เป้าหมายใหม่ของมารดา
ซูหนิงเหยียนมองหวังซื่อที่ยิ้มอย่างจริงใจ นางเข้าใจดีว่าการมีโอกาสได้ทำอาหารขายในร้านเป็นเรื่องที่ดี แต่... นั่นไม่ใช่เป้าหมายของนาง นางสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วมองไปยังลูก ๆ ทั้งสามที่นั่งมองมาอย่างสงสัย ดวงตาไร้เดียงสาของพวกเขาทำให้หัวใจของนางอบอุ่น "ข้าขอบคุณในความหวังดีของแม่นางหวัง แต่ข้ามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น" หวังซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย "เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น? เจ้าหมายถึงอะไร?" ซูหนิงเหยียนยิ้มบาง ๆ นางคิดถึงป้ายประกาศที่เห็นในตลาด 'ตำแหน่งแม่ครัวในวังหลวง' "ข้า… ตั้งใจจะสมัครเป็นแม่ครัวในวังหลวง" "ว่าอย่างไรนะ!?" หวังซื่อตาโตด้วยความตกใจ ไม่เพียงแต่นาง ลูก ๆ ของซูหนิงเหยียนเองก็เบิกตากว้าง "ท่านแม่… ท่านแม่จะเข้าไปในวังหรือเจ้าคะ?" เด็กหญิงฝาแฝดถามเสียงเบา "ใช่" ซูหนิงเหยียนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น "ข้าต้องการให้พวกเจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้น หากข้าได้เป็นแม่ครัวในวังหลวง พวกเจ้าก็อาจจะมีโอกาสได้เข้าไปศึกษาเล่าเรียนในวัง ข้าอยากให้พวกเจ้ามีอนาคตที่ดีกว่าเดิม" เด็กทั้งสามนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เด็กชายคนโตจะกำมือแน่น ดวงตาของเขามีประกายมุ่งมั่น "ท่านแม่ ข้าจะเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียน หากข้ามีโอกาสเข้าไปศึกษาในวัง ข้าจะไม่ทำให้ท่านแม่ผิดหวัง!" "ข้าด้วยเจ้าค่ะ!" "ข้าก็เช่นกัน!" ฝาแฝดหญิงรีบพยักหน้าตามกัน ดวงตาของพวกนางเปล่งประกายด้วยความหวัง หวังซื่อที่ยืนฟังอยู่ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้า "ข้าชื่นชมในความตั้งใจของเจ้ามาก แต่เจ้ามั่นใจหรือว่าจะสอบผ่าน? ได้ยินมาว่าการคัดเลือกแม่ครัวในวังหลวงนั้นยากยิ่งนัก" ซูหนิงเหยียนยิ้ม "ข้าย่อมต้องลองดู หากไม่พยายาม ข้าก็ไม่มีวันรู้ว่าตัวเองทำได้หรือไม่" หวังซื่อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะ "ดี! ในเมื่อเจ้ามีความมุ่งมั่นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ห้ามเจ้าหรอก หวังว่าเจ้าจะสมหวังนะ!" ซูหนิงเหยียนยิ้มรับ "ขอบคุณ" นางหันไปมองลูก ๆ อีกครั้ง จากนี้ไป นางจะต้องพยายามให้มากขึ้น เพื่ออนาคตของพวกเขา! ถ่ายทอดวิชาอาหาร หลังจากตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะสมัครเป็นแม่ครัวในวังหลวง ซูหนิงเหยียนก็เริ่มเตรียมตัวอย่างจริงจัง แต่ในขณะเดียวกัน นางก็สังเกตเห็นว่า หวังซื่อ แม่นางข้างเรือนนั้นเป็นคนดีและมีน้ำใจ ถึงแม้จะเป็นแม่หม้ายแต่ก็ดูแลลูกของตนเองอย่างขยันขันแข็ง ทว่า… การเงินของนางก็ดูจะฝืดเคืองไม่น้อย วันหนึ่ง หลังจากมื้อเช้า ซูหนิงเหยียนจึงตัดสินใจเดินไปเคาะประตูเรือนของหวังซื่อ เคาะ! เคาะ! เคาะ! “แม่นางซู?” หวังซื่อเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้างุนงง “มีเรื่องอันใดหรือ?” ซูหนิงเหยียนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าอยากชวนเจ้ามาลองเรียนทำอาหารกับข้าสักหน่อย” หวังซื่อตาโตขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เรียนทำอาหาร?” “ใช่” นางพยักหน้า “ข้าสังเกตเห็นว่าเจ้าก็ดิ้นรนเลี้ยงลูกเช่นเดียวกับข้า หากเจ้ามีฝีมือทำอาหารดีขึ้น บางที… เจ้าจะมีทางหาเงินเพิ่มขึ้นอีกทาง” หวังซื่ออึ้งไปครู่หนึ่ง นางเป็นแม่หม้ายมานาน มีเพียงงานรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นรายได้ การมีทักษะติดตัวเพิ่มขึ้นย่อมเป็นเรื่องดี “ข้า… จะไม่เป็นการรบกวนเจ้าหรือ?” “ไม่เลย” ซูหนิงเหยียนหัวเราะเบา ๆ “ข้าก็ต้องฝึกฝีมือของตนเองเช่นกัน สอนเจ้าไปด้วยก็เป็นการทบทวนไปในตัว” หวังซื่อครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าหนักแน่น “เช่นนั้นข้าขอรบกวนเจ้าแล้ว!” เริ่มต้นการสอน วันนั้น ซูหนิงเหยียนจึงให้หวังซื่อมาช่วยนางทำอาหาร โดยเริ่มจากเมนูง่าย ๆ อย่าง ข้าวผัดไข่ “อันดับแรกต้องเลือกข้าวให้ดี” นางอธิบาย “ข้าวที่เหลือจากเมื่อวานจะดีที่สุด เพราะข้าวจะเป็นเม็ดร่วน ไม่แฉะเวลาผัด” หวังซื่อพยักหน้ารับก่อนจะตั้งใจดูการสาธิตของซูหนิงเหยียน “จากนั้นก็ตอกไข่ลงไป เจ้าอย่าตีไข่ก่อน ให้เจาะไข่แดงแล้วตีในกระทะเลย ไข่จะเคลือบข้าวได้ทั่วถึง” หวังซื่อทำตามอย่างตั้งใจ นางเริ่มเข้าใจเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้ข้าวผัดไข่อร่อยขึ้น หลังจากข้าวผัดไข่สำเร็จ ซูหนิงเหยียนก็สอนเมนูถัดไป นั่นคือ ขนมทอดกรอบน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นของหวานที่เด็ก ๆ ชื่นชอบ “ข้าไม่เคยทำของหวานมาก่อนเลย” หวังซื่อยิ้มแหย ๆ “ไม่เป็นไร ค่อย ๆ ฝึกไป” ซูหนิงเหยียนปลอบก่อนจะสอนให้หวังซื่อผสมแป้ง นวดแป้งให้เนียน แล้วนำไปทอดในน้ำมันร้อน ๆ จากนั้นราดด้วยน้ำผึ้งอุ่น ๆ กลิ่นหอมหวานกระจายไปทั่วเรือน เด็ก ๆ ที่เล่นอยู่ใกล้ ๆ ต่างมามุงดูด้วยตาเป็นประกาย “หอมจังเลย!” “ท่านแม่ทำอะไรอยู่หรือ?” หวังซื่อมองดูขนมที่เพิ่งเสร็จแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เมื่อลองชิม นางก็ต้องตกใจ! "อร่อยมาก!" ซูหนิงเหยียนยิ้มบาง ๆ “หากเจ้าฝึกฝนอีกหน่อย ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถนำไปขายในตลาดได้แน่นอน” หวังซื่อกำถ้วยขนมแน่น นางรู้สึกขอบคุณจากใจ "ขอบคุณมาก แม่นางซู! ข้าจะฝึกฝนให้ดีที่สุด!" ก้าวแรกสู่ตำแหน่งแม่ครัวในวังหลวง รุ่งเช้าของวันใหม่ ซูหนิงเหยียนปลุกลูก ๆ ทั้งสามแต่เช้าตรู่ นางอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วเตรียมเสบียงใส่ห่อผ้าเล็ก ๆ พอให้พวกเขากินระหว่างรอ “วันนี้ท่านแม่จะไปสมัครเป็นแม่ครัวในวังใช่ไหมเจ้าคะ?” ฝาแฝดหญิงคนหนึ่งถามเสียงใส “ใช่” ซูหนิงเหยียนลูบศีรษะบุตรสาวอย่างอ่อนโยน “พวกเจ้าไปกับข้าด้วยนะ” เด็กชายคนโตขมวดคิ้ว “พวกเราจะเข้าไปในวังได้หรือขอรับ?” “ไม่ได้เข้าไปข้างในหรอก” นางยิ้มบาง ๆ “แต่ข้าจะให้พวกเจ้าไปรออยู่ที่จุดพักม้าใกล้ประตูวัง” เด็ก ๆ พยักหน้ารับ แม้จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่พวกเขาก็เต็มใจติดตามมารดา การเดินทางสู่วังหลวง ซูหนิงเหยียนพาลูก ๆ ออกจากเรือนตั้งแต่เช้าตรู่ ระหว่างทาง หวังซื่อที่ทราบข่าวก็เข้ามาส่งด้วยรอยยิ้ม “ขอให้เจ้าผ่านการคัดเลือกนะ!” “ขอบคุณ ข้าจะทำให้ดีที่สุด” ซูหนิงเหยียนตอบก่อนจะก้าวเดินต่อไป พวกนางใช้เวลาหลายชั่วยามกว่าจะมาถึงบริเวณใกล้วังหลวง ประตูเมืองใหญ่ตั้งตระหง่าน เบื้องหน้ามีคนเดินเข้าออกขวักไขว่ ส่วนจุดที่มีการคัดเลือกแม่ครัวนั้นอยู่ลึกเข้าไปในลานกว้างข้างประตูวัง “เด็ก ๆ พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนนะ” ซูหนิงเหยียนบอกก่อนจะก้มลงจัดเสื้อผ้าลูก ๆ ให้เรียบร้อย “อย่าไปไหนไกล รอท่านแม่กลับมานะ” เด็กทั้งสามพยักหน้าหงึกหงัก “พวกเราจะไม่ดื้อเจ้าค่ะ/ขอรับ!” เมื่อแน่ใจว่าพวกเขาจะอยู่ในที่ปลอดภัย ซูหนิงเหยียนจึงก้าวเดินไปยังสถานที่คัดเลือกแม่ครัว การคัดเลือกอันเข้มข้น หน้าลานกว้างเต็มไปด้วยหญิงสาวและสตรีวัยกลางคนที่มายืนรอการคัดเลือก ทุกคนถือห่อเสบียงติดตัวมา พร้อมแสดงฝีมือเมื่อถึงเวลา ขันทีผู้ดูแลการคัดเลือกยืนอยู่ด้านหน้า เขามองกลุ่มผู้สมัครก่อนจะประกาศเสียงดัง “การคัดเลือกแม่ครัววังหลวงมีสามรอบ! รอบแรก: ทดสอบความสามารถด้านอาหารพื้นฐาน รอบที่สอง: ทดสอบทักษะการใช้วัตถุดิบในวัง รอบสุดท้าย: ทำอาหารให้ขุนนางชิม” เสียงพึมพำดังขึ้นจากกลุ่มผู้สมัคร ซูหนิงเหยียนมองไปรอบ ๆ นางรู้ว่าต้องแข่งขันกับหญิงสาวมากมาย แต่ก็ไม่ได้หวาดหวั่น ‘เพื่ออนาคตของลูก ๆ ข้าจะต้องผ่านไปให้ได้!’ด่านแรก ทดสอบอาหารพื้นฐานภายใต้แสงแดดยามสาย ขันทีผู้ดูแลการคัดเลือกแม่ครัวกวาดตามองกลุ่มหญิงสาวที่มายืนรอด้วยความตื่นเต้นและกังวล ก่อนจะประกาศเสียงดังฟังชัด"ด่านแรก! ทดสอบความสามารถด้านอาหารพื้นฐาน พวกเจ้าทุกคนจะได้รับวัตถุดิบชุดเดียวกัน จากนั้นจงปรุงอาหารที่เหมาะสมให้เสร็จภายในสองเค่อ!"(หนึ่งเค่อเท่ากับ 15 นาที สองเค่อจึงเท่ากับ 30 นาที)ทันทีที่กล่าวจบ ขันทีผู้อาวุโสสะบัดพัดในมือ ชี้ไปยังโต๊ะเรียงรายที่มีหม้อ กระทะ และวัตถุดิบเตรียมไว้เรียบร้อย"ขอให้ทุกคนเริ่มได้!"—––เริ่มต้นการทดสอบซูหนิงเหยียนก้าวไปยังโต๊ะที่ถูกกำหนดให้อย่างไม่ร้อนรน นางกวาดตามองวัตถุดิบที่มีให้ข้าวสารไข่ไก่เนื้อหมูสามชั้นผักกาดขาวซีอิ๊ว และเครื่องปรุงพื้นฐาน‘อาหารพื้นฐานที่ใช้วัตถุดิบเหล่านี้…’ นางครุ่นคิดอย่างรวดเร็วรอบตัวมีเสียงพึมพำจากผู้เข้าร่วม หลายคนเริ่มตั้งหม้อต้มน้ำ บางคนหั่นหมูเป็นชิ้นเล็กเพื่อทำซุป ซูหนิงเหยียนกลับคิดแตกต่างออกไป‘ถ้าเป็นอาหารที่เรียบง่ายที่สุด อิ่มท้อง และรสชาติอร่อย… ข้าวผัดไข่กับหมูสามชั้นตุ๋นน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี’—––การลงมือทำอาหาร1. ข้าวผัดไข่ซูหนิงเหยียนรีบหุงข
เริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองหลวง หลังจากได้รับตำแหน่งแม่ครัวหลวง ซูหนิงเหยียนก็ได้รับอนุญาตให้นำลูก ๆ ทั้งสามเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง นางได้รับบ้านพักที่จัดสรรให้แก่ข้าราชสำนักระดับกลาง เป็นตำหนักเล็ก ๆ แต่เงียบสงบและอบอุ่น เมื่อลงจากรถม้า เด็ก ๆ ทั้งสามก็จ้องมองรอบ ๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย "แม่จ๋า! บ้านของเราใหญ่กว่าห้องเก่าในหมู่บ้านอีก!" เสี่ยวเป่าเอ่ยขึ้น พลางวิ่งสำรวจไปรอบ ๆ "พวกเรามีสวนด้วย!" เสี่ยวหูชี้ไปยังแปลงดินเล็ก ๆ ข้างตำหนัก"เราปลูกผักเองได้ไหมแม่?" ซูหนิงเหยียนหัวเราะเบา ๆ พลางลูบศีรษะลูก ๆ "ได้สิ หากพวกเจ้าอยากปลูก แม่จะช่วยพวกเจ้าดูแล" เสี่ยวหมิงที่เป็นพี่คนโตกลับไม่ได้วิ่งเล่นเช่นน้อง ๆ แต่เดินสำรวจตำหนักด้วยสีหน้าครุ่นคิด "แม่จ๋า... ตำหนักนี้ไม่เล็กไปสำหรับพวกเรา แต่ก็ไม่ได้ใหญ่เกินไปเช่นกัน เหมาะสมกับแม่ครัวหลวงจริง ๆ" ซูหนิงเหยียนพยักหน้า "ใช่แล้ว ที่นี่ไม่หรูหรา แต่ก็ปลอดภัยและอยู่ใกล้วังหลวง แม่สามารถเดินไปทำงานได้สะดวก ส่วนพวกเจ้าก็สามารถศึกษาหาความรู้ได้" จัดบ้านใหม่ พวกนางช่วยกันทำความสะอาดตำหนัก เสี่ยวเป่ากับเสี่ยวหูช่วยปัดกวาด เสี่ยวหมิงช่วยจัดของใช้ ซูหนิ
การพบกันโดยไม่ คาดฝันซูหนิงเหยียนยังคงยืนมองรอบ ๆ ตำหนัก ด้วยความระแวดระวัง เสียงลมพัดแรง ทำให้ต้นไม้ไหว เสียงใบไม้เสียดสีกันดัง แผ่วเบา แต่ไม่มีเงาของผู้ใด นางจึงคิด ว่าคงเป็นความรู้สึกไปเองแต่ทันใดนั้น-"ตุบ!"เสียงร่างหนัก ๆ หล่นลงกับพื้นหน้า ตำหนัก นางสะดุ้งเฮือก รีบหันไปมอง ก่อนจะพบร่างของชายผู้หนึ่งนอนคว่ำ หน้าอยู่ เลือดสีแดงเข้มไหลเปรอะเปื้อน พื้นหิน"อ๊ะ!" นางอุทานเบา ๆ ดวงตาเบิกกว้าง เขาสวมอาภรณ์สีดำสนิท แม้ยามนี้จะ เปรอะเปื้อนเลือดและฝุ่นดิน แต่ก็มอง ออกว่าผ้าเนื้อนี้ไม่ใช่ของชนชั้นธรรมดา นางใจสั่น รีบวิ่งเข้าไปดูใกล้ ๆ "ท่าน!" นางแตะร่างเขาเบา ๆ "ท่านยังมี ชีวิตอยู่หรือไม่?" ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะเงย หน้าขึ้นเผยให้เห็นดวงตาคมกริบใต้ แสงจันทร์ แม้จะซีดเซียวจากการเสีย เลือด แต่ก็ยังคงแฝงไว้ด้วยพลังอำนาจ "องค์ชาย!?"ดวงตาสีดำลึกล้ำจ้องมองนาง ราวกับพยายามจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ หมดแรงสลบไปช่วยชีวิตชายลึกลับซูหนิงเหยียนกัดฟัน คิดวิเคราะห์อย่าง รวดเร็ว"เขาเป็นใครกันแน่? ถูกลอบสังหารมา หรือ?"แม้จะสงสัย แต่นางรู้ว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญ ที่สุดคือช่วยชีวิตเขาก่อน น
