ภายในตำหนักหลวง โต๊ะเสวยถูกจัดเตรียมอย่างประณีต กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งไปทั่วห้อง ทุกจานถูกจัดวางอย่างมีศิลปะจนแม้แต่ขันทีกับนางกำนัลยังอดชื่นชมไม่ได้"อาหารฝีมือแม่ครัวคนใหม่?" ฮ่องเต้ลูบเคราอย่างพึงพอใจ มองสำรับที่ถูกนำขึ้นโต๊ะพระสนมเหมยฮวา หนึ่งในอนุภรรยาคนโปรดของฮ่องเต้ แสร้งยิ้มอ่อนโยน แต่นัยน์ตากลับซ่อนความสงสัย นางได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับแม่ครัวคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ว่านางช่างอวดดีและไม่เกรงกลัวใคร"หม่อมฉันก็อยากรู้ว่าอาหารของแม่ครัวใหม่จะดีเพียงใด" นางเอ่ยเสียงหวาน แฝงความนัยองค์ชายรัชทายาท ลู่เหวินเฉิง ลูกชายใหญ่ของพระสนมเหมยฮวา นั่งอย่างสง่างาม เขายกถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นในขณะที่ทุกคนเริ่มลิ้มรสอาหาร"เสด็จพ่อ ลูกได้รับรายงานมาว่า การค้าผ้าไหมของแคว้นเราในปีนี้เติบโตขึ้นเป็นเท่าตัว หม่อมฉันได้มีส่วนจัดการให้ทูตจากแคว้นต้าโจวตกลงซื้อผ้าไหมเพิ่มขึ้นถึงห้าร้อยพับพ่ะย่ะค่ะ"น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ ราวกับรอคอยให้ฮ่องเต้เอ่ยชมฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนตอบ "อืม ถือเป็นความดีความชอบของเจ้า"รัชทายาทเผยรอยยิ้มพึงพอใจ ก่อนจะพูดต่อ "นอกจากเรื่องการค้า หม
คำปฏิเสธอันเฉียบคมหลังจากมื้ออาหารจบลง องค์ฮ่องเต้ทรงวางตะเกียบลงเบา ๆ ก่อนจะมองไปยังลู่เหวินเจ๋อ“เจ๋อเอ๋อร์” พระองค์เรียกเสียงเรียบแต่หนักแน่นองค์ชายเจ็ดเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมลึกจับจ้องบิดาของตนด้วยความสงบนิ่ง“พ่ะย่ะค่ะ?”“เจ้าก็โตมากแล้ว สมควรมีคู่ครองได้เสียที” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นมาดื้อ ๆภายในตำหนักเงียบลงทันที ทุกคนหันมององค์ชายเจ็ดเป็นตาเดียว แม้แต่พระสนมเหมยฮวาก็ยังเผยรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า แต่แฝงไว้ด้วยความพึงพอใจ“เสนาบดีกรมคลังมีบุตรีที่งดงามเพียบพร้อมทั้งกิริยาและสติปัญญา คงเหมาะสมกับเจ้ามิใช่น้อย”ลู่เหวินเจ๋อวางถ้วยชาลงเบา ๆ สายตาเรียบนิ่ง แต่ภายในใจกลับรู้สึกขัดเคืองไม่น้อย“เสด็จพ่อ หม่อมฉันขอบพระทัยในพระเมตตา...แต่หม่อมฉันเกรงว่าคงมิอาจรับสมรสพระราชทานนี้ได้”เสียงของเขาชัดเจนและหนักแน่นฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดจึงปฏิเสธ?”องค์ชายเจ็ดโค้งศีรษะต่ำเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“หม่อมฉันมีผู้ที่แอบชอบอยู่แล้ว”เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นรอบทิศ พระสนมเหมยฮวาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะที่องค์ชายรัชทายาทมองน้องชายอย่างจับผิด“โอ้? แล้วสตรีนางใดกันที่สามารถครอบครองใจเ
