ทุกสิ่งเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากการเปิดเผยความจริงนั้น ทุกคนในราชวงศ์ต่างจับตามองการดำเนินการของลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียน เมื่อมีการเตรียมการทางการทหารและการเมืองเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อปกป้องอาณาจักรจากภัยคุกคามใหม่ที่เกิดขึ้น ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่อาจจะเข้ามาโจมตีได้ทุกเมื่อ ทั้งสองมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถทำลายแผนการของศัตรูได้อย่างรวดเร็ว หากพวกเขาทำงานร่วมกันและสนับสนุนกันอย่างเต็มที่ ลู่เหรินเจ๋อ "ตอนนี้เราไม่สามารถถอยหลังได้แล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของเราต้องเป็นการเคลื่อนไหวที่มุ่งมั่นเพื่อชัยชนะ" ซูหนิงเหยียน: "เราจะไม่ยอมให้ทุกสิ่งที่เรารักถูกทำลาย เราจะสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับราชวงศ์นี้" ทั้งสองมองไปข้างหน้า ด้วยความมั่นใจและความรักที่ไม่มีวันเสื่อมคลายเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความมุ่งมั่นที่ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนได้พยายามกันมาเริ่มเห็นผล ความรักและการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับทั้งสองฝ่าย ทำให้พวกเขาเผชิญหน้ากับอุปสรรคและอันตรายต่างๆ ได้อย่างมั่นคงทั้งสองได้ร่วมมือกันหาวิธีป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จ
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เสียงกรีดร้องของเด็ก ๆ ดังไปทั่วเรือนหลังเล็กที่ทรุดโทรม ซูหนิงเหยียนยืนตระหง่านอยู่กลางลานบ้าน ดวงตาแข็งกร้าวราวกับพายุโหมกระหน่ำ มองดูเด็กทั้งสามที่คุกเข่าตัวสั่นอยู่ตรงหน้า“พวกเจ้ามันตัวกาลกิณี! ถ้าไม่มีพวกเจ้า ข้าคงไม่ต้องใช้ชีวิตต่ำต้อยเช่นนี้!” เธอตวาดเสียงแข็ง กวาดสายตามองลูกทั้งสามด้วยความโกรธเคืองเด็ก ๆ ก้มหน้าซ่อนหยาดน้ำตา ไม่กล้าส่งเสียงโต้แย้งใด ๆ พวกเขารู้ดีว่าแม่ของตนไม่เคยปรานีใคร แม้แต่ลูกในไส้ก็ไม่เว้นซูหนิงเหยียนกำลังเงื้อมมือขึ้นเพื่อทุบบนหลังของลูกชายคนโต ทันใดนั้น ความรู้สึกวิงเวียนก็พุ่งเข้าใส่ร่างของเธอ ความเจ็บปวดแล่นขึ้นสมองอย่างรุนแรง โลกทั้งใบหมุนคว้างก่อนที่ร่างของเธอจะทรุดฮวบลงกับพื้นตึง!ร่างของนางแน่นิ่งไปต่อหน้าต่อตาเด็กทั้งสาม คนโตรีบพุ่งเข้าไปเขย่าตัวแม่ของตน ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ท่านแม่! ท่านแม่!”ไม่มีเสียงตอบกลับ ซูหนิงเหยียนหมดสติไปแล้วโลกอนาคตเสียงหวอของรถพยาบาลดังระงมกลางถนน หญิงสาวคนหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเปล รถพยาบาลเร่งฝ่าการจราจรด้วยความเร็วสูง ทีมแพทย์เร่งช่วยเหลือเธออย่างสุดความสามารถ แต่หัวใจของเธอเต้นช
