ด่านแรก ทดสอบอาหารพื้นฐาน
ภายใต้แสงแดดยามสาย ขันทีผู้ดูแลการคัดเลือกแม่ครัวกวาดตามองกลุ่มหญิงสาวที่มายืนรอด้วยความตื่นเต้นและกังวล ก่อนจะประกาศเสียงดังฟังชัด "ด่านแรก! ทดสอบความสามารถด้านอาหารพื้นฐาน พวกเจ้าทุกคนจะได้รับวัตถุดิบชุดเดียวกัน จากนั้นจงปรุงอาหารที่เหมาะสมให้เสร็จภายในสองเค่อ!" (หนึ่งเค่อเท่ากับ 15 นาที สองเค่อจึงเท่ากับ 30 นาที) ทันทีที่กล่าวจบ ขันทีผู้อาวุโสสะบัดพัดในมือ ชี้ไปยังโต๊ะเรียงรายที่มีหม้อ กระทะ และวัตถุดิบเตรียมไว้เรียบร้อย "ขอให้ทุกคนเริ่มได้!" —–– เริ่มต้นการทดสอบ ซูหนิงเหยียนก้าวไปยังโต๊ะที่ถูกกำหนดให้อย่างไม่ร้อนรน นางกวาดตามองวัตถุดิบที่มีให้ ข้าวสาร ไข่ไก่ เนื้อหมูสามชั้น ผักกาดขาว ซีอิ๊ว และเครื่องปรุงพื้นฐาน ‘อาหารพื้นฐานที่ใช้วัตถุดิบเหล่านี้…’ นางครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว รอบตัวมีเสียงพึมพำจากผู้เข้าร่วม หลายคนเริ่มตั้งหม้อต้มน้ำ บางคนหั่นหมูเป็นชิ้นเล็กเพื่อทำซุป ซูหนิงเหยียนกลับคิดแตกต่างออกไป ‘ถ้าเป็นอาหารที่เรียบง่ายที่สุด อิ่มท้อง และรสชาติอร่อย… ข้าวผัดไข่กับหมูสามชั้นตุ๋นน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี’ —–– การลงมือทำอาหาร 1. ข้าวผัดไข่ ซูหนิงเหยียนรีบหุงข้าวก่อนเป็นอย่างแรก นางใช้น้ำน้อยกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อให้ได้เม็ดข้าวร่วนพอดีสำหรับข้าวผัด ระหว่างรอข้าวสุก นางตั้งกระทะใส่น้ำมัน ตอกไข่ลงไป ใช้ตะหลิวแยกไข่แดงให้แตกก่อนจะรีบใส่ข้าวร้อน ๆ ลงไปผัด เสียงฉ่าและกลิ่นหอมของไข่ทอดผสมข้าวลอยออกมาเรียกสายตาผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ หันมามอง "กลิ่นหอมอะไรน่ะ?" "เป็นข้าวผัดไข่เหรอ?" บางคนขมวดคิ้ว ‘ข้าวผัดไข่เป็นอาหารพื้นฐานเกินไปหรือไม่?’ แต่ซูหนิงเหยียนไม่สนใจ นางผัดต่อไปอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะโรยเกลือเล็กน้อยเพิ่มรสชาติ แล้วตักขึ้นพักไว้ 2. หมูสามชั้นตุ๋นซีอิ๊ว นางหั่นหมูสามชั้นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ ตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือดแล้วลวกหมูอย่างรวดเร็วเพื่อล้างกลิ่นคาว จากนั้นนางตั้งกระทะใส่น้ำตาลเล็กน้อย ผัดจนน้ำตาลละลายเป็นสีทอง ก่อนจะใส่หมูลงไปคลุกเคล้าให้เคลือบด้วยคาราเมล จากนั้นเติมซีอิ๊วและน้ำเปล่า ตั้งไฟตุ๋นให้เข้าเนื้อ กลิ่นหอมของหมูตุ๋นเคล้ากับกลิ่นข้าวผัดไข่ลอยไปทั่วสนามทดสอบ —–– การตัดสิน เวลาผ่านไปครบสองเค่อ ขันทีส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดทำอาหาร จากนั้นกรรมการเริ่มเดินตรวจสอบจานอาหารของผู้เข้าทดสอบ เมื่อเดินมาถึงซูหนิงเหยียน ขันทีอาวุโสเลิกคิ้ว "ข้าวผัดไข่กับหมูสามชั้นตุ๋นงั้นรึ?" นางพยักหน้าด้วยความมั่นใจ "ใช่เจ้าค่ะ" ขันทีใช้ตะเกียบคีบข้าวขึ้นมาชิม รสชาติที่เรียบง่ายแต่กลมกล่อม ทำให้เขาพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะลองหมูตุ๋น เมื่อเนื้อหมูสัมผัสลิ้น มันนุ่มละลายในปาก รสชาติเข้มข้นหอมกลิ่นซีอิ๊วและน้ำตาลที่ตุ๋นจนได้ที่ ขันทีอาวุโสวางตะเกียบก่อนจะเอ่ยขึ้น "เจ้าผ่านด่านแรก!" ซูหนิงเหยียนยิ้มบาง ๆ นางรู้ว่าการคัดเลือกเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ‘ก้าวแรกสำเร็จแล้ว… ก้าวต่อไป ข้าต้องไม่พลาด!’ ด่านที่สอง – ทดสอบการใช้วัตถุดิบในวัง หลังจากผ่านด่านแรก ผู้เข้ารอบหลายคนถูกคัดออกจนเหลือเพียงครึ่งเดียว ซูหนิงเหยียนกวาดตามองรอบ ๆ และพบว่าผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา ขันทีอาวุโสสะบัดพัดในมือก่อนประกาศเสียงดัง "ด่านที่สอง พวกเจ้าจะต้องใช้วัตถุดิบจากในวังมาทำอาหาร!" จากนั้น เขาชี้ไปยังโต๊ะยาวที่เรียงรายไปด้วยส่วนผสมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผัก สมุนไพร และเครื่องปรุงหายาก "พวกเจ้ามีเวลาสองเค่อในการเลือกวัตถุดิบและปรุงอาหาร จงแสดงฝีมือให้เต็มที่!" เมื่อเสียงประกาศจบลง ทุกคนรีบกรูกันไปหยิบวัตถุดิบตามที่ต้องการ —–– การเลือกวัตถุดิบ ซูหนิงเหยียนเดินเข้าไปดูส่วนผสม นางเห็นเนื้อสัตว์มากมาย เช่น เนื้อไก่ เนื้อเป็ด กุ้ง และปลา รวมถึงผักแปลกตาที่นางไม่เคยเห็นในยุคของตน "เลือกอะไรดีนะ..." นางขมวดคิ้วครุ่นคิด จากนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็น ปลาหัวเสือ ซึ่งเป็นปลาหายากที่มีเฉพาะในวังหลวง เนื้อนุ่ม รสหวานตามธรรมชาติ นางรู้ทันทีว่าจะทำเมนูอะไร "ข้าขอเลือกปลาหัวเสือ ผักกาดหอม และขิงเจ้าค่ะ" ขันทีบันทึกวัตถุดิบที่นางเลือก ก่อนจะพยักหน้าให้ดำเนินการต่อ —–– การลงมือทำอาหาร 1. ซุปปลาหัวเสือขิงอ่อน ซูหนิงเหยียนแล่ปลาหัวเสือออกเป็นชิ้นบาง ก่อนจะตั้งหม้อใส่น้ำซุปที่เคี่ยวไว้แล้ว จากนั้นนางใส่ขิงอ่อนหั่นแว่นลงไป พร้อมกับปรุงรสให้กลมกล่อม เมื่อน้ำซุปเดือด นางใส่เนื้อปลาลงไป คนเบา ๆ เพื่อไม่ให้เนื้อปลาเละ กลิ่นหอมของขิงและความหวานจากปลาลอยอบอวลไปทั่ว 2. ผัดผักกาดหอมกับซอสหอยนางรม นางตั้งกระทะไฟแรง ใส่น้ำมันเล็กน้อย แล้วโยนผักกาดหอมลงไปผัดเร็ว ๆ ก่อนจะราดซอสหอยนางรมสูตรพิเศษเพื่อเพิ่มความหอม กลิ่นของอาหารทำให้ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ หันมามองด้วยความสนใจ —–– การตัดสิน ขันทีอาวุโสเดินมาตรวจดูอาหารของผู้เข้าแข่งขันทีละคน เมื่อมาถึงซูหนิงเหยียน เขาช้อนซุปปลาขึ้นมาลองชิม "หืม..." เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความพอใจ "น้ำซุปใส หอมขิง รสชาติกลมกล่อม ไม่คาวเลยสักนิด" จากนั้น เขาคีบผักกาดหอมขึ้นมาชิมแล้วพยักหน้า "เจ้ามีความสามารถในการใช้วัตถุดิบจากในวังได้ดีมาก สมแล้วที่ผ่านด่านแรก!" "เช่นนั้น ข้าผ่านด่านที่สองแล้วหรือไม่เจ้าคะ?" ขันทีอาวุโสพยักหน้าก่อนจะประกาศเสียงดัง "ซูหนิงเหยียน ผ่านด่านที่สอง!" เสียงประกาศดังขึ้นท่ามกลางเสียงถอนหายใจโล่งอกของนาง นางเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วคิดในใจ ‘เหลืออีกเพียงด่านเดียวเท่านั้น ข้าจะต้องผ่านไปให้ได้!’เริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองหลวง หลังจากได้รับตำแหน่งแม่ครัวหลวง ซูหนิงเหยียนก็ได้รับอนุญาตให้นำลูก ๆ ทั้งสามเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง นางได้รับบ้านพักที่จัดสรรให้แก่ข้าราชสำนักระดับกลาง เป็นตำหนักเล็ก ๆ แต่เงียบสงบและอบอุ่น เมื่อลงจากรถม้า เด็ก ๆ ทั้งสามก็จ้องมองรอบ ๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย "แม่จ๋า! บ้านของเราใหญ่กว่าห้องเก่าในหมู่บ้านอีก!" เสี่ยวเป่าเอ่ยขึ้น พลางวิ่งสำรวจไปรอบ ๆ "พวกเรามีสวนด้วย!" เสี่ยวหูชี้ไปยังแปลงดินเล็ก ๆ ข้างตำหนัก"เราปลูกผักเองได้ไหมแม่?" ซูหนิงเหยียนหัวเราะเบา ๆ พลางลูบศีรษะลูก ๆ "ได้สิ หากพวกเจ้าอยากปลูก แม่จะช่วยพวกเจ้าดูแล" เสี่ยวหมิงที่เป็นพี่คนโตกลับไม่ได้วิ่งเล่นเช่นน้อง ๆ แต่เดินสำรวจตำหนักด้วยสีหน้าครุ่นคิด "แม่จ๋า... ตำหนักนี้ไม่เล็กไปสำหรับพวกเรา แต่ก็ไม่ได้ใหญ่เกินไปเช่นกัน เหมาะสมกับแม่ครัวหลวงจริง ๆ" ซูหนิงเหยียนพยักหน้า "ใช่แล้ว ที่นี่ไม่หรูหรา แต่ก็ปลอดภัยและอยู่ใกล้วังหลวง แม่สามารถเดินไปทำงานได้สะดวก ส่วนพวกเจ้าก็สามารถศึกษาหาความรู้ได้" จัดบ้านใหม่ พวกนางช่วยกันทำความสะอาดตำหนัก เสี่ยวเป่ากับเสี่ยวหูช่วยปัดกวาด เสี่ยวหมิงช่วยจัดของใช้ ซูหนิ