เงาลึกลับในค่ำคืนนางเอกรีบหันขวับกลับไป แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า—ราวกับเสียงกระซิบนั้นไม่เคยมีอยู่จริงสายลมยามค่ำคืนพัดผ่านจนม่านผ้าไหมโบกไหว หัวใจของนางเต้นระรัวขณะที่ดวงตากวาดมองไปรอบ ๆ ตำหนัก แต่ก็ยังไม่เห็นเงาของผู้ใด"หรือว่าข้าหูฝาดไปเอง?" นางคิดในใจแต่ไม่—นางมั่นใจว่าตนไม่ได้คิดไปเอง เศษผ้าสีดำในมือยังคงบ่งบอกว่ามีใครบางคนแอบเข้ามาในตำหนักของนางจริง ๆ"เจ้าอยากรู้จริง ๆ หรือว่าเป็นผู้ใด?"เสียงกระซิบดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนกว่าเดิม และที่น่าตกใจกว่านั้นคือมันดังมาจากข้างหูนาง!นางเอกเบิกตากว้าง รีบถอยหลังโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเงาร่างหนึ่งที่ปรากฏตัวอยู่บนกิ่งไม้สูงบุรุษปริศนาสวมชุดดำ มือข้างหนึ่งประคองบาดแผลที่สีข้าง ใบหน้าของเขาถูกปิดบังด้วยหน้ากากครึ่งซีก มีเพียงดวงตาคู่คมที่สะท้อนประกายเย็นเยียบ"เจ้าเป็นใคร!?" นางเอกเอ่ยถามเสียงเข้ม พลางถอยหลังไปอีกก้าวบุรุษชุดดำแค่นหัวเราะเบา ๆ "แม่นาง ดูเหมือนเจ้าจะกล้าหาญกว่าที่ข้าคิด""เจ้ามาทำอะไรที่ตำหนักของข้า?" นางเอกยังคงระวังตัวบุรุษปริศนาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะก้าวลงจากต้นไม้ ร่างสูงของเขาพุ่งเข้าหานางเร็ว
เช้าวันใหม่ในโรงครัวเช้าวันใหม่มาเยือนพร้อมกับแสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องผ่านม่านหน้าต่าง นางเอกลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อเตรียมตัวไปทำงานในครัวหลวง แต่วันนี้ไม่เหมือนทุกวันเพราะมีเจ้าตัวน้อยทั้งสามตามติดมาด้วยแฝดทั้งสามในชุดผ้าฝ้ายเรียบง่าย เดินกระตือรือร้นเคียงข้างนางเอกไปยังโรงครัวหลวง สายตากลมโตของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น"แม่จ๋า~ โรงครัวในวังจะเป็นอย่างไรนะ?" แฝดคนเล็กเอ่ยขึ้น พลางกระตุกแขนนางเอกเบา ๆ"ก็คงใหญ่โตกว่าครัวที่ตำหนักของเราแน่ ๆ" แฝดคนกลางพยักหน้าอย่างรู้ดี"ข้าหวังว่าจะมีหม้อใบโต ๆ และเตามากมายให้ท่านแม่ทำอาหารสุดยอดเลย!" แฝดคนโตยิ้มกว้างนางเอกหัวเราะเบา ๆ พลางลูบศีรษะลูก ๆ อย่างเอ็นดู "ถึงจะใหญ่โตก็จริง แต่พวกเจ้าต้องอยู่เงียบ ๆ ห้ามวิ่งซนเข้าใจไหม? ในวังมีคนมากมาย ไม่ใช่ทุกคนที่จะใจดีกับพวกเรา""เข้าใจแล้วขอรับ/เจ้าค่ะ!"เมื่อเดินมาถึงโรงครัวหลวง กลิ่นหอมของข้าวต้มและอาหารเช้าก็โชยมาตามลม บรรยากาศภายในครัวคึกคักไปด้วยเหล่าแม่ครัวและผู้ช่วยที่กำลังเร่งมือเตรียมสำรับเช้าให้เชื้อพระวงศ์แต่ทันทีที่นางเอกก้าวเข้าไป เสียงพูดคุยก็เริ่มแผ่วลง"นั่นแม่นางคนใ
แผนการกลั่นแกล้งขณะที่แฝดทั้งสามกำลังช่วยกันจัดเตรียมของเงียบ ๆ ตามที่ตกลงกันไว้ จู่ ๆ หญิงรับใช้คนหนึ่งก็เดินผ่านมาด้วยท่าทางเร่งรีบ แต่แทนที่จะหลบให้ทางสะดวก นางกลับจงใจเดินชนเด็ก ๆ อย่างแรง"โอ๊ย!" แฝดคนกลางเซถอยหลังไปชนแฝดคนเล็กจนล้มลงไปนั่งกับพื้นถ้วยเครื่องปรุงที่พวกเขาถืออยู่กระเด็นตกพื้นจนหกเลอะเทอะ หญิงรับใช้คนนั้นแสร้งทำสีหน้าตกใจ ก่อนจะกรีดเสียงขึ้นทันที "ตายแล้ว! ดูสิ! เด็กพวกนี้ทำของหกหมดเลย!"