ข้าวต้มยามเช้า กับความเข้าใจผิดขององค์ชายรุ่งเช้า...แสงแดดอ่อน ๆ สาดเข้ามาผ่านหน้าต่าง ซูหนิงเหยียนตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมอาหารให้ชายหนุ่มที่ยังคงบาดเจ็บ นางหันไปมองร่างที่ยังนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลายังคงซีดเซียวจากการเสียเลือดมากเกินไป"หากไม่กินอะไรเลย ร่างกายคงแย่ลงแน่"ด้วยความที่พระเอกยังบาดเจ็บหนัก นางจึงตัดสินใจทำ ข้าวต้มไก่ อาหารง่าย ๆ ที่ย่อยง่ายและให้พลังงานพอสมควรกลิ่นหอมของข้าวต้ม กับสายตาของเด็ก ๆกลิ่นข้าวต้มร้อน ๆ โชยไปทั่วตำหนัก เด็ก ๆ ทั้งสามที่นั่งเฝ้าอยู่ด้านข้างเริ่มกลืนน้ำลาย"แม่จ๋า... กลิ่นหอมจังเลย!""ข้าวต้มอะไรน่ะ?""พวกเรากินได้หรือไม่?"ซูหนิงเหยียนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยกชามข้าวต้มขึ้นมา "อันนี้ทำให้พี่ชายในห้องก่อน ส่วนของพวกเจ้า แม่จะทำให้ทีหลัง"เด็ก ๆ พยักหน้าหงึก ๆ แม้จะอยากกินแต่ก็เข้าใจดีว่าคนเจ็บต้องมาก่อนเมื่อองค์ชายพบกับ ‘ข้าวนก’ซูหนิงเหยียนเดินถือถาดอาหารเข้าไปในห้องขององค์ชาย ก่อนจะวางมันลงข้างเตียง"ท่านตื่นหรือยัง?"เสียงขยับตัวเบา ๆ ดังขึ้น ชายหนุ่มค่อย ๆ ลืมตา เขามองนางก่อนจะเหลือบไปมองถ้วยข้าวต้มที่วางอยู่ตรงหน้า"เจ้าทำอะไรมาให้ข้าก
คลื่นใต้น้ำในวังหลวงคืนวันนั้น ขณะที่ซูหนิงเหยียนกำลังเตรียมยาต้มให้พระเอกพักฟื้น เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นนอกตำหนัก"ค้นให้ทั่ว!"เสียงทรงอำนาจดังขึ้นตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนที่เดินเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตซูหนิงเหยียนชะงัก ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที นางหันไปมองเด็ก ๆ ที่กำลังนั่งเล่นกันอยู่"พวกเจ้า อยู่ข้างในอย่าออกมา!" นางสั่งเสียงเข้มแฝดทั้งสามพยักหน้าหงึก ๆ แล้วรีบวิ่งไปซ่อนตัวตามคำสั่งเมื่อซูหนิงเหยียนเดินออกมาหน้าตำหนัก นางก็พบกับกลุ่มข้ารับใช้ในชุดเครื่องแบบของวังหลวงกำลังยืนล้อมรอบ พร้อมกับหญิงวัยกลางคนที่แต่งกายหรูหรา ใบหน้านางเต็มไปด้วยร่องรอยของความเย่อหยิ่ง"ท่านหญิงหลี่…" นางพึมพำในใจอนุภรรยาของฝ่าบาท… หรือก็คือพระสนมหลี่ หนึ่งในภรรยาของฮ่องเต้ และเป็นคนที่มีอำนาจมากในวังหลวงเหตุใดจึงมาค้นตำหนักของนาง?พระสนมหลี่ก้าวมาหยุดตรงหน้าซูหนิงเหยียน ดวงตาเย็นชากวาดมองตำหนักเล็ก ๆ ของแม่ครัวด้วยสีหน้าดูแคลน"เจ้าคือแม่ครัวคนใหม่ใช่หรือไม่?" นางถามเสียงเรียบ แต่แฝงไปด้วยอำนาจ"เพคะ" ซูหนิงเหยียนตอบกลับด้วยท่าทางสงบ"ข้าสงสัยว่ามีคนลอบหนีเข้ามาซ่อนตัวที่นี่ ข้าจ
คำสั่งจากวังหลวง หลังจากเหตุการณ์ตึงเครียดผ่านไปไม่นาน ขณะที่ซูหนิงเหยียนกำลังเช็ดตัวให้พระเอก เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังขึ้นหน้าตำหนัก "ท่านแม่ครัวหลวง!" เสียงร้องเรียกนั้นฟังดูเป็นทางการ นางหันไปมองก่อนจะเห็นขันทีผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในตำหนัก พร้อมกับข้ารับใช้ถือกล่องไม้ลวดลายงดงาม ซูหนิงเหยียนรีบลุกขึ้น แล้วคำนับตามมารยาท "ขออภัยเพคะ ไม่ทราบว่าท่านขันทีมีธุระอันใดหรือ?" ขันทียิ้มบาง ๆ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง "ข้ามาแจ้งข่าวให้ท่านทราบ พรุ่งนี้ท่านต้องเข้าครัวหลวงแล้ว" ภารกิจใหม่เริ่มต้น ซูหนิงเหยียนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบรับ "เพคะ" ขันทีมองนางอย่างพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวต่อ "ในฐานะแม่ครัวหลวง ท่านต้องเตรียมอาหารเช้าสำหรับเหล่าขุนนางและพระสนมในวัง หากทำได้ดี อาจมีโอกาสได้ถวายอาหารแก่ฝ่าบาทโดยตรง" นางพยักหน้ารับรู้ "หม่อมฉันจะทำให้ดีที่สุดเพคะ" ขันทีหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเปิดกล่องไม้ที่นำมา ข้างในมีชุดแม่ครัวหลวงที่ปักด้วยลายเมฆมงคล และป้ายไม้แกะสลักซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงตำแหน่งของนาง "นี่คือชุดของท่าน และป้ายตำแหน่ง โปรดรักษาไว้ให้ดี" สายตาของพระเอก ขณะที่ซูหนิงเหยียนรั
