ณ ห้องทรงพระอักษร เฟิ่งจิ่วเหยียนก้มโค้งคำนับ“ถวายบังคมฝ่าบาท”เซียวอวี้ประทับนั่งอยู่หลังโต๊ะ แววตาคมกริบน่าเกรงขาม“เรามีเรื่องต้องสะสาง มีเรื่องอันใด รีบพูดมา”สนามขี่ม้าหลวงมีคนไปเข้าร่วมการฝึกแค่สองคน เรื่องนี้เขาเองก็ได้ยินแล้วคิดว่าฮองเฮาน่าจะควบคุมนางสนมเหล่านั้นไม่ได้ จึงอยากให้เขาออกคำสั่งให้เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างเรียบนิ่ง“ยาบรรเทาอาการปวดศีรษะของกุ้ยเฟยใกล้จะหมดแล้ว หม่อมฉันจึงเอามาให้อีกหนึ่งขวด”คิ้วคมของเซียวอวี้เลิกขึ้นสูงนางแค่มาส่งยางั้นหรือ?ต่อมานัยน์ตาของเขาพลันฉายแววแข็งกร้าวครู่หนึ่ง“คราก่อนฮองเฮาบอกว่า เหลืออยู่ขวดเดียวสุดท้าย”คำพูดของเขาแฝงไปด้วยแววไต่ถามราวกับว่าประโยคถัดไปสามารถออกคำสั่งลงโทษนางโทษฐานพูดปดต่อจักรพรรดิได้ทุกเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนตอบกลับไปอย่างเรียบนิ่ง“หม่อมฉันเขียนจดหมายส่งให้ท่านพ่อ ให้เขาติดตามหมอพเนจรผู้นั้นโดยเฉพาะ“ช่างบังเอิญ ที่ไม่กี่วันก่อนหมอพเนจรผู้นั้นมาที่เมืองหลวง”เซียวอวี้สงสัยว่านางกำลังโกหก แต่ก็ไม่มีหลักฐาน“ช่างบังเอิญจริง ๆ”จากนั้นเขาก็ถามว่า “แล้วเหตุใดไม่เอาไปส่งที่ตำหนักหลิงเซียวโดยตรงล่ะ”
เหล่านางสนมทยอยออกมาน้อมรับกระแสรับสั่ง แต่ละคนต่างมีลางสังหรณ์ไม่ดีเลยจากนั้นก็ได้ยินข้าหลวงผู้นั้นเอ่ยขึ้น“ฮองเฮาทรงส่งหมอหลวงมาตรวจพระสนมทั้งหลาย“ผู้ใดป่วยจักได้รักษา ส่วนผู้ใดจงใจอ้างเรื่องป่วยไม่ยอมไปสนามม้าหลวง จักถูกลงโทษให้คัดกฎของวังห้าสิบรอบ และถูกโบยห้าครั้ง!”เหล่านางสนมต่างมีสีหน้าหลากหลายในบรรดาพวกนางไม่มีใครคาดคิด ว่าฮองเฮาจะลงโทษอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้!จากนั้นเหล่าหมอหลวงก็เข้ามาตรวจให้เหล่านางสนมทีละคนผลตรวจเป็นอย่างไรแทบไม่ต้องคาดเดาแต่ละคนต่างถูกโบย ทั้งยังถูกลงโทษให้คัดกฎของวัง ส่วนทางหนิงเฟยเพราะมีบอกกล่าวล่วงหน้า และมีไทเฮาคอยปกป้อง ดังนั้นจึงไม่เป็นอะไรมีนางสนมบางคนไม่ยอม จึงเอ่ยถามว่า “แล้วกุ้ยเฟยล่ะ! ได้ยินมาว่าวันนี้กุ้ยเฟยก็ไม่ได้ไปที่สนามม้าหลวงเหมือนกัน! เหตุใดฮองเฮาถึงไม่กล้าลงโทษนางบ้าง?”ข้าหลวงผู้นั้นตอบกลับอย่างนอบน้อม“คาดว่าเวลานี้ กระแสรับสั่งคงไปถึงตำหนักหลิงเซียวแล้วขอรับ”“อะไรนะ? ฮองเฮากล้าลงโทษกุ้ยเฟยจริง ๆ หรือ?” ทุกคนต่างมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อณ ตำหนักหลิงเซียวผู้คุมโทษมีท่าทางดุร้าย“กุ้ยเฟย ต้องขอล่วงเกินแล้ว!”ชุนเ
กุ้ยเฟยมองไปยังทางเข้า แต่กลับไม่เห็นขบวนเสด็จขันทีผู้นั้นมีเหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก“พระนาง หลิวกงกงกล่าวว่า ฝ่าบาท…ฝ่าบาททรงเหนื่อยล้ามาทั้งวัน จึงเข้าบรรทมตั้งแต่หัววันแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทั้งมีกระแสรับสั่งว่า ห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนเด็ดขาด”ชุนเหอนิ่งอึ้ง“เจ้าเลอะเลือนหรือไง นี่ยังพูดไม่ชัดอีกหรือ พระนางกำลังจะถูกโบยนะ!”พระนางเป็นถึงแก้วตาดวงใจของฝ่าบาท ไม่มีทางรวมอยู่ใน “ผู้ใด” ที่ว่านั้นแน่!สีหน้าของกุ้ยเฟยก่อเกิดไอเย็น สายตาที่มองมาทางขันที แฝงไปด้วยไอสังหารเศษสวะไร้ประโยชน์!ในเวลาสำคัญเช่นนี้ ขนาดเชิญเสด็จฝ่าบาทมาก็ยังไม่ได้อีกข้าหลวงผู้คุมโทษมองหน้ากันไปมา จากนั้นก็ลุกขึ้นมาพูด“กุ้ยเฟย ต้องขอล่วงเกินแล้ว!”พวกเขาเตรียมเข้ามาจับตัว ชุนเหอพลันตะโกนเสียงดัง“สามหาว! พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร!”……ผ่านไปครึ่งชั่วยามกุ้ยเฟยก็เอนพิงแท่นบรรทมอย่าง “อ่อนแรง”เมื่อเห็นชุนเหอเปิดม่านมุ้งเข้ามา นางก็รีบถามทันที“ฝ่าบาทล่ะ? เขามาไหม?”ชุนเหอกัดริมฝีปาก แล้วส่ายหน้า“ทางตำหนักจื้อเฉิน หลิวกงกงเองก็ยังไม่สามารถเข้าไปกราบทูลได้เลยเพคะ” “พระนาง บางทีฝ่าบาทอาจจะทรงเหนื
กุ้ยเฟยมีท่วงท่าสง่างามเด็ดเดี่ยว แตกต่างจากท่าทางอ่อนแอตอนที่อยู่กับฮ่องเต้ ยามอยู่ต่อหน้าฮองเฮา แววตาก็แฝงไปด้วยแววยั่วยุ่“ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ที่หม่อมฉันมาสาย“เป็นเพราะฝ่าบาทเป็นห่วงหม่อมฉัน จึงกำชับอยู่นาน กว่าจะยอมปล่อยหม่อมฉันมา”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา ไร้แววไหวหวั่น“ฝากทูลฝ่าบาทด้วย เขาไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลกุ้ยเฟยเป็นอย่างดี”นางย้ำคำว่า “ดูแล” เสียงหนักแต่กุ้ยเฟยหาได้กลัวไม่ ซ้ำยังป้องปากหัวเราะ เสียงใสดั่งกระดิ่งเงิน“คงไม่ใช่ว่าฮองเฮาลืมไปแล้วหรอกกระมัง? เมื่อเช้าฝ่าบาทยังตรัสอยู่เลย ว่าท่านต้องใช้คุณธรรมชนะใจคน ไม่ควรเอะอะอะไรก็จะลงโทษคนอื่นอยู่นั่น”ต่อมา นางก็เดินเฉียดผ่านไป นั่งลงในกระโจมที่พัก รอบด้านมีแต่คนเข้ามาปรนนิบัติรับใช้นางเหล่านางสนมเห็นการกระทำของกุ้ยเฟย นางทำเช่นไร พวกนางเองก็ทำเช่นนั้นฮองเฮาแค่ให้พวกนางมาฝึกที่สนามม้าหลวง ไม่ได้บอกว่าพวกนางต้องฝึกไปถึงขั้นไหนเสียหน่อยดังนั้นแต่ละคนจึงเริ่มแอบอู้ เหลียนซวงเห็นแบบนั้นก็โมโหอย่างมาก“พระนาง พวกนางไม่เหมือนมาขี่ม้าเลย มีแต่แอบอู้ทั้งนั้น!”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา มอง
ฝั่งตะวันออกของสนามม้าหลวง ฮ่องเต้และรุ่ยอ๋องยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับเพิ่งมาถึงเมื่อครู่เสียนเฟยรีบเตือนให้นางสนมเจียเข้าไปทำความเคารพเมื่อทั้งสองคนเดินมาหยุดตรงหน้าฮ่องเต้ น้ำเสียงก็เบาหวิวดุจเมฆ “ถวายบังคมฝ่าบาท”รุ่ยอ๋องเองก็โค้งคำนับให้ทั้งสองคน “กระหม่อมขอคารวะพระนางทั้งสอง”นัยน์ตาของเขามักจะแฝงไปด้วยแววอบอุ่นเจือรอยยิ้ม มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนนิสัยดีเซียวอวี้ละสายตาจากทิศทางที่ฮองเฮาขี่ม้าออกไป ทอดมองมายังทั้งสองคน“ไม่ต้องพิธีรีตองมาก”เสียนเฟยถอยไปอยู่หลังเขาอย่างสงบเสงี่ยมส่วนนางสนมเจียรีบคว้าโอกาสที่นาน ๆ ทีจะมีครั้งไว้อย่างตื่นเต้น“ฝ่าบาท ท่านเสด็จมาขี่ม้าหรือเพคะ?”เซียวอวี้ไม่ตอบนาง แต่เดินผ่านนางไปรุ่ยอ๋องรีบเดินตามไปทันที“พระนางทั้งสองผู้หนึ่งอ่อนหวานเรียบร้อย ผู้หนึ่งสดใสร่าเริง ฝ่าบาทช่างโชคดีเหลือเกิน”คิ้วของเซียวอวี้คมปลาบ “อิจฉาหรือ? เช่นนั้นพรุ่งนี้เราจะมอบหมายคู่หมั้นให้เจ้า”รุ่ยอ๋องประสานมือรับผิดด้วยรอยยิ้มทันที “กระหม่อมผิดไปแล้ว!”จากนั้น เขาก็เอ่ยถามอย่างจริงจัง“แต่ได้ยินมาว่าเหล่านางสนมในวังหลังต่างมาฝึกขี่ม้าที่นี่ แต่ทำไมกร
เมื่อเหล่านางสนมวิ่งออกไป ก็พบว่าฝ่าบาทเสด็จกลับไปตั้งนานแล้ว พวกนางรู้สึกเสียดายไม่น่าแอบอู้เลย ไม่อย่างนั้นก็คงได้เจอฝ่าบาทแล้วโอกาสที่พวกนางจะได้เจอฝ่าบาทมีอยู่น้อยยิ่งนักหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกลับแล้ว มีเพียงกุ้ยเฟยที่ยังอยู่ที่เดิมนางย่อมไม่จำเป็นต้องกระเหี้ยนกระหือรือเหมือนคนอื่น ตราบใดที่นางอยากเจอฝ่าบาท นางก็สามารถเจอได้ทุกเมื่อนางสนมเจียเก็บงำเอาไว้ไม่ได้ จึงนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวกับทุกคนอย่างอดรนทนรอไม่ไหวจากนั้นก็ถูกส่งต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งยังใส่สีตีไข่ พูดเสียจนฟังดูสวยหรูสำหรับนางสนมที่มีโอกาสน้อยนักในการได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท ต่างชวนให้รู้สึกอิจฉาแทนที่จะทนเปล่าเปลี่ยวอยู่ในตำหนัก สู้ออกมาเสี่ยงดวงที่สนามม้าหลวงยังจะดีกว่าวันต่อมา ยังไม่ถึงเวลาฝึก เหล่านางสนมก็มาที่สนามม้าหลวงกันแล้วทว่า หลังจากนั้นอีกหลายวัน ฝ่าบาทก็ไม่ได้เสด็จมาที่สนามม้าหลวงอีกเลยทุกคนต่างทอดถอนใจกันอีก“นางสนมเจียแค่โชคดี ผู้ใดสามารถรับรองได้ว่าพวกเราจะโชคดีได้เจอฝ่าบาทเช่นนั้น?”“นั่นสิ ใช่ว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาที่สนามม้าหลวงทุกวันเสียหน่อย ข้าว่าพวกเรากลับไปเล่นไพ่นกกระจอกเหมือนเดิมดี
ชุนเหอเป็นบ่าวคนสนิทของกุ้ยเฟย ทั้งยังฉลาดเป็นกรดนางคาดเดาว่า “ฮองเฮาต้องกลัวว่าหากท่านอยู่ที่สนามม้าหลวง แล้วฝ่าบาททรงเสด็จมา จะสนใจเพียงแต่ท่านผู้เดียว ไม่ชายตามองคนอื่นเป็นแน่เพคะ”กุ้ยเฟยลำพองใจ“ถึงข้าไม่ไป ในสายตาของฝ่าบาทก็ไม่มีพวกนางอยู่ดี”แต่ว่า หลายวันมานี้ต้องตื่นแต่เช้าไปที่สนามม้าหลวงทุกวัน นางค่อนข้างเหนื่อยล้าจริง ๆ หลายวันต่อมาเฟิ่งจิ่วเหยียนก็มาถามผู้ดูแลผู้ดูแลตอบเสียงเบา“พระนาง ระยะนี้มีคนฝึกกระบวนท่า “เกล็ดน้ำค้างโบยบินดั่งหิมะ” หลายคนเลยพ่ะย่ะค่ะ บ่าวเองก็ทำตามที่ท่านกำชับ คอยชี้แนะเพิ่มเติม ยามที่เหล่าสนมเจอท่ายาก ๆ “แต่มีเพียงสนมเจียเท่านั้นที่มีพรสวรรค์ สามารถเรียนรู้ได้ไว และขยันเรียนที่สุด แถมยังแอบเข้ามากลางดึกทุกคืนด้วย”เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าใจ จึงโบกมือให้เขาออกไปได้เหลียนซวงถามอย่างสงสัย“พระนาง สนมเจียจะกระตุ้นให้กุ้ยเฟยเปิดเผยทักษะขี่ม้าออกมาได้จริง ๆ หรือเพคะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้นิ้วหมุนลูกบอลโปโลเล่น ด้วยความคล่องแคล่ว“ทำสองสิ่งพร้อมกัน จำเป็นต้องใช้สิ่งของอีกอย่างนั่นคือ——ความระแวง” ……ยามราตรีโอบล้อมทุกสารทิศณ ตำหนักหลิงเซีย
บุรุษที่ประลองฝ่ามือกับเฟิ่งจิ่วเหยียนสวมใส่ชุดสีแดง ดูสถุนอย่างมากเขาถูกแรงฝ่ามือของเฟิ่งจิ่วเหยียนซัดจนต้องถอย เมื่อเห็นว่าตนกำลังจะเจ็บตัว ก็รีบตระโกน“เจ้าแซ่ซู! โคตรเหง้าบิดาเจ้าเถอะ! ทักทายแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องเอาจริงก็ได้กระมัง!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอียงคอเล็กน้อย“บิดาใคร?”เท้าของชายหนุ่มชุดแดงเสียดสีกับพื้น รีบขอร้องอ้อนวอนออกมา “ก็ได้ ๆ ๆ บิดาข้าเอง เจ้าคือบิดาของข้า!”เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงได้เก็บมือกลับมาจากนั้นก็สะบัดมือ ปิดประตูที่แง้มเปิดไว้ให้ปิดลงเฟิ่งจิ่วเหยียนกับพวกเขาล้วนเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่นางแกะเชือกบนตัวของซ่งหลี พร้อมดึงผ้าขี้ริ้วในปากของเขาออก พอไม่มีเชือกมาพันธการ ซ่งหลีก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “สหายซู ไม่ใช่ว่าข้าไม่เตือนเจ้า แต่เขากักขฬะมากเกินไป สะกดรอยตามข้ามาตลอดทาง แถมยังจับข้ามัดไว้”บุรุษชุดแดงนั่งลงบนขอบหน้าต่าง สายลมพัดผ่านมา จนปลิวผมไสว ทำให้เขาดูเหมือนคุณชายเจ้าสำราญคนอื่น ๆ คงไม่คาดคิดแน่ ว่าเขาคือบุตรชายของเศรษฐีแนวหน้า——เจียงหลินเจียงหลินใช้มือทัดปรอยผม แล้วพร่ำบ่นออกมา“ว่าข้ากักขฬะหรือ? ซูฮ่วน เจ้านั่นแหละที่ไร้เหตุผล“หายไปต
ด้านนอกประตูวังนั้นหลิวอิ๋งและบุตรสาวของนางถูกไล่ออกไปทันทีไม่ว่าพวกนางจะเอ่ยย้ำว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮามากเท่าไหร่เหล่าองครักษ์พลางกล่าวออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า: “ฮองเฮามีรับสั่งว่า ไม่พบ!”สาวใช้ของพวกนางพลันก้าวเข้าไปข้างหน้า ก่อนจะซักถามพวกเขาว่า“มีตาหามีแววไม่! พวกเจ้ามิได้ไปแจ้งให้ฮองเฮาทราบอย่างแน่นอนเลย!”องครักษ์ที่ทำหน้ารักษาประตูวังจึงชักอาวุธออกมา“หากกล้าก่อเรื่องที่หน้าประตูวัง คงมิอยากจะมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!”เมื่อหลิวอิ๋งและอีกสองคนเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า พวกนางจึงค่อย ๆ ล่าถอยออกไปแต่โดยดีทว่า พวกนางหาได้คิดยอมแพ้ไม่!เจิ้งจีบุตรสาวของนางพลันเป็นเดือดเป็นร้อนไปในทันที ก่อนจะจับแขนมารดาของตน พลางเอ่ยถาม“ท่านแม่ ฮองเฮามิให้พวกเราเข้าพบเช่นนี้ พวกเราจักทำเช่นไรกันดีเจ้าคะ? แคว้นพันธมิตรต่างก็เปิดเส้นทางการค้าขายมากมาย โดยเฉพาะแคว้นตงซาน จำนวนพ่อค้าหลวงเองก็มีจำกัด พวกเรามิอาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นได้นะเจ้าคะ”สายตาอของหลิวอิ๋งพลันเจือไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย เผยให้เห็นท่าทีสงบและฉลาดหลักแหลม“ไม่ต้องรีบร้อนไป ในเมื่อคนเป็นลูกมิยอมใ
เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับการปรากฏตัวของท่านน้าหญิงของตนเองเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงสั่งให้คนไปตรวจสอบตัวตนของนางมาเสียก่อนการสืบหาในครานี้ กินเวลาไปเกือบทั้งวันด้านนอกประตูวัง ยังมีแม่ลูกคู่หนึ่งยืนอยู่ พร้อมด้วยสาวใช้ของนางเมื่อเหล่าองครักษ์เห็นว่านางเรียกตนเองว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮานั้น พวกเขาก็หาได้กล้าทำอะไรไม่ พลางพาพวกนางไปพักที่ศาลาเพื่อรอฮองเฮาเรียกตัวเข้าพบใกล้พลบค่ำหว่านชิวพลันเดินเข้ามาภายในตำหนักในขณะเดียวกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังอ่านจดหมายจากท่านอาจารย์ของนาง เนื้อหาพลันระบุเอาไว้ ชายแดนเหนือได้ทำการวางแนวป้องกันแบบใหม่ลงไปแล้ว มิกลัวว่าฝั่งเป่ยเยี่ยนจะลอบเข้ามาโจมตีอีกต่อไปหว่านชิวพลางโค้งกายคำนับ“ฮองเฮาเพคะ สืบพบแล้วเพคะ สตรีผู้นี้มีนามว่า ‘หลิวอิ๋ง’ เป็นท่านน้าหญิงของพระองค์จริง ๆ เพคะ ทว่า...” หว่านชิวพลันเปลี่ยนหัวเรื่อง “องครักษ์ยังสืบพบอีกว่า มารดาของท่านได้ทำการตัดสายสัมพันธ์กับตระกูลเดิมไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ท่านน้าหญิงของฮองเฮาผู้นี้ มิทราบว่าสมควรจักให้พบหรือไม่ให้พบดีเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนวางจดหมายในมือของนางลง ก่อนจะสั่งการว่า“เจ้าไปที่
เจียงหลินจึงเอ่ยอธิบายก่อน: “สำหรับเส้นทางการค้าลับนั้น ตระกูลเจียงเองก็เคยใช้งานเช่นเดียวกัน ทว่า เรื่องมนุษย์โอสถนั้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเจียงไม่”เรียวนิ้วของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเขี่ยไปที่รอบปากจอกสุรา สายตาของนางหาได้สนใจสิ่งใดไม่“เล่าต่อเถิด ว่าเรื่องเป็นมาเช่นไร”เจียงหลินพลันกัดฟันเอ่ยออกมา“ข้ากลัวว่าท่านจักเป็นกังวล จึงมิกล้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาให้ท่านฟัง”“เส้นทางการค้าลับนั้นมีมานานนับหลายสิบปีแล้ว การค้าของตระกูลเจียงนั้นมีบางครั้งก็จำเป็นต้องใช้งานพวกเขาบ้าง“สิ่งที่ข้าสืบพบก็คือ ไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นการค้าของพวกมนุษย์โอสถรุ่งเรืองยิ่งนัก ทว่า มิรู้เพราะเหตุใดช่วงนี้ราวกับพวกเขาได้ยินข่าวลืออะไรบางอย่าง จึงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ มานานแล้ว“ข้าเองก็ได้ส่งคนไปซุ่มรอตรวจสอบอยู่ หากพบว่ามีการค้าขายเกี่ยวกับมนุษย์โอสถเมื่อใดนั้น ย่อมต้องแจ้งให้ท่านทราบอย่างแน่นอน“ทว่า ในยามนี้หาได้พบสิ่งใดไม่”หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ฟังจนจบแล้วนั้น อย่างน้อยนางก็มั่นใจได้เรื่องหนึ่งว่า มนุษย์โอสถไปมาระหว่างแคว้นตงซานกับหนานฉีจริง ๆ ……ช่วงนี้ นับตั้งแต่ฮ่องเต้จนไปถึงขุนน
ปั้ง!ถานไถเหยี่ยนยกมือขึ้นข้างหนึ่ง หยวนจั้นที่ตกใจจนมิทันได้ป้องกันตนเองนั้น ก็ถูกกำลังภายในอันแข็งแกร่งกระแทกออกไปในทันทีหยวนจั้นที่ได้สติกลับมานั้น จึงปรับสมดุลกำลังภายในในร่างกายของตนเองให้มั่นคง ทว่า ก็ยังไม่อาจยืนหยัดได้อย่างมั่นคงนักร่างกายของหยวนจั้นซวนเซถอยหลังไปสองสามก้าว พร้อมทั้งแผ่นหลังที่ไปกระแทกเข้ากับประตูห้องขังที่อยู่ด้านหลังเขาเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองนั้น พลันเห็นว่าถานไถเหยี่ยนได้ทำลายกุญแจประตูห้องขัง ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขา...หยวนจั้นเอามือกุมหน้าอกของตนเองเอาไว้ ดวงตาค่อย ๆ หรี่ลง พร้อมด้วยเปลือกตาของเขาที่สั่นไหวไปเล็กน้อยคนผู้นี้ มีความสามารถล้ำลึกถึงเพียงนี้เลยหรือ?เพียงไม่กี่อึดใจเดียว ถานไถเหยี่ยนก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของเขา พลางยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ของหยวนจั้นหยวนจั้นที่คิดว่าถานไถเหยี่ยนจะลงมือกับตนเองนั้น กลับเห็นว่าเขาเพียงแค่ปัดฝุ่นออกจากหัวไหล่ให้ตนเองเท่านั้นเสมือนกับว่า เขายังคงเป็นอาจารย์ที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำของเขาอยู่จากนั้น ถานไถเหยี่ยนพลันจัดแจงอาภรณ์ที่เต็มไปด้วยรอยยับให้เรียบร้อย พวกเขาราวกับศิษย์อาจารย์ที
หลังจากจับกุมพัศดีได้นั้น เขาหาได้มีท่าทีสำนึกผิดไม่“ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยทำสิ่งใดผิดไปงั้นหรือ…”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้คิดมองเขาไม่ นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาพลางกล่าวออกมาว่า“ในฐานะพัศดีนั้น กลับกระทำการรับสินบน ติดต่อกับศัตรูต่างแคว้น ย่อมต้องถูกโทษประหาร!”พัศดีพลันมีสีหน้าซีดเผือดไปในทันทีเหตุใดถึง?ฮองเฮาทรงทราบว่าเขาลอบทำสิ่งใดเช่นนั้นหรือ?ผู้ใดเป็นคนทรยศเขากัน!พัศดีพลันรีบก้มลง พร้อมโขกหัวลงบนพื้นเพื่อ ร้องขอความเมตตา“ฮองเฮาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิกล้าอีกแล้ว! ฮองเฮาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด ได้โปรด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้คิดฟังเรื่องไร้สาระจากเขาไม่ พลางหันไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคุกเทียนเหลาว่า“ข้าจักให้เวลาพวกเจ้าสามวัน ไปทำการสืบค้นเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเสีย”“พ่ะย่ะค่ะ!” เจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้รับผิดชอบนั้นพลันก้มหน้าลงด้วยความละอายใจเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงหันไปกล่าวกับพัศดีคนอื่น ๆ ที่ยืนเนื้อตัวสั่นเทาว่า“ภายในสามวันนี้ หากผู้ใดยอมสารภาพออกมาแต่โดยดี จักได้รับโทษสถานเบา หากว่าทำการสืบหาตัวมาได้เมื่อใดนั
เฟิ่งจิ่วเหยียนมาพบกับถานไถเหยี่ยนอีกครั้ง แววตาของเขายังคงสงบเงียบดังเดิม ทว่า มิได้ไร้ชีวิตชีวาเหมือนดังแต่ก่อนอีกด้วย“ถานไถเหยี่ยน เจ้ารู้หรือไม่ว่า แคว้นตงซานได้ส่งราชทูตมาขอพาตัวเจ้ากลับไปจัดการด้วย?”ถานไถเหยี่ยนพลางเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเฉยเมย“คิดไว้แล้วว่าจักต้องเป็นเช่นนี้“พวกเขาหาได้มาเพื่อข้าไม่ แต่มาเพื่อ ‘ใยแมงมุม’ ของตระกูลถานไถต่างหาก”เฟิ่งจิ่วเหยียนมีท่าเคร่งขรึมไปในทันที“เจ้าจึงคิดใช้ประโยชน์จากคนทุกคน รวมไปถึงแคว้นตงซานด้วยหรือ”ถานไถเหยี่ยนพลันหัวเราะเยาะตนเองออกมา“ดังนั้น ชีวิตนั้นแสนสั้น อย่างไรย่อมต้องถูกผู้อื่นสังหารตามอำเภอใจ”เขารู้ดีว่า หากตนเองกลับไปถึงแคว้นตงซานเมื่อใดนั้น จุดจบคงมิได้ดีนักทว่า เขาหาได้กลัวตายไม่ ทั้งยังมองดูความตายอย่างไม่ยี่หระอีกด้วยเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเอ่ยตรงเข้าประเด็นในทันที“เจ้าคิดดีแล้วหรือ”เรียวคิ้วดวงตาที่งดงามของถานไถเหยี่ยน พลันเผยให้เห็นท่าทีเด็ดขาดออกมาหากเขายังตัดสินใจไม่ได้ เขาคงมิมาขอพบนางเช่นนี้“กระหม่อมเต็มใจที่จะช่วยให้หนานฉีรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบ เขาพลันโค้งกายคำนับเฟิ่งจิ่วเหยียนในทันที
ราชทูตหลี่หลิงแสดงสีหน้าประหลาดใจทันทีทำการค้า?นี่เป็นการบังคับฝืนใจกันโดยแท้แคว้นตงซานพวกเขาไม่เคยทำการค้ากับแคว้นอื่นมาก่อนทว่าหากไม่ยินยอม เกรงว่าฮ่องเต้ฉีจักต้องให้พวกเขาชดเชยด้วยการยกดินแดนให้เป็นแน่!ต้องโทษที่เขาผิดพลาดเพราะคำพูด จนสร้างปัญหาเช่นนี้!หลี่หลิงรู้สึกเสียใจอย่างมาก พร้อมกับมองไปทางหยวนจั้นที่อยู่ข้างกันหยวนจั้นพยักหน้าเบา ๆหลังจากหลี่หลิงได้รับอนุญาต ถึงได้ก้าวไปข้างหน้า“เรื่องทำการค้า ถือเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองแคว้น กระหม่อมจะนำเจตนารมณ์นี้กราบทูลต่อกษัตริย์ของกระหม่อม!”เวลายิ่งนานอุปสรรคยิ่งมาก เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีทางให้โอกาสพวกเขาได้กลับคำ“ฝ่าบาท แม้จริงอยู่ที่ว่าเรื่องดี ๆ มักจะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่หม่อมฉันกลัวว่าเวลาจะไม่คอยท่า มิสู้ให้คนร่างหนังสือข้อตกลงขึ้นมา แล้วให้ราชทูตลงนาม จากนั้นค่อยนำกลับไปยังแคว้นตงซาน พร้อมกับออกสาส์นตราตั้งอย่างเป็นทางการ?”ราชทูตถูกส่งมา ก็ถือเป็นตัวแทนของฮ่องเต้นั่นเอง ทันทีที่ลงนาม ก็จะไม่มีทางกลับคำเซียวอวี้ยิ้มน้อย ๆ และกุมมือเฟิ่งจิ่วเหยียนต่อหน้าฝูงชน“นับว่าฮองเฮาวิเคราะห์ได้รอบคอบ“ใครก็ได้ ไปร่า
แคว้นตงซานมีราชทูตสองคนหลี่หลิงผู้นั้นตกหลุมพรางกับคำพูด เมื่อเห็นว่าทำให้แคว้นตนกำลังตกอยู่ในอันตราย เหงื่อก็เริ่มผุดออกมาเต็มใบหน้าเขามองไปทางราชทูตอีกผู้หนึ่ง---หยวนจั้นชายหนุ่มรูปร่างซูบผอม ท่าทางดูเหมือนใจเย็น ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ แทบจะมิได้เอ่ยสิ่งใดเลยในยามนี้ เขาเอ่ยอย่างช้า ๆ “กระหม่อมได้ยินว่า ครั้งนี้หนานฉีเอาชนะแต่ละแคว้นได้ เป็นเพราะมีตัวช่วยอย่าง ‘ใยแมงมุม’ ที่ดัดแปลงโดยตระกูลตงฟาง ทว่าการค้นพบ ‘ใยแมงมุม’ ก็เป็นความดีความชอบของถานไถเหยี่ยนเช่นกัน“ดังนั้น กระหม่อมสงสัยว่า ถานไถเหยี่ยนยุยงให้เกิดข้อพิพาท ก็เพื่อล่อลวงกองกำลังของแต่ละแคว้นมาที่หนานฉี ทำให้ง่ายต่อการที่จะทำลายแต่ละแคว้น“มิเช่นนั้นจะทำไปเพื่อเหตุใด ตามหลักเหตุผล แคว้นท่านจักต้องเกลียดชังถานไถเหยี่ยนจนเข้ากระดูก ทว่าตอนนี้แค่เพียงจับเขาคุมขังไว้?“หากมองจากสิ่งนี้ แคว้นท่านไม่ยินยอมที่จะมอบถานไถเหยี่ยนให้ในตอนนี้ ก็เพื่อต้องการจะปกป้องชีวิตถานไถเหยี่ยน”ขุนนางหนานฉีเริ่มโมโห“ช่างพูดจาใส่ร้ายอย่างชั่วช้า! คนเลวนั้นกล่าวโทษคนอื่นเพื่อปกปิดความผิดตน!”“เมื่อครู่ยังพูดว่าถานไถเหยี่ยนเป็นคนของแคว
ราชทูตแคว้นตงซานมาพร้อมกับผ้าทอและอาชา เริ่มจากปฏิบัติด้วยความสุภาพก่อน“แคว้นตงซานเราไม่เคยเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างแคว้น ครั้งนี้แต่ละแคว้นมาล้อมโจมตีหนานฉี ฮ่องเต้พวกเราก็ได้ยินข่าวลือเหล่านี้เช่นกัน ต่างพูดกันว่า ข้อพิพาทนี้ ต้นเหตุมาจากการยุยงของแคว้นตงซาน”ราชทูตแคว้นอื่นต่างมองหน้ากันราชทูตแคว้นตงซานผู้นี้หมายความว่าอย่างไร? คำนึงแต่ตนเองไม่สนใจผู้อื่นรึ?ในตอนแรก มิใช่แคว้นตงซานพวกเขาส่งคนมาพูดหว่านล้อมว่า หากร่วมมือกับพวกเขาโจมตีหนานฉี จะแบ่งดินแดนหนานฉีให้หรอกหรือ!หลี่หลิงราชทูตแคว้นตงซานกล่าวต่อ“หลังจากสืบสวนอยู่หลายทาง พวกเราถึงสืบพบว่า เดิมทีแล้ว ทั้งหมดนี้ถานไถเหยี่ยนเป็นคนทำ“เขาหลอกลวงอวดอ้าง จนได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทของเรา ถูกยกย่องให้เป็นราชครู และถือเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของแคว้นตงซานด้วย “นึกไม่ถึงว่า เขายังไม่พึงพอใจกับสิ่งนี้ เจตนาจะหลอกล่อกษัตริย์ของเรา ให้กษัตริย์ของเราโจมตีหนานฉี เพื่อจะได้เป็นมหาอำนาจ กษัตริย์ของเรามีสติ จึงไม่หลงกลการยั่วยุ“นึกไม่ถึงว่าเขายังไม่ยอมหยุดความคิดชั่วร้าย ยังแอบตระเวนไปยังแต่ละแคว้น เพื่อยุยงให้แต่ละแคว้นล้อ