การพบกันโดยไม่ คาดฝันซูหนิงเหยียนยังคงยืนมองรอบ ๆ ตำหนัก ด้วยความระแวดระวัง เสียงลมพัดแรง ทำให้ต้นไม้ไหว เสียงใบไม้เสียดสีกันดัง แผ่วเบา แต่ไม่มีเงาของผู้ใด นางจึงคิด ว่าคงเป็นความรู้สึกไปเองแต่ทันใดนั้น-"ตุบ!"เสียงร่างหนัก ๆ หล่นลงกับพื้นหน้า ตำหนัก นางสะดุ้งเฮือก รีบหันไปมอง ก่อนจะพบร่างของชายผู้หนึ่งนอนคว่ำ หน้าอยู่ เลือดสีแดงเข้มไหลเปรอะเปื้อน พื้นหิน"อ๊ะ!" นางอุทานเบา ๆ ดวงตาเบิกกว้าง เขาสวมอาภรณ์สีดำสนิท แม้ยามนี้จะ เปรอะเปื้อนเลือดและฝุ่นดิน แต่ก็มอง ออกว่าผ้าเนื้อนี้ไม่ใช่ของชนชั้นธรรมดา นางใจสั่น รีบวิ่งเข้าไปดูใกล้ ๆ "ท่าน!" นางแตะร่างเขาเบา ๆ "ท่านยังมี ชีวิตอยู่หรือไม่?" ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะเงย หน้าขึ้นเผยให้เห็นดวงตาคมกริบใต้ แสงจันทร์ แม้จะซีดเซียวจากการเสีย เลือด แต่ก็ยังคงแฝงไว้ด้วยพลังอำนาจ "องค์ชาย!?"ดวงตาสีดำลึกล้ำจ้องมองนาง ราวกับพยายามจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ หมดแรงสลบไปช่วยชีวิตชายลึกลับซูหนิงเหยียนกัดฟัน คิดวิเคราะห์อย่าง รวดเร็ว"เขาเป็นใครกันแน่? ถูกลอบสังหารมา หรือ?"แม้จะสงสัย แต่นางรู้ว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญ ที่สุดคือช่วยชีวิตเขาก่อน น
ข้าวต้มยามเช้า กับความเข้าใจผิดขององค์ชายรุ่งเช้า...แสงแดดอ่อน ๆ สาดเข้ามาผ่านหน้าต่าง ซูหนิงเหยียนตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมอาหารให้ชายหนุ่มที่ยังคงบาดเจ็บ นางหันไปมองร่างที่ยังนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลายังคงซีดเซียวจากการเสียเลือดมากเกินไป"หากไม่กินอะไรเลย ร่างกายคงแย่ลงแน่"ด้วยความที่พระเอกยังบาดเจ็บหนัก นางจึงตัดสินใจทำ ข้าวต้มไก่ อาหารง่าย ๆ ที่ย่อยง่ายและให้พลังงานพอสมควรกลิ่นหอมของข้าวต้ม กับสายตาของเด็ก ๆกลิ่นข้าวต้มร้อน ๆ โชยไปทั่วตำหนัก เด็ก ๆ ทั้งสามที่นั่งเฝ้าอยู่ด้านข้างเริ่มกลืนน้ำลาย"แม่จ๋า... กลิ่นหอมจังเลย!""ข้าวต้มอะไรน่ะ?""พวกเรากินได้หรือไม่?"ซูหนิงเหยียนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยกชามข้าวต้มขึ้นมา "อันนี้ทำให้พี่ชายในห้องก่อน ส่วนของพวกเจ้า แม่จะทำให้ทีหลัง"เด็ก ๆ พยักหน้าหงึก ๆ แม้จะอยากกินแต่ก็เข้าใจดีว่าคนเจ็บต้องมาก่อนเมื่อองค์ชายพบกับ ‘ข้าวนก’ซูหนิงเหยียนเดินถือถาดอาหารเข้าไปในห้องขององค์ชาย ก่อนจะวางมันลงข้างเตียง"ท่านตื่นหรือยัง?"เสียงขยับตัวเบา ๆ ดังขึ้น ชายหนุ่มค่อย ๆ ลืมตา เขามองนางก่อนจะเหลือบไปมองถ้วยข้าวต้มที่วางอยู่ตรงหน้า"เจ้าทำอะไรมาให้ข้าก
คลื่นใต้น้ำในวังหลวงคืนวันนั้น ขณะที่ซูหนิงเหยียนกำลังเตรียมยาต้มให้พระเอกพักฟื้น เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นนอกตำหนัก"ค้นให้ทั่ว!"เสียงทรงอำนาจดังขึ้นตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนที่เดินเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตซูหนิงเหยียนชะงัก ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที นางหันไปมองเด็ก ๆ ที่กำลังนั่งเล่นกันอยู่"พวกเจ้า อยู่ข้างในอย่าออกมา!" นางสั่งเสียงเข้มแฝดทั้งสามพยักหน้าหงึก ๆ แล้วรีบวิ่งไปซ่อนตัวตามคำสั่งเมื่อซูหนิงเหยียนเดินออกมาหน้าตำหนัก นางก็พบกับกลุ่มข้ารับใช้ในชุดเครื่องแบบของวังหลวงกำลังยืนล้อมรอบ พร้อมกับหญิงวัยกลางคนที่แต่งกายหรูหรา ใบหน้านางเต็มไปด้วยร่องรอยของความเย่อหยิ่ง"ท่านหญิงหลี่…" นางพึมพำในใจอนุภรรยาของฝ่าบาท… หรือก็คือพระสนมหลี่ หนึ่งในภรรยาของฮ่องเต้ และเป็นคนที่มีอำนาจมากในวังหลวงเหตุใดจึงมาค้นตำหนักของนาง?พระสนมหลี่ก้าวมาหยุดตรงหน้าซูหนิงเหยียน ดวงตาเย็นชากวาดมองตำหนักเล็ก ๆ ของแม่ครัวด้วยสีหน้าดูแคลน"เจ้าคือแม่ครัวคนใหม่ใช่หรือไม่?" นางถามเสียงเรียบ แต่แฝงไปด้วยอำนาจ"เพคะ" ซูหนิงเหยียนตอบกลับด้วยท่าทางสงบ"ข้าสงสัยว่ามีคนลอบหนีเข้ามาซ่อนตัวที่นี่ ข้าจ
