กุ้ยเฟยมองไปยังทางเข้า แต่กลับไม่เห็นขบวนเสด็จขันทีผู้นั้นมีเหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก“พระนาง หลิวกงกงกล่าวว่า ฝ่าบาท…ฝ่าบาททรงเหนื่อยล้ามาทั้งวัน จึงเข้าบรรทมตั้งแต่หัววันแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทั้งมีกระแสรับสั่งว่า ห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนเด็ดขาด”ชุนเหอนิ่งอึ้ง“เจ้าเลอะเลือนหรือไง นี่ยังพูดไม่ชัดอีกหรือ พระนางกำลังจะถูกโบยนะ!”พระนางเป็นถึงแก้วตาดวงใจของฝ่าบาท ไม่มีทางรวมอยู่ใน “ผู้ใด” ที่ว่านั้นแน่!สีหน้าของกุ้ยเฟยก่อเกิดไอเย็น สายตาที่มองมาทางขันที แฝงไปด้วยไอสังหารเศษสวะไร้ประโยชน์!ในเวลาสำคัญเช่นนี้ ขนาดเชิญเสด็จฝ่าบาทมาก็ยังไม่ได้อีกข้าหลวงผู้คุมโทษมองหน้ากันไปมา จากนั้นก็ลุกขึ้นมาพูด“กุ้ยเฟย ต้องขอล่วงเกินแล้ว!”พวกเขาเตรียมเข้ามาจับตัว ชุนเหอพลันตะโกนเสียงดัง“สามหาว! พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร!”……ผ่านไปครึ่งชั่วยามกุ้ยเฟยก็เอนพิงแท่นบรรทมอย่าง “อ่อนแรง”เมื่อเห็นชุนเหอเปิดม่านมุ้งเข้ามา นางก็รีบถามทันที“ฝ่าบาทล่ะ? เขามาไหม?”ชุนเหอกัดริมฝีปาก แล้วส่ายหน้า“ทางตำหนักจื้อเฉิน หลิวกงกงเองก็ยังไม่สามารถเข้าไปกราบทูลได้เลยเพคะ” “พระนาง บางทีฝ่าบาทอาจจะทรงเหนื
กุ้ยเฟยมีท่วงท่าสง่างามเด็ดเดี่ยว แตกต่างจากท่าทางอ่อนแอตอนที่อยู่กับฮ่องเต้ ยามอยู่ต่อหน้าฮองเฮา แววตาก็แฝงไปด้วยแววยั่วยุ่“ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ที่หม่อมฉันมาสาย“เป็นเพราะฝ่าบาทเป็นห่วงหม่อมฉัน จึงกำชับอยู่นาน กว่าจะยอมปล่อยหม่อมฉันมา”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา ไร้แววไหวหวั่น“ฝากทูลฝ่าบาทด้วย เขาไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลกุ้ยเฟยเป็นอย่างดี”นางย้ำคำว่า “ดูแล” เสียงหนักแต่กุ้ยเฟยหาได้กลัวไม่ ซ้ำยังป้องปากหัวเราะ เสียงใสดั่งกระดิ่งเงิน“คงไม่ใช่ว่าฮองเฮาลืมไปแล้วหรอกกระมัง? เมื่อเช้าฝ่าบาทยังตรัสอยู่เลย ว่าท่านต้องใช้คุณธรรมชนะใจคน ไม่ควรเอะอะอะไรก็จะลงโทษคนอื่นอยู่นั่น”ต่อมา นางก็เดินเฉียดผ่านไป นั่งลงในกระโจมที่พัก รอบด้านมีแต่คนเข้ามาปรนนิบัติรับใช้นางเหล่านางสนมเห็นการกระทำของกุ้ยเฟย นางทำเช่นไร พวกนางเองก็ทำเช่นนั้นฮองเฮาแค่ให้พวกนางมาฝึกที่สนามม้าหลวง ไม่ได้บอกว่าพวกนางต้องฝึกไปถึงขั้นไหนเสียหน่อยดังนั้นแต่ละคนจึงเริ่มแอบอู้ เหลียนซวงเห็นแบบนั้นก็โมโหอย่างมาก“พระนาง พวกนางไม่เหมือนมาขี่ม้าเลย มีแต่แอบอู้ทั้งนั้น!”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา มอง