เสียงของนางดังพอที่จะเรียกความสนใจของแม่ครัวคนอื่น ๆ ทุกคนต่างหันมามองด้วยสายตากึ่งตำหนิกึ่งสมเพช"พวกเจ้าทำอะไรของเจ้า!" แม่ครัวอาวุโสคนหนึ่งก้าวเข้ามาถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแฝดทั้งสามกำลังจะปฏิเสธ แต่หญิงรับใช้ผู้นั้นรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที "พวกเขามัวแต่เล่นซนเลยทำให้งานในครัวล่าช้า ข้าวของกระจัดกระจาย นี่เห็นแก่ที่เป็นลูกของแม่ครัวคนใหม่ ข้าถึงไม่อยากโวยวายให้มากกว่านี้"แฝดคนโตกำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ "เจ้าโกหก! เจ้านั่นแหละที่เดินชนพวกข้า!""ใช่! ข้าเห็นอยู่กับตา!" แฝดคนกลางเสริมด้วยเสียงสั่น ๆแต่หญิงรับใช้กลับแสยะยิ้มเล็กน้อยแล้วแสร้งถอนหายใจ "เฮ้อ เด็กไม่รู้ความก
ศาลาแห่งการผจญภัยพระเอกพาเด็กแฝดทั้งสามเดินออกมาจากตำหนักและมุ่งหน้าสู่ศาลาที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักแม่ครัว ความเงียบสงบในยามเช้าพร้อมกับลมเย็น ๆ ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที"นี่คือที่ที่ข้าชอบมากที่สุดในวัง" พระเอกกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะเดินนำเด็ก ๆ ไปนั่งที่ม้านั่งในศาลา เขายื่นมือไปจับที่พนักพิงของม้านั่งให้เด็ก ๆ ก่อนที่เขาจะนั่งลงข้าง ๆ"มันดูสวยจังเลย!" แฝดคนโตพูดขึ้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความทึ่ง ขณะที่มองไปยังทิวทัศน์ที่อยู่รอบ ๆ ศาลาบ่อน้ำเล็ก ๆ ที่ล้อมรอบด้วยดอกไม้หลากสี และต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาแฝดคนกลางก็วิ่งไปนั่งบนขอบบ่อน้ำและยิ้มให้กับองค์ชายเจ็ด "พี่เลี้ยงของท่านก็จะมาที่นี่ใช่ไหม?"องค์ชายเจ็ดยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า "ใช่ เขาคือคนที่มักจะคอยระวังทุกการเคลื่อนไหวของข้า แม้กระทั่งตอนที่ข้าเดินไปที่นี่"แฝดคนเล็กกระโดดไปที่ขอบศาลาและยืนโบกมือให้ลมพัดผ่านหน้าของเขา "จะไม่เบื่อเหรอ ที่ต้องคอยระวังตลอดเวลา?"องค์ชายเจ็ดหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตอบ "ในบางครั้งก็รู้สึกเบื่อ แต่การระวังตัวไม่ใช่เรื่องเลวร้าย มันทำให้ข้าไม่พลาดสิ่งสำคัญในชีวิต"เด็ก ๆ หยุดวิ่งเล่นแ
พาพวกเขากลับบ้านในช่วงเวลาหกโมงครึ่งของเย็นวันนั้น พระเอกเดินมาที่ตำหนักครัวหลวงพร้อมกับเด็กแฝดทั้งสาม เด็กๆ ดูมีความสุขและกระตือรือร้นที่จะไปหามารดาของพวกเขา หลังจากที่เล่นสนุกในศาลามาตลอดทั้งวัน เมื่อถึงเวลานี้ พวกเขาไม่สามารถอดใจรอที่จะได้กลับไปหานางเอกที่กำลังรออยู่ในตำหนักแล้วพระเอกมองเด็กทั้งสามที่เดินเคียงข้างเขาอย่างไม่ห่าง ก่อนจะหยุดยืนหน้าประตูของตำหนักครัวหลวง นางเอกยืนอยู่ในครัวพร้อมกับรอยยิ้มสดใสเมื่อเห็นพวกเขากลับมา"มารดา! พวกข้ากลับมาแล้ว!" หนึ่งในเด็กแฝดพูดเสียงดัง พร้อมกับวิ่งเข้าไปหานางเอกในทันทีนางเอกยิ้มและกอดเด็กทั้งสามอย่างอบอุ่น