ณ ตำหนักฉือหนิง ที่ประทับของไทเฮาไทเฮาได้ยินเรื่องที่จวนตระกูลเฟิ่งแล้วก็มีสีพระพักตร์แช่มชื่น กล่าวกับกุ้ยหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายว่า“ตอนงานวันเกิดของข้าปีที่แล้ว เคยเห็นเฟิ่งเวยเฉียงผู้นั้น นิสัยนางอ่อนโยนเกินไป เวลานั้นข้าก็รู้สึกว่านางยากจะรั้งตำแหน่งฮองเฮาได้“เรื่องในวันนี้กลับแปลกใหม่นัก ถึงกับโต้แย้งคนของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ต่อหน้าธารกำนัล“ข้าต้องมองนางใหม่เสียแล้ว”กุ้ยหมัวมัวเป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายไทเฮา เข้าใจความซับซ้อนในวังอย่างลึกซึ้ง นางรินน้ำชาร้อนกรุ่นให้ไทเฮา“แต่ดูจากความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมีต่อหวงกุ้ยเฟย แม้ฮองเฮาจะปราดเปรื่องกล้าหาญเพียงไหนก็ยากจะรับมือท่านที่อยู่ตำหนักหลิงเซียวผู้นั้นได้ คืนนี้ ยากจะรับประกันว่าหวงกุ้ยเฟยจะไม่ก่อเรื่องนะเพคะ”เห็นได้ชัดว่านางมีความเห็นแตกต่างจากไทเฮา ไม่คิดว่าฮองเฮาจะมีความสามารถถึงเพียงนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าไทเฮาสลายไป“เจ้าพูดถูก ข้ายังจำได้ว่า วันที่ซิ่วหว่านเข้าวัง เดิมนั้นฝ่าบาทตั้งใจจะไปหานาง ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ผู้นั้นจะเข้ามาขัดขวาง เชิญฝ่าบาทไปหา“น่าสงสารก็แต่ซิ่วหว่านเด็กคนนั้น แม้แต่อาหญิงอย่างข้าก
ฮ่องเต้ทรราชจะเสด็จมา เฟิ่งจิ่วเหยียนได้แต่บอกให้เหลียนซวงทำทรงผมกลับไปตามเดิม แต่มือของเหลียนซวงสั่นเทิ้ม คิดว่าคงเป็นเพราะหวาดกลัวฮ่องเต้ทรราชที่กำลังจะมาเยือนผู้นั้นนางมือสั่น ย่อมทำผิดพลาดอย่างไม่อาจเลี่ยงเมื่อถูกถอนผมเป็นเส้นที่สาม เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ทนไม่ไหว เอ่ยเสียงเย็นชาว่า“ถอยไป ข้าจัดการเอง” นางเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม การฝึกฝนทำผมทรงต่าง ๆ ให้ได้อย่างคล่องแคล่วจึงเป็นสิ่งจำเป็นด้วยเหตุนี้ นางจัดแจงเพียงไม่กี่ครั้งก็ทำให้ทรงผมกลับไปเหมือนตอนแรกได้แล้ว เหลียนซวงเห็นแล้วก็ตกตะลึงเหลือล้น“ฮองเฮา ท่านมีฝีมือยอดเยี่ยมนักเพคะ!”แต่ขณะที่ฝั่งพวกนางเตรียมความพร้อมต้อนรับฮ่องเต้ คนจากนอกตำหนักก็มารายงานอีกครั้งว่า“ฮองเฮา โรคปวดศีรษะของหวงกุ้ยเฟยกำเริบ ฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักหลิงเซียวแล้วเพคะ”เหลียนซวงเผยอปาก รู้สึกโมโหแต่ไม่กล้าพูดออกมาหวงกุ้ยเฟยจะต้องแกล้งป่วยเป็นแน่ โรคปวดศีรษะกำเริบขึ้นมาตอนนี้ จะเหมาะเจาะขนาดนี้ได้อย่างไรคงเห็นว่าฝ่าบาทเสด็จกลับวังมาแล้วจึงให้คนไปเชิญน่ะสิพอเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยินคำว่าหวงกุ้ยเฟยก็คิดถึงเวยเฉียงน้องสาวเวยเฉียงถูกทำร้ายแสนสาหัสจนถึงแก่คว