คำสั่งจากวังหลวง หลังจากเหตุการณ์ตึงเครียดผ่านไปไม่นาน ขณะที่ซูหนิงเหยียนกำลังเช็ดตัวให้พระเอก เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังขึ้นหน้าตำหนัก "ท่านแม่ครัวหลวง!" เสียงร้องเรียกนั้นฟังดูเป็นทางการ นางหันไปมองก่อนจะเห็นขันทีผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในตำหนัก พร้อมกับข้ารับใช้ถือกล่องไม้ลวดลายงดงาม ซูหนิงเหยียนรีบลุกขึ้น แล้วคำนับตามมารยาท "ขออภัยเพคะ ไม่ทราบว่าท่านขันทีมีธุระอันใดหรือ?" ขันทียิ้มบาง ๆ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง "ข้ามาแจ้งข่าวให้ท่านทราบ พรุ่งนี้ท่านต้องเข้าครัวหลวงแล้ว" ภารกิจใหม่เริ่มต้น ซูหนิงเหยียนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบรับ "เพคะ" ขันทีมองนางอย่างพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวต่อ "ในฐานะแม่ครัวหลวง ท่านต้องเตรียมอาหารเช้าสำหรับเหล่าขุนนางและพระสนมในวัง หากทำได้ดี อาจมีโอกาสได้ถวายอาหารแก่ฝ่าบาทโดยตรง" นางพยักหน้ารับรู้ "หม่อมฉันจะทำให้ดีที่สุดเพคะ" ขันทีหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเปิดกล่องไม้ที่นำมา ข้างในมีชุดแม่ครัวหลวงที่ปักด้วยลายเมฆมงคล และป้ายไม้แกะสลักซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงตำแหน่งของนาง "นี่คือชุดของท่าน และป้ายตำแหน่ง โปรดรักษาไว้ให้ดี" สายตาของพระเอก ขณะที่ซูหนิงเหยียนรั
อำนาจในมือของนางหลังจากเหตุการณ์ปะทะกับฮวาเหมยในครัวหลวง บรรยากาศในห้องครัวก็เปลี่ยนไปทันที ก่อนหน้านี้แม่ครัวและผู้ช่วยหลายคนต่างจับกลุ่มซุบซิบนินทานาง คอยมองนางด้วยสายตาดูแคลน แต่ตอนนี้…พวกนางกลับเงียบกันไปหมดซูหนิงเหยียนกวาดตามองรอบห้องครัว มือเรียวยกไหซุปขึ้นตักน้ำซุปให้เข้าที่ นางมองดูผู้ช่วยที่ยืนว่างงานอยู่หลายคนก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่ทรงอำนาจ"ที่นี่คือครัวหลวง มิใช่โรงน้ำชา!"เสียงของนางแม้จะไม่ได้ดังมาก แต่กลับก้องกังวานในใจทุกคนแม่ครัวหลายคนสะดุ้ง รีบหันมามองนาง"ในเมื่อเจ้าทุกคนเป็นแม่ครัวและผู้ช่วยในครัวหลวง จงทำงานให้สมกับตำแหน่งของตนเอง!"นางเดินไปยังกลุ่มแม่ครัวที่จับกลุ่มคุยกันอย่างว่างงาน แล้วกล่าวเสียงเข้ม"หากมีเวลายืนพูดคุยเรื่องไร้สาระ เช่นนั้นจงไปช่วยเตรียมวัตถุดิบเสีย! ปอกกระเทียม หั่นขิง หรือกวาดลานก็ได้!"แม่ครัวบางคนทำหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเถียง เพราะพวกนางเพิ่งเห็นแล้วว่า… นางไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครกดหัวได้ง่าย ๆการบริหารจัดการในครัวหลวงซูหนิงเหยียนกวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ"จากนี้ไป ข้าจะแบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน"นางชี้ไปที่กลุ่มผู้ช่วยแม่ครัว
ภายในตำหนักหลวง โต๊ะเสวยถูกจัดเตรียมอย่างประณีต กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งไปทั่วห้อง ทุกจานถูกจัดวางอย่างมีศิลปะจนแม้แต่ขันทีกับนางกำนัลยังอดชื่นชมไม่ได้"อาหารฝีมือแม่ครัวคนใหม่?" ฮ่องเต้ลูบเคราอย่างพึงพอใจ มองสำรับที่ถูกนำขึ้นโต๊ะพระสนมเหมยฮวา หนึ่งในอนุภรรยาคนโปรดของฮ่องเต้ แสร้งยิ้มอ่อนโยน แต่นัยน์ตากลับซ่อนความสงสัย นางได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับแม่ครัวคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ว่านางช่างอวดดีและไม่เกรงกลัวใคร"หม่อมฉันก็อยากรู้ว่าอาหารของแม่ครัวใหม่จะดีเพียงใด" นางเอ่ยเสียงหวาน แฝงความนัยองค์ชายรัชทายาท ลู่เหวินเฉิง ลูกชายใหญ่ของพระสนมเหมยฮวา นั่งอย่างสง่างาม เขายกถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นในขณะที่ทุกคนเริ่มลิ้มรสอาหาร"เสด็จพ่อ ลูกได้รับรายงานมาว่า การค้าผ้าไหมของแคว้นเราในปีนี้เติบโตขึ้นเป็นเท่าตัว หม่อมฉันได้มีส่วนจัดการให้ทูตจากแคว้นต้าโจวตกลงซื้อผ้าไหมเพิ่มขึ้นถึงห้าร้อยพับพ่ะย่ะค่ะ"น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ ราวกับรอคอยให้ฮ่องเต้เอ่ยชมฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนตอบ "อืม ถือเป็นความดีความชอบของเจ้า"รัชทายาทเผยรอยยิ้มพึงพอใจ ก่อนจะพูดต่อ "นอกจากเรื่องการค้า หม
คำปฏิเสธอันเฉียบคมหลังจากมื้ออาหารจบลง องค์ฮ่องเต้ทรงวางตะเกียบลงเบา ๆ ก่อนจะมองไปยังลู่เหวินเจ๋อ“เจ๋อเอ๋อร์” พระองค์เรียกเสียงเรียบแต่หนักแน่นองค์ชายเจ็ดเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมลึกจับจ้องบิดาของตนด้วยความสงบนิ่ง“พ่ะย่ะค่ะ?”“เจ้าก็โตมากแล้ว สมควรมีคู่ครองได้เสียที” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นมาดื้อ ๆภายในตำหนักเงียบลงทันที ทุกคนหันมององค์ชายเจ็ดเป็นตาเดียว แม้แต่พระสนมเหมยฮวาก็ยังเผยรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า แต่แฝงไว้ด้วยความพึงพอใจ“เสนาบดีกรมคลังมีบุตรีที่งดงามเพียบพร้อมทั้งกิริยาและสติปัญญา คงเหมาะสมกับเจ้ามิใช่น้อย”ลู่เหวินเจ๋อวางถ้วยชาลงเบา ๆ สายตาเรียบนิ่ง แต่ภายในใจกลับรู้สึกขัดเคืองไม่น้อย“เสด็จพ่อ หม่อมฉันขอบพระทัยในพระเมตตา...แต่หม่อมฉันเกรงว่าคงมิอาจรับสมรสพระราชทานนี้ได้”เสียงของเขาชัดเจนและหนักแน่นฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดจึงปฏิเสธ?”องค์ชายเจ็ดโค้งศีรษะต่ำเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“หม่อมฉันมีผู้ที่แอบชอบอยู่แล้ว”เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นรอบทิศ พระสนมเหมยฮวาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะที่องค์ชายรัชทายาทมองน้องชายอย่างจับผิด“โอ้? แล้วสตรีนางใดกันที่สามารถครอบครองใจเ
ทุกสิ่งเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากการเปิดเผยความจริงนั้น ทุกคนในราชวงศ์ต่างจับตามองการดำเนินการของลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียน เมื่อมีการเตรียมการทางการทหารและการเมืองเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อปกป้องอาณาจักรจากภัยคุกคามใหม่ที่เกิดขึ้น ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่อาจจะเข้ามาโจมตีได้ทุกเมื่อ ทั้งสองมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถทำลายแผนการของศัตรูได้อย่างรวดเร็ว หากพวกเขาทำงานร่วมกันและสนับสนุนกันอย่างเต็มที่ ลู่เหรินเจ๋อ "ตอนนี้เราไม่สามารถถอยหลังได้แล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของเราต้องเป็นการเคลื่อนไหวที่มุ่งมั่นเพื่อชัยชนะ" ซูหนิงเหยียน: "เราจะไม่ยอมให้ทุกสิ่งที่เรารักถูกทำลาย เราจะสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับราชวงศ์นี้" ทั้งสองมองไปข้างหน้า ด้วยความมั่นใจและความรักที่ไม่มีวันเสื่อมคลายเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความมุ่งมั่นที่ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนได้พยายามกันมาเริ่มเห็นผล ความรักและการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับทั้งสองฝ่าย ทำให้พวกเขาเผชิญหน้ากับอุปสรรคและอันตรายต่างๆ ได้อย่างมั่นคงทั้งสองได้ร่วมมือกันหาวิธีป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จ