พร้อมกับเช็ดหน้าให้พวกเขาที่เต็มไปด้วยคราบเหงื่อจากการเล่น"วันนี้สนุกกันไหมลูก?" นางเอกถามด้วยความอบอุ่น"สนุกมากเลยขอรับท่านแม่!" เด็กแฝดตอบพร้อมกัน ทำให้พระเอกอดยิ้มตามไม่ได้พระเอกยืนมองฉากอบอุ่นนั้นด้วยสายตาที่ซ่อนความซับซ้อนในใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าเด็กทั้งสามจะมีมารดาที่แสนดีขนาดนี้ แม้ว่าจะมีอดีตที่ไม่ง่าย แต่ตอนนี้เธอกลับทำให้เด็กๆ ได้รับความรักอย่างเต็มที่"พวกเราเป็นห่วงแม่มาตลอด พรุ่งนี้เราจะกลับมาหาแม่อีกนะครับ!" หนึ่งในเด
ค่ำคืนมืดมิดและเงียบสงัด ราวกับว่าไม่มีชีวิตใดเดินอยู่ในวังหลวง นอกจากเสียงลมที่พัดผ่านไม้ต้นใหญ่ในบริเวณพระราชวังและเสียงหรีดของแมลงในความมืด ที่ทำให้คืนที่เงียบสงบนี้กลายเป็นบรรยากาศที่เยือกเย็นจนขนลุกองค์ชายเจ็ดนั่งอยู่ในห้องนอนของนางเอก ข้างๆ แฝดทั้งสามที่หลับสนิท ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเขาสังเกตเห็นใบหน้าเด็กๆ ที่ยังคงสงบเหมือนเดิม แม้กระทั่งเวลานี้ ดูเหมือนว่าความสงบในวังหลวงจะเป็นเพียงแค่ภาพมายา เมื่อไม่มีใครรู้ว่าภัยอันตรายกำลังรออยู่ใกล้แค่เอื้อมไม่กี่นาทีหลังจากนั้น องค์ชายเจ็ดได้ยินเสียงฝีเท้าหนักดังขึ้นจากทางเดินและท่ามกลางความเงียบสงบของพระราชวัง เสียงนั้นกลับดังชัดเจน ราวกับมีใครกำลังเดินเข้ามาใกล้ เขายืนขึ้นทันที เตรียมตัวรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเขาลงไปที่ชั้นล่างด้วยความระมัดระวัง พยายามไม่ให้เสียงฝีเท้าของตนดังออกไป ขณะนั้นเอง เขาเห็นเงาของคนสองคนยืนอยู่บริเวณหน้าห้องซูหนิงเหยียน สายตาของเขาจับจ้องไปที่บุคคลทั้งสอง แม้จะยังมืด แต่วินาทีนั้น พระเอกสามารถรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” องค์ชายเจ็ดถามเสียงต่ำแต่เ
ทุกสิ่งเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากการเปิดเผยความจริงนั้น ทุกคนในราชวงศ์ต่างจับตามองการดำเนินการของลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียน เมื่อมีการเตรียมการทางการทหารและการเมืองเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อปกป้องอาณาจักรจากภัยคุกคามใหม่ที่เกิดขึ้น ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่อาจจะเข้ามาโจมตีได้ทุกเมื่อ ทั้งสองมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถทำลายแผนการของศัตรูได้อย่างรวดเร็ว หากพวกเขาทำงานร่วมกันและสนับสนุนกันอย่างเต็มที่ ลู่เหรินเจ๋อ "ตอนนี้เราไม่สามารถถอยหลังได้แล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของเราต้องเป็นการเคลื่อนไหวที่มุ่งมั่นเพื่อชัยชนะ" ซูหนิงเหยียน: "เราจะไม่ยอมให้ทุกสิ่งที่เรารักถูกทำลาย เราจะสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับราชวงศ์นี้" ทั้งสองมองไปข้างหน้า ด้วยความมั่นใจและความรักที่ไม่มีวันเสื่อมคลายเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความมุ่งมั่นที่ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนได้พยายามกันมาเริ่มเห็นผล ความรักและการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับทั้งสองฝ่าย ทำให้พวกเขาเผชิญหน้ากับอุปสรรคและอันตรายต่างๆ ได้อย่างมั่นคงทั้งสองได้ร่วมมือกันหาวิธีป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จ