ลวันแรกของร้านขนมถั่วเขียว รุ่งเช้า หมอกจาง ๆ ปกคลุมทั่วหมู่บ้าน ซูหนิงเหยียนตื่นขึ้นมาพร้อมกับแววตามุ่งมั่น เธอใช้เวลาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางในการต้มถั่วเขียวให้นุ่ม แล้วเติมน้ำตาลให้รสหวานกำลังดี กลิ่นหอมของถั่วเขียวต้มลอยอบอวลไปทั่วเรือน เด็กทั้งสามลุกขึ้นมาช่วยกันอย่างแข็งขัน เด็กชายคนโตช่วยหาบน้ำจากบ่อ ส่วนฝาแฝดหญิงช่วยเตรียมถ้วยและตะเกียบ เมื่อทุกอย่างพร้อม พวกเขาก็ช่วยกันหาบหม้อถั่วเขียวใบโตเดินไปยังตลาดเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน ณ ตลาดเช้า ตลาดเช้าของหมู่บ้านแม้จะไม่ใหญ่มาก แต่ก็คึกคักตั้งแต่เช้ามืด ชาวบ้านทยอยกันออกมาซื้อของก่อนจะไปทำงานในไร่นา ซูหนิงเหยียนเลือกตั้งร้านตรงมุมที่มีคนเดินผ่านมากที่สุด เธอใช้ผ้าผืนเก่าปูเป็นโต๊ะ วางถ้วยไม้เล็ก ๆ ที่เตรียมมา และเปิดฝาหม้อให้ไอร้อนลอยออกมา กลิ่นหอมของถั่วเขียวต้มอบอวลไปทั่ว ไม่นานนัก ก็มีคนเดินผ่านมาและหยุดมองด้วยความสนใจ “หืม? กลิ่นอะไรน่ะ หอมจัง!” หญิงชราร่างท้วมที่ถือกระบุงผักยืนมองซูหนิงเหยียนด้วยความสงสัย ซูหนิงเหยียนยิ้มอ่อนโยน “นี่เป็นถั่วเขียวต้มน้ำตาลเจ้าค่ะ ท่านป้าอยากลองชิมสักถ้วยไหม?” หญิงชรามองหม้อถั่วเขียวต้มที่เดือดปุด ๆ ด้ว
มื้ออาหารแห่งความสุขหลังจากเดินซื้อของในตลาดเสร็จ ซูหนิงเหยียนก็พาลูก ๆ กลับมาถึงเรือน เด็กทั้งสามคนวิ่งเข้าบ้านด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ซูหนิงเหยียนถือถุงของกินมากมายตามเข้าไป"วันนี้ท่านแม่จะทำอะไรให้พวกเรากินหรือเจ้าคะ?" เด็กหญิงฝาแฝดเดินตามมาอย่างตื่นเต้นเด็กชายคนโตช่วยแม่ถือของไปวางที่ห้องครัว ก่อนจะหันมามองด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น "ข้าก็อยากรู้เช่นกัน ท่านแม่ซื้อของมาตั้งเยอะ!"ซูหนิงเหยียนยิ้มบาง ๆ พลางลูบศีรษะลูก ๆ "วันนี้… ท่านแม่จะทำอาหารที่พวกเจ้าไม่เคยกินมาก่อนให้ลองชิมกัน""จริงหรือ!?"เด็ก ๆ ตาโตเป็นประกายด้วยความดีใจ พวกเขาไม่เคยเห็นแม่ทำอาหารด้วยท่าทางตั้งใจเช่นนี้มาก่อนซูหนิงเหยียนเริ่มลงมือทำอาหาร นางใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในเรือน รวมกับของที่ซื้อมาจากตลาด แล้วค่อย ๆ ปรุงแต่งรสชาติให้คล้ายกับอาหารจากยุคอนาคตให้มากที่สุดเมนูที่เธอเลือกทำคือ "ข้าวผัดไข่"เธอจุดเตา ใส่น้ำมันหมูลงไปในกระทะ พอเริ่มร้อนก็ใส่ไข่ไก่ลงไปตีจนฟู ตามด้วยข้าวสวยหุงใหม่ที่เธอเตรียมไว้ นางใช้ตะหลิวไม้ค่อย ๆ คลุกข้าวกับไข่ให้เข้ากันดีจากนั้นก็ใส่หมูสามชั้นหั่นเต๋า เพิ่มผักซอยเล็กน้อย ปรุงรสด้วยเกลื
เป้าหมายใหม่ของมารดาซูหนิงเหยียนมองหวังซื่อที่ยิ้มอย่างจริงใจ นางเข้าใจดีว่าการมีโอกาสได้ทำอาหารขายในร้านเป็นเรื่องที่ดี แต่...นั่นไม่ใช่เป้าหมายของนางนางสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วมองไปยังลูก ๆ ทั้งสามที่นั่งมองมาอย่างสงสัย ดวงตาไร้เดียงสาของพวกเขาทำให้หัวใจของนางอบอุ่น"ข้าขอบคุณในความหวังดีของแม่นางหวัง แต่ข้ามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น"หวังซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย "เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น? เจ้าหมายถึงอะไร?"