากเนียนเบาๆ แต่เนิ่นนานจนไม่อยากจะละจากกันเลยทีเดียว“ผมรักคุณ” เขากระซิบเบาๆ อีกครั้งทว่าหลั
เท่านั้นยังไม่พอมือหนาซุกซนของเขาลูบเข้ามาจนถึงเรียวขาด้านใน ก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสกับเนินสวาทอวบนุ่ม แต่เขากลับต้องชะงักเพราะมันเกลี้ยงเกลาสะอาดจน... “พระเจ้า” เขาครางออกมาเบาๆ ด้วยความตื่นเต้นพลางลูบไล้ฝ่ามือลงบนเนินสวาทช้าๆ พร้อมกับบดเบียดนิ้วแกร่งกับช่อกุหลาบนุ่มๆ อย่างเอาใจ สร้างความเสียวซ่านให้กับหญิงสาวจนแทบคลั่ง เพราะไม่ได้อยู่ใกล้เขามานาน “อื้อ! ไม่ได้ค่ะ ไม่เอา” เธอเริ่มห้ามปรามอีกครั้งพร้อมกับผลักมือของเขาออก “ทำไมไม่ได้ ผม... ผมเอ่อ” เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกขัดใจชอบกล แต่ไม่ได้หงุดหงิดอะไรเพียงแต่ร่างกายของเขากำลังต้องการเท่านั้นเอง “พิ้งค์เพิ่งคลอด คุณเข้าใจไหมคะ คุณหมอเย็บไหมละลาย ถ้าละลายแล้วก็ใช่ว่าคุณจะ...” เธอบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อืม! ผัวเมียอยู่ด้วยกันมันก็ต้องการจะให้ทำยังไงครับจ๋า หืม” ให้ตายสิเขาโมเมคิดว่าเธอใจอ่อนแล้วสิท่า “ไม่ต้องทำ ปล่อยพิ้งค์” พอเธอพูดจบเท่านั้นแหละเขาก็ตวัดเธอเข้าไปกอด “ไม่ทำไม่ได้ คุณหมอสั่ง” คนบ้ามาอ้างอิงคำสั่งหมอ หมอไม่ได้สั่งให้มีอะไรกันเสียหน่อย เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว เธอคิดพลางมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง “หมอไม่ได้สั่งแบบนี
“คุณหนีผมมาทำไม ทิ้งผมมาทำไม ที่สำคัญไม่บอกผมสักคำว่าท้อง” “พิ้งค์ไม่ได้มีค่ากับคุณ เรื่องที่เกิดขึ้นเพราะคุณรังแกพิ้งค์ ลูกเกิดมาเพราะคุณไม่ได้ตั้งใจ และคิดเหรอว่าคุณจะรับผิดชอบ” เธอบอกพร้อมกับน้ำตาที่หลั่งริน “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่รับผิดชอบ ผมเป็นคนนะ และคนๆ นี้ก็รักคุณ ไม่ได้ดูดายเมื่อรู้ว่าคุณมาที่นี่”“หึ ไม่ได้ดูดายอย่างนั้นเหรอคะ คุณไม่ได้สนใจพิ้งค์ด้วยซ้ำ”“โรงพยาบาลที่ราคาถูกผิดปกติ แท็กซี่เจ้าประจำของคุณ และค่าใช้จ่ายในบ้านที่แม่คุณอาจจะหยิบยื่นให้ สงสัยหรือเปล่า” ให้ตายสิอย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือเขา เธอคิดและได้แต่ร้องไห้“ผมอยากมาหาคุณเหลือเกินพิ้งค์ แต่เพราะผมโง่ถึงรอคอยอะไรบ้าๆ จนทำให้คุณโกรธผมขนาดนี้ แต่เชื่อเถอะว่าผมไม่เคยอยู่ห่างคุณกับลูกเลย” “คุณเป็นคน... เป็นฝีมือคุณ” “เป็นฝีมือผม ใช่ ผมอยากดูแลคุณอยากรับผิดชอบ แต่เพราะรู้ว่าคุณเกลียดผมมาก หากคุณรู้ก็กลัวว่าคุณไม่รับ ขอโทษนะครับได้ไหม” เธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมกริบด้วยความรู้สึกหลากหลาย บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร“ให้โอกาสผมได้ไหม เริ่มต้นกันใหม่นะครับ”“พิ้งค์เป็นแค่... พิ้งค์ไม่มีค่าอะไร” เธอยังคงคิดว่าตัวเองต่ำต้อ