ในห้องที่เงียบสงบของตำหนักหลังใหญ่แห่งนี้ ทั้งพระเอกและซูหนิงเหยียนนั่งอยู่ข้างกัน ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันมานี้ แม้ภายนอกจะดูสงบ แต่ทั้งสองคนรู้ดีว่าความจริงนั้นแฝงไปด้วยความซับซ้อนและอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา“ข้ารู้ดีว่าเรากำลังจะเผชิญกับอะไร...” องค์ชายเจ็ดกล่าวเสียงแหบต่ำ รู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดนั้นอย่างมาก ขณะที่สายตาของเขาจ้องไปยังนางเอกซูหญิงเหยียนมองกลับไปด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและไม่หวั่นไหว “สิ่งที่เราเผชิญนั้นยากลำบากแน่นอน แต่เราก็ต้องยืนหยัดและเผชิญมันไปพร้อมกัน ข้าจะไม่ยอมให้สิ่งใดมาพรากสิ่งที่เรามีไป”คำพูดของซูหนิงเหยียนนั้นจริงจังและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มันเหมือนการบอกกับองค์ชายเจ็ดว่า นางพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้ว่าจะเป็นอันตรายแค่ไหน แต่เธอเชื่อมั่นว่า ถ้าทั้งสองคนร่วมมือกัน ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะเอาชนะไม่ได้องค์ชายเจ็ดพยักหน้าเล็กน้อยและยิ้มบางๆ “ข้าเองก็เช่นกัน ถ้าเราทำทุกอย่างไปด้วยกัน ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว”ในขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้อ
ความมืดของค่ำคืนไม่สามารถหยุดยั้งความมุ่งมั่นของทั้งองค์ชายเจ็ดและซูหนิงเหยียนได้ ความจริงที่พวกเขาค้นพบในค่ายทหารทำให้พวกเขาตระหนักถึงความร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นในราชสำนัก พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มขุนนางที่มีอำนาจและวางแผนลับเหล่านั้นระหว่างการเดินทางกลับที่ตำหนักหลวง องค์ชายเจ็ดหันไปมองซูหนิงเหยียนและกล่าวเสียงต่ำ “เราอาจต้องใช้วิธีที่ไม่เป็นทางการในการหาความจริง อาจจะต้องทำให้พวกขุนนางเหล่านั้นเชื่อว่าเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน”ซูหนิงเหยียนนิ่งเงียบก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงเรียบ “ข้ารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ข้าไม่อยากให้ใครตกเป็นเหยื่อของการสมคบคิดนี้อีก”เมื่อกลับถึงตำหนัก หลายสิ่งที่พวกเขาต้องทำยังคงรออยู่ การเตรียมการเพื่อเข้าร่วมในวงการขุนนางนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การได้รู้จักและชักชวนผู้อื่นให้ร่วมมือกับพวกเขาจะเป็นเรื่องที่ท้าทายมากองค์ชายเจ็ดจึงเริ่มพิจารณาแผนการที่จะต้องใช้ในการเข้าใกล้กลุ่มขุนนางเหล่านั้น ทันทีที่คิดได้ เขาก็ส่งสัญญาณให้ทหารผู้ไว้ใจและผู้ที่ทำงานในตำหนักมาร่วมช่วยกันสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มขุนนางในราชสำนัก“เราไม่สา