กลับถึงห้องหอ หัวหน้าหมัวมัวที่ตอนแรกก้มหน้าก้มตาท่าทางเข้มงวดก็สั่งให้คนเตรียมน้ำมาปรนนิบัติฮองเฮาอาบน้ำนางเบียดเหลียนซวงออก เข้ามายิ้มกว้างให้เฟิ่งจิ่วเหยียน“ฮองเฮา หลายปีมานี้ นอกจากหวงกุ้ยเฟยแล้ว ฝ่าบาทยังไม่เคยโปรดปรานสนมคนอื่นมาก่อนเลยนะเพคะ ท่านนับเป็นคนแรก!”เหลียนซวงยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกไม่ใคร่พอใจหมัวมัวผู้นี้ตอนแรกยังไม่เห็นว่านางจะปรนนิบัติด้วยความกระตือรือร้นปานนี้ ช่างเป็นพวกประจบผู้มีอำนาจเหยียบย่ำคนฐานะต่ำกว่าโดยแท้ในวังหลวงแห่งนี้ ฐานะของสตรีล้วนพึ่งพาความโปรดปรานของฮ่องเต้ดังคาด มิฉะนั้น ต่อให้สูงส่งเป็นฮองเฮาก็ยังถูกเมินเฉยไม่ได้รับการเหลียวแลหัวหน้าหมัวมัวพูดอะไรไปมากมาย เฟิ่งจิ่วเหยียนล้วนไม่ตอบนางสั่งความอย่างเย็นชา “ออกไปให้หมด ให้เหลียนซวงปรนนิบัติในตำหนักคนเดียวก็พอ”……หลังจากในตำหนักเงียบลงแล้ว เหลียนซวงก็ถามอย่างกังวลใจ“ฮองเฮา ฝ่าบาทเสด็จมาย่อมเป็นเรื่องดี“แต่ท่านทำเช่นนี้ จะมิเป็นการขัดแย้งกับหวงกุ้ยเฟยหรือเพคะ?“นายหญิงบอกให้พวกเราอยู่ในวังหลวงอย่างเงียบ ๆ อย่าสร้างศัตรู โดยเฉพาะหวงกุ้ยเฟย...”“ท่านแม่ก็สอนเวยเฉียงเช่นนี้หรือ” เฟิ่งจิ่ว
เมื่อเหลียนซวงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็รีบเข้าไปในตำหนัก“ฮองเฮา เกิดอะไรขึ้นเพคะ...”เหลียนซวงพูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงสายหนึ่งดังออกมาจากม่านอักษรมงคล [1] “ไสหัวไป”เป็นเสียงของบุรุษ!เหลียนซวงตระหนักว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว คิดจะตะโกนเรียกคนเข้ามาทันใดนั้นขันทีคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาขวางนางไว้อย่างรีบร้อน เสียงที่พยายามกดความโกรธเกรี้ยวเอาไว้กล่าวว่า“ไม่รู้จักเบิกตาดูซะบ้าง! นั่นคือฮ่องเต้!”เหลียนซวงตกตะลึงจนพูดไม่ออกฝ่ะ ฝ่ะ ฝ่า...ฝ่าบาท? ฮ่องเต้ทรราชผู้ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตาผู้นั้น?มืดค่ำถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดอยู่ ๆ พระองค์ถึงเสด็จมาเล่า!!ภายในม่านฝ่ามือใหญ่ของบุรุษกดไหล่ข้างหนึ่งของเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งจับข้อมือข้างที่นางถือกริช โน้มร่างอยู่เหนือนาง ราวกับสิงโตที่กำลังโถมเข้าหาเหยื่อเดิมเฟิ่งจิ่วเหยียนสามารถลองสลัดให้หลุดได้ แต่เมื่อรู้สถานะของอีกฝ่ายนางจึงไม่ได้ลงมือในความมืดมิด นางไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดแต่รังสีฆ่าฟันบนร่างของเขาเข้มข้นยิ่ง“ฮองเฮา ไม่อธิบายซักหน่อยหรือ?”น้ำเสียงทุ้มอันราบเรียบของบุรุษทำให้คนรู้สึกกลัวเกรงหากเป็นสต
คืนนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่านางต้องถูกเอาเปรียบซักครั้ง เฟิ่งจิ่วเหยียนคาดการณ์เรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วที่จริงเมื่อเทียบกับโดนฮ่องเต้ทรราชนี่พรากคืนแรกไป ให้ทำเองยังนับว่าดีกว่ามากนักอย่างน้อยก็ไม่ต้องทนถูกคนกดไว้ข้างล่างเฟิ่งจิ่วเหยียนฉีกผ้าจากชายกระโปรงออกมาชิ้นหนึ่ง นำมาปูรองไว้เป็นผ้าพรหมจรรย์[1]หลังจากนั้นก็ใช้มือหนึ่งถลกกระโปรงขึ้นมา อีกข้างพลิกมือจับกริชนั้นถึงแม้นางตัดสินใจแล้วว่าจะทำ แต่ร่างกายยังคงต่อต้านโดยสัญชาตญาณนางปลอบใจตัวเอง คิดเสียว่าโดนแทงหนึ่งทีแล้วกันตั้งแต่เล็กจนโตนางบาดเจ็บมาน้อยหรือไร?จากนั้นนางก็เริ่มออกแรง...เพียงชั่วพริบตานั้นเองพละกำลังสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจับข้อมือนางเอาไว้แน่นเฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเซียวอวี้แย่งกริชในมือนางไปอีกครั้ง ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก“ช่างเป็นสตรีที่โง่เสียจริง”เคร้ง!กริชถูกโยนออกไปนอกม่านเตียงอักษรมงคล“เจ้าจะบริสุทธิ์หรือไม่ เราไม่แยแสแม้แต่น้อย”“ในเมื่อเจ้ากล้าแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเป็นฮองเฮาให้ได้ เช่นนั้นก็อย่าแกล้งโง่ไปเลย”“ดังเช่นที่เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าเราอยู่ที่ตำหนักห
เฟิ่งจิ่วเหยียนดูไม่เหมือนพระมเหสีที่ถูกพระสวามีทอดทิ้งอย่างเย็นชาแม้แต่น้อย นางสวมชุดอย่างฮองเฮา แลดูสูงศักดิ์ดั่งพญาหงส์ที่เดินดินนัยน์ตาที่เยือกเย็นคู่หนึ่ง ม่านตาสีอ่อนเผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์ที่มิอาจเอื้อมราวกับหยกผิวพรรณของนางหาได้ซีดขาวอมโรคเหมือนดังที่สตรีในเมืองหลวงนิยมกันไม่ แต่เป็นผิวที่อิ่มเอิบและเปล่งปลั่งดังกลีบกุหลาบรูปลักษณ์งดงามแฝงด้วยความสูงศักดิ์น่าเกรงขาม งามล้ำดั่งเทพธิดาในวังจันทราเหล่าผู้คนในวังหลังล้วนคุ้นเคยกับการเห็นสนมนางในที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับหรงเฟยดี พอวันนี้ได้พบกับความงามพิลาสล้ำของฮองเฮาก็ตาลุกวาวราวกับจะเปล่งแสงได้ไม่เสียทีที่เป็นหญิงงามผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นในเมืองหลวง รูปโฉมงดงามล่มเมืองเช่นนี้ หาใช่ปุถุชนคนธรรมดาจะเทียบเคียงได้ตั้งแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าสู่ยุทธภพเพียงลำพัง นางก็ใช้ชีวิตแปลงโฉมหน้ามาโดยตลอดสำหรับนางแล้วหน้าตาที่งดงามคือภาระ โดยเฉพาะในค่ายทหารอาจารย์หญิงมักบอกว่าใบหน้างามนี้ของนางช่างเสียเปล่ายิ่งนัก วัน ๆ ล้วนแต่ถูกนางใช้อย่างส่งเดชเหลียนซวงที่เดินติดตามอยู่ด้านหลังฮองเฮาก็พลันรู้สึกมีหน้ามีตาไปด้วยเมื่อเดินจนถึง