อำนาจในมือของนางหลังจากเหตุการณ์ปะทะกับฮวาเหมยในครัวหลวง บรรยากาศในห้องครัวก็เปลี่ยนไปทันที ก่อนหน้านี้แม่ครัวและผู้ช่วยหลายคนต่างจับกลุ่มซุบซิบนินทานาง คอยมองนางด้วยสายตาดูแคลน แต่ตอนนี้…พวกนางกลับเงียบกันไปหมดซูหนิงเหยียนกวาดตามองรอบห้องครัว มือเรียวยกไหซุปขึ้นตักน้ำซุปให้เข้าที่ นางมองดูผู้ช่วยที่ยืนว่างงานอยู่หลายคนก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่ทรงอำนาจ"ที่นี่คือครัวหลวง มิใช่โรงน้ำชา!"เสียงของนางแม้จะไม่ได้ดังมาก แต่กลับก้องกังวานในใจทุกคนแม่ครัวหลายคนสะดุ้ง รีบหันมามองนาง"ในเมื่อเจ้าทุกคนเป็นแม่ครัวและผู้ช่วยในครัวหลวง จงทำงานให้สมกับตำแหน่งของตนเอง!"นางเดินไปยังกลุ่มแม่ครัวที่จับกลุ่มคุยกันอย่างว่างงาน แล้วกล่าวเสียงเข้ม"หากมีเวลายืนพูดคุยเรื่องไร้สาระ เช่นนั้นจงไปช่วยเตรียมวัตถุดิบเสีย! ปอกกระเทียม หั่นขิง หรือกวาดลานก็ได้!"แม่ครัวบางคนทำหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเถียง เพราะพวกนางเพิ่งเห็นแล้วว่า… นางไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครกดหัวได้ง่าย ๆการบริหารจัดการในครัวหลวงซูหนิงเหยียนกวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ"จากนี้ไป ข้าจะแบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน"นางชี้ไปที่กลุ่มผู้ช่วยแม่ครัว
ภายในตำหนักหลวง โต๊ะเสวยถูกจัดเตรียมอย่างประณีต กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งไปทั่วห้อง ทุกจานถูกจัดวางอย่างมีศิลปะจนแม้แต่ขันทีกับนางกำนัลยังอดชื่นชมไม่ได้"อาหารฝีมือแม่ครัวคนใหม่?" ฮ่องเต้ลูบเคราอย่างพึงพอใจ มองสำรับที่ถูกนำขึ้นโต๊ะพระสนมเหมยฮวา หนึ่งในอนุภรรยาคนโปรดของฮ่องเต้ แสร้งยิ้มอ่อนโยน แต่นัยน์ตากลับซ่อนความสงสัย นางได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับแม่ครัวคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ว่านางช่างอวดดีและไม่เกรงกลัวใคร"หม่อมฉันก็อยากรู้ว่าอาหารของแม่ครัวใหม่จะดีเพียงใด" นางเอ่ยเสียงหวาน แฝงความนัยองค์ชายรัชทายาท ลู่เหวินเฉิง ลูกชายใหญ่ของพระสนมเหมยฮวา นั่งอย่างสง่างาม เขายกถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นในขณะที่ทุกคนเริ่มลิ้มรสอาหาร"เสด็จพ่อ ลูกได้รับรายงานมาว่า การค้าผ้าไหมของแคว้นเราในปีนี้เติบโตขึ้นเป็นเท่าตัว หม่อมฉันได้มีส่วนจัดการให้ทูตจากแคว้นต้าโจวตกลงซื้อผ้าไหมเพิ่มขึ้นถึงห้าร้อยพับพ่ะย่ะค่ะ"น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ ราวกับรอคอยให้ฮ่องเต้เอ่ยชมฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนตอบ "อืม ถือเป็นความดีความชอบของเจ้า"รัชทายาทเผยรอยยิ้มพึงพอใจ ก่อนจะพูดต่อ "นอกจากเรื่องการค้า หม
ทุกสิ่งเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากการเปิดเผยความจริงนั้น ทุกคนในราชวงศ์ต่างจับตามองการดำเนินการของลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียน เมื่อมีการเตรียมการทางการทหารและการเมืองเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อปกป้องอาณาจักรจากภัยคุกคามใหม่ที่เกิดขึ้น ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่อาจจะเข้ามาโจมตีได้ทุกเมื่อ ทั้งสองมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถทำลายแผนการของศัตรูได้อย่างรวดเร็ว หากพวกเขาทำงานร่วมกันและสนับสนุนกันอย่างเต็มที่ ลู่เหรินเจ๋อ "ตอนนี้เราไม่สามารถถอยหลังได้แล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของเราต้องเป็นการเคลื่อนไหวที่มุ่งมั่นเพื่อชัยชนะ" ซูหนิงเหยียน: "เราจะไม่ยอมให้ทุกสิ่งที่เรารักถูกทำลาย เราจะสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับราชวงศ์นี้" ทั้งสองมองไปข้างหน้า ด้วยความมั่นใจและความรักที่ไม่มีวันเสื่อมคลายเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความมุ่งมั่นที่ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนได้พยายามกันมาเริ่มเห็นผล ความรักและการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับทั้งสองฝ่าย ทำให้พวกเขาเผชิญหน้ากับอุปสรรคและอันตรายต่างๆ ได้อย่างมั่นคงทั้งสองได้ร่วมมือกันหาวิธีป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จ