ซูหนิงเหยียนยิ้มบาง ๆ นางคิดถึงป้ายประกาศที่เห็นในตลาด 'ตำแหน่งแม่ครัวในวังหลวง'"ข้า… ตั้งใจจะสมัครเป็นแม่ครัวในวังหลวง""ว่าอย่างไรนะ!?"หวังซื่อตาโตด้วยความตกใจ ไม่เพียงแต่นาง ลูก ๆ ของซูหนิงเหยียนเองก็เบิกตากว้าง"ท่านแม่… ท่านแม่จะเข้าไปในวังหรือเจ้าคะ?" เด็กหญิงฝาแฝดถามเสียงเบา"ใช่" ซูหนิงเหยียนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น "ข้าต้องการให้พวกเจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้น หากข้าได้เป็นแม่ครัวในวังหลวง พวกเจ้าก็อาจจะมีโอกาสได้เข้าไปศึกษาเล่าเรียนในวัง ข้าอยากให้พวกเจ้ามีอนาคตที่ดีกว่าเดิม"เด็กทั้งสามนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เด็กชายคนโตจะกำมือแน่น ดวงตาของเขามีประกายมุ่งมั่น"ท่านแม่ ข้าจ
ด่านแรก ทดสอบอาหารพื้นฐานภายใต้แสงแดดยามสาย ขันทีผู้ดูแลการคัดเลือกแม่ครัวกวาดตามองกลุ่มหญิงสาวที่มายืนรอด้วยความตื่นเต้นและกังวล ก่อนจะประกาศเสียงดังฟังชัด"ด่านแรก! ทดสอบความสามารถด้านอาหารพื้นฐาน พวกเจ้าทุกคนจะได้รับวัตถุดิบชุดเดียวกัน จากนั้นจงปรุงอาหารที่เหมาะสมให้เสร็จภายในสองเค่อ!"(หนึ่งเค่อเท่ากับ 15 นาที สองเค่อจึงเท่ากับ 30 นาที)ทันทีที่กล่าวจบ ขันทีผู้อาวุโสสะบัดพัดในมือ ชี้ไปยังโต๊ะเรียงรายที่มีหม้อ กระทะ และวัตถุดิบเตรียมไว้เรียบร้อย"ขอให้ทุกคนเริ่มได้!"—––เริ่มต้นการทดสอบซูหนิงเหยียนก้าวไปยังโต๊ะที่ถูกกำหนดให้อย่างไม่ร้อนรน นางกวาดตามองวัตถุดิบที่มีให้ข้าวสารไข่ไก่เนื้อหมูสามชั้นผักกาดขาวซีอิ๊ว และเครื่องปรุงพื้นฐาน‘อาหารพื้นฐานที่ใช้วัตถุดิบเหล่านี้…’ นางครุ่นคิดอย่างรวดเร็วรอบตัวมีเสียงพึมพำจากผู้เข้าร่วม หลายคนเริ่มตั้งหม้อต้มน้ำ บางคนหั่นหมูเป็นชิ้นเล็กเพื่อทำซุป ซูหนิงเหยียนกลับคิดแตกต่างออกไป‘ถ้าเป็นอาหารที่เรียบง่ายที่สุด อิ่มท้อง และรสชาติอร่อย… ข้าวผัดไข่กับหมูสามชั้นตุ๋นน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี’—––การลงมือทำอาหาร1. ข้าวผัดไข่ซูหนิงเหยียนรีบหุงข
เริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองหลวง หลังจากได้รับตำแหน่งแม่ครัวหลวง ซูหนิงเหยียนก็ได้รับอนุญาตให้นำลูก ๆ ทั้งสามเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง นางได้รับบ้านพักที่จัดสรรให้แก่ข้าราชสำนักระดับกลาง เป็นตำหนักเล็ก ๆ แต่เงียบสงบและอบอุ่น เมื่อลงจากรถม้า เด็ก ๆ ทั้งสามก็จ้องมองรอบ ๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย "แม่จ๋า! บ้านของเราใหญ่กว่าห้องเก่าในหมู่บ้านอีก!" เสี่ยวเป่าเอ่ยขึ้น พลางวิ่งสำรวจไปรอบ ๆ "พวกเรามีสวนด้วย!" เสี่ยวหูชี้ไปยังแปลงดินเล็ก ๆ ข้างตำหนัก"เราปลูกผักเองได้ไหมแม่?" ซูหนิงเหยียนหัวเราะเบา ๆ พลางลูบศีรษะลูก ๆ "ได้สิ หากพวกเจ้าอยากปลูก