รุ่ยอ๋องไม่อาจทำใจได้จึงเอ่ยปากโน้มน้าว“ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ ออกจะโหดร้ายต่อฮองเฮาไปซักหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”ทว่าเซียวอวี้กลับสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้เพียงภาพแผ่นหลังอันน่าเกรงขามที่ยากจะต่อกรได้สายลมพัดโชยโบกสะบัดเสื้อของบุรุษผู้นี้ เขาย่างก้าวเดินลงบันได สายตาทอดมองไปไกลโพ้น กวาดตามองทัศนียภาพของอุทยานหลวงและสนามม้าหลวงไว้ในสายตา รวมทั้งภาพของสตรีที่ขี่ม้าอยู่เมื่อครู่นี้ด้วยภาพเงาร่างของหญิงสาวที่ขี่ม้าในความทรงจำ ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้......เพราะได้รับความตื่นตระหนก ไทเฮาจึงเสด็จกลับตำหนักฉือหนิงก่อนเฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็กลับตำหนักหย่งเหอของตนตามกฎระเบียบแล้วฮองเฮายังต้องรับการคารวะจากเหล่าสนมนางในแต่สนมนางในที่มาถึงก่อนแล้วกลับมีเพียงน้อยนิด ส่วนใหญ่หากไม่อ้างว่าป่วย ก็อ้างว่ายุ่งกับภารกิจในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็ไม่มีใจจะมานั่งเสแสร้งรับหน้าพวกนาง จึงส่งพวกนางไม่กี่คนที่มาให้กลับไปเสียผ่านไปไม่นานก็มีคนมาถ่ายทอดคำพูดของฮ่องเต้“ฮองเฮา ฝ่าบาทได้ทรงทราบถึงคุณงามความดีที่เมื่อเช้าพระองค์ได้ทรงช่วยไทเฮาเอาไว้แล้ว ทรงพระราชทานหยกสมปรารถนาให้คู่หนึ่
ดูเหมือนว่ารุ่ยอ๋องจะเพิ่งออกมาจากตำหนักฉือหนิง เขาก้าวเดินมาข้างหน้าแล้วคารวะเฟิ่งจิ่วเหยียน“น้องชายขอคารวะพี่สะใภ้”การที่เขาเรียกนางเป็นพี่สะใภ้ไม่ใช่ฮองเฮา แสดงให้เห็นว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮ่องเต้เหลียนซวงที่ชำเลืองมองรุ่ยอ๋องตกอยู่ในภวังค์รุ่ยอ๋องช่างรูปงามเสียจริง! หน้าตาสะอาดสะอ้าน บุคลิกมารยาทงามสง่า ลักษณะเช่นนี้ดีกว่าฮ่องเต้ทรราชที่เอาแต่ฆ่าคนตั้งมากหากผู้ที่คุณหนูแต่งด้วยคือ...เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เหลียนซวงก็รีบหยุดความคิดที่ไร้สาระนี้ทันทีกฎระเบียบในวังเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่อาจเทียบกับในค่ายทหารที่สามารถพูดคุยกับบุรุษอย่างไรก็ได้เมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะจากไป รุ่ยอ๋องพลันเอ่ยปากแสดงความเป็นห่วงออกมา“การประหารเมื่อวานนี้พี่สะใภ้ได้รับความตระหนกหรือไม่? ”เฟิ่งจิ่วเหยียนที่จดจ่ออยู่กับความคิดตอบกลับอย่างกลัวพิกุลจะร่วงว่า “ไม่”“เมื่อวานยามที่พี่สะใภ้ปราบพยศม้าตัวนั้น ข้าบังเอิญเห็นเข้าพอดี ท่านฝีมือดียิ่ง ที่จริงแล้วฝ่าบาททรงโปรดสตรีที่มีทักษะการขี่ม้า พี่สะใภ้เริ่มต้นจากเรื่องนี้ดู บางทีอาจจะได้รับความโปรดปราน”น้ำเสียงของรุ่ยอ๋องอ่อนโยนนุ่มนวลราวก
เมื่อออกมาจากเมืองเสี่ยวหลิน ก็มุ่งไปทางทิศใต้นั่นก็คือเมืองตงซิ่นพันธมิตรอู่หลินอยู่ในหมู่บ้านเสิ่นเจียอู่ภายในเมืองตงซิ่นดูเผิน ๆ อาจจะเหมือนหมู่บ้านทั่วไป แต่เป็นสถานที่ตั้งสำนักใหญ่ของพันธมิตรอู่หลิน ในนั้นมียอดฝีมือแห่งยุทธภพมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว หน้าทางเข้าหมู่บ้านมีหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่ บนนั้นสลักชื่อไว้หลายคนบุรุษสองพาสาวน้อยมาด้วยหนึ่งคน ทั้งยังใส่หน้ากาก จึงทำให้คนระแวงอย่างเลี่ยงไม่ได้คนเฝ้าหมู่บ้านเข้ามาขวางทางทั้งสามคน เอ่ยถามว่า“มาจากไหน ไปแห่งหนใด”อู๋ไป๋ตัดสินได้อย่างมีประสบการณ์ สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือตอบรับสัญญาณลับ ดังนั้น เขาจึงหันไปมองแม่ทัพน้อยเฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว คารวะตามขนบชาวยุทธภพอย่างเคร่งครัดต่อมานางก็กล่าวด้วยพลังเต็มเปี่ยม“มาจากปรโลก หวนคืนสู่ปรโลก! มิตรภาพแน่นแฟ้นร่วมมีเกียรติร่วมเสื่อมเสีย จับมือสร้างตำนานแห่งยุทธภพ! คารวะ! ผู้นำพันธมิตรทรงอำนาจ!”“พรืด——”อู๋ไป๋หลุดขำอย่างอดไม่ได้สัญญาณลับนี้…ฟังดูเชยอย่างยิ่ง!คนอย่างแม่ทัพน้อย ทนรับได้อย่างไรกันนะ?หลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดจบ สีหน้าก็แข็งทื่อเล็กน้อยต
สาเหตุที่เมืองเซวียนเกิดการกบฎขึ้น เป็นเพราะเหล่าทหารไม่พอใจที่ราชสำนักให้เบี้ยเลี้ยงน้อยนิด เมื่อต่อสู้เรียกร้องไปก็ไร้ผล จึงก่อกบฏขึ้นพอก่อกบฏ จวนจู้กั๋วกงก็ต้องพบกับภยันตราย ราษฎรออกมาต่อต้านเป็นจำนวนมากเมืองเซวียนนี้เป็นป้อมปราการสำคัญที่ใช้ในการควบคุมขนส่งเสบียง เป็นเส้นทางที่ทหารจำเป็นต้องผ่านกลยุทธ์สร้างความวุ่นวายที่จุดยุทธศาสตร์นี้ทำให้ทั้งราชสำนักและประชาชนตื่นตกใจฤดูใบไม้ผลิ แสงอาทิตย์สาดส่อง เดิมควรมีบรรยากาศที่ดี ทว่าที่เมืองเซวียนกลับมีหมอกควันแห่งความทุกข์ปกคลุมไปทั่วเมืองด้านนอกประตูเมือง อู๋ไป๋กำลังคุมรถม้าและดึงบังเหียนให้ม้าหยุดจากนั้นเขาก็เปิดผ้าม่านออกแล้วเสนอว่า“ท่านแม่ทัพน้อย เมืองเซวียนเกิดความไม่สงบขึ้น พวกเราคงต้องอ้อมไปแล้วขอรับ”ด้านในรถม้าบาดแผลที่ตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนหายดีแล้ว ทว่าช่วงนี้ยังไม่อาจมองแสงที่จ้าเกินไปได้นางวางม้วนหนังสือในมือลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า“อ้อมไปทางทิศตะวันออก”ตามข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกับสายสืบนั่นมา กากเดนบางส่วนที่เหลืออยู่ของพรรคเทียนหลงอยู่ที่เมืองผางเดิมแผนการของนางคือลงไปทางใต้ ไล่ฆ่าจนถึงเมืองผา
หลังมื้อเช้าซุนหมัวมัวก็มาที่ตำหนักหย่งเหอเมื่อนางเห็นเหลียนซวงที่ดูเหนื่อยล้าจากการนอนไม่พอ นางก็พูดประจบด้วยรอยยิ้ม“คารวะซินเฟยเพคะ!“เมื่อคืนพระสนมทรงเหน็ดเหนื่อยแล้ว นี่คือน้ำแกงบำรุงที่บ่าวตุ๋นให้ท่านด้วยตนเองเพคะ…”นางประเมินสาวน้อยผู้นี้ต่ำเกินไปจริง ๆมิน่าเล่า ไม่ว่านางจะพยายามโน้มน้าวอย่างไร สาวน้อยผู้นี้ก็ไม่ยอมไปจากตำหนักหย่งเหอ ไม่ยอมย้ายไปเกาะขาใหม่ ที่แท้สาวน้อยผู้นี้ก็คิดอยากเป็นผู้สูงศักดิ์เสียเอง!ยามนี้พอมองดูเหลียนซวงคนนี้ดี ๆ ก็นับว่าหน้าตาไม่เลวเลยจริง ๆ แม้จะไม่ถึงขนาดงามล่มเมือง ทว่าก็สวยสดงดงาม เป็นประเภทที่หน้าตาอ่อนโยนนุ่มนวล ทำให้บุรุษรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงชอบพอนางความคิดของซุนหมัวมัวชัดเจนจนผู้อื่นสัมผัสได้“พระสนม บ่าวเองก็เป็นคนเก่าคนแก่ บ่าว... บ่าวอยากกลับมาอยู่ที่ตำหนักหย่งเหอ ท่านเองก็ยังขาดคนที่เชื่อใจได้ ใช่หรือไม่เพคะ?”เหลียนซวงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด"ไม่จำเป็น!"เมื่อซุนหมัวมัวเห็นนางวางมาดใหญ่โตเช่นนี้ก็ไม่พอใจทันที จึงพูดเตือนสตินางอย่างเหน็บแนม“พระสนม ท่านทรงลืมเรื่องที่ผ่านมาแล้วหรือ?“ทรงรู้หรือไม่ว่าผู้อื่นมอง
ณ ตำหนักหย่งเหอผู้มาประกาศพระราชโองการคือหลิวซื่อเหลียง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับซินเฟยมากเพียงใดหลังจากอ่านพระราชโองการจบ หลิวซื่อเหลียงก็มองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม“เหลียนซวง ท่านอย่าคุกเข่าต่ออีกเลย รีบรับราชโองการไปเถิด“นี่เป็นพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของฝ่าบาทเชียว! บ่าวอยู่ในวังมานานปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนได้รับตำแหน่งสนมชั้นเฟยโดยตรง สาวน้อยท่านก้าวถึงสวรรค์ในก้าวเดียว!”มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงวิ่งไปที่ตำหนักหย่งเหออยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่ว่าทรงลืมอดีตฮองเฮาไม่ลง แต่เป็นเพราะมีคนล่อลวงฝ่าบาทต่างหาก!ดวงตาของหลิวซื่อเหลียงเต็มไปด้วยความชื่นชมในวังหลวงแห่งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจมองข้ามได้จริง ๆผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าสาวใช้ที่เคยอยู่ข้างกายฮองเฮา จะสลัดร่างกลายเป็นซินเฟยในยามนี้ร่างของเหลียนซวงสั่นเทา“กงกง ข้า...ข้าทำไม่ได้ ข้าไม่อาจรับราชโองการได้!”นางจะเป็นสนมของฝ่าบาทได้อย่างไร!ทันใดนั้นน้ำตาของเหลียนซวงก็ไหลพรากนางกลัวเหลือเกิน!ฝ่าบาทบ้าไปแล้วจริง ๆ!นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวซื่อเหลียงพบกับเหตุการณ์เช่นนี้“เหลียนซวง หรือว่าท่านดีใจมากเกินไปอย่างนั้นหรือ? ท่าน
เหลียนซวงที่ถูกฝ่ามือของฮ่องเต้นั้น นางรู้สึกว่าอวัยวะภายในทั้งหมดของนางกำลังจะแตกสลายทว่านางไม่เสียใจที่พูดคำเหล่านั้นออกไปเมื่อนางฟังซุนหมัวมัวพูดเกี่ยวกับบุตรสาวตระกูลเจิน นางก็ตระหนักว่าประโยคนั้นเป็นเรื่องจริงที่ว่า ความจริงใจของบุรุษนั้น คงอยู่เพียงชั่วครู่นางเองก็เคยรู้สึกว่าคุณหนูจิ่วเหยียนใจร้ายเกินไป นางไม่ควรเหยียบย่ำความจริงใจของฝ่าบาททว่ายามนี้...นางกลับรู้สึกสมน้ำหน้าฝ่าบาท!หากเขาทำใจได้อย่างง่ายดายเพียงนี้ เหตุใดยามนั้นเขาถึงต้องกักขังคุณหนูจิ่วเหยียนเอาไว้แบบนั้นด้วยแล้วทำไมยามนี้ถึงต้องมาที่ตำหนักหย่งเหอ ราวกับว่าไม่อาจลืมคุณหนูจิ่วเหยียนได้ลงซุนหมัวมัวตกใจจนแข้งขาอ่อนแรง“ฝ่าบาท เหลียนซวงหมายถึงว่า...”“ไสหัวไป” แววตาของเซียวอวี้เย็นชาและดุร้ายราวกับคลื่นทะเลแห่งความโกรธที่กำลังพลุ่งพล่านซุนหมัวมัวไม่กล้ายุ่งกับไฟโกรธนี้จึงจากไปอย่างรวดเร็วข้าหลวงที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนในตำหนักหย่งเหอก็แยกย้ายกันไป ไม่กล้าเข้าใกล้ในลานตำหนักเหลือเพียงเซียวอวี้และเหลียนซวงเขาที่ครอบครองใต้หล้า สวมเสื้อคลุมลายมังกรที่ทำให้ดูสง่างามและเย็นชา ก้าวเข้าใกล้เหลียนซว
หลังจากตรวจดูค่ายทหารเสร็จ ฮ่องเต้ก็เสด็จกลับพระราชวังขุนพลหลายคนมาพบเจินหรูไห่เป็นการส่วนตัวเพื่อแสดงความยินดี“แม่ทัพเจิน เจ้าซ่อนบุตรสาวไว้ดีเกินไปแล้ว ถ้าเข้าวังไปแต่แรกคงจะดี”“ยามนี้ยังไม่สายเกินไปหรอก! พี่เจิน บุตรสาวของท่านได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ช่างมีอนาคตเสียจริง!”เจินหรูไห่รู้สึกกระวนกระวายราวกับมีกวางกระโดดโลดเต้นไปมาอยู่ในใจของเขา นี่เขากำลังจะได้เป็นพ่อตาของฮ่องเต้แล้วหรือ?เช่นนั้นวันนี้ก็นับว่าในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีอย่างแท้จริง!เมื่อเจินเจินได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงรีบดึงเจินหรูไห่ไปอีกฝั่ง“ท่านพ่อ เหตุใดฮ่องเต้ถึงมาสนใจข้าได้เล่า?”เจินหรูไห่ยิ้มให้นางอย่างเมตตาและอ่อนโยน“ยามที่เจ้ากำลังเล่นทวนยาว ฮ่องเต้มองเจ้าไม่วางตา นี่ยังไม่ใช่ถูกใจเจ้าเข้าอีกหรือ? ลูกเอ๋ย เจ้าจะต้องคว้าโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้ไว้ให้ดี ฮ่องเต้ไม่เคยเลือกรับนางสนมด้วยพระองค์เองมาก่อนเลยนะ”เจินเจินย้อนนึกถึงรูปร่างหน้าตาของฮ่องเต้ ช่างรูปงามและองอาจจริง ๆแต่แล้วนางก็รู้สึกอึดอัดและกล่าวเสียงเบา"ความฝันของข้าคือการเป็นแม่ทัพหญิง..."เจินหรูไ
พ่อลูกตระกูลเจินไม่คาดคิดว่า ฝ่าบาทจะอารมณ์ดีเช่นนี้เจินเจินเงยศีรษะขึ้นมา ใบหน้างดงามสุขุม“กราบทูลฝ่าบาท ข้าฝึกเรียนทวนยาวมาตั้งแต่เด็ก”เซียวอวี้มองดูนางด้วยท่าทีเรียบเฉย สายตามองไกลออกไปราวกับมองผ่านนางไปยังอีกคนหนึ่ง“ทวนยาวฝึกยาก เจ้ามีความตั้งใจเช่นนี้ ถือว่าหาได้ยาก”หลิวซื่อเหลียงที่อยู่ด้านข้างอึ้งตะลึงผ่านมาช่วงหนึ่งแล้ว ที่ฝ่าบาทไม่ได้คุยกับผู้ใดอย่างสงบเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการชมผู้ใดบุตรสาวตระกูลเจินคนนี้ อาจมีอนาคตสร้างสรรค์เวลาที่ผ่านมา ความตั้งใจที่เจินเจินอยากเป็นทหารนั้น ทางบ้านไม่เห็นด้วย วันนี้ได้ยินฝ่าบาทชมตนเอง ราวกับได้เจอคนเข้าใจกัน ในใจตื้นตันอย่างมาก“ฝ่าบาท ข้าคิดว่าไม่ว่าชายหรือหญิง ล้วนควรมีความทะเยอทะยานที่จะอุทิศตนเพื่อรับใช้ประเทศ วิชาการใช้ทวนของข้า หากได้เจอกับยอดฝีมือจริง ๆ ก็เป็นเพียงสอนจระเข้ว่ายน้ำ”“แต่ข้ามีความตั้งใจ”“ค่ายเป่ยต้ามีกองกำลังหญิง ข้าก็คาดหวังว่า เมืองหลวงก็สามารถก่อตั้งกองกำลังหญิง!”ดวงตาเจินเจินเปล่งประกายแวววาว มองดูจักรพรรดิหนุ่ม ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวงเจินหรูไห่ผู้เป็นพ่อร้อนใจดั่งเพลิงไหม้“ฝ่าบาท
ไส้ศึกคนนั้นออกมาจากพรรคเทียนหลงหลายปีแล้ว ปนเปื้อนไปด้วยความปรารถนาทางโลกเพื่อความอยู่รอด อยากสู้เพื่อหาทางออกให้กับตัวเองเขาอยากมีชีวิตรอด จึงยอมบอกทุกอย่างให้เฟิ่งจิ่วเหยียนรับรู้“ประมุขพรรคต้องการ...ต้องการสังหารเจ้า เพราะ เจ้าทำร้ายลูกชายคนเดียวของประมุขพรรค!”ท่าทีเฟิ่งจิ่วเหยียนฉงนใจลูกชายประมุขพรรคเทียนหลงหรือ?“เมื่อไหร่ ที่ไหน” นางถามขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชาไส้ศึกกัดฟันอดกลั้นไว้ พูดออกมาไม่กี่คำ“หมู่บ้านอวิ๋นซาน คดีฆ่าล้างตระกูล แม่ทัพน้อย...จำไม่ได้แล้วหรือ?”สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนขาวซีดเล็กน้อยนั่นเป็นเรื่องเมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นนางตามอาจารย์กับอาจารย์หญิงเพิ่งมาถึงชายแดนเหนือ ยังไม่ได้เข้าค่ายทหารอย่างเป็นทางการตอนที่เดินทางผ่านหมู่บ้านอวิ๋นซาน นางเห็นเหตุการณ์ฆ่าล้างตระกูลด้วยตาตนเองผู้กระทำผิดคือเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบขวบ เหิมเกริมหยิ่งผยองวันนั้นมีงานมงคลในหมู่บ้าน เขาพาลูกน้องหลายคนมาก่อเรื่อง สั่งให้เจ้าบ่าวโขกหัวคำนับเขา เจ้าบ่าวไม่ยอม เด็กชั่วคนนั้นจึงสั่งคนของเขาฆ่าเจ้าบ่าว พร้อมข่มเหงเจ้าสาวต่อหน้าทุกคนพ่อแม่เจ้าบ่าวเจ้าสาวออกมาห้าม ก็ถูกเด็กชั่
จวนแม่ทัพฮูหยินเมิ่งจัดการทำแผลให้เฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยตนเอง โดยเฉพาะดวงตาโชคดีที่ได้รับการรักษาทันเวลา ไม่ก่อให้เกิดอันตรายอะไรมากนางพันผ้าพันแผลรอบดวงตาเฟิ่งจิ่วเหยียน ภายในช่วงเวลาอันสั้น ห้ามโดนแดดแรง ห้ามโดนน้ำไม่นาน แม่ทัพเมิ่งก็มาเคาะประตูอยู่ข้างนอก“เข้ามา” น้ำเสียงฮูหยินเมิ่งเย็นชาหลังจากแม่ทัพเมิ่งเข้ามาแล้ว มองดูเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นั่งอยู่แวบหนึ่ง แล้วก็รีบถามภรรยา“ดวงตาเป็นอะไรหรือไม่?”ในใจฮูหยินเมิ่งยังคงหวาดผวาอยู่“เจ้ายังมีหน้าถาม?”“เตรียมการไว้พร้อมตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงยังทำให้จิ่วเหยียนได้รับบาดเจ็บ ครั้งนี้เป็นเพราะว่าโชคดี หากเป็นยาพิษชนิดรุนแรง มองไม่เห็นไปชั่วชีวิต จะทำยังไง!”แม่ทัพเมิ่งไม่โต้เถียงใด ๆ ก่อนหน้านี้ที่เห็นดวงตาเฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับบาดเจ็บ เขาก็เป็นกังวลอย่างมากเฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบายขึ้นมาอย่างสงบ“อาจารย์หญิงอย่าโกรธเลย“อาจารย์ทำไปก็เพื่อจับตัวไส้ศึกภายในจวน“ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายให้ข้าไปคนเดียว...”ฮูหยินเมิ่งรีบพูดขึ้นมา“ไส้ศึกคนนั้น จับตัวได้แล้วหรือยัง?”แม่ทัพเมิ่งผงกศีรษะต่อเนื่อง พร้อมพูดขึ้นมาอย่างยิ