ในห้องที่เงียบสงบของตำหนักหลังใหญ่แห่งนี้ ทั้งพระเอกและซูหนิงเหยียนนั่งอยู่ข้างกัน ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันมานี้ แม้ภายนอกจะดูสงบ แต่ทั้งสองคนรู้ดีว่าความจริงนั้นแฝงไปด้วยความซับซ้อนและอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา“ข้ารู้ดีว่าเรากำลังจะเผชิญกับอะไร...” องค์ชายเจ็ดกล่าวเสียงแหบต่ำ รู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดนั้นอย่างมาก ขณะที่สายตาของเขาจ้องไปยังนางเอกซูหญิงเหยียนมองกลับไปด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและไม่หวั่นไหว “สิ่งที่เราเผชิญนั้นยากลำบากแน่นอน แต่เราก็ต้องยืนหยัดและเผชิญมันไปพร้อมกัน ข้าจะไม่ยอมให้สิ่งใดมาพรากสิ่งที่เรามีไป”คำพูดของซูหนิงเหยียนนั้นจริงจังและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มันเหมือนการบอกกับองค์ชายเจ็ดว่า นางพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้ว่าจะเป็นอันตรายแค่ไหน แต่เธอเชื่อมั่นว่า ถ้าทั้งสองคนร่วมมือกัน ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะเอาชนะไม่ได้องค์ชายเจ็ดพยักหน้าเล็กน้อยและยิ้มบางๆ “ข้าเองก็เช่นกัน ถ้าเราทำทุกอย่างไปด้วยกัน ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว”ในขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้อ
ความมืดของค่ำคืนไม่สามารถหยุดยั้งความมุ่งมั่นของทั้งองค์ชายเจ็ดและซูหนิงเหยียนได้ ความจริงที่พวกเขาค้นพบในค่ายทหารทำให้พวกเขาตระหนักถึงความร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นในราชสำนัก พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มขุนนางที่มีอำนาจและวางแผนลับเหล่านั้นระหว่างการเดินทางกลับที่ตำหนักหลวง องค์ชายเจ็ดหันไปมองซูหนิงเหยียนและกล่าวเสียงต่ำ “เราอาจต้องใช้วิธีที่ไม่เป็นทางการในการหาความจริง อาจจะต้องทำให้พวกขุนนางเหล่านั้นเชื่อว่าเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน”ซูหนิงเหยียนนิ่งเงียบก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงเรียบ “ข้ารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ข้าไม่อยากให้ใครตกเป็นเหยื่อของการสมคบคิดนี้อีก”เมื่อกลับถึงตำหนัก หลายสิ่งที่พวกเขาต้องทำยังคงรออยู่ การเตรียมการเพื่อเข้าร่วมในวงการขุนนางนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การได้รู้จักและชักชวนผู้อื่นให้ร่วมมือกับพวกเขาจะเป็นเรื่องที่ท้าทายมากองค์ชายเจ็ดจึงเริ่มพิจารณาแผนการที่จะต้องใช้ในการเข้าใกล้กลุ่มขุนนางเหล่านั้น ทันทีที่คิดได้ เขาก็ส่งสัญญาณให้ทหารผู้ไว้ใจและผู้ที่ทำงานในตำหนักมาร่วมช่วยกันสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มขุนนางในราชสำนัก“เราไม่สา
ความมืดของคืนนี้ยังคงปกคลุมไปทั่วเมืองหลวง ขณะที่องค์ชายและนางเอกยืนอยู่ตรงหน้าฝ่าบาทที่ถูกลักพาตัวไป พวกเขาก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความลับที่ซ่อนอยู่ภายในตำหนักและความเคลื่อนไหวของขุนนางที่ไม่ชัดเจนทำให้สถานการณ์ยิ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้นฝ่าบาทที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ท่ามกลางความมืดพูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่แผ่วเบาและจริงจัง“ทุกอย่างมันซับซ้อนมากกว่าที่เจ้าทั้งสองคิด ความขัดแย้งในราชวงศ์นี้ไม่ได้เกิดจากคนภายนอก แต่มันมาจากภายใน เหล่าขุนนางบางกลุ่มกำลังวางแผนที่จะทำให้การปกครองของข้าอ่อนแอลง”องค์ชายมองไปที่ฝ่าบาทด้วยความตระหนัก เขารู้ว่าแผนการของศัตรูในราชวงศ์นั้นซับซ้อนยิ่งกว่าแค่การลักพาตัวฝ่าบาทเพียงอย่างเดียว“หมายความว่า...การลักพาตัวครั้งนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น?” พระเอกถามเสียงต่ำ พร้อมจับตามองฝ่าบาทด้วยท่าทีที่จริงจังฝ่าบาทพยักหน้า “ใช่ การลักพาตัวของข้าเป็นแค่การทดสอบความพร้อมของฝ่ายขุนนางบางกลุ่ม พวกเขากำลังจับตาดูข้าและคอยหาจังหวะที่ข้าอ่อนแอเพื่อลงมือทำบางอย่างที่ยิ่งใหญ่”ซูหนิงเหยียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฟังแล้วรู้สึกกังวลใจ เธอรู้ดีว่าการต่อสู้ทางการเมืองในรา
ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนเดินมาถึงศาลาใต้ดินที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของตำหนัก ศาลานี้เป็นที่เก็บข้อมูลลับที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด โดยมีเพียงไม่กี่คนในราชวงศ์ที่รู้ว่ามันมีอยู่ ซูหนิงเหยียนหยิบคัมภีร์เก่าขึ้นมาเล่มหนึ่งที่พระเอกเพิ่งจัดการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเงามืดในราชวงศ์“หากเราไม่หาข้อมูลจากที่นี่ เราจะไม่สามารถรู้ทันศัตรูได้” บู่เหรินเจ๋อพูดขึ้นขณะที่นางเอกกำลังอ่านข้อความในคัมภีร์“เรื่องนี้มันซับซ้อนเกินไป... ข้าไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะหยุดแค่การโจมตีครั้งนี้” นางเอกกล่าวด้วยความกังวลในใจลู่เหรินเจ๋อหันมามองซูหนิงเหยียนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ข้ารู้ แต่ข้าคิดว่าเราควรตั้งรับและโจมตีพวกเขาก่อน พวกเขากำลังรวบรวมอำนาจในทุกๆ ด้าน หากเราช้าเกินไป เราจะถูกซ้อนเร้นและถูกทำลาย”ลู่เหรินเจ๋อมองไปยังแผนที่ที่วางอยู่บนโต๊ะ โดยมีสัญลักษณ์ของหน่วยต่างๆ ในราชวงศ์ที่พยายามวางแผนการคุมเมืองและเสริมอำนาจให้มากขึ้น“เราต้องกระชับทุกสิ่งในมือไว้ เราต้องรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของพวกเขา” ลู่เหรินเจ๋อกล่าวต่อขณะที่พระเอกพูดอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่มาจากทางด้า
เสียงกรีดร้องจากด้านนอกทำให้นางเอกสะดุ้ง เธอไม่รอช้า รีบหยิบมีดครัวในมือเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทันทีที่เธอก้าวออกจากครัวไป ก็เห็นเงาร่างของคนหลายคนวิ่งข้ามประตูเข้ามาในตำหนักของตน“มีคนบุกเข้ามา!” นางตะโกนออกไปอย่างรวดเร็วลู่เหรินเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างนางก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะสั่งการให้บ่าวรับใช้จัดการกับการป้องกันรอบตำหนักอย่างเร่งด่วน "อย่าปล่อยให้ใครเข้ามาใกล้!"ทันทีที่คำสั่งถูกออกมา คนในตำหนักก็เริ่มกระจายไปยังจุดต่างๆ ของวังหลวงเพื่อปิดทางและป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้าถึงตัวซูหนิงเหยียนขณะที่เสียงดังอึกทึกจากการต่อสู้ดังขึ้น เสียงของลู่เหรินเจ๋อก็ดังตามมา "ห้ามทำร้ายใคร!" ลู่เหรินเจ๋อก้าวเข้ามาด้วยท่าทางมั่นคงและดวงตาแสดงออกถึงความตั้งใจที่จะปกป้องซูหนิงเหยียนอย่างสุดความสามารถศัตรูที่บุกเข้ามาคือกลุ่มผู้คนที่ได้รับการว่าจ้างจากพระสนมเหมยฮวาเพื่อทำลายความเชื่อถือของซูหนิงเหยียนและสร้างความสับสนให้กับคนในวังหลวง แต่เมื่อเห็นลู่เหรินเจ๋อเข้ามา ทุกคนก็ลังเลและหยุดชะงัก"พระองค์จะทำอะไร?" หนึ่งในคนร้ายถามด้วยเสียงที่สั่นลู่เหรอนเจ๋อยิ้มเย็น "ไม่ต้องถามคำถามที่รู้คำตอบ" เข
หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง ลู่เหรินเจ๋อกลับมายังตำหนักของตน แต่ในหัวกลับคิดถึงคำพูดขององค์ชายใหญ่ไม่หยุด"พวกเราอาจใช้ใครสักคนเป็นหมากต่อรอง..."เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร และมันทำให้เขาไม่อาจวางใจได้ด้านในโรงครัวซูหนิงเหยียนยังคงยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเฉลิมฉลอง บรรยากาศภายในโรงครัวเต็มไปด้วยความคึกคัก แต่ในมุมหนึ่งของห้องกลับมีสายตาของใครบางคนจับจ้องนางอยู่"เจ้าคิดว่านางเป็นใครกันแน่?" เสียงกระซิบดังขึ้นจากเงามืด"ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่หญิงธรรมดา""หากนางมีความสำคัญต่อองค์ชายเจ็ดจริงๆ เช่นนั้น...