บุรุษที่ประลองฝ่ามือกับเฟิ่งจิ่วเหยียนสวมใส่ชุดสีแดง ดูสถุนอย่างมากเขาถูกแรงฝ่ามือของเฟิ่งจิ่วเหยียนซัดจนต้องถอย เมื่อเห็นว่าตนกำลังจะเจ็บตัว ก็รีบตระโกน“เจ้าแซ่ซู! โคตรเหง้าบิดาเจ้าเถอะ! ทักทายแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องเอาจริงก็ได้กระมัง!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอียงคอเล็กน้อย“บิดาใคร?”เท้าของชายหนุ่มชุดแดงเสียดสีกับพื้น รีบขอร้องอ้อนวอนออกมา “ก็ได้ ๆ ๆ บิดาข้าเอง เจ้าคือบิดาของข้า!”เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงได้เก็บมือกลับมาจากนั้นก็สะบัดมือ ปิดประตูที่แง้มเปิดไว้ให้ปิดลงเฟิ่งจิ่วเหยียนกับพวกเขาล้วนเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่นางแกะเชือกบนตัวของซ่งหลี พร้อมดึงผ้าขี้ริ้วในปากของเขาออก พอไม่มีเชือกมาพันธการ ซ่งหลีก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “สหายซู ไม่ใช่ว่าข้าไม่เตือนเจ้า แต่เขากักขฬะมากเกินไป สะกดรอยตามข้ามาตลอดทาง แถมยังจับข้ามัดไว้”บุรุษชุดแดงนั่งลงบนขอบหน้าต่าง สายลมพัดผ่านมา จนปลิวผมไสว ทำให้เขาดูเหมือนคุณชายเจ้าสำราญคนอื่น ๆ คงไม่คาดคิดแน่ ว่าเขาคือบุตรชายของเศรษฐีแนวหน้า——เจียงหลินเจียงหลินใช้มือทัดปรอยผม แล้วพร่ำบ่นออกมา“ว่าข้ากักขฬะหรือ? ซูฮ่วน เจ้านั่นแหละที่ไร้เหตุผล“หายไปต
ยามปกติเซียวอวี้โปรดปรานการไปสนามม้าหลวง แต่หากเป็นการไปทอดพระเนตรเหล่านางสนมทำการแสดง เขาหาได้สนใจไม่ทว่าไทเฮากลับมาเชิญเขาด้วยพระองค์เองเสียนี่“ฝ่าบาทราชกิจรัดตัว เดิมข้าไม่สมควรมารบกวน”“แต่ช่วงนี้ในราชสำนักมีข่าวลือหนาหูว่าพวกเราแม่ลูกหมางใจกัน เพื่อความมั่นคงของราชสำนักและวังหลังแล้วต้องทำอะไรเสียหน่อย”“วันนี้ก็ถือโอกาสเดินเล่นเป็นเพื่อนข้า ดีหรือไม่?”......ณ สนามม้าหลวงไทเฮาเหลือบมองนางสนมหลายนางที่ขี่ม้าอยู่ก็แย้มพระโอษฐ์ไม่หยุดพวกนางยอมทุ่มเทขนาดนี้เพื่อที่จะได้รับความโปรดปราน ลำบากพวกนางแล้ว“ฮ่องเต้ ท่านเชี่ยวชาญทักษะการขี่ม้า ลองทอดพระเนตรพวกนางดูว่ามีจุดไหนไม่เหมาะสมหรือไม่?”สีหน้าเซียวอวี้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ทอดมองไปยังเงาร่างของฮองเฮาที่กำลังจูงม้าเดินเข้ามาอยู่ไม่ไกล“หัวมังกุท้ายมังกร [1]”สีหน้าไทเฮาแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อยฮ่องเต้ทรงไร้อารมณ์เช่นนี้ เกรงว่านางสนมเหล่านี้จะต้องผิดหวังอีกแล้วน่าเสียดายน้ำใจนี้ของฮองเฮานักเฟิ่งจิ่วเหยียนส่งม้าให้กับผู้ดูแล แล้วเดินไปเบื้องหน้าของไทเฮาและฮ่องเต้“หม่อมฉันคารวะเสด็จแม่และฝ่าบาทเพคะ”สายตาไทเฮาเปี
กุ้ยเฟยดูราวกับเป็นพวกถ้ำมอง ดวงตาดำมืดฉายแววบ้าคลั่งก่อนหน้านี้ไม่ว่านางจะได้ยินข่าวลือมากแค่ไหน ไม่ว่าฝ่าบาทจะไม่มาที่ตำหลักหลิงเซียวกี่วัน นางก็ยังเชื่อมั่นว่าฝ่าบาทไม่มีทางชายตามองนางสนมเจียเป็นแน่นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่นางต้องมาเห็นนางสนมเจียทำตัวจนโดดเด่น เห็นนางสนมเจียถูกฝ่าบาทเรียกตัว...กุ้ยเฟยยืนอยู่ในเงามืด สองมือกำแน่น ใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งกับคนที่ไม่พึงใจแล้ว ฝ่าบาทไม่มีทางแสร้งพูดจาดีด้วยเขาจะเดินจากไป ไม่ก็สั่งให้นางสนมเจียออกไปแต่ผ่านไปพักหนึ่งแล้ว นางสนมเจียยังอยู่ตรงนั้นอยู่เลย...“พระสนมเพคะ ข้างนอกลมแรงนัก เรากลับตำหนักหลิงเซียวกันดีหรือไม่เพคะ?” ชุนเหอเสนอเสียงเบาพระสนมอารมณ์ไม่ดีแล้วหากยังอยู่ต่อไป เกรงว่าจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่กุ้ยเฟยถามอย่างอยากเอาชนะ“นางสนมเจียขี่ม้าแบบนี้แล้วเหมือนหรงเฟยมากหรือไร!”ชุนเหอกล้าตอบเสียที่ไหน“นางสนมเจียเป็นแต่พูดเอาอกเอาใจ เทียบไม่ได้กับพระสนมที่งดงามทุกย่างก้าว หาใครเทียบเทียมมิได้”ยามนี้กุ้ยเฟยอยากฟังแต่ความจริงเท่านั้น“บอกข้ามาตามจริงซะ!”ก่อนที่ชุนเหอจะมารับใช้กุ้ยเฟย นางเคยเป็นคนรับใช้ในวังมาก่อ
ถึงแม้ว่ากุ้ยเฟยจะขี่ม้าเป็น แต่นางก็ไม่ได้ขี่ม้ามานานมากแล้วก่อนที่จะแสดงให้ฝ่าบาทดู ล้วนต้องฝึกฝนเสียก่อน และสถานที่เดียวในวังที่สามารถขี่ม้าได้ก็คือสนามม้าหลวง“เจ้าว่ากระไรนะ? พระสนมของพวกเราเข้าไปไม่ได้งั้นหรือ?” ชุนเหอแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อเจ้าสุนัขรับใช้ของสนามม้าหลวงนี่ ถึงกับกล้าขัดขวางพระสนม!ณ ประตูทางเข้าสนามม้าหลวงผู้ดูแลสนามม้าหลวงยิ้มแหย ใบหน้าขื่นขมด้วยความลำบากใจ“กุ้ยเฟย ไม่ใช่ว่าข้าน้อยขัดขวางท่าน เป็นเบื้องบนมีคำสั่งลงมา ข้าน้อยไม่อาจฝ่าฝืนคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ!”ใบหน้าของกุ้ยเฟยเย็นวาบในวังหลังแห่งนี้ยังมีสถานที่ที่นางไม่อาจเข้าไปได้?เรื่องอย่างการโต้เถียงกันเช่นนี้ ยังไม่ถึงคราวที่กุ้ยเฟยจะต้องออกปากเองชุนเหอออกหน้าซักถาม“ก่อนหน้านี้พระสนมก็เข้าไปได้ เหตุใดวันนี้จึงเข้าไม่ได้? นี่กฎของผู้ใดกัน?”ผู้ดูแลเช็ดเหงื่อแล้วเช็ดเหงื่ออีก“เป็น...เป็นฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮาทรงตรัสว่า สนามม้าหลวงแห่งนี้มีม้าและอุปกรณ์ขี่ม้าอยู่จำกัด มีเพียงเหล่าพระสนมที่เข้าร่วมการแข่งขี่ม้าโปโลเท่านั้นจึงจะเข้ามาได้ อีกทั้งยังต้องได้รับการอนุญาตจากกพระนาง ถึงจะสามารถ...”“บ
กุ้ยเฟยเมินเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วหันไปออดอ้อนฮ่องเต้“ฝ่าบาท พระองค์ทรงทราบถึงทักษะการขี่ม้าของหม่อมฉันนี่เพคะ”เซียวอวี้ที่รูปร่างหน้าตางามสง่าเหนือสามัญมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยสายตาเย็นชา“ทักษะการขี่ม้าของกุ้ยเฟยเหนือกว่าคนพวกนั้นมาก ฮองเฮา เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับดูคล้ายจะผ่อนคลายลง“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กุ้ยเฟยก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการคัดเลือก สิบวันให้หลังมาเข้าร่วมการแข่งขันขี่ม้าโปโลได้เลย”กุ้ยเฟยรู้สึกไม่พอใจที่นางกลับมาฝึกขี่ม้าก็เพื่อเอาใจฝ่าบาท หาใช่เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันขี่ม้าโปโลอะไรนั่น!“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่อยากร่วมการแข่งเพคะ!”ท่าทางของเฟิ่งจิ่วเหยียนหนักแน่น“เช่นนั้นก็ได้แต่รอให้การแข่งขันขี่ม้าโปโลจบลงก่อนแล้ว!”“เจ้า...” กุ้ยเฟยโกรธจนพูดไม่ออก จึงหันไปมองฮ่องเต้อย่างขอความช่วยเหลือนอกห้องทรงพระอักษรเหลียนซวงเห็นฮองเฮาของนางเสด็จออกมาก็รีบรุดหน้าไปรับเสด็จ“ฮองเฮา เรียบร้อยดีไหมเพคะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดอย่างเยือกเย็น“เพิ่มกุ้ยเฟยเข้าไปในรายชื่อการแข่งขันขี่ม้าโปโล”เหลียนซวงประหลาดใจเป็นอย่างมาก“ฮองเฮา ท่านทรงทำได้อย่างไรกันเ
ตามปกติน้อยมากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนจะขี่ม้า ส่วนมากนางจะนั่งดูอยู่ข้างสนามยามที่การฝึกในวันนี้กำลังจะจบลง รุ่ยอ๋องก็มาที่สนามม้าหลวง“น้องเขยคารวะพี่สะใภ้”โดยปกติแล้วรุ่ยอ๋องมักจะมาพร้อมกับฮ่องเต้เสมอเฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปข้างหลังรุ่ยอ๋องโดยไม่รู้ตัว ทว่ากลับไม่เห็นฮ่องเต้ทรราช“วันนี้มีแค่ข้าคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ” รุ่ยอ๋องกล่าวด้วยรอยยิ้ม ให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนราวกับอาบน้ำฝนท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นเฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้ารับคารวะ จากนั้นก็ดึงสายตากลับไปมองสนมหลายคนที่กำลังขี่ม้าอยู่ไกล ๆนางคิดว่าพอรุ่ยอ๋องทักทายเสร็จก็จะไปที่อื่นต่อ ทว่าเขากลับยืนอยู่ข้างนางและเริ่มชวนนางคุยเล่น“พี่สะใภ้ทุ่มเทกายใจ หากต้องการ ข้าสามารถโน้มน้าวให้ฝ่าบาทมาที่สนามม้าหลวงบ่อย ๆ ได้”เหลียนซวงมองไปที่เขาด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย พบว่าท่าทีของเขาไม่เหมือนพูดเล่น ดวงตาคู่นั้นโค้งอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน“ไม่จำเป็น” เฟิ่งจิ่วเหยียนปฏิเสธทันที ไม่แม้แต่จะหันไปมองรุ่ยอ๋องรุ่ยอ๋องรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง รอยยิ้มกลับมาอย่างรวดเร็ว“ดูเหมือนข้าจะพูดเรื่องไม่จำเป็นเสียแล้ว พี่สะใภ้ ข้าไม่รบกวนแล้ว”“อ
หลังการฝึกซ้อมมาหลายวัน งานแข่งขันขี่ม้าโปโลก็เริ่มต้นขึ้นตามกำหนดการเมื่อมองไปบนปะรำพิธีจะเห็นฮ่องเต้นั่งตรงกลาง ไทเฮานั่งอยู่ด้านขวาของเขา ส่วนคนที่เหลือนั่งตามลำดับศักดิ์รุ่ยอ๋องตรัสชมด้วยท่าทางอบอุ่น“นี่เป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานแข่งขันขี่ม้าโปโลในวัง ฮองเฮาทรงทุ่มเทความคิดอย่างมากจริง ๆ”ระหว่างที่พูดเขาก็มองไปทางฮ่องเต้อยู่หลายครั้งเซียวอวี้กล่าวตอบด้วยท่าทีเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง“นับเป็นคนแรกจริง ๆ เทียบกับฮองเฮาผู้เพียบพร้อมจากสกุลเฟิ่งทั้งหมดในประวัติศาสตร์ นับว่าไม่เคยมีมาก่อน”ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนฟังออกว่าฝ่าบาทไม่พอพระทัยในตัวฮองเฮาเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น ไทเฮาจึงตรัสชมด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนเมตตาว่า“ฮองเฮาเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ งานแข่งขันขี่ม้าโปโลนี้ต้องเป็นรูปแบบใหม่เป็นแน่”คิ้วกริชของเซียวอวี้เลิกขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของไทเฮารุ่ยอ๋องไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม ยกแก้วสุราด้านหน้าขึ้นมาจิบเงียบ ๆ ด้วยตัวคนเดียวสนมนางอื่นไม่ได้สนใจในงานแข่งขันขี่ม้าโปโลเท่าไร พวกนางคิดเพียงแค่อยากเข้าใกล้ฮ่องเต้มากขึ้นอีกซักนิดเท่านั้นทว่าแม้จะอยู่บนปะ
เมื่องานแข่งขันขี่ม้าโปโลเริ่มต้นขึ้น เหล่าสนมผู้ร่วมการแข่งขันที่สวมชุดขี่ม้าก็ทยอยขี่ม้าเข้ามาในสนามไทเฮาแสร้งตรัสอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า“อายุยังน้อยช่างดีเสียจริง แต่ละคนล้วนดูต่างไปจากยามปกติ ดู ๆ ไปแล้วไม่เหมือนนางสนมที่อยู่ในส่วนลึกของวัง กลับเหมือนแม่ทัพหญิงเสียมากกว่า!”กุ้ยหมัวมัวค้อมกายรับพระดำรัสของไทเฮา“ไทเฮาทรงเป็นพระมารดาแห่งใต้หล้า ฝ่าบาททรงพระปรีชาญาณมากล้นด้วยคุณธรรม ในวังหลวงแห่งนี้ย่อมบ่มเพาะคนได้ดีเป็นธรรมดา”เซียวอวี้กวาดตามองที่สนาม พบว่าอยู่ห่างเกินไปจนมองไม่ออกว่าใครเป็นใครใบหน้างดงามของเขาไม่ยินดียินร้าย“เสด็จแม่เพียงพูดเล่นก็แล้วไปเถิด”“ร้อยปีมานี้ แคว้นหนานฉียังไม่เคยปรากฏแม่ทัพหญิงมาก่อน”รุ่ยอ๋องยกแก้วสุราขึ้น“พระบารมีของฝ่าบาททรงคุ้มครองแคว้นหนานฉี ผืนแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ผู้คนมากความสามารถ”“เชื่อว่าอีกไม่นานแคว้นหนานฉีจะต้องปรากฏแม่ทัพหญิง ขยายอาณาเขตเพื่อแคว้นหนานฉีของเราให้เป็นมหาอำนาจแห่งจงหยวน[1] พ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้ยกจอกสุราขึ้น ทำท่าชนจอกกับรุ่ยอ๋องกลางอากาศโหม่ง!เสียงฆ้องดังกังวาน การแข่งขันได้เริ่มต้นขึ้นแล้วสมาชิกของสอง
กองทัพแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง อาศัยว่ามีปืนมังกรไฟ แผดเสียงเกรี้ยวกราด “เร่งเปิดประตูเมือง หาไม่แล้ว อย่าหมายว่าผู้ใดจะรอดชีวิต!” เฉินจี๋ล่วงรู้ฤทธานุภาพของปืนมังกรไฟ เขอเสนอ “ฝ่าบาท ถอยทัพก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” คาดว่าฮองเฮาก็มิปรารถนาให้ฝ่าบาทตกอยู่ในอันตราย สายตาเซียวอวี้ล้ำลึก ดวงตาฉายแววเยืยกเย็น “สั่งให้ทหารทั้งหมดล่าถอยออกไปยี่สิบลี้ก่อน” ฤทธานุภาพแห่งปืนมังกรไฟ มิใช่อันที่มนุษย์จะสามารถต้านรับได้ ดังนั้น จึงไม่อาจเผชิญหน้าตรง ๆ …… ณ ชายแดนด้านตะวันตกแคว้นหนานฉี ฝนพรำไม่ขาดสายหลายวันติดกัน จนแผ่นดินชุ่มโชกเป็นโคลนเหลว ปืนมังกรไฟมีน้ำหนักมาก ล้อรถจมลึกลงพื้นดิน หนึ่งแรงคนมิอาจเข็นขยับได้โดยง่าย ครั้นข่าวล่วงรู้ถึงหูหนานซานอ๋อง เขาถึงโกรธทั้งร้อนใจ “ในยามสำคัญ เหตุใดถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้!” ฮ่องเต้ยังอยู่ในแคว้นซีหนี่ว์ หากแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งบุกโจมตี ใครจะรับรองความปลอดภัยของฝ่าบาท! “ท่านอ๋อง ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะสายฝน...” “อย่าพูดไร้สาระ เร่งหาไม้กระดาน หาก้อนหิน เร่งขนส่งปืนมังกรไฟไปยังแคว้นซีหนี่ว์ให้ได้โดยเร็ว!” หนานซานอ
แม่ทัพแคว้นเจิ้งหาได้โง่เขลา เขารู้แจ้งแก่ใจว่าจุดประสงค์ของเป่ยเยี่ยนคืออะไร จึงกลับคำข่มขู่ราชทูตเป่ยเยี่ยน “หากไม่มีปืนมังกรไฟ พวกเราอย่างมากก็เพียงพ่ายศึกและยอมจำนน หรือไม่ก็รู้ว่ามิอาจต่อสู้การร่วมมือระหว่างกองทัพแคว้นซีหนี่ว์กับแคว้นหนานฉี ก็เพียงถอนทัพกลับเสียก็พอ “ทว่า สถานการณ์ของเป่ยเยี่ยน หาใช่ง่ายดายเช่นนี้ไม่ “แคว้นหนานฉีชนะศึกกับทั่วแว่นแคว้น กำลังอิทธิพลเพิ่มพูน ตอนนี้แคว้นซีหนี่ว์กับแคว้นหนานฉีเชื่อมสัมพันธ์กัน พันธไมตรีแน่นแฟ้นมิอาจทำลาย “หากแคว้นหนานฉีกลืนกินแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้แล้วไซร้ ทั่วทั้งแดนตะวันตกย่อมตกอยู่ในอำนาจแห่งแคว้นหนานฉี ครานั้นเป่ยเยี่ยนจักสูญเสียพันธมิตรทางใต้และทางตะวันตก กลายเป็นโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง!” สายตาราชทูตเป่ยเยี่ยนฉายแววบูดบึ้ง แม่ทัพคนนี้ที่เชี่ยวชาญเพียงการศึก กลับมีสติปัญญาอยู่บ้าง แม่ทัพแคว้นเจิ้งเห็นราชทูตจนถ้อยคำ จึงพูดต่อถึงข้อดีข้อเสีย “ราชทูตนำความทูลฮ่องเต้เป่ยเยี่ยน รีบยืมปืนมังกรไฟมาโดยไว เช่นนี้ยังมีโอกาสสังหารฮ่องเต้ฉีได้ หากแคว้นหนานฉีวุ่นวาย เป่ยเยี่ยนจึงจักมีโอกาสโต้กลับแคว้นหนานฉี ช่วง
ราชทูตเป่ยเยี่ยนเตรียมการมาก่อนล่วงหน้าก่อนหน้านั้นแต่ละแคว้นล้อมโจมตีแคว้นหนานฉี มิคาดคิดว่าแคว้นซีหนี่ว์ทรยศพันธมิตร ละทิ้งสัตยาบัน แปรพักตร์กลางสมรภูมิ หันมาร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับแคว้นหนานฉียามนี้แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งมุ่งหมายโจมตีแคว้นซีหนี่ว์ เป่ยเยี่ยนย่อมสนับสนุนสุดกำลังมิอาจสั่นคลอนแคว้นหนานฉี ทว่าแคว้นซีหนี่ว์เพียงแคว้นเดียว ย่อมมิใช่เรื่องยากเมื่อแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งล่วงรู้เจตนารมณ์ของราชทูตเป่ยเยี่ยน ก็บังเกิดความปลื้มปีติเป็นล้นพ้นพวกเขาถามอย่างตื่นเต้น“ฮ่องเต้เยี่ยนยินดีให้ยืม ‘ปืนมังกรไฟ’ จริง ๆ หรือ?”ยามนี้พวกเขาโจมตีเมืองอย่างยากลำบาก หากได้ปืนมังกรไฟมาหนุนเสริม ศึกครั้งนี้ย่อมดุจดั่งพยัคฆ์ติดปีก!เพียงแต่ได้ยินมาว่า ปืนมังกรไฟนั้นเป็นอาวุธลับแห่งเป่ยเยี่ยน เป่ยเยี่ยนจะยอมให้ยืมจริง ๆ หรือ?พวกเขาอดสงสัยไม่ได้ราชทูตเป่ยเยี่ยนยิ้มแย้ม พลางหยิบสัญญาฉบับหนึ่งออกมาเห็นดังนี้ เหล่าขุนพลแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งต่างจ้องมองหน้ากันด้วยความฉงนใจจากนั้นราชทูตก็พูดอธิบาย“เป่ยเยี่ยนกับสองแคว้นเป็นพันธมิตรต่อกัน บัดนี้สงครามปะทุ เป่ยเยี่ยนย่
หลังจากส่งฮ่องเต้ไปไกลเป็นพันลี้ กองทัพเดินทางออกไปแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยืนอยู่นานก็ไม่ยอมจากไปอู๋ไป๋เอ่ยเตือนเบา ๆ“ประมุขแคว้น ควรเสด็จกลับวังได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงได้ดึงสายตากลับมาในพระราชวังเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ง่ายที่จะมีเวลาว่าง นายหญิงเฟิ่งจึงมาขอเข้าพบช่วงหลายวันมานี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนเพิ่งจะทำหน้าที่ประมุขแคว้น จึงยุ่งจนไม่มีเวลาจะแยกร่างไปทำสิ่งใด แม้แต่เวลาที่จะนั่งคุยกับมารดาก็ยังไม่มีนายหญิงเฟิ่งเข้าใจเป็นอย่างดี และไม่มารบกวนนางจนกระทั่งวันนี้ ที่กองทัพออกเดินทาง นายหญิงเฟิ่งถึงได้มาพบนางคนอื่นอาจไม่รู้ ทว่านายหญิงเฟิ่งกลับจำได้ว่า คนโปรดคนใหม่ของประมุขแคว้นที่สวมหน้ากากผู้นั้น ก็คือฮ่องเต้หนานฉีนายหญิงเฟิ่งไม่คาดคิดว่า ฮ่องเต้จะทรงเสด็จตามจิ่วเหยียนมาแคว้นซีหนี่ว์ อีกทั้งยังออกรบเพื่อแคว้นซีหนี่ว์ นี่เป็นเรื่องที่หนึ่งอีกเรื่องหนึ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือ จิ่วเหยียนของนาง ในที่สุดก็ตั้งครรภ์แล้วนายหญิงเฟิ่งมองพินิจจิ่วเหยียนด้วยดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ โดยเฉพาะส่วนท้องที่นูนขึ้นมา พลางสะอื้นอยู่หลายครั้ง“ในเมื่อตั้งครรภ์แล้ว
ก่อนอาหารมื้อค่ำ เซียวอวี้กลับมาถึงวังหลวงตรงตามเวลาเขายังนำผลไม้อบแห้งที่เฟิ่งจิ่วเหยียนชอบกินมาด้วยถึงแม้ใบหน้าเขาจะแสดงออกอย่างเรียบเฉย เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับรับรู้ได้ถึงความขุ่นเคืองใจที่ข่มไว้ของเขายังมี กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ ที่อยู่บนตัวเขาด้วยอาหารมื้อค่ำถูกจัดวางบนโต๊ะแล้ว ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน และมีข้าหลวงคอยรับใช้ เพื่อคอยตักอาหารให้พวกเขาเฟิ่งจิ่วเหยียนให้ข้าหลวงออกไปก่อน และถามเซียวอวี้ตามตรง“วันนี้ไปตรวจเยี่ยมค่ายทหาร ไม่ราบรื่นหรือเพคะ?”เซียวอวี้ปากหนักไม่ยอมรับ พร้อมกับเปิดห่อผลไม้ให้นาง“อ่านฎีกาจบแล้วหรือ?” เขาถามโดยเปลี่ยนเรื่องเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นเขาไม่อยากเอ่ยถึงอีก จึงไม่ถามต่อจากที่เขาถาม นางยิ้มอ่อน ๆ“ฎีกาไม่มีวันอ่านจบ ของวันนี้อ่านจบ ก็ยังมีของพรุ่งนี้อีก”เซียวอวี้ก็ยิ้มเช่นกัน พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้านาง แววตาดูอ่อนโยนสงบนิ่ง“หากเป็นฮ่องเต้ทรราช ก็คงไม่ต้องเหนื่อยเช่นนี้”หลังมื้อค่ำเฟิ่งจิ่วเหยียนอ้างว่าจะไปห้องทรงพระอักษรเพื่ออ่านฎีกาต่อ แท้จริงแล้วกลับให้อู๋ไป๋ไปที่ค่ายทหาร เพื่อสืบดูว่า วันนี้เซียวอวี้พบปัญหาใดอู๋ไป๋กลับหลักแหลม
ตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นประมุขแคว้น หากเซียวอวี้ต้องการจะพบนาง ก็ต้องรอให้คนไปกราบทูลก่อนสิ่งนี้ทำให้เขาไม่คุ้นเคยอย่างยิ่งทว่า กฎก็คือกฎที่หนานฉี แม้ว่าจิ่วเหยียนจะสูงส่งเป็นถึงฮองเฮา หากต้องการจะเข้าไปในห้องทรงพระอักษร ก็ยังไม่อาจทำได้ตามใจชอบ“จะออกเดินทางเมื่อใด?” บนบัลลังก์มังกร คำถามของเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ถามขึ้นกะทันหัน ขัดจังหวะความคิดของเซียวอวี้ เซียวอวี้เงยหน้าขึ้นมองนาง ถึงแม้ในตำหนักจะไม่มีคนนอก เขายังคงรู้สีกว่า ระหว่างตนเองกับจิ่วเหยียน ราวกับมีบางอย่างคั่นกลางอยู่บางที นั่นอาจจะเป็นช่องว่างทางสถานะผู้ที่เป็นกษัตริย์ แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูง ต่อให้ใกล้ชิดดั่งคนที่นอนร่วมหมอน ก็ไม่อาจก้าวข้ามช่องว่างนี้ได้ไม่น่าแปลกใจที่ก่อนหน้านี้จิ่วเหยียนก็ยกเรื่องนี้มาเป็นอุปสรรค ไม่ยอมเป็นฮองเฮาของเขาเซียวอวี้พยายามทำให้ตนเองกลับมามีสภาพจิตใจที่เป็นปกติตามเดิม“เสบียงถูกส่งไปก่อนแล้ว วันนี้เราจะไปตรวจเยี่ยมค่ายทหาร หากราบรื่น พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทาง”เฟิ่งจิ่วเหยียนด้านหนึ่งก็ฟังเขาพูด อีกด้านหนึ่งก็อ่านฎีกานางทำหลายอย่างพร้อมกัน ช่างดูยุ่งเหลือเกิน
นอกชายแดนแคว้นซีหนี่ว์ แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้ส่งกองกำลังออกรบแล้ว กองทัพมืดฟ้ามัวดิน เห็นได้ชัดว่าเป็นสงครามที่เดิมพันด้วยความอยู่รอดและล่มสลายของทั้งสองแคว้นก่อนเคลื่อนทัพ แม่ทัพใหญ่ตรวจสอบความพร้อมของทหาร เพื่อสร้างความฮึกเหิม“ทหารทุกคน! วันนี้จะเป็นวันที่จะลบล้างความอัปยศ! หากไม่อยากตกเป็นทาสของแคว้นล่มสลาย และไม่อยากถูกสตรีบัญชาการ ก็จงต่อสู้สุดชีวิต! ทำลายชายแดนของแคว้นซีหนี่ว์ เคลื่อนกำลังเข้าไป จนเข้าไปถึงเมืองหลวง และจับตัวประมุขแคว้นของพวกนางมา!”ทั้งสามกองทัพเปล่งเสียงขานรับโดยพร้อมเพรียง“ลบล้างความอัปยศ! จับตัวประมุขแคว้นซีหนี่ว์!”ทันใดนั้น ทหารสอดแนมก็มารายงาน“ท่านแม่ทัพ พบกองทัพของแคว้นซีหนี่ว์ นำทัพโดยหูย่วนเอ๋อร์!”หูย่วนเอ๋อร์เป็นหนึ่งในแม่ทัพผู้องอาจของแคว้นซีหนี่ว์ และยังเป็นแม่ทัพคู่ใจของอดีตประมุขแคว้นซีหนี่ว์ด้วยก่อนหน้านี้ได้ยินสายลับมารายงานว่า ประมุขแคว้นคนปัจจุบันไม่ชอบหูย่วนเอ๋อร์ และจับนางไปคุมขังไว้ในคุกเหตุใดคนผู้นี้ถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่ชายแดน?หรือว่าข่าวจากสายลับจะผิดพลาด?แม่ทัพใหญ่ของทั้งสองแคว้นถามด้วยความสงสัย“หรืออาจจะเป็น
กลุ่มขุนนางที่ถูกจับกุม แต่ละคนบ้างก็ตกใจ บ้างก็โกรธแค้น บ้างก็คุกเข่าร้องขอชีวิตทันที“เฟิ่งจิ่วเหยียน! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาจับหม่อมฉัน! หม่อมฉันคือขุนนางอาวุโสสามสมัย!”“หม่อมฉันไม่ได้คิดจะก่อกบฏ...ประมุขแคว้น พวกเขาจะต้องจับคนผิดอย่างแน่นอน!”“ประมุขแคว้นโปรดไว้ชีวิต โปรดไว้ชีวิตด้วย! หม่อมฉันเลอะเลือนไปชั่วขณะ หม่อมฉันไม่กล้าอีกแล้ว!”ขุนนางคนอื่นถอยห่าง แทบไม่อยากเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่ถูกจับโอวหยางเหลียนก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เอ่ยต่อเฟิ่งจิ่วเหยียน“ประมุขแคว้น ตั้งแต่อดีต ขุนนางที่ก่อกบฏทรยศแผ่นดินมีความผิดสมควรตาย หม่อมฉันคิดว่า ควรรีบประหารชีวิตพวกเขาทันที ไม่อาจให้ความเมตตาได้!”โอวหยางเหลียนอายุมากแล้ว ทว่านางทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเด็ดขาดชัดเจนเฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่ใช่คนใจอ่อนเช่นกันนางเพิ่งจะเป็นประมุขแคว้น แต่ก็รู้ว่า ความวุ่นวายภายในแคว้นซีหนี่ว์ ล้วนเกิดจากคนที่ไม่จงรักภักดีเหล่านี้หากไม่สังหาร ก็ไม่เพียงพอที่จะยุติความวุ่นวายภายในได้หากไม่สังหาร ก็ไม่เพียงพอที่จะเตือนใจให้กับคนอื่นได้เฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งให้ข้าหลวงอ่านความผิดของคนเหล่านี้ อ่านจบทีละคน ก็สังหารท
จันทร์เสี้ยวลอยลงต่ำ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงณ พระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ในที่ประชุมเช้า เหล่าขุนนางมองไปยังคนที่อยู่บนบัลลังก์มังกร ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย และความประหลาดใจขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยถามอย่างใจกล้า“คนที่นั่งอยู่บนนั้น เจ้าเป็นใคร! แล้วประมุขแคว้นอยู่ที่ใด!”คนที่อยู่ด้านบน ถึงแม้หน้าตาจะคล้ายกับประมุขแคว้น ทว่าส่วนท้องนูนออกมา เห็นชัดว่าเป็นลักษณะของการตั้งครรภ์ คนผู้นี้กับประมุขแคว้นเมื่อหลายวันก่อนผู้นั้น ไม่ใช่คนเดียวกันโดยสิ้นเชิงความแตกต่างที่เห็นชัดเช่นนี้ ขอเพียงไม่ใช่คนตาบอด ก็มองออกชัดเจนหลังจากมีคนหนึ่งออกหน้า คนอื่น ๆ ก็พากันเกิดความสงสัยตามมา“รีบบอกมา เจ้าเป็นใครกันแน่!”“เจ้าคนชั่วอาจหาญ กล้าสวมรอยเป็นประมุขแคว้น ยังไม่รีบลงมาอีก!”“ประมุขแคว้นเล่า? ทหารรักษาพระองค์อยู่ที่ใด รีบไปตามหาประมุขแคว้น!”ในราชสำนักเริ่มเกิดความวุ่นวายก่อนหน้านี้หูย่วนเอ๋อร์ก็ถูก “ขัง” อยู่ในคุก มิได้เข้าร่วมประชุมเช้าของวันนี้ จึงมีเพียงโอวหยางเหลียนเท่านั้นที่รู้ความจริงในที่นี้โอวหยางเหลียนยืนอยู่ตรงนั้น โดยไม่เอ่ยสิ่งใดจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่บนบัลลังก์มังกรก