“แต่คุณน่ะทะลึ่ง ไปไหนก็ไปพิ้งค์ง่วง จะนอนแล้วไม่ต้องมากวนด้วย” พอพูดจบเธอก็คลานขึ้นเตียงทันทีแล้วแสร้งทำเป็นหลับ คาเมรอนจึงออกมาจากห้อง เพื่อจะเข้าครัวทำอาหารที่หมอแนะนำ นั่นคือแกงเลี่ยงเพียงอย่างเดียวก่อน แม้ว่าจะทำไม่เป็นก็ตาม แต่อ่านวิธีทำแล้วเข้าใจ ทุกอย่างก็ง่ายในทันที เมื่อลงมือทำเขาก็ยิ้มอย่างมีความสุข ถึงแม้เวียงพิงค์จะต่อต้าน แต่การทะเลาะกันนิดหน่อยเหมือนเป็นสัญญาณดี เพราะอย่างน้อยเวียงพิงค์ไม่ได้ขับไล่ไสสงเขาอย่างหนักหน่วง เหมือนวันแรกที่มาเหยียบที่นี่จ “หวังว่าคงจะทานได้นะครับ” เขาเอ่ยออกมาลอยๆ เพราะไม่มั่นใจว่ามันจะอร่อยเพียงใด แต่แกงเลี่ยงก็มีแต่ผัก ทานได้หรือไม่ได้ก็ต้องทาน พอทำเสร็จแล้วจึงตักใส่ถ้วยขนาดพอดีไม่ใหญ่มาก เพื่อให้เวียงพิงค์ได้ซดน้ำอุ่นๆ เขาคงไม่รอให้เธอพักผ่อนก่อนหรอก เพราะมั่นใจว่าเธอยังไม่หลับ จึงได้นำแกงเลียงขึ้นไปให้เพราะอยากนำเสนอมาก เขาชิมเองก็โอเค หากเธอรับประทานเข้าไปแล้วน่าจะอร่อยแน่ๆ เขาคิดพลางเดินขึ้นไปบนบ้าน แต่เธอไม่ได้อยู่ในห้องจังหวะเดียวกันนั้น เวียงพิงค์ออกมาจากห้องน้ำพอดีและแทบจะร้องกรี้ด ด้วยความตกใจเพราะเธอใส่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวออกมาจาก
“พิ้งค์พยายามจะเชื่อ แต่เชื่อไม่ลง อย่าพูดให้เหนื่อยเลยค่ะและออกไปพิ้งค์ อยากอยู่คนเดียว” เธอออกปากไล่อีกครั้ง เขาจึงตัดสินใจออกไปจากห้องด้วยอาการคอตก พยายามที่จะไม่ท้อแท้กับกิริยาหรือคำพูด ที่เธอพูดเสียดแทงหัวใจ เพราะเขารู้ตัวดีและจำได้ว่าเคยพูดให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจมาแล้วอย่างไม่น่าให้อภัย “แค่สองวันก็จะทนไม่ได้แล้วเหรอเรา ทีทำร้ายเขาเต็มๆ หนึ่งอาทิตย์ ทิ้งให้อุ้มท้องคนเดียวจนคลอดอีก เขายังทนได้ หึ เอาเลยพิ้งค์อยากจะลงโทษผมให้สาแก่ใจ ให้เจ็บปวดเจียนตายก็เอา” เขาเอ่ยออกมาลอยๆ และไม่ได้คิดที่จะยอมแพ้เพียงแต่อยากสงบจิตใจเท่านั้นเองขณะเดียวกันมะเหมี่ยวซื้อของเสร็จก็รีบกลับมาทันที พร้อมทั้งขอตัวกลับบ้านเพราะเที่ยงแล้ว เนื่องจากว่าคาเมรอนให้ทำงานเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แต่เวียงพิงค์ต้องถามเหตุผลกันเสียหน่อยว่าทำไมถึงกลับก่อนเวลาสองวันแล้ว“มีอะไรบอกพี่ตรงๆ ก็ได้นะเหมี่ยว ที่บ้านมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เวียงพิงค์ถามด้วยความเป็นห่วง แต่มะเหมี่ยวอ้ำอึ้งไม่กล้าตอบ“คือเหมี่ยว ไม่มีปัญหาอะไรกับที่บ้านหรอกค่ะ แต่แบบว่าพี่พิ้งค์มีคุณเขาดูแลแล้ว เหมี่ยวเลยอยากจะดูแลพี่พิ้งค์ช่วงเช้าครึ่งวันน่ะค่ะ” “