ในห้องที่เงียบสงบของตำหนักหลังใหญ่แห่งนี้ ทั้งพระเอกและซูหนิงเหยียนนั่งอยู่ข้างกัน ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันมานี้ แม้ภายนอกจะดูสงบ แต่ทั้งสองคนรู้ดีว่าความจริงนั้นแฝงไปด้วยความซับซ้อนและอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา“ข้ารู้ดีว่าเรากำลังจะเผชิญกับอะไร...” องค์ชายเจ็ดกล่าวเสียงแหบต่ำ รู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดนั้นอย่างมาก ขณะที่สายตาของเขาจ้องไปยังนางเอกซูหญิงเหยียนมองกลับไปด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและไม่หวั่นไหว “สิ่งที่เราเผชิญนั้นยากลำบากแน่นอน แต่เราก็ต้องยืนหยัดและเผชิญมันไปพร้อมกัน ข้าจะไม่ยอมให้สิ่งใดมาพรากสิ่งที่เรามีไป”คำพูดของซูหนิงเหยียนนั้นจริงจังและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มันเหมือนการบอกกับองค์ชายเจ็ดว่า นางพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้ว่าจะเป็นอันตรายแค่ไหน แต่เธอเชื่อมั่นว่า ถ้าทั้งสองคนร่วมมือกัน ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะเอาชนะไม่ได้องค์ชายเจ็ดพยักหน้าเล็กน้อยและยิ้มบางๆ “ข้าเองก็เช่นกัน ถ้าเราทำทุกอย่างไปด้วยกัน ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว”ในขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้อ
ความมืดของค่ำคืนไม่สามารถหยุดยั้งความมุ่งมั่นของทั้งองค์ชายเจ็ดและซูหนิงเหยียนได้ ความจริงที่พวกเขาค้นพบในค่ายทหารทำให้พวกเขาตระหนักถึงความร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นในราชสำนัก พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มขุนนางที่มีอำนาจและวางแผนลับเหล่านั้นระหว่างการเดินทางกลับที่ตำหนักหลวง องค์ชายเจ็ดหันไปมองซูหนิงเหยียนและกล่าวเสียงต่ำ “เราอาจต้องใช้วิธีที่ไม่เป็นทางการในการหาความจริง อาจจะต้องทำให้พวกขุนนางเหล่านั้นเชื่อว่าเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน”ซูหนิงเหยียนนิ่งเงียบก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงเรียบ “ข้ารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ข้าไม่อยากให้ใครตกเป็นเหยื่อของการสมคบคิดนี้อีก”เมื่อกลับถึงตำหนัก หลายสิ่งที่พวกเขาต้องทำยังคงรออยู่ การเตรียมการเพื่อเข้าร่วมในวงการขุนนางนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การได้รู้จักและชักชวนผู้อื่นให้ร่วมมือกับพวกเขาจะเป็นเรื่องที่ท้าทายมากองค์ชายเจ็ดจึงเริ่มพิจารณาแผนการที่จะต้องใช้ในการเข้าใกล้กลุ่มขุนนางเหล่านั้น ทันทีที่คิดได้ เขาก็ส่งสัญญาณให้ทหารผู้ไว้ใจและผู้ที่ทำงานในตำหนักมาร่วมช่วยกันสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มขุนนางในราชสำนัก“เราไม่สา
ความมืดของคืนนี้ยังคงปกคลุมไปทั่วเมืองหลวง ขณะที่องค์ชายและนางเอกยืนอยู่ตรงหน้าฝ่าบาทที่ถูกลักพาตัวไป พวกเขาก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความลับที่ซ่อนอยู่ภายในตำหนักและความเคลื่อนไหวของขุนนางที่ไม่ชัดเจนทำให้สถานการณ์ยิ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้นฝ่าบาทที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ท่ามกลางความมืดพูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่แผ่วเบาและจริงจัง“ทุกอย่างมันซับซ้อนมากกว่าที่เจ้าทั้งสองคิด ความขัดแย้งในราชวงศ์นี้ไม่ได้เกิดจากคนภายนอก แต่มันมาจากภายใน เหล่าขุนนางบางกลุ่มกำลังวางแผนที่จะทำให้การปกครองของข้าอ่อนแอลง”องค์ชายมองไปที่ฝ่าบาทด้วยความตระหนัก เขารู้ว่าแผนการของศัตรูในราชวงศ์นั้นซับซ้อนยิ่งกว่าแค่การลักพาตัวฝ่าบาทเพียงอย่างเดียว“หมายความว่า...