พวกเราต้องลงมือก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป"ตกดึกซูหนิงเหยียนพาเจ้าแฝดทั้งสามกลับไปยังตำหนักของตน พวกเขายังคงร่าเริงตามประสาเด็กๆ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของมารดา ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม"ท่านแม่...เป็นอะไรไปหรือไม่ขอรับ/เจ้าคะ?"ซูหนิงเหยียนยิ้มบางๆ พลางลูบศีรษะลูกๆ "ไม่มีอะไรหรอก เจ้าอย่ากังวลไปเลย"แต่ในใจนางกลับรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง สายตาที่จ้องมองมาเมื่อช่วงกลางวันทำให้นางไม่สบายใจคืนนั้นลู่เหรินเจ๋อมาถึงตำหนักของซูหนิงเหยียนโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เมื่อเขามาถึง เห็นน
การเผชิญหน้าของสองขั้วอำนาจคืนที่มืดมิด ภายในห้องลับของตำหนักที่ห่างไกลจากสายตาของผู้คน ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งที่เหลือเชื่อ ทุกอย่างในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เข้ามาใกล้ห้องทำให้พวกเขาต้องเงียบกริบ ความเงียบที่สามารถตัดสินชะตาชีวิตของทุกคนได้"ถ้าเราทำผิดพลาดในคืนนี้ เราจะต้องรับผลที่ตามมา" ลู่เหรินเจ๋อพูดเสียงต่ำ พร้อมสายตาที่มุ่งมั่นซูหนิงเหยียนพยักหน้ารับ รู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะไม่ง่าย และมีความเสี่ยงที่พวกเขาต้องรับมือ แต่นี่คือโอกาสเดียวที่พวกเขาจะสามารถเปิดเผยความจริงได้ในขณะเดียวกัน ภายในห้องของพระสนมเหมยฮวา ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในราชสำนักทำให้เธอรู้สึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้เธอจะพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่สามารถหลีกหนีจากการติดตามข่าวสารได้"ถ้าพวกเขาเปิดเผยทุกสิ่งออกมา..." พระสนมเหมยฮวาบอกกับตัวเองอย่างเงียบๆ ความกังวลทวีขึ้นในใจแต่เธอรู้ดีว่าผลลัพธ์สุดท้ายของการเผชิญหน้าครั้งนี้จะเป็นการกำหนดอนาคตของราชสำนักคืนที่ต้องจบลงด้วยความจริงที่อาจทำให้ชีวิตทุกคนเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลกำลังใกล้เ
แผนซ้อนแผนณ ท้องพระโรงบรรยากาศภายในท้องพระโรงตึงเครียดจนแทบไม่มีใครกล้าหายใจแรง ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนงแน่น พระพักตร์เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม"เหรินเจ๋อ... เจ้ากล้ายืนยันเช่นนั้นหรือ?"ลู่เหรินเจ๋อคุกเข่าลง "พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ข้ามั่นใจว่านางไม่มีวันคิดร้ายต่อราชวงศ์"เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนางดังขึ้นทั่วห้อง บางคนเห็นด้วย บางคนยังเคลือบแคลงสงสัย"หากเจ้ายืนยันเช่นนั้น เช่นนั้นเราจะให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง" ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็น "เจ้ามีเวลาสามวัน หากหาตัวผู้กระทำผิดไม่ได้ คนที่ต้องรับโทษจะเป็นแม่ครัวของเจ้าเอง!""พ่ะย่ะค่ะ!"ลู่เหรินเจ๋อลุกขึ้น ประสานมือโค้งคำนับ ก่อนจะหันไปสบตานางเอกที่ยืนตัวแข็งอยู่อีกมุม นางกำหมัดแน่น ก่อนจะโค้งคำนับตอบด้วยสีหน้ามุ่งมั่นณ ตำหนักพระสนมเหมยฮวาพระสนมเหมยฮวาขว้างถ้วยน้ำชาลงกับพื้นจนแตกกระจาย"เจ้าเด็กนั่นกล้าท้าทายข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ!?"องค์ชายรองที่นั่งเงียบมาตลอดหัวเราะในลำคอ "เสด็จแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป""ร้อนใจหรือ!? หากลู่เหรินเจ๋อสืบจนเจอเบาะแส คนที่เดือดร้อนคือเรา!"องค์ชายรองเพียงแค่ยิ้มบาง "นั่นหมายความว่าเราต้องทำให้เขาสืบไม่ไ