“ก็ได้ครับ” ว่าแล้วเขาก็ค้นหาเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวเพื่อจะเข้าไปอาบน้ำ ชำระร่างกายภายในห้องนอนนี่เอง ซึ่งเขาใช้เวลาไม่นานนัก ระหว่างนี้มะเหมี่ยวก็ทำอาหารเช้าสำหรับเวียงพิงค์และคาเมรอน เสร็จแล้วเธอก็ขึ้นมาหาเวียงพิงค์ทันที“พี่พิ้งค์สวัสดีค่ะ สวัสดีค่ะคุณ...” มะเหมี่ยวทักทายทั้งสองคนพลางยกมือไหว้“เมื่อวานไปทำธุระครึ่งวันทำไมไม่บอกพี่ล่ะ” เวียงพิงค์ตำหนิเล็กน้อยทว่ามะเหมี่ยวกลับปรายตามองคาเมรอนแทน“คือหนู มันด่วนมากน่ะค่ะเลยไม่ทันได้บอก แต่ฝากบอกผ่านสามีพี่พิ้งค์แล้วนะคะ” สามีอย่างนั้นหรือ ใครสั่งใครสอนให้พูด หรือว่าเขาบอกเอง เวียงพิงค์คิดอย่างไม่พอใจก่อนจะหันมามองมาคาเมรอนที่ยืนอยู่ปลายเตียง“เหมี่ยวเขาก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรน่ะครับ” “คุณเสี้ยมคนของพิ้งค์มากกว่า” “ผมเปล่า กับข้าวเสร็จหรือยัง เอาขึ้นมาให้พี่พิ้งค์ไป แล้วเดี๋ยวจะได้พาพี่พิ้งค์ไปหาหมอ” “พิ้งค์ไม่ได้บอกว่าจะไปนะคะ” การที่เธอไม่ตอบนั่นแหละว่าตกลงแล้ว เขาคิด“ไปเอากับข้าวขึ้นมานะ” คาเมรอนไม่ได้พูดกับเวียงพิงค์แต่หันไปสั่งมะเหมี่ยวแทน“ได้ค่ะคุณ” มะเหมี่ยวรับคำเสร็จก็ออกไปจากห้องทันที ปล่อยให้ทั้งสองได้อยู่ตามลำพังอีกครั้ง“ค
“พรุ่งนี้เราไปหาหมอกันนะ” เขากระซิบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอบอุ่นพลางกอดเธอเอาไว้ให้แน่นกว่าเดิม จนกระทั่งเวลาผ่านไปนับชั่วโมง เวียงพิงค์หยุดสั่นแล้วและคิดว่าอาจจะหลับสนิท แต่คาเมรอนไม่ได้หลับด้วย ตลอดเวลาที่กอดเวียงพิงค์เอาไว้ มันทำให้รู้สึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาตลอดหลายเดือน พยายามบอกตัวเองไม่ได้ว่าคิดถึงเธอ จึงไม่ยอมตามมาง้อ แต่ให้คนติดตามความเคลื่อนไหวและคอยช่วยเหลืออยู่ จนทนไม่ไหวต้องมาหาด้วยตัวเองเพราะความคิดถึงและนี่น่าจะเป็นกอดแรกที่เขาไม่อยากจะปล่อยเลยแม้แต่นิดเดียว “ผมคิดถึงคุณนะพิ้งค์ คิดถึงคุณเหลือเกิน” เขาเอ่ยกับร่างบางที่หลับสนิทเพราะหากพูดต่อหน้าเธอตรงๆ ก็คงไม่กล้าเช่นกัน“ทำยังไงคุณถึงจะยกโทษให้ผมนะ” เวลานี้คงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเพราะได้อยู่ใกล้กัน หากวันพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาก็ไม่แน่ใจว่าเวียงพิงค์อาจจะโกรธเขามากกว่าเดิมก็เป็นได้ ข้อหาขึ้นมานอนร่วมบนเตียงตลอดทั้งคืนคาเมรอนแทบนอนไม่หลับ เพราะบางครั้งเวียงพิงค์ก็มีอาการหนาวสั่น เขาก็ต้องอาศัยอ้อมกอดอุ่นๆ เพื่อคลายความหนาวให้กับเธอ แต่ผ่านไปอีกสักหน่อยเจฟานก็ลุกขึ้นมากินนม เขาก็ต้องลุกขึ้นไปอุ้มเจฟานมาให้ ทำอย่างนี้ตลอดทั้งค
“อย่ามาโกหกดีกว่าครับ เอาเป็นว่าผมนอนข้างนอกก็ได้ แต่คุณต้องเปิดประตูทิ้งเอาไว้ ผมจะได้เห็น” “นี่บ้านฉันคุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งอีกแล้ว” เธอว่า และเขาไม่ได้สั่ง แต่เป็นห่วงต่างหาก“ผมไม่ได้สั่งแต่ขอร้อง ผมเป็นห่วงคุณนะครับพิ้งค์ ไม่ได้คิดที่เข้าไปข้างในเสียหน่อย” “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ นอนหน้าห้อง” เธออนุญาตน้ำเสียงเรียบ“ขอบคุณครับ แล้วลูกหลับหรือยัง” ถามราวกับว่าเป็นลูกของตัวเอง“หลับแล้ว แล้วไม่ต้องเข้าไปในห้อง” เธอห้ามด้วยน้ำเสียงเข้ม ก่อนจะเอี้ยวตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง คาเมรอนจึงวางกระเป๋าเดินทางไว้ตรงประตู แล้วนั่งพิงผนังด้านเดียวกับประตูนั่นเอง ผ่านไปสักห้านาทีเวียงพิงค์ก็กลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับหมอนและผ้าห่ม วางกองเอาไว้ตรงหน้าเขาพอดี ดูเหมือนเธอเป็นห่วงแต่สีหน้าบูดบึ้ง เขาจึงมองเครื่องนอนสลับกับเงยหน้ามองเธอ“มองอะไร สงสัยอะไร” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่ชวนหาเรื่องเสียเหลือเกิน“อ๋อ ใครจะกล้าล่ะครับ คือ... จะเข้านอนแล้วเหรอครับ” “ถ้าไม่เข้านอนตอนนี้ เดี๋ยวจะไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน ลุกบ่อยรู้แล้วนี่คะ” เธอตอบเสียงเรียบพลางเมินหน้าหนี“อย่าปิดประตูนะครับ เผื่อว่าลูกตื่นร้องไห้แล้วคุณลุกไม่
“ก็ต้องลองทานดูครับ ผมทำได้เท่านี้ แต่อยากให้ทานอุ่นๆ จะได้มีแรง เดี๋ยวลูกก็ตื่นคุณก็ต้องอาบน้ำให้แกอีก” เขาบอกอย่างมีเหตุผล แต่ใช่ว่าเธอจะญาติดีกับเขาหรอกนะ แค่อยากมีแรงดูแลลูกเท่านั้นเอง“ก็เอามาสิคะ” เธอสั่งน้ำเสียงเรียบอีกครั้งแต่ยังดีที่ไม่ได้ใช้น้ำเสียงแข็งกระด้างหรือพูดไม่มีหางเสียง และเมื่อเธอยอมที่จะรับประทานเขาจึงยกเฉพาะถ้วยโจ๊กมาให้เท่านั้นเวียงพิงค์รับถ้วยโจ๊กมาถือเอาไว้ ขณะที่เขากลับยิ้มบางๆ อย่างพอใจ แต่เธอไม่ได้สังเกตเพราะมองที่ถ้วยโจ๊กและบอกไม่ถูกว่ามันน่ารับประทานแค่ไหน แค่รู้จักใส่ต้นหอมผักชีเท่านี้ก็น่าอร่อยแล้ว จากนั้นเธอจึงใช้ช้อนตักโจ๊กขึ้นมาเป่าแล้วชิมคำเล็กๆ โดยที่คาเมรอนก็นั่งลุ้นตัวโก่งเพราะกลัวว่าจะไม่อร่อยพลางสังเกตสีหน้าของเธอด้วย“เป็นไงครับ โอเคไหม” เขาถามอย่างตื่นเต้น เพราะอยากให้เธอตอบว่าอร่อยเหลือเกิน“ไม่โอเคค่ะ” เธอตอบน้ำเสียงเรียบทำเอาคาเมรอนหน้าเจื่อนไปเลยทีเดียว“ไม่อร่อยเลยเหรอครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด และน่าสงสารเลยทีเดียว เวียงพิงค์จึงมองหน้าเขาเล็กน้อยก่อนจะตักโจ๊กรับประทานต่อไป“มันไม่โอเค เพราะมันไม่มีชิ้นเนื้อเลย มีแต่