ความมืดของคืนนี้ยังคงปกคลุมไปทั่วเมืองหลวง ขณะที่องค์ชายและนางเอกยืนอยู่ตรงหน้าฝ่าบาทที่ถูกลักพาตัวไป พวกเขาก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความลับที่ซ่อนอยู่ภายในตำหนักและความเคลื่อนไหวของขุนนางที่ไม่ชัดเจนทำให้สถานการณ์ยิ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้นฝ่าบาทที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ท่ามกลางความมืดพูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่แผ่วเบาและจริงจัง“ทุกอย่างมันซับซ้อนมากกว่าที่เจ้าทั้งสองคิด ความขัดแย้งในราชวงศ์นี้ไม่ได้เกิดจากคนภายนอก แต่มันมาจากภายใน เหล่าขุนนางบางกลุ่มกำลังวางแผนที่จะทำให้การปกครองของข้าอ่อนแอลง”องค์ชายมองไปที่ฝ่าบาทด้วยความตระหนัก เขารู้ว่าแผนการของศัตรูในราชวงศ์นั้นซับซ้อนยิ่งกว่าแค่การลักพาตัวฝ่าบาทเพียงอย่างเดียว“หมายความว่า...การลักพาตัวครั้งนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น?” พระเอกถามเสียงต่ำ พร้อมจับตามองฝ่าบาทด้วยท่าทีที่จริงจังฝ่าบาทพยักหน้า “ใช่ การลักพาตัวของข้าเป็นแค่การทดสอบความพร้อมของฝ่ายขุนนางบางกลุ่ม พวกเขากำลังจับตาดูข้าและคอยหาจังหวะที่ข้าอ่อนแอเพื่อลงมือทำบางอย่างที่ยิ่งใหญ่”ซูหนิงเหยียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฟังแล้วรู้สึกกังวลใจ เธอรู้ดีว่าการต่อสู้ทางการเมืองในรา
ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนเดินมาถึงศาลาใต้ดินที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของตำหนัก ศาลานี้เป็นที่เก็บข้อมูลลับที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด โดยมีเพียงไม่กี่คนในราชวงศ์ที่รู้ว่ามันมีอยู่ ซูหนิงเหยียนหยิบคัมภีร์เก่าขึ้นมาเล่มหนึ่งที่พระเอกเพิ่งจัดการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเงามืดในราชวงศ์“หากเราไม่หาข้อมูลจากที่นี่ เราจะไม่สามารถรู้ทันศัตรูได้” บู่เหรินเจ๋อพูดขึ้นขณะที่นางเอกกำลังอ่านข้อความในคัมภีร์“เรื่องนี้มันซับซ้อนเกินไป... ข้าไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะหยุดแค่การโจมตีครั้งนี้” นางเอกกล่าวด้วยความกังวลในใจลู่เหรินเจ๋อหันมามองซูหนิงเหยียนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ข้ารู้ แต่ข้าคิดว่าเราควรตั้งรับและโจมตีพวกเขาก่อน พวกเขากำลังรวบรวมอำนาจในทุกๆ ด้าน หากเราช้าเกินไป เราจะถูกซ้อนเร้นและถูกทำลาย”ลู่เหรินเจ๋อมองไปยังแผนที่ที่วางอยู่บนโต๊ะ โดยมีสัญลักษณ์ของหน่วยต่างๆ ในราชวงศ์ที่พยายามวางแผนการคุมเมืองและเสริมอำนาจให้มากขึ้น“เราต้องกระชับทุกสิ่งในมือไว้ เราต้องรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของพวกเขา” ลู่เหรินเจ๋อกล่าวต่อขณะที่พระเอกพูดอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่มาจากทางด้า
เสียงกรีดร้องจากด้านนอกทำให้นางเอกสะดุ้ง เธอไม่รอช้า รีบหยิบมีดครัวในมือเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทันทีที่เธอก้าวออกจากครัวไป ก็เห็นเงาร่างของคนหลายคนวิ่งข้ามประตูเข้ามาในตำหนักของตน“มีคนบุกเข้ามา!” นางตะโกนออกไปอย่างรวดเร็วลู่เหรินเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างนางก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะสั่งการให้บ่าวรับใช้จัดการกับการป้องกันรอบตำหนักอย่างเร่งด่วน "อย่าปล่อยให้ใครเข้ามาใกล้!"ทันทีที่คำสั่งถูกออกมา คนในตำหนักก็เริ่มกระจายไปยังจุดต่างๆ ของวังหลวงเพื่อปิดทางและป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้าถึงตัวซูหนิงเหยียนขณะที่เสียงดังอึกทึกจากการต่อสู้ดังขึ้น เสียงของลู่เหรินเจ๋อก็ดังตามมา "ห้ามทำร้ายใคร!" ลู่เหรินเจ๋อก้าวเข้ามาด้วยท่าทางมั่นคงและดวงตาแสดงออกถึงความตั้งใจที่จะปกป้องซูหนิงเหยียนอย่างสุดความสามารถศัตรูที่บุกเข้ามาคือกลุ่มผู้คนที่ได้รับการว่าจ้างจากพระสนมเหมยฮวาเพื่อทำลายความเชื่อถือของซูหนิงเหยียนและสร้างความสับสนให้กับคนในวังหลวง แต่เมื่อเห็นลู่เหรินเจ๋อเข้ามา ทุกคนก็ลังเลและหยุดชะงัก"พระองค์จะทำอะไร?" หนึ่งในคนร้ายถามด้วยเสียงที่สั่นลู่เหรอนเจ๋อยิ้มเย็น "ไม่ต้องถามคำถามที่รู้คำตอบ" เข
หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง ลู่เหรินเจ๋อกลับมายังตำหนักของตน แต่ในหัวกลับคิดถึงคำพูดขององค์ชายใหญ่ไม่หยุด"พวกเราอาจใช้ใครสักคนเป็นหมากต่อรอง..."เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร และมันทำให้เขาไม่อาจวางใจได้ด้านในโรงครัวซูหนิงเหยียนยังคงยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเฉลิมฉลอง บรรยากาศภายในโรงครัวเต็มไปด้วยความคึกคัก แต่ในมุมหนึ่งของห้องกลับมีสายตาของใครบางคนจับจ้องนางอยู่"เจ้าคิดว่านางเป็นใครกันแน่?" เสียงกระซิบดังขึ้นจากเงามืด"ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่หญิงธรรมดา""หากนางมีความสำคัญต่อองค์ชายเจ็ดจริงๆ เช่นนั้น...พวกเราต้องลงมือก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป"ตกดึกซูหนิงเหยียนพาเจ้าแฝดทั้งสามกลับไปยังตำหนักของตน พวกเขายังคงร่าเริงตามประสาเด็กๆ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของมารดา ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม"ท่านแม่...เป็นอะไรไปหรือไม่ขอรับ/เจ้าคะ?"ซูหนิงเหยียนยิ้มบางๆ พลางลูบศีรษะลูกๆ "ไม่มีอะไรหรอก เจ้าอย่ากังวลไปเลย"แต่ในใจนางกลับรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง สายตาที่จ้องมองมาเมื่อช่วงกลางวันทำให้นางไม่สบายใจคืนนั้นลู่เหรินเจ๋อมาถึงตำหนักของซูหนิงเหยียนโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เมื่อเขามาถึง เห็นน