การลักพาตัวครั้งนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น?” พระเอกถามเสียงต่ำ พร้อมจับตามองฝ่าบาทด้วยท่าทีที่จริงจังฝ่าบาทพยักหน้า “ใช่ การลักพาตัวของข้าเป็นแค่การทดสอบความพร้อมของฝ่ายขุนนางบางกลุ่ม พวกเขากำลังจับตาดูข้าและคอยหาจังหวะที่ข้าอ่อนแอเพื่อลงมือทำบางอย่างที่ยิ่งใหญ่”ซูหนิงเหยียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฟังแล้วรู้สึกกังวลใจ เธอรู้ดีว่าการต่อสู้ทางการเมืองในรา
ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนเดินมาถึงศาลาใต้ดินที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของตำหนัก ศาลานี้เป็นที่เก็บข้อมูลลับที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด โดยมีเพียงไม่กี่คนในราชวงศ์ที่รู้ว่ามันมีอยู่ ซูหนิงเหยียนหยิบคัมภีร์เก่าขึ้นมาเล่มหนึ่งที่พระเอกเพิ่งจัดการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเงามืดในราชวงศ์“หากเราไม่หาข้อมูลจากที่นี่ เราจะไม่สามารถรู้ทันศัตรูได้” บู่เหรินเจ๋อพูดขึ้นขณะที่นางเอกกำลังอ่านข้อความในคัมภีร์“เรื่องนี้มันซับซ้อนเกินไป... ข้าไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะหยุดแค่การโจมตีครั้งนี้” นางเอกกล่าวด้วยความกังวลในใจลู่เหรินเจ๋อหันมามองซูหนิงเหยียนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ข้ารู้ แต่ข้าคิดว่าเราควรตั้งรับและโจมตีพวกเขาก่อน พวกเขากำลังรวบรวมอำนาจในทุกๆ ด้าน หากเราช้าเกินไป เราจะถูกซ้อนเร้นและถูกทำลาย”ลู่เหรินเจ๋อมองไปยังแผนที่ที่วางอยู่บนโต๊ะ โดยมีสัญลักษณ์ของหน่วยต่างๆ ในราชวงศ์ที่พยายามวางแผนการคุมเมืองและเสริมอำนาจให้มากขึ้น“เราต้องกระชับทุกสิ่งในมือไว้ เราต้องรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของพวกเขา” ลู่เหรินเจ๋อกล่าวต่อขณะที่พระเอกพูดอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่มาจากทางด้า
เสียงกรีดร้องจากด้านนอกทำให้นางเอกสะดุ้ง เธอไม่รอช้า รีบหยิบมีดครัวในมือเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทันทีที่เธอก้าวออกจากครัวไป ก็เห็นเงาร่างของคนหลายคนวิ่งข้ามประตูเข้ามาในตำหนักของตน“มีคนบุกเข้ามา!” นางตะโกนออกไปอย่างรวดเร็วลู่เหรินเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างนางก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะสั่งการให้บ่าวรับใช้จัดการกับการป้องกันรอบตำหนักอย่างเร่งด่วน "อย่าปล่อยให้ใครเข้ามาใกล้!"ทันทีที่คำสั่งถูกออกมา คนในตำหนักก็เริ่มกระจายไปยังจุดต่างๆ ของวังหลวงเพื่อปิดทางและป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้าถึงตัวซูหนิงเหยียนขณะที่เสียงดังอึกทึกจากการต่อสู้ดังขึ้น เสียงของลู่เหรินเจ๋อก็ดังตามมา "ห้ามทำร้ายใคร!" ลู่เหรินเจ๋อก้าวเข้ามาด้วยท่าทางมั่นคงและดวงตาแสดงออกถึงความตั้งใจที่จะปกป้องซูหนิงเหยียนอย่างสุดความสามารถศัตรูที่บุกเข้ามาคือกลุ่มผู้คนที่ได้รับการว่าจ้างจากพระสนมเหมยฮวาเพื่อทำลายความเชื่อถือของซูหนิงเหยียนและสร้างความสับสนให้กับคนในวังหลวง แต่เมื่อเห็นลู่เหรินเจ๋อเข้ามา ทุกคนก็ลังเลและหยุดชะงัก"พระองค์จะทำอะไร?" หนึ่งในคนร้ายถามด้วยเสียงที่สั่นลู่เหรอนเจ๋อยิ้มเย็น "ไม่ต้องถามคำถามที่รู้คำตอบ" เข
หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง ลู่เหรินเจ๋อกลับมายังตำหนักของตน แต่ในหัวกลับคิดถึงคำพูดขององค์ชายใหญ่ไม่หยุด"พวกเราอาจใช้ใครสักคนเป็นหมากต่อรอง..."เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร และมันทำให้เขาไม่อาจวางใจได้ด้านในโรงครัวซูหนิงเหยียนยังคงยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเฉลิมฉลอง บรรยากาศภายในโรงครัวเต็มไปด้วยความคึกคัก แต่ในมุมหนึ่งของห้องกลับมีสายตาของใครบางคนจับจ้องนางอยู่"เจ้าคิดว่านางเป็นใครกันแน่?" เสียงกระซิบดังขึ้นจากเงามืด"ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่หญิงธรรมดา""หากนางมีความสำคัญต่อองค์ชายเจ็ดจริงๆ เช่นนั้น...พวกเราต้องลงมือก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป"ตกดึกซูหนิงเหยียนพาเจ้าแฝดทั้งสามกลับไปยังตำหนักของตน พวกเขายังคงร่าเริงตามประสาเด็กๆ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของมารดา ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม"ท่านแม่...เป็นอะไรไปหรือไม่ขอรับ/เจ้าคะ?"ซูหนิงเหยียนยิ้มบางๆ พลางลูบศีรษะลูกๆ "ไม่มีอะไรหรอก เจ้าอย่ากังวลไปเลย"แต่ในใจนางกลับรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง สายตาที่จ้องมองมาเมื่อช่วงกลางวันทำให้นางไม่สบายใจคืนนั้นลู่เหรินเจ๋อมาถึงตำหนักของซูหนิงเหยียนโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เมื่อเขามาถึง เห็นน
การเผชิญหน้าของสองขั้วอำนาจคืนที่มืดมิด ภายในห้องลับของตำหนักที่ห่างไกลจากสายตาของผู้คน ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งที่เหลือเชื่อ ทุกอย่างในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เข้ามาใกล้ห้องทำให้พวกเขาต้องเงียบกริบ ความเงียบที่สามารถตัดสินชะตาชีวิตของทุกคนได้"ถ้าเราทำผิดพลาดในคืนนี้ เราจะต้องรับผลที่ตามมา" ลู่เหรินเจ๋อพูดเสียงต่ำ พร้อมสายตาที่มุ่งมั่นซูหนิงเหยียนพยักหน้ารับ รู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะไม่ง่าย และมีความเสี่ยงที่พวกเขาต้องรับมือ แต่นี่คือโอกาสเดียวที่พวกเขาจะสามารถเปิดเผยความจริงได้ในขณะเดียวกัน ภายในห้องของพระสนมเหมยฮวา ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในราชสำนักทำให้เธอรู้สึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้เธอจะพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่สามารถหลีกหนีจากการติดตามข่าวสารได้"ถ้าพวกเขาเปิดเผยทุกสิ่งออกมา..." พระสนมเหมยฮวาบอกกับตัวเองอย่างเงียบๆ ความกังวลทวีขึ้นในใจแต่เธอรู้ดีว่าผลลัพธ์สุดท้ายของการเผชิญหน้าครั้งนี้จะเป็นการกำหนดอนาคตของราชสำนักคืนที่ต้องจบลงด้วยความจริงที่อาจทำให้ชีวิตทุกคนเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลกำลังใกล้เ
แผนซ้อนแผนณ ท้องพระโรงบรรยากาศภายในท้องพระโรงตึงเครียดจนแทบไม่มีใครกล้าหายใจแรง ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนงแน่น พระพักตร์เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม"เหรินเจ๋อ... เจ้ากล้ายืนยันเช่นนั้นหรือ?"ลู่เหรินเจ๋อคุกเข่าลง "พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ข้ามั่นใจว่านางไม่มีวันคิดร้ายต่อราชวงศ์"เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนางดังขึ้นทั่วห้อง บางคนเห็นด้วย บางคนยังเคลือบแคลงสงสัย"หากเจ้ายืนยันเช่นนั้น เช่นนั้นเราจะให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง" ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็น "เจ้ามีเวลาสามวัน หากหาตัวผู้กระทำผิดไม่ได้ คนที่ต้องรับโทษจะเป็นแม่ครัวของเจ้าเอง!""พ่ะย่ะค่ะ!"ลู่เหรินเจ๋อลุกขึ้น ประสานมือโค้งคำนับ ก่อนจะหันไปสบตานางเอกที่ยืนตัวแข็งอยู่อีกมุม นางกำหมัดแน่น ก่อนจะโค้งคำนับตอบด้วยสีหน้ามุ่งมั่นณ ตำหนักพระสนมเหมยฮวาพระสนมเหมยฮวาขว้างถ้วยน้ำชาลงกับพื้นจนแตกกระจาย"เจ้าเด็กนั่นกล้าท้าทายข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ!?"องค์ชายรองที่นั่งเงียบมาตลอดหัวเราะในลำคอ "เสด็จแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป""ร้อนใจหรือ!? หากลู่เหรินเจ๋อสืบจนเจอเบาะแส คนที่เดือดร้อนคือเรา!"องค์ชายรองเพียงแค่ยิ้มบาง "นั่นหมายความว่าเราต้องทำให้เขาสืบไม่ไ