ฝั่งตะวันออกของสนามม้าหลวง ฮ่องเต้และรุ่ยอ๋องยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับเพิ่งมาถึงเมื่อครู่เสียนเฟยรีบเตือนให้นางสนมเจียเข้าไปทำความเคารพเมื่อทั้งสองคนเดินมาหยุดตรงหน้าฮ่องเต้ น้ำเสียงก็เบาหวิวดุจเมฆ “ถวายบังคมฝ่าบาท”รุ่ยอ๋องเองก็โค้งคำนับให้ทั้งสองคน “กระหม่อมขอคารวะพระนางทั้งสอง”นัยน์ตาของเขามักจะแฝงไปด้วยแววอบอุ่นเจือรอยยิ้ม มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนนิสัยดีเซียวอวี้ละสายตาจากทิศทางที่ฮองเฮาขี่ม้าออกไป ทอดมองมายังทั้งสองคน“ไม่ต้องพิธีรีตองมาก”เสียนเฟยถอยไปอยู่หลังเขาอย่างสงบเสงี่ยมส่วนนางสนมเจียรีบคว้าโอกาสที่นาน ๆ ทีจะมีครั้งไว้อย่างตื่นเต้น“ฝ่าบาท ท่านเสด็จมาขี่ม้าหรือเพคะ?”เซียวอวี้ไม่ตอบนาง แต่เดินผ่านนางไปรุ่ยอ๋องรีบเดินตามไปทันที“พระนางทั้งสองผู้หนึ่งอ่อนหวานเรียบร้อย ผู้หนึ่งสดใสร่าเริง ฝ่าบาทช่างโชคดีเหลือเกิน”คิ้วของเซียวอวี้คมปลาบ “อิจฉาหรือ? เช่นนั้นพรุ่งนี้เราจะมอบหมายคู่หมั้นให้เจ้า”รุ่ยอ๋องประสานมือรับผิดด้วยรอยยิ้มทันที “กระหม่อมผิดไปแล้ว!”จากนั้น เขาก็เอ่ยถามอย่างจริงจัง“แต่ได้ยินมาว่าเหล่านางสนมในวังหลังต่างมาฝึกขี่ม้าที่นี่ แต่ทำไมกร
เมื่อเหล่านางสนมวิ่งออกไป ก็พบว่าฝ่าบาทเสด็จกลับไปตั้งนานแล้ว พวกนางรู้สึกเสียดายไม่น่าแอบอู้เลย ไม่อย่างนั้นก็คงได้เจอฝ่าบาทแล้วโอกาสที่พวกนางจะได้เจอฝ่าบาทมีอยู่น้อยยิ่งนักหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกลับแล้ว มีเพียงกุ้ยเฟยที่ยังอยู่ที่เดิมนางย่อมไม่จำเป็นต้องกระเหี้ยนกระหือรือเหมือนคนอื่น ตราบใดที่นางอยากเจอฝ่าบาท นางก็สามารถเจอได้ทุกเมื่อนางสนมเจียเก็บงำเอาไว้ไม่ได้ จึงนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวกับทุกคนอย่างอดรนทนรอไม่ไหวจากนั้นก็ถูกส่งต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งยังใส่สีตีไข่ พูดเสียจนฟังดูสวยหรูสำหรับนางสนมที่มีโอกาสน้อยนักในการได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท ต่างชวนให้รู้สึกอิจฉาแทนที่จะทนเปล่าเปลี่ยวอยู่ในตำหนัก สู้ออกมาเสี่ยงดวงที่สนามม้าหลวงยังจะดีกว่าวันต่อมา ยังไม่ถึงเวลาฝึก เหล่านางสนมก็มาที่สนามม้าหลวงกันแล้วทว่า หลังจากนั้นอีกหลายวัน ฝ่าบาทก็ไม่ได้เสด็จมาที่สนามม้าหลวงอีกเลยทุกคนต่างทอดถอนใจกันอีก“นางสนมเจียแค่โชคดี ผู้ใดสามารถรับรองได้ว่าพวกเราจะโชคดีได้เจอฝ่าบาทเช่นนั้น?”“นั่นสิ ใช่ว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาที่สนามม้าหลวงทุกวันเสียหน่อย ข้าว่าพวกเรากลับไปเล่นไพ่นกกระจอกเหมือนเดิมดี