การเผชิญหน้าของสองขั้วอำนาจคืนที่มืดมิด ภายในห้องลับของตำหนักที่ห่างไกลจากสายตาของผู้คน ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งที่เหลือเชื่อ ทุกอย่างในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เข้ามาใกล้ห้องทำให้พวกเขาต้องเงียบกริบ ความเงียบที่สามารถตัดสินชะตาชีวิตของทุกคนได้"ถ้าเราทำผิดพลาดในคืนนี้ เราจะต้องรับผลที่ตามมา" ลู่เหรินเจ๋อพูดเสียงต่ำ พร้อมสายตาที่มุ่งมั่นซูหนิงเหยียนพยักหน้ารับ รู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะไม่ง่าย และมีความเสี่ยงที่พวกเขาต้องรับมือ แต่นี่คือโอกาสเดียวที่พวกเขาจะสามารถเปิดเผยความจริงได้ในขณะเดียวกัน ภายในห้องของพระสนมเหมยฮวา ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในราชสำนักทำให้เธอรู้สึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้เธอจะพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่สามารถหลีกหนีจากการติดตามข่าวสารได้"ถ้าพวกเขาเปิดเผยทุกสิ่งออกมา..." พระสนมเหมยฮวาบอกกับตัวเองอย่างเงียบๆ ความกังวลทวีขึ้นในใจแต่เธอรู้ดีว่าผลลัพธ์สุดท้ายของการเผชิญหน้าครั้งนี้จะเป็นการกำหนดอนาคตของราชสำนักคืนที่ต้องจบลงด้วยความจริงที่อาจทำให้ชีวิตทุกคนเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลกำลังใกล้เ
แผนซ้อนแผนณ ท้องพระโรงบรรยากาศภายในท้องพระโรงตึงเครียดจนแทบไม่มีใครกล้าหายใจแรง ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนงแน่น พระพักตร์เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม"เหรินเจ๋อ... เจ้ากล้ายืนยันเช่นนั้นหรือ?"ลู่เหรินเจ๋อคุกเข่าลง "พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ข้ามั่นใจว่านางไม่มีวันคิดร้ายต่อราชวงศ์"เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนางดังขึ้นทั่วห้อง บางคนเห็นด้วย บางคนยังเคลือบแคลงสงสัย"หากเจ้ายืนยันเช่นนั้น เช่นนั้นเราจะให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง" ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็น "เจ้ามีเวลาสามวัน หากหาตัวผู้กระทำผิดไม่ได้ คนที่ต้องรับโทษจะเป็นแม่ครัวของเจ้าเอง!""พ่ะย่ะค่ะ!"ลู่เหรินเจ๋อลุกขึ้น ประสานมือโค้งคำนับ ก่อนจะหันไปสบตานางเอกที่ยืนตัวแข็งอยู่อีกมุม นางกำหมัดแน่น ก่อนจะโค้งคำนับตอบด้วยสีหน้ามุ่งมั่นณ ตำหนักพระสนมเหมยฮวาพระสนมเหมยฮวาขว้างถ้วยน้ำชาลงกับพื้นจนแตกกระจาย"เจ้าเด็กนั่นกล้าท้าทายข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ!?"องค์ชายรองที่นั่งเงียบมาตลอดหัวเราะในลำคอ "เสด็จแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป""ร้อนใจหรือ!? หากลู่เหรินเจ๋อสืบจนเจอเบาะแส คนที่เดือดร้อนคือเรา!"องค์ชายรองเพียงแค่ยิ้มบาง "นั่นหมายความว่าเราต้องทำให้เขาสืบไม่ไ