แม่จะช่วยพวกเจ้าดูแล" เสี่ยวหมิงที่เป็นพี่คนโตกลับไม่ได้วิ่งเล่นเช่นน้อง ๆ แต่เดินสำรวจตำหนักด้วยสีหน้าครุ่นคิด "แม่จ๋า... ตำหนักนี้ไม่เล็กไปสำหรับพวกเรา แต่ก็ไม่ได้ใหญ่เกินไปเช่นกัน เหมาะสมกับแม่ครัวหลวงจริง ๆ" ซูหนิงเหยียนพยักหน้า "ใช่แล้ว ที่นี่ไม่หรูหรา แต่ก็ปลอดภัยและอยู่ใกล้วังหลวง แม่สามารถเดินไปทำงานได้สะดวก ส่วนพวกเจ้าก็สามารถศึกษาหาความรู้ได้" จัดบ้านใหม่ พวกนางช่วยกันทำความสะอาดตำหนัก เสี่ยวเป่ากับเสี่ยวหูช่วยปัดกวาด เสี่ยวหมิงช่วยจัดของใช้ ซูหนิ
การพบกันโดยไม่ คาดฝันซูหนิงเหยียนยังคงยืนมองรอบ ๆ ตำหนัก ด้วยความระแวดระวัง เสียงลมพัดแรง ทำให้ต้นไม้ไหว เสียงใบไม้เสียดสีกันดัง แผ่วเบา แต่ไม่มีเงาของผู้ใด นางจึงคิด ว่าคงเป็นความรู้สึกไปเองแต่ทันใดนั้น-"ตุบ!"เสียงร่างหนัก ๆ หล่นลงกับพื้นหน้า ตำหนัก นางสะดุ้งเฮือก รีบหันไปมอง ก่อนจะพบร่างของชายผู้หนึ่งนอนคว่ำ หน้าอยู่ เลือดสีแดงเข้มไหลเปรอะเปื้อน พื้นหิน"อ๊ะ!" นางอุทานเบา ๆ ดวงตาเบิกกว้าง เขาสวมอาภรณ์สีดำสนิท แม้ยามนี้จะ เปรอะเปื้อนเลือดและฝุ่นดิน แต่ก็มอง ออกว่าผ้าเนื้อนี้ไม่ใช่ของชนชั้นธรรมดา นางใจสั่น รีบวิ่งเข้าไปดูใกล้ ๆ "ท่าน!" นางแตะร่างเขาเบา ๆ "ท่านยังมี ชีวิตอยู่หรือไม่?" ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะเงย หน้าขึ้นเผยให้เห็นดวงตาคมกริบใต้ แสงจันทร์ แม้จะซีดเซียวจากการเสีย เลือด แต่ก็ยังคงแฝงไว้ด้วยพลังอำนาจ "องค์ชาย!?"ดวงตาสีดำลึกล้ำจ้องมองนาง ราวกับพยายามจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ หมดแรงสลบไปช่วยชีวิตชายลึกลับซูหนิงเหยียนกัดฟัน คิดวิเคราะห์อย่าง รวดเร็ว"เขาเป็นใครกันแน่? ถูกลอบสังหารมา หรือ?"แม้จะสงสัย แต่นางรู้ว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญ ที่สุดคือช่วยชีวิตเขาก่อน น
ทุกสิ่งเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากการเปิดเผยความจริงนั้น ทุกคนในราชวงศ์ต่างจับตามองการดำเนินการของลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียน เมื่อมีการเตรียมการทางการทหารและการเมืองเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อปกป้องอาณาจักรจากภัยคุกคามใหม่ที่เกิดขึ้น ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่อาจจะเข้ามาโจมตีได้ทุกเมื่อ ทั้งสองมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถทำลายแผนการของศัตรูได้อย่างรวดเร็ว หากพวกเขาทำงานร่วมกันและสนับสนุนกันอย่างเต็มที่ ลู่เหรินเจ๋อ "ตอนนี้เราไม่สามารถถอยหลังได้แล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของเราต้องเป็นการเคลื่อนไหวที่มุ่งมั่นเพื่อชัยชนะ" ซูหนิงเหยียน: "เราจะไม่ยอมให้ทุกสิ่งที่เรารักถูกทำลาย เราจะสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับราชวงศ์นี้" ทั้งสองมองไปข้างหน้า ด้วยความมั่นใจและความรักที่ไม่มีวันเสื่อมคลายเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความมุ่งมั่นที่ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนได้พยายามกันมาเริ่มเห็นผล ความรักและการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับทั้งสองฝ่าย ทำให้พวกเขาเผชิญหน้ากับอุปสรรคและอันตรายต่างๆ ได้อย่างมั่นคงทั้งสองได้ร่วมมือกันหาวิธีป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จ
ในห้องที่เงียบสงบของตำหนักหลังใหญ่แห่งนี้ ทั้งพระเอกและซูหนิงเหยียนนั่งอยู่ข้างกัน ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันมานี้ แม้ภายนอกจะดูสงบ แต่ทั้งสองคนรู้ดีว่าความจริงนั้นแฝงไปด้วยความซับซ้อนและอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา“ข้ารู้ดีว่าเรากำลังจะเผชิญกับอะไร...” องค์ชายเจ็ดกล่าวเสียงแหบต่ำ รู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดนั้นอย่างมาก ขณะที่สายตาของเขาจ้องไปยังนางเอกซูหญิงเหยียนมองกลับไปด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและไม่หวั่นไหว “สิ่งที่เราเผชิญนั้นยากลำบากแน่นอน แต่เราก็ต้องยืนหยัดและเผชิญมันไปพร้อมกัน ข้าจะไม่ยอมให้สิ่งใดมาพรากสิ่งที่เรามีไป”คำพูดของซูหนิงเหยียนนั้นจริงจังและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มันเหมือนการบอกกับองค์ชายเจ็ดว่า นางพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้ว่าจะเป็นอันตรายแค่ไหน แต่เธอเชื่อมั่นว่า ถ้าทั้งสองคนร่วมมือกัน ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะเอาชนะไม่ได้องค์ชายเจ็ดพยักหน้าเล็กน้อยและยิ้มบางๆ “ข้าเองก็เช่นกัน ถ้าเราทำทุกอย่างไปด้วยกัน ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว”ในขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้อ
ความมืดของค่ำคืนไม่สามารถหยุดยั้งความมุ่งมั่นของทั้งองค์ชายเจ็ดและซูหนิงเหยียนได้ ความจริงที่พวกเขาค้นพบในค่ายทหารทำให้พวกเขาตระหนักถึงความร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นในราชสำนัก พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มขุนนางที่มีอำนาจและวางแผนลับเหล่านั้นระหว่างการเดินทางกลับที่ตำหนักหลวง องค์ชายเจ็ดหันไปมองซูหนิงเหยียนและกล่าวเสียงต่ำ “เราอาจต้องใช้วิธีที่ไม่เป็นทางการในการหาความจริง อาจจะต้องทำให้พวกขุนนางเหล่านั้นเชื่อว่าเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน”ซูหนิงเหยียนนิ่งเงียบก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงเรียบ “ข้ารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ข้าไม่อยากให้ใครตกเป็นเหยื่อของการสมคบคิดนี้อีก”เมื่อกลับถึงตำหนัก หลายสิ่งที่พวกเขาต้องทำยังคงรออยู่ การเตรียมการเพื่อเข้าร่วมในวงการขุนนางนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การได้รู้จักและชักชวนผู้อื่นให้ร่วมมือกับพวกเขาจะเป็นเรื่องที่ท้าทายมากองค์ชายเจ็ดจึงเริ่มพิจารณาแผนการที่จะต้องใช้ในการเข้าใกล้กลุ่มขุนนางเหล่านั้น ทันทีที่คิดได้ เขาก็ส่งสัญญาณให้ทหารผู้ไว้ใจและผู้ที่ทำงานในตำหนักมาร่วมช่วยกันสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มขุนนางในราชสำนัก“เราไม่สา
ความมืดของคืนนี้ยังคงปกคลุมไปทั่วเมืองหลวง ขณะที่องค์ชายและนางเอกยืนอยู่ตรงหน้าฝ่าบาทที่ถูกลักพาตัวไป พวกเขาก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความลับที่ซ่อนอยู่ภายในตำหนักและความเคลื่อนไหวของขุนนางที่ไม่ชัดเจนทำให้สถานการณ์ยิ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้นฝ่าบาทที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ท่ามกลางความมืดพูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่แผ่วเบาและจริงจัง“ทุกอย่างมันซับซ้อนมากกว่าที่เจ้าทั้งสองคิด ความขัดแย้งในราชวงศ์นี้ไม่ได้เกิดจากคนภายนอก แต่มันมาจากภายใน เหล่าขุนนางบางกลุ่มกำลังวางแผนที่จะทำให้การปกครองของข้าอ่อนแอลง”องค์ชายมองไปที่ฝ่าบาทด้วยความตระหนัก เขารู้ว่าแผนการของศัตรูในราชวงศ์นั้นซับซ้อนยิ่งกว่าแค่การลักพาตัวฝ่าบาทเพียงอย่างเดียว“หมายความว่า...การลักพาตัวครั้งนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น?” พระเอกถามเสียงต่ำ พร้อมจับตามองฝ่าบาทด้วยท่าทีที่จริงจังฝ่าบาทพยักหน้า “ใช่ การลักพาตัวของข้าเป็นแค่การทดสอบความพร้อมของฝ่ายขุนนางบางกลุ่ม พวกเขากำลังจับตาดูข้าและคอยหาจังหวะที่ข้าอ่อนแอเพื่อลงมือทำบางอย่างที่ยิ่งใหญ่”ซูหนิงเหยียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฟังแล้วรู้สึกกังวลใจ เธอรู้ดีว่าการต่อสู้ทางการเมืองในรา
ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนเดินมาถึงศาลาใต้ดินที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของตำหนัก ศาลานี้เป็นที่เก็บข้อมูลลับที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด โดยมีเพียงไม่กี่คนในราชวงศ์ที่รู้ว่ามันมีอยู่ ซูหนิงเหยียนหยิบคัมภีร์เก่าขึ้นมาเล่มหนึ่งที่พระเอกเพิ่งจัดการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเงามืดในราชวงศ์“หากเราไม่หาข้อมูลจากที่นี่ เราจะไม่สามารถรู้ทันศัตรูได้” บู่เหรินเจ๋อพูดขึ้นขณะที่นางเอกกำลังอ่านข้อความในคัมภีร์“เรื่องนี้มันซับซ้อนเกินไป... ข้าไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะหยุดแค่การโจมตีครั้งนี้” นางเอกกล่าวด้วยความกังวลในใจลู่เหรินเจ๋อหันมามองซูหนิงเหยียนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ข้ารู้ แต่ข้าคิดว่าเราควรตั้งรับและโจมตีพวกเขาก่อน พวกเขากำลังรวบรวมอำนาจในทุกๆ ด้าน หากเราช้าเกินไป เราจะถูกซ้อนเร้นและถูกทำลาย”ลู่เหรินเจ๋อมองไปยังแผนที่ที่วางอยู่บนโต๊ะ โดยมีสัญลักษณ์ของหน่วยต่างๆ ในราชวงศ์ที่พยายามวางแผนการคุมเมืองและเสริมอำนาจให้มากขึ้น“เราต้องกระชับทุกสิ่งในมือไว้ เราต้องรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของพวกเขา” ลู่เหรินเจ๋อกล่าวต่อขณะที่พระเอกพูดอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่มาจากทางด้า
เสียงกรีดร้องจากด้านนอกทำให้นางเอกสะดุ้ง เธอไม่รอช้า รีบหยิบมีดครัวในมือเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทันทีที่เธอก้าวออกจากครัวไป ก็เห็นเงาร่างของคนหลายคนวิ่งข้ามประตูเข้ามาในตำหนักของตน“มีคนบุกเข้ามา!” นางตะโกนออกไปอย่างรวดเร็วลู่เหรินเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างนางก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะสั่งการให้บ่าวรับใช้จัดการกับการป้องกันรอบตำหนักอย่างเร่งด่วน "อย่าปล่อยให้ใครเข้ามาใกล้!"ทันทีที่คำสั่งถูกออกมา คนในตำหนักก็เริ่มกระจายไปยังจุดต่างๆ ของวังหลวงเพื่อปิดทางและป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้าถึงตัวซูหนิงเหยียนขณะที่เสียงดังอึกทึกจากการต่อสู้ดังขึ้น เสียงของลู่เหรินเจ๋อก็ดังตามมา "ห้ามทำร้ายใคร!" ลู่เหรินเจ๋อก้าวเข้ามาด้วยท่าทางมั่นคงและดวงตาแสดงออกถึงความตั้งใจที่จะปกป้องซูหนิงเหยียนอย่างสุดความสามารถศัตรูที่บุกเข้ามาคือกลุ่มผู้คนที่ได้รับการว่าจ้างจากพระสนมเหมยฮวาเพื่อทำลายความเชื่อถือของซูหนิงเหยียนและสร้างความสับสนให้กับคนในวังหลวง แต่เมื่อเห็นลู่เหรินเจ๋อเข้ามา ทุกคนก็ลังเลและหยุดชะงัก"พระองค์จะทำอะไร?" หนึ่งในคนร้ายถามด้วยเสียงที่สั่นลู่เหรอนเจ๋อยิ้มเย็น "ไม่ต้องถามคำถามที่รู้คำตอบ" เข
หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง ลู่เหรินเจ๋อกลับมายังตำหนักของตน แต่ในหัวกลับคิดถึงคำพูดขององค์ชายใหญ่ไม่หยุด"พวกเราอาจใช้ใครสักคนเป็นหมากต่อรอง..."เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร และมันทำให้เขาไม่อาจวางใจได้ด้านในโรงครัวซูหนิงเหยียนยังคงยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเฉลิมฉลอง บรรยากาศภายในโรงครัวเต็มไปด้วยความคึกคัก แต่ในมุมหนึ่งของห้องกลับมีสายตาของใครบางคนจับจ้องนางอยู่"เจ้าคิดว่านางเป็นใครกันแน่?" เสียงกระซิบดังขึ้นจากเงามืด"ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่หญิงธรรมดา""หากนางมีความสำคัญต่อองค์ชายเจ็ดจริงๆ เช่นนั้น...พวกเราต้องลงมือก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป"ตกดึกซูหนิงเหยียนพาเจ้าแฝดทั้งสามกลับไปยังตำหนักของตน พวกเขายังคงร่าเริงตามประสาเด็กๆ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของมารดา ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม"ท่านแม่...เป็นอะไรไปหรือไม่ขอรับ/เจ้าคะ?"ซูหนิงเหยียนยิ้มบางๆ พลางลูบศีรษะลูกๆ "ไม่มีอะไรหรอก เจ้าอย่ากังวลไปเลย"แต่ในใจนางกลับรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง สายตาที่จ้องมองมาเมื่อช่วงกลางวันทำให้นางไม่สบายใจคืนนั้นลู่เหรินเจ๋อมาถึงตำหนักของซูหนิงเหยียนโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เมื่อเขามาถึง เห็นน
การเผชิญหน้าของสองขั้วอำนาจคืนที่มืดมิด ภายในห้องลับของตำหนักที่ห่างไกลจากสายตาของผู้คน ลู่เหรินเจ๋อและซูหนิงเหยียนยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งที่เหลือเชื่อ ทุกอย่างในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เข้ามาใกล้ห้องทำให้พวกเขาต้องเงียบกริบ ความเงียบที่สามารถตัดสินชะตาชีวิตของทุกคนได้"ถ้าเราทำผิดพลาดในคืนนี้ เราจะต้องรับผลที่ตามมา" ลู่เหรินเจ๋อพูดเสียงต่ำ พร้อมสายตาที่มุ่งมั่นซูหนิงเหยียนพยักหน้ารับ รู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะไม่ง่าย และมีความเสี่ยงที่พวกเขาต้องรับมือ แต่นี่คือโอกาสเดียวที่พวกเขาจะสามารถเปิดเผยความจริงได้ในขณะเดียวกัน ภายในห้องของพระสนมเหมยฮวา ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในราชสำนักทำให้เธอรู้สึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้เธอจะพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่สามารถหลีกหนีจากการติดตามข่าวสารได้"ถ้าพวกเขาเปิดเผยทุกสิ่งออกมา..." พระสนมเหมยฮวาบอกกับตัวเองอย่างเงียบๆ ความกังวลทวีขึ้นในใจแต่เธอรู้ดีว่าผลลัพธ์สุดท้ายของการเผชิญหน้าครั้งนี้จะเป็นการกำหนดอนาคตของราชสำนักคืนที่ต้องจบลงด้วยความจริงที่อาจทำให้ชีวิตทุกคนเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลกำลังใกล้เ
แผนซ้อนแผนณ ท้องพระโรงบรรยากาศภายในท้องพระโรงตึงเครียดจนแทบไม่มีใครกล้าหายใจแรง ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนงแน่น พระพักตร์เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม"เหรินเจ๋อ... เจ้ากล้ายืนยันเช่นนั้นหรือ?"ลู่เหรินเจ๋อคุกเข่าลง "พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ข้ามั่นใจว่านางไม่มีวันคิดร้ายต่อราชวงศ์"เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนางดังขึ้นทั่วห้อง บางคนเห็นด้วย บางคนยังเคลือบแคลงสงสัย"หากเจ้ายืนยันเช่นนั้น เช่นนั้นเราจะให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง" ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็น "เจ้ามีเวลาสามวัน หากหาตัวผู้กระทำผิดไม่ได้ คนที่ต้องรับโทษจะเป็นแม่ครัวของเจ้าเอง!""พ่ะย่ะค่ะ!"ลู่เหรินเจ๋อลุกขึ้น ประสานมือโค้งคำนับ ก่อนจะหันไปสบตานางเอกที่ยืนตัวแข็งอยู่อีกมุม นางกำหมัดแน่น ก่อนจะโค้งคำนับตอบด้วยสีหน้ามุ่งมั่นณ ตำหนักพระสนมเหมยฮวาพระสนมเหมยฮวาขว้างถ้วยน้ำชาลงกับพื้นจนแตกกระจาย"เจ้าเด็กนั่นกล้าท้าทายข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ!?"องค์ชายรองที่นั่งเงียบมาตลอดหัวเราะในลำคอ "เสด็จแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป""ร้อนใจหรือ!? หากลู่เหรินเจ๋อสืบจนเจอเบาะแส คนที่เดือดร้อนคือเรา!"องค์ชายรองเพียงแค่ยิ้มบาง "นั่นหมายความว่าเราต้องทำให้เขาสืบไม่ไ