ชุนเหอเป็นบ่าวคนสนิทของกุ้ยเฟย ทั้งยังฉลาดเป็นกรดนางคาดเดาว่า “ฮองเฮาต้องกลัวว่าหากท่านอยู่ที่สนามม้าหลวง แล้วฝ่าบาททรงเสด็จมา จะสนใจเพียงแต่ท่านผู้เดียว ไม่ชายตามองคนอื่นเป็นแน่เพคะ”กุ้ยเฟยลำพองใจ“ถึงข้าไม่ไป ในสายตาของฝ่าบาทก็ไม่มีพวกนางอยู่ดี”แต่ว่า หลายวันมานี้ต้องตื่นแต่เช้าไปที่สนามม้าหลวงทุกวัน นางค่อนข้างเหนื่อยล้าจริง ๆ หลายวันต่อมาเฟิ่งจิ่วเหยียนก็มาถามผู้ดูแลผู้ดูแลตอบเสียงเบา“พระนาง ระยะนี้มีคนฝึกกระบวนท่า “เกล็ดน้ำค้างโบยบินดั่งหิมะ” หลายคนเลยพ่ะย่ะค่ะ บ่าวเองก็ทำตามที่ท่านกำชับ คอยชี้แนะเพิ่มเติม ยามที่เหล่าสนมเจอท่ายาก ๆ “แต่มีเพียงสนมเจียเท่านั้นที่มีพรสวรรค์ สามารถเรียนรู้ได้ไว และขยันเรียนที่สุด แถมยังแอบเข้ามากลางดึกทุกคืนด้วย”เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าใจ จึงโบกมือให้เขาออกไปได้เหลียนซวงถามอย่างสงสัย“พระนาง สนมเจียจะกระตุ้นให้กุ้ยเฟยเปิดเผยทักษะขี่ม้าออกมาได้จริง ๆ หรือเพคะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้นิ้วหมุนลูกบอลโปโลเล่น ด้วยความคล่องแคล่ว“ทำสองสิ่งพร้อมกัน จำเป็นต้องใช้สิ่งของอีกอย่างนั่นคือ——ความระแวง” ……ยามราตรีโอบล้อมทุกสารทิศณ ตำหนักหลิงเซีย
บุรุษที่ประลองฝ่ามือกับเฟิ่งจิ่วเหยียนสวมใส่ชุดสีแดง ดูสถุนอย่างมากเขาถูกแรงฝ่ามือของเฟิ่งจิ่วเหยียนซัดจนต้องถอย เมื่อเห็นว่าตนกำลังจะเจ็บตัว ก็รีบตระโกน“เจ้าแซ่ซู! โคตรเหง้าบิดาเจ้าเถอะ! ทักทายแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องเอาจริงก็ได้กระมัง!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอียงคอเล็กน้อย“บิดาใคร?”เท้าของชายหนุ่มชุดแดงเสียดสีกับพื้น รีบขอร้องอ้อนวอนออกมา “ก็ได้ ๆ ๆ บิดาข้าเอง เจ้าคือบิดาของข้า!”เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงได้เก็บมือกลับมาจากนั้นก็สะบัดมือ ปิดประตูที่แง้มเปิดไว้ให้ปิดลงเฟิ่งจิ่วเหยียนกับพวกเขาล้วนเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่นางแกะเชือกบนตัวของซ่งหลี พร้อมดึงผ้าขี้ริ้วในปากของเขาออก พอไม่มีเชือกมาพันธการ ซ่งหลีก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “สหายซู ไม่ใช่ว่าข้าไม่เตือนเจ้า แต่เขากักขฬะมากเกินไป สะกดรอยตามข้ามาตลอดทาง แถมยังจับข้ามัดไว้”บุรุษชุดแดงนั่งลงบนขอบหน้าต่าง สายลมพัดผ่านมา จนปลิวผมไสว ทำให้เขาดูเหมือนคุณชายเจ้าสำราญคนอื่น ๆ คงไม่คาดคิดแน่ ว่าเขาคือบุตรชายของเศรษฐีแนวหน้า——เจียงหลินเจียงหลินใช้มือทัดปรอยผม แล้วพร่ำบ่นออกมา“ว่าข้ากักขฬะหรือ? ซูฮ่วน เจ้านั่นแหละที่ไร้เหตุผล“หายไปต
ยามปกติเซียวอวี้โปรดปรานการไปสนามม้าหลวง แต่หากเป็นการไปทอดพระเนตรเหล่านางสนมทำการแสดง เขาหาได้สนใจไม่ทว่าไทเฮากลับมาเชิญเขาด้วยพระองค์เองเสียนี่“ฝ่าบาทราชกิจรัดตัว เดิมข้าไม่สมควรมารบกวน”“แต่ช่วงนี้ในราชสำนักมีข่าวลือหนาหูว่าพวกเราแม่ลูกหมางใจกัน เพื่อความมั่นคงของราชสำนักและวังหลังแล้วต้องทำอะไรเสียหน่อย”“วันนี้ก็ถือโอกาสเดินเล่นเป็นเพื่อนข้า ดีหรือไม่?”......ณ สนามม้าหลวงไทเฮาเหลือบมองนางสนมหลายนางที่ขี่ม้าอยู่ก็แย้มพระโอษฐ์ไม่หยุดพวกนางยอมทุ่มเทขนาดนี้เพื่อที่จะได้รับความโปรดปราน ลำบากพวกนางแล้ว“ฮ่องเต้ ท่านเชี่ยวชาญทักษะการขี่ม้า ลองทอดพระเนตรพวกนางดูว่ามีจุดไหนไม่เหมาะสมหรือไม่?”สีหน้าเซียวอวี้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ทอดมองไปยังเงาร่างของฮองเฮาที่กำลังจูงม้าเดินเข้ามาอยู่ไม่ไกล“หัวมังกุท้ายมังกร [1]”สีหน้าไทเฮาแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อยฮ่องเต้ทรงไร้อารมณ์เช่นนี้ เกรงว่านางสนมเหล่านี้จะต้องผิดหวังอีกแล้วน่าเสียดายน้ำใจนี้ของฮองเฮานักเฟิ่งจิ่วเหยียนส่งม้าให้กับผู้ดูแล แล้วเดินไปเบื้องหน้าของไทเฮาและฮ่องเต้“หม่อมฉันคารวะเสด็จแม่และฝ่าบาทเพคะ”สายตาไทเฮาเปี
กุ้ยเฟยดูราวกับเป็นพวกถ้ำมอง ดวงตาดำมืดฉายแววบ้าคลั่งก่อนหน้านี้ไม่ว่านางจะได้ยินข่าวลือมากแค่ไหน ไม่ว่าฝ่าบาทจะไม่มาที่ตำหลักหลิงเซียวกี่วัน นางก็ยังเชื่อมั่นว่าฝ่าบาทไม่มีทางชายตามองนางสนมเจียเป็นแน่นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่นางต้องมาเห็นนางสนมเจียทำตัวจนโดดเด่น เห็นนางสนมเจียถูกฝ่าบาทเรียกตัว...กุ้ยเฟยยืนอยู่ในเงามืด สองมือกำแน่น ใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งกับคนที่ไม่พึงใจแล้ว ฝ่าบาทไม่มีทางแสร้งพูดจาดีด้วยเขาจะเดินจากไป ไม่ก็สั่งให้นางสนมเจียออกไปแต่ผ่านไปพักหนึ่งแล้ว นางสนมเจียยังอยู่ตรงนั้นอยู่เลย...“พระสนมเพคะ ข้างนอกลมแรงนัก เรากลับตำหนักหลิงเซียวกันดีหรือไม่เพคะ?” ชุนเหอเสนอเสียงเบาพระสนมอารมณ์ไม่ดีแล้วหากยังอยู่ต่อไป เกรงว่าจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่กุ้ยเฟยถามอย่างอยากเอาชนะ“นางสนมเจียขี่ม้าแบบนี้แล้วเหมือนหรงเฟยมากหรือไร!”ชุนเหอกล้าตอบเสียที่ไหน“นางสนมเจียเป็นแต่พูดเอาอกเอาใจ เทียบไม่ได้กับพระสนมที่งดงามทุกย่างก้าว หาใครเทียบเทียมมิได้”ยามนี้กุ้ยเฟยอยากฟังแต่ความจริงเท่านั้น“บอกข้ามาตามจริงซะ!”ก่อนที่ชุนเหอจะมารับใช้กุ้ยเฟย นางเคยเป็นคนรับใช้ในวังมาก่อ
กองทัพแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง อาศัยว่ามีปืนมังกรไฟ แผดเสียงเกรี้ยวกราด “เร่งเปิดประตูเมือง หาไม่แล้ว อย่าหมายว่าผู้ใดจะรอดชีวิต!” เฉินจี๋ล่วงรู้ฤทธานุภาพของปืนมังกรไฟ เขอเสนอ “ฝ่าบาท ถอยทัพก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” คาดว่าฮองเฮาก็มิปรารถนาให้ฝ่าบาทตกอยู่ในอันตราย สายตาเซียวอวี้ล้ำลึก ดวงตาฉายแววเยืยกเย็น “สั่งให้ทหารทั้งหมดล่าถอยออกไปยี่สิบลี้ก่อน” ฤทธานุภาพแห่งปืนมังกรไฟ มิใช่อันที่มนุษย์จะสามารถต้านรับได้ ดังนั้น จึงไม่อาจเผชิญหน้าตรง ๆ …… ณ ชายแดนด้านตะวันตกแคว้นหนานฉี ฝนพรำไม่ขาดสายหลายวันติดกัน จนแผ่นดินชุ่มโชกเป็นโคลนเหลว ปืนมังกรไฟมีน้ำหนักมาก ล้อรถจมลึกลงพื้นดิน หนึ่งแรงคนมิอาจเข็นขยับได้โดยง่าย ครั้นข่าวล่วงรู้ถึงหูหนานซานอ๋อง เขาถึงโกรธทั้งร้อนใจ “ในยามสำคัญ เหตุใดถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้!” ฮ่องเต้ยังอยู่ในแคว้นซีหนี่ว์ หากแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งบุกโจมตี ใครจะรับรองความปลอดภัยของฝ่าบาท! “ท่านอ๋อง ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะสายฝน...” “อย่าพูดไร้สาระ เร่งหาไม้กระดาน หาก้อนหิน เร่งขนส่งปืนมังกรไฟไปยังแคว้นซีหนี่ว์ให้ได้โดยเร็ว!” หนานซานอ
แม่ทัพแคว้นเจิ้งหาได้โง่เขลา เขารู้แจ้งแก่ใจว่าจุดประสงค์ของเป่ยเยี่ยนคืออะไร จึงกลับคำข่มขู่ราชทูตเป่ยเยี่ยน “หากไม่มีปืนมังกรไฟ พวกเราอย่างมากก็เพียงพ่ายศึกและยอมจำนน หรือไม่ก็รู้ว่ามิอาจต่อสู้การร่วมมือระหว่างกองทัพแคว้นซีหนี่ว์กับแคว้นหนานฉี ก็เพียงถอนทัพกลับเสียก็พอ “ทว่า สถานการณ์ของเป่ยเยี่ยน หาใช่ง่ายดายเช่นนี้ไม่ “แคว้นหนานฉีชนะศึกกับทั่วแว่นแคว้น กำลังอิทธิพลเพิ่มพูน ตอนนี้แคว้นซีหนี่ว์กับแคว้นหนานฉีเชื่อมสัมพันธ์กัน พันธไมตรีแน่นแฟ้นมิอาจทำลาย “หากแคว้นหนานฉีกลืนกินแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้แล้วไซร้ ทั่วทั้งแดนตะวันตกย่อมตกอยู่ในอำนาจแห่งแคว้นหนานฉี ครานั้นเป่ยเยี่ยนจักสูญเสียพันธมิตรทางใต้และทางตะวันตก กลายเป็นโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง!” สายตาราชทูตเป่ยเยี่ยนฉายแววบูดบึ้ง แม่ทัพคนนี้ที่เชี่ยวชาญเพียงการศึก กลับมีสติปัญญาอยู่บ้าง แม่ทัพแคว้นเจิ้งเห็นราชทูตจนถ้อยคำ จึงพูดต่อถึงข้อดีข้อเสีย “ราชทูตนำความทูลฮ่องเต้เป่ยเยี่ยน รีบยืมปืนมังกรไฟมาโดยไว เช่นนี้ยังมีโอกาสสังหารฮ่องเต้ฉีได้ หากแคว้นหนานฉีวุ่นวาย เป่ยเยี่ยนจึงจักมีโอกาสโต้กลับแคว้นหนานฉี ช่วง
ราชทูตเป่ยเยี่ยนเตรียมการมาก่อนล่วงหน้าก่อนหน้านั้นแต่ละแคว้นล้อมโจมตีแคว้นหนานฉี มิคาดคิดว่าแคว้นซีหนี่ว์ทรยศพันธมิตร ละทิ้งสัตยาบัน แปรพักตร์กลางสมรภูมิ หันมาร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับแคว้นหนานฉียามนี้แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งมุ่งหมายโจมตีแคว้นซีหนี่ว์ เป่ยเยี่ยนย่อมสนับสนุนสุดกำลังมิอาจสั่นคลอนแคว้นหนานฉี ทว่าแคว้นซีหนี่ว์เพียงแคว้นเดียว ย่อมมิใช่เรื่องยากเมื่อแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งล่วงรู้เจตนารมณ์ของราชทูตเป่ยเยี่ยน ก็บังเกิดความปลื้มปีติเป็นล้นพ้นพวกเขาถามอย่างตื่นเต้น“ฮ่องเต้เยี่ยนยินดีให้ยืม ‘ปืนมังกรไฟ’ จริง ๆ หรือ?”ยามนี้พวกเขาโจมตีเมืองอย่างยากลำบาก หากได้ปืนมังกรไฟมาหนุนเสริม ศึกครั้งนี้ย่อมดุจดั่งพยัคฆ์ติดปีก!เพียงแต่ได้ยินมาว่า ปืนมังกรไฟนั้นเป็นอาวุธลับแห่งเป่ยเยี่ยน เป่ยเยี่ยนจะยอมให้ยืมจริง ๆ หรือ?พวกเขาอดสงสัยไม่ได้ราชทูตเป่ยเยี่ยนยิ้มแย้ม พลางหยิบสัญญาฉบับหนึ่งออกมาเห็นดังนี้ เหล่าขุนพลแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งต่างจ้องมองหน้ากันด้วยความฉงนใจจากนั้นราชทูตก็พูดอธิบาย“เป่ยเยี่ยนกับสองแคว้นเป็นพันธมิตรต่อกัน บัดนี้สงครามปะทุ เป่ยเยี่ยนย่
หลังจากส่งฮ่องเต้ไปไกลเป็นพันลี้ กองทัพเดินทางออกไปแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยืนอยู่นานก็ไม่ยอมจากไปอู๋ไป๋เอ่ยเตือนเบา ๆ“ประมุขแคว้น ควรเสด็จกลับวังได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงได้ดึงสายตากลับมาในพระราชวังเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ง่ายที่จะมีเวลาว่าง นายหญิงเฟิ่งจึงมาขอเข้าพบช่วงหลายวันมานี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนเพิ่งจะทำหน้าที่ประมุขแคว้น จึงยุ่งจนไม่มีเวลาจะแยกร่างไปทำสิ่งใด แม้แต่เวลาที่จะนั่งคุยกับมารดาก็ยังไม่มีนายหญิงเฟิ่งเข้าใจเป็นอย่างดี และไม่มารบกวนนางจนกระทั่งวันนี้ ที่กองทัพออกเดินทาง นายหญิงเฟิ่งถึงได้มาพบนางคนอื่นอาจไม่รู้ ทว่านายหญิงเฟิ่งกลับจำได้ว่า คนโปรดคนใหม่ของประมุขแคว้นที่สวมหน้ากากผู้นั้น ก็คือฮ่องเต้หนานฉีนายหญิงเฟิ่งไม่คาดคิดว่า ฮ่องเต้จะทรงเสด็จตามจิ่วเหยียนมาแคว้นซีหนี่ว์ อีกทั้งยังออกรบเพื่อแคว้นซีหนี่ว์ นี่เป็นเรื่องที่หนึ่งอีกเรื่องหนึ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือ จิ่วเหยียนของนาง ในที่สุดก็ตั้งครรภ์แล้วนายหญิงเฟิ่งมองพินิจจิ่วเหยียนด้วยดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ โดยเฉพาะส่วนท้องที่นูนขึ้นมา พลางสะอื้นอยู่หลายครั้ง“ในเมื่อตั้งครรภ์แล้ว
ก่อนอาหารมื้อค่ำ เซียวอวี้กลับมาถึงวังหลวงตรงตามเวลาเขายังนำผลไม้อบแห้งที่เฟิ่งจิ่วเหยียนชอบกินมาด้วยถึงแม้ใบหน้าเขาจะแสดงออกอย่างเรียบเฉย เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับรับรู้ได้ถึงความขุ่นเคืองใจที่ข่มไว้ของเขายังมี กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ ที่อยู่บนตัวเขาด้วยอาหารมื้อค่ำถูกจัดวางบนโต๊ะแล้ว ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน และมีข้าหลวงคอยรับใช้ เพื่อคอยตักอาหารให้พวกเขาเฟิ่งจิ่วเหยียนให้ข้าหลวงออกไปก่อน และถามเซียวอวี้ตามตรง“วันนี้ไปตรวจเยี่ยมค่ายทหาร ไม่ราบรื่นหรือเพคะ?”เซียวอวี้ปากหนักไม่ยอมรับ พร้อมกับเปิดห่อผลไม้ให้นาง“อ่านฎีกาจบแล้วหรือ?” เขาถามโดยเปลี่ยนเรื่องเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นเขาไม่อยากเอ่ยถึงอีก จึงไม่ถามต่อจากที่เขาถาม นางยิ้มอ่อน ๆ“ฎีกาไม่มีวันอ่านจบ ของวันนี้อ่านจบ ก็ยังมีของพรุ่งนี้อีก”เซียวอวี้ก็ยิ้มเช่นกัน พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้านาง แววตาดูอ่อนโยนสงบนิ่ง“หากเป็นฮ่องเต้ทรราช ก็คงไม่ต้องเหนื่อยเช่นนี้”หลังมื้อค่ำเฟิ่งจิ่วเหยียนอ้างว่าจะไปห้องทรงพระอักษรเพื่ออ่านฎีกาต่อ แท้จริงแล้วกลับให้อู๋ไป๋ไปที่ค่ายทหาร เพื่อสืบดูว่า วันนี้เซียวอวี้พบปัญหาใดอู๋ไป๋กลับหลักแหลม
ตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นประมุขแคว้น หากเซียวอวี้ต้องการจะพบนาง ก็ต้องรอให้คนไปกราบทูลก่อนสิ่งนี้ทำให้เขาไม่คุ้นเคยอย่างยิ่งทว่า กฎก็คือกฎที่หนานฉี แม้ว่าจิ่วเหยียนจะสูงส่งเป็นถึงฮองเฮา หากต้องการจะเข้าไปในห้องทรงพระอักษร ก็ยังไม่อาจทำได้ตามใจชอบ“จะออกเดินทางเมื่อใด?” บนบัลลังก์มังกร คำถามของเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ถามขึ้นกะทันหัน ขัดจังหวะความคิดของเซียวอวี้ เซียวอวี้เงยหน้าขึ้นมองนาง ถึงแม้ในตำหนักจะไม่มีคนนอก เขายังคงรู้สีกว่า ระหว่างตนเองกับจิ่วเหยียน ราวกับมีบางอย่างคั่นกลางอยู่บางที นั่นอาจจะเป็นช่องว่างทางสถานะผู้ที่เป็นกษัตริย์ แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูง ต่อให้ใกล้ชิดดั่งคนที่นอนร่วมหมอน ก็ไม่อาจก้าวข้ามช่องว่างนี้ได้ไม่น่าแปลกใจที่ก่อนหน้านี้จิ่วเหยียนก็ยกเรื่องนี้มาเป็นอุปสรรค ไม่ยอมเป็นฮองเฮาของเขาเซียวอวี้พยายามทำให้ตนเองกลับมามีสภาพจิตใจที่เป็นปกติตามเดิม“เสบียงถูกส่งไปก่อนแล้ว วันนี้เราจะไปตรวจเยี่ยมค่ายทหาร หากราบรื่น พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทาง”เฟิ่งจิ่วเหยียนด้านหนึ่งก็ฟังเขาพูด อีกด้านหนึ่งก็อ่านฎีกานางทำหลายอย่างพร้อมกัน ช่างดูยุ่งเหลือเกิน
นอกชายแดนแคว้นซีหนี่ว์ แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้ส่งกองกำลังออกรบแล้ว กองทัพมืดฟ้ามัวดิน เห็นได้ชัดว่าเป็นสงครามที่เดิมพันด้วยความอยู่รอดและล่มสลายของทั้งสองแคว้นก่อนเคลื่อนทัพ แม่ทัพใหญ่ตรวจสอบความพร้อมของทหาร เพื่อสร้างความฮึกเหิม“ทหารทุกคน! วันนี้จะเป็นวันที่จะลบล้างความอัปยศ! หากไม่อยากตกเป็นทาสของแคว้นล่มสลาย และไม่อยากถูกสตรีบัญชาการ ก็จงต่อสู้สุดชีวิต! ทำลายชายแดนของแคว้นซีหนี่ว์ เคลื่อนกำลังเข้าไป จนเข้าไปถึงเมืองหลวง และจับตัวประมุขแคว้นของพวกนางมา!”ทั้งสามกองทัพเปล่งเสียงขานรับโดยพร้อมเพรียง“ลบล้างความอัปยศ! จับตัวประมุขแคว้นซีหนี่ว์!”ทันใดนั้น ทหารสอดแนมก็มารายงาน“ท่านแม่ทัพ พบกองทัพของแคว้นซีหนี่ว์ นำทัพโดยหูย่วนเอ๋อร์!”หูย่วนเอ๋อร์เป็นหนึ่งในแม่ทัพผู้องอาจของแคว้นซีหนี่ว์ และยังเป็นแม่ทัพคู่ใจของอดีตประมุขแคว้นซีหนี่ว์ด้วยก่อนหน้านี้ได้ยินสายลับมารายงานว่า ประมุขแคว้นคนปัจจุบันไม่ชอบหูย่วนเอ๋อร์ และจับนางไปคุมขังไว้ในคุกเหตุใดคนผู้นี้ถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่ชายแดน?หรือว่าข่าวจากสายลับจะผิดพลาด?แม่ทัพใหญ่ของทั้งสองแคว้นถามด้วยความสงสัย“หรืออาจจะเป็น
กลุ่มขุนนางที่ถูกจับกุม แต่ละคนบ้างก็ตกใจ บ้างก็โกรธแค้น บ้างก็คุกเข่าร้องขอชีวิตทันที“เฟิ่งจิ่วเหยียน! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาจับหม่อมฉัน! หม่อมฉันคือขุนนางอาวุโสสามสมัย!”“หม่อมฉันไม่ได้คิดจะก่อกบฏ...ประมุขแคว้น พวกเขาจะต้องจับคนผิดอย่างแน่นอน!”“ประมุขแคว้นโปรดไว้ชีวิต โปรดไว้ชีวิตด้วย! หม่อมฉันเลอะเลือนไปชั่วขณะ หม่อมฉันไม่กล้าอีกแล้ว!”ขุนนางคนอื่นถอยห่าง แทบไม่อยากเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่ถูกจับโอวหยางเหลียนก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เอ่ยต่อเฟิ่งจิ่วเหยียน“ประมุขแคว้น ตั้งแต่อดีต ขุนนางที่ก่อกบฏทรยศแผ่นดินมีความผิดสมควรตาย หม่อมฉันคิดว่า ควรรีบประหารชีวิตพวกเขาทันที ไม่อาจให้ความเมตตาได้!”โอวหยางเหลียนอายุมากแล้ว ทว่านางทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเด็ดขาดชัดเจนเฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่ใช่คนใจอ่อนเช่นกันนางเพิ่งจะเป็นประมุขแคว้น แต่ก็รู้ว่า ความวุ่นวายภายในแคว้นซีหนี่ว์ ล้วนเกิดจากคนที่ไม่จงรักภักดีเหล่านี้หากไม่สังหาร ก็ไม่เพียงพอที่จะยุติความวุ่นวายภายในได้หากไม่สังหาร ก็ไม่เพียงพอที่จะเตือนใจให้กับคนอื่นได้เฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งให้ข้าหลวงอ่านความผิดของคนเหล่านี้ อ่านจบทีละคน ก็สังหารท
จันทร์เสี้ยวลอยลงต่ำ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงณ พระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ในที่ประชุมเช้า เหล่าขุนนางมองไปยังคนที่อยู่บนบัลลังก์มังกร ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย และความประหลาดใจขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยถามอย่างใจกล้า“คนที่นั่งอยู่บนนั้น เจ้าเป็นใคร! แล้วประมุขแคว้นอยู่ที่ใด!”คนที่อยู่ด้านบน ถึงแม้หน้าตาจะคล้ายกับประมุขแคว้น ทว่าส่วนท้องนูนออกมา เห็นชัดว่าเป็นลักษณะของการตั้งครรภ์ คนผู้นี้กับประมุขแคว้นเมื่อหลายวันก่อนผู้นั้น ไม่ใช่คนเดียวกันโดยสิ้นเชิงความแตกต่างที่เห็นชัดเช่นนี้ ขอเพียงไม่ใช่คนตาบอด ก็มองออกชัดเจนหลังจากมีคนหนึ่งออกหน้า คนอื่น ๆ ก็พากันเกิดความสงสัยตามมา“รีบบอกมา เจ้าเป็นใครกันแน่!”“เจ้าคนชั่วอาจหาญ กล้าสวมรอยเป็นประมุขแคว้น ยังไม่รีบลงมาอีก!”“ประมุขแคว้นเล่า? ทหารรักษาพระองค์อยู่ที่ใด รีบไปตามหาประมุขแคว้น!”ในราชสำนักเริ่มเกิดความวุ่นวายก่อนหน้านี้หูย่วนเอ๋อร์ก็ถูก “ขัง” อยู่ในคุก มิได้เข้าร่วมประชุมเช้าของวันนี้ จึงมีเพียงโอวหยางเหลียนเท่านั้นที่รู้ความจริงในที่นี้โอวหยางเหลียนยืนอยู่ตรงนั้น โดยไม่เอ่ยสิ่งใดจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่บนบัลลังก์มังกรก