ณ ตำหนักฉือหนิง ที่ประทับของไทเฮาไทเฮาได้ยินเรื่องที่จวนตระกูลเฟิ่งแล้วก็มีสีพระพักตร์แช่มชื่น กล่าวกับกุ้ยหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายว่า“ตอนงานวันเกิดของข้าปีที่แล้ว เคยเห็นเฟิ่งเวยเฉียงผู้นั้น นิสัยนางอ่อนโยนเกินไป เวลานั้นข้าก็รู้สึกว่านางยากจะรั้งตำแหน่งฮองเฮาได้“เรื่องในวันนี้กลับแปลกใหม่นัก ถึงกับโต้แย้งคนของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ต่อหน้าธารกำนัล“ข้าต้องมองนางใหม่เสียแล้ว”กุ้ยหมัวมัวเป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายไทเฮา เข้าใจความซับซ้อนในวังอย่างลึกซึ้ง นางรินน้ำชาร้อนกรุ่นให้ไทเฮา“แต่ดูจากความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมีต่อหวงกุ้ยเฟย แม้ฮองเฮาจะปราดเปรื่องกล้าหาญเพียงไหนก็ยากจะรับมือท่านที่อยู่ตำหนักหลิงเซียวผู้นั้นได้ คืนนี้ ยากจะรับประกันว่าหวงกุ้ยเฟยจะไม่ก่อเรื่องนะเพคะ”เห็นได้ชัดว่านางมีความเห็นแตกต่างจากไทเฮา ไม่คิดว่าฮองเฮาจะมีความสามารถถึงเพียงนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าไทเฮาสลายไป“เจ้าพูดถูก ข้ายังจำได้ว่า วันที่ซิ่วหว่านเข้าวัง เดิมนั้นฝ่าบาทตั้งใจจะไปหานาง ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ผู้นั้นจะเข้ามาขัดขวาง เชิญฝ่าบาทไปหา“น่าสงสารก็แต่ซิ่วหว่านเด็กคนนั้น แม้แต่อาหญิงอย่างข้าก
ฮ่องเต้ทรราชจะเสด็จมา เฟิ่งจิ่วเหยียนได้แต่บอกให้เหลียนซวงทำทรงผมกลับไปตามเดิม แต่มือของเหลียนซวงสั่นเทิ้ม คิดว่าคงเป็นเพราะหวาดกลัวฮ่องเต้ทรราชที่กำลังจะมาเยือนผู้นั้นนางมือสั่น ย่อมทำผิดพลาดอย่างไม่อาจเลี่ยงเมื่อถูกถอนผมเป็นเส้นที่สาม เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ทนไม่ไหว เอ่ยเสียงเย็นชาว่า“ถอยไป ข้าจัดการเอง” นางเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม การฝึกฝนทำผมทรงต่าง ๆ ให้ได้อย่างคล่องแคล่วจึงเป็นสิ่งจำเป็นด้วยเหตุนี้ นางจัดแจงเพียงไม่กี่ครั้งก็ทำให้ทรงผมกลับไปเหมือนตอนแรกได้แล้ว เหลียนซวงเห็นแล้วก็ตกตะลึงเหลือล้น“ฮองเฮา ท่านมีฝีมือยอดเยี่ยมนักเพคะ!”แต่ขณะที่ฝั่งพวกนางเตรียมความพร้อมต้อนรับฮ่องเต้ คนจากนอกตำหนักก็มารายงานอีกครั้งว่า“ฮองเฮา โรคปวดศีรษะของหวงกุ้ยเฟยกำเริบ ฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักหลิงเซียวแล้วเพคะ”เหลียนซวงเผยอปาก รู้สึกโมโหแต่ไม่กล้าพูดออกมาหวงกุ้ยเฟยจะต้องแกล้งป่วยเป็นแน่ โรคปวดศีรษะกำเริบขึ้นมาตอนนี้ จะเหมาะเจาะขนาดนี้ได้อย่างไรคงเห็นว่าฝ่าบาทเสด็จกลับวังมาแล้วจึงให้คนไปเชิญน่ะสิพอเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยินคำว่าหวงกุ้ยเฟยก็คิดถึงเวยเฉียงน้องสาวเวยเฉียงถูกทำร้ายแสนสาหัสจนถึงแก่คว
กลับถึงห้องหอ หัวหน้าหมัวมัวที่ตอนแรกก้มหน้าก้มตาท่าทางเข้มงวดก็สั่งให้คนเตรียมน้ำมาปรนนิบัติฮองเฮาอาบน้ำนางเบียดเหลียนซวงออก เข้ามายิ้มกว้างให้เฟิ่งจิ่วเหยียน“ฮองเฮา หลายปีมานี้ นอกจากหวงกุ้ยเฟยแล้ว ฝ่าบาทยังไม่เคยโปรดปรานสนมคนอื่นมาก่อนเลยนะเพคะ ท่านนับเป็นคนแรก!”เหลียนซวงยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกไม่ใคร่พอใจหมัวมัวผู้นี้ตอนแรกยังไม่เห็นว่านางจะปรนนิบัติด้วยความกระตือรือร้นปานนี้ ช่างเป็นพวกประจบผู้มีอำนาจเหยียบย่ำคนฐานะต่ำกว่าโดยแท้ในวังหลวงแห่งนี้ ฐานะของสตรีล้วนพึ่งพาความโปรดปรานของฮ่องเต้ดังคาด มิฉะนั้น ต่อให้สูงส่งเป็นฮองเฮาก็ยังถูกเมินเฉยไม่ได้รับการเหลียวแลหัวหน้าหมัวมัวพูดอะไรไปมากมาย เฟิ่งจิ่วเหยียนล้วนไม่ตอบนางสั่งความอย่างเย็นชา “ออกไปให้หมด ให้เหลียนซวงปรนนิบัติในตำหนักคนเดียวก็พอ”……หลังจากในตำหนักเงียบลงแล้ว เหลียนซวงก็ถามอย่างกังวลใจ“ฮองเฮา ฝ่าบาทเสด็จมาย่อมเป็นเรื่องดี“แต่ท่านทำเช่นนี้ จะมิเป็นการขัดแย้งกับหวงกุ้ยเฟยหรือเพคะ?“นายหญิงบอกให้พวกเราอยู่ในวังหลวงอย่างเงียบ ๆ อย่าสร้างศัตรู โดยเฉพาะหวงกุ้ยเฟย...”“ท่านแม่ก็สอนเวยเฉียงเช่นนี้หรือ” เฟิ่งจิ่ว
เมื่อเหลียนซวงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็รีบเข้าไปในตำหนัก“ฮองเฮา เกิดอะไรขึ้นเพคะ...”เหลียนซวงพูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงสายหนึ่งดังออกมาจากม่านอักษรมงคล [1] “ไสหัวไป”เป็นเสียงของบุรุษ!เหลียนซวงตระหนักว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว คิดจะตะโกนเรียกคนเข้ามาทันใดนั้นขันทีคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาขวางนางไว้อย่างรีบร้อน เสียงที่พยายามกดความโกรธเกรี้ยวเอาไว้กล่าวว่า“ไม่รู้จักเบิกตาดูซะบ้าง! นั่นคือฮ่องเต้!”เหลียนซวงตกตะลึงจนพูดไม่ออกฝ่ะ ฝ่ะ ฝ่า...ฝ่าบาท? ฮ่องเต้ทรราชผู้ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตาผู้นั้น?มืดค่ำถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดอยู่ ๆ พระองค์ถึงเสด็จมาเล่า!!ภายในม่านฝ่ามือใหญ่ของบุรุษกดไหล่ข้างหนึ่งของเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งจับข้อมือข้างที่นางถือกริช โน้มร่างอยู่เหนือนาง ราวกับสิงโตที่กำลังโถมเข้าหาเหยื่อเดิมเฟิ่งจิ่วเหยียนสามารถลองสลัดให้หลุดได้ แต่เมื่อรู้สถานะของอีกฝ่ายนางจึงไม่ได้ลงมือในความมืดมิด นางไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดแต่รังสีฆ่าฟันบนร่างของเขาเข้มข้นยิ่ง“ฮองเฮา ไม่อธิบายซักหน่อยหรือ?”น้ำเสียงทุ้มอันราบเรียบของบุรุษทำให้คนรู้สึกกลัวเกรงหากเป็นสต
คืนนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่านางต้องถูกเอาเปรียบซักครั้ง เฟิ่งจิ่วเหยียนคาดการณ์เรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วที่จริงเมื่อเทียบกับโดนฮ่องเต้ทรราชนี่พรากคืนแรกไป ให้ทำเองยังนับว่าดีกว่ามากนักอย่างน้อยก็ไม่ต้องทนถูกคนกดไว้ข้างล่างเฟิ่งจิ่วเหยียนฉีกผ้าจากชายกระโปรงออกมาชิ้นหนึ่ง นำมาปูรองไว้เป็นผ้าพรหมจรรย์[1]หลังจากนั้นก็ใช้มือหนึ่งถลกกระโปรงขึ้นมา อีกข้างพลิกมือจับกริชนั้นถึงแม้นางตัดสินใจแล้วว่าจะทำ แต่ร่างกายยังคงต่อต้านโดยสัญชาตญาณนางปลอบใจตัวเอง คิดเสียว่าโดนแทงหนึ่งทีแล้วกันตั้งแต่เล็กจนโตนางบาดเจ็บมาน้อยหรือไร?จากนั้นนางก็เริ่มออกแรง...เพียงชั่วพริบตานั้นเองพละกำลังสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจับข้อมือนางเอาไว้แน่นเฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเซียวอวี้แย่งกริชในมือนางไปอีกครั้ง ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก“ช่างเป็นสตรีที่โง่เสียจริง”เคร้ง!กริชถูกโยนออกไปนอกม่านเตียงอักษรมงคล“เจ้าจะบริสุทธิ์หรือไม่ เราไม่แยแสแม้แต่น้อย”“ในเมื่อเจ้ากล้าแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเป็นฮองเฮาให้ได้ เช่นนั้นก็อย่าแกล้งโง่ไปเลย”“ดังเช่นที่เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าเราอยู่ที่ตำหนักห
เฟิ่งจิ่วเหยียนดูไม่เหมือนพระมเหสีที่ถูกพระสวามีทอดทิ้งอย่างเย็นชาแม้แต่น้อย นางสวมชุดอย่างฮองเฮา แลดูสูงศักดิ์ดั่งพญาหงส์ที่เดินดินนัยน์ตาที่เยือกเย็นคู่หนึ่ง ม่านตาสีอ่อนเผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์ที่มิอาจเอื้อมราวกับหยกผิวพรรณของนางหาได้ซีดขาวอมโรคเหมือนดังที่สตรีในเมืองหลวงนิยมกันไม่ แต่เป็นผิวที่อิ่มเอิบและเปล่งปลั่งดังกลีบกุหลาบรูปลักษณ์งดงามแฝงด้วยความสูงศักดิ์น่าเกรงขาม งามล้ำดั่งเทพธิดาในวังจันทราเหล่าผู้คนในวังหลังล้วนคุ้นเคยกับการเห็นสนมนางในที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับหรงเฟยดี พอวันนี้ได้พบกับความงามพิลาสล้ำของฮองเฮาก็ตาลุกวาวราวกับจะเปล่งแสงได้ไม่เสียทีที่เป็นหญิงงามผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นในเมืองหลวง รูปโฉมงดงามล่มเมืองเช่นนี้ หาใช่ปุถุชนคนธรรมดาจะเทียบเคียงได้ตั้งแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าสู่ยุทธภพเพียงลำพัง นางก็ใช้ชีวิตแปลงโฉมหน้ามาโดยตลอดสำหรับนางแล้วหน้าตาที่งดงามคือภาระ โดยเฉพาะในค่ายทหารอาจารย์หญิงมักบอกว่าใบหน้างามนี้ของนางช่างเสียเปล่ายิ่งนัก วัน ๆ ล้วนแต่ถูกนางใช้อย่างส่งเดชเหลียนซวงที่เดินติดตามอยู่ด้านหลังฮองเฮาก็พลันรู้สึกมีหน้ามีตาไปด้วยเมื่อเดินจนถึง
รุ่ยอ๋องไม่อาจทำใจได้จึงเอ่ยปากโน้มน้าว“ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ ออกจะโหดร้ายต่อฮองเฮาไปซักหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”ทว่าเซียวอวี้กลับสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้เพียงภาพแผ่นหลังอันน่าเกรงขามที่ยากจะต่อกรได้สายลมพัดโชยโบกสะบัดเสื้อของบุรุษผู้นี้ เขาย่างก้าวเดินลงบันได สายตาทอดมองไปไกลโพ้น กวาดตามองทัศนียภาพของอุทยานหลวงและสนามม้าหลวงไว้ในสายตา รวมทั้งภาพของสตรีที่ขี่ม้าอยู่เมื่อครู่นี้ด้วยภาพเงาร่างของหญิงสาวที่ขี่ม้าในความทรงจำ ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้......เพราะได้รับความตื่นตระหนก ไทเฮาจึงเสด็จกลับตำหนักฉือหนิงก่อนเฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็กลับตำหนักหย่งเหอของตนตามกฎระเบียบแล้วฮองเฮายังต้องรับการคารวะจากเหล่าสนมนางในแต่สนมนางในที่มาถึงก่อนแล้วกลับมีเพียงน้อยนิด ส่วนใหญ่หากไม่อ้างว่าป่วย ก็อ้างว่ายุ่งกับภารกิจในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็ไม่มีใจจะมานั่งเสแสร้งรับหน้าพวกนาง จึงส่งพวกนางไม่กี่คนที่มาให้กลับไปเสียผ่านไปไม่นานก็มีคนมาถ่ายทอดคำพูดของฮ่องเต้“ฮองเฮา ฝ่าบาทได้ทรงทราบถึงคุณงามความดีที่เมื่อเช้าพระองค์ได้ทรงช่วยไทเฮาเอาไว้แล้ว ทรงพระราชทานหยกสมปรารถนาให้คู่หนึ่
ดูเหมือนว่ารุ่ยอ๋องจะเพิ่งออกมาจากตำหนักฉือหนิง เขาก้าวเดินมาข้างหน้าแล้วคารวะเฟิ่งจิ่วเหยียน“น้องชายขอคารวะพี่สะใภ้”การที่เขาเรียกนางเป็นพี่สะใภ้ไม่ใช่ฮองเฮา แสดงให้เห็นว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮ่องเต้เหลียนซวงที่ชำเลืองมองรุ่ยอ๋องตกอยู่ในภวังค์รุ่ยอ๋องช่างรูปงามเสียจริง! หน้าตาสะอาดสะอ้าน บุคลิกมารยาทงามสง่า ลักษณะเช่นนี้ดีกว่าฮ่องเต้ทรราชที่เอาแต่ฆ่าคนตั้งมากหากผู้ที่คุณหนูแต่งด้วยคือ...เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เหลียนซวงก็รีบหยุดความคิดที่ไร้สาระนี้ทันทีกฎระเบียบในวังเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่อาจเทียบกับในค่ายทหารที่สามารถพูดคุยกับบุรุษอย่างไรก็ได้เมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะจากไป รุ่ยอ๋องพลันเอ่ยปากแสดงความเป็นห่วงออกมา“การประหารเมื่อวานนี้พี่สะใภ้ได้รับความตระหนกหรือไม่? ”เฟิ่งจิ่วเหยียนที่จดจ่ออยู่กับความคิดตอบกลับอย่างกลัวพิกุลจะร่วงว่า “ไม่”“เมื่อวานยามที่พี่สะใภ้ปราบพยศม้าตัวนั้น ข้าบังเอิญเห็นเข้าพอดี ท่านฝีมือดียิ่ง ที่จริงแล้วฝ่าบาททรงโปรดสตรีที่มีทักษะการขี่ม้า พี่สะใภ้เริ่มต้นจากเรื่องนี้ดู บางทีอาจจะได้รับความโปรดปราน”น้ำเสียงของรุ่ยอ๋องอ่อนโยนนุ่มนวลราวก
ตำหนักเซี่ยวเสียนหนิงเฟยที่กำลังแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่นั้น พลันทุบปิ่นปักผมในมือลง ทำเอานางกำนัลที่กำลังทำผมให้อยู่ถึงกับหวาดผวารีบคุกเข่าลงไปในทันที“พระสนมใจเย็น ๆ ก่อนนะเพคะ!”หนิงเฟยมองดูตัวเองในคันฉ่อง ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนวันนี้เป็นวันเกิดอายุครบยี่สิบปีของนางหลังจากที่ใช้ชีวิตทุกข์ทรมานและเศร้าโศกมานานหลายปี ใบหน้านี้หาได้หลงเหลือความเป็นสตรีในวัยแรกแย้มเอาไว้ไม่ จำเป็นต้องใช้เครื่องประทินโฉมต่าง ๆ มากมาย ถึงได้มองดูมีความเปล่งประกายงดงามออกมานางที่มีตำแหน่งเป็นถึงนางสนม หากแต่หาได้เคยร่วมบรรทมกับฮ่องเต้ไม่ บอกไปผู้ใดจักไปเชื่อฮองเฮาที่มาทีหลังแต่มีสถานะที่มั่นคง นางก็หาได้อันใดไม่ ในยามนี้นางยังมาถูกสตรีเช่นมู่หรงฉานที่เพิ่งแต่งเข้ามาได้ไม่ครบหนึ่งปีแซงหน้าไปอีก!ทั้งยังเป็นในวันเกิดของนางอีก...หนิงเฟยยังคงเอ่ยถามด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อว่า“ฝ่าบาทเรียกตัวให้จิ้งกุ้ยเหรินมาร่วมบรรทมจริง ๆ หรือ?”สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น รีบร้อนพยักหน้าลงในทันที“เพ...เพคะ”นางรู้ดีว่าพระสนมไม่พอใจ แต่ก็มิกล้าเอ่ยโป้ปดออกมาเรื่องที่จิ้งกุ้ยเหรินถูกเรียกให้
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ดีกว่าผู้ใด ปืนหอกไฟแบบใหม่นั้นดูเหมือนว่าจะสามารถใช้การได้ดี แต่แท้จริงแล้ว หาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่สิ่งที่เฉียวม่อมองว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าจนนำไปเป็นของตัวเอง แท้จริงแล้วล้วนเป็นสิ่งไร้ค่าสำหรับนางในขณะเดียวกัน ผู้คนภายในกรมศัสตราวุธต่างก็พากันล้อมดูภาพพิมพ์เขียวแผ่นนั้นสายตาของพวกเขาพลันเปล่งประกายออกมา ทั้งยังเอ่ยชมเชยออกมาไม่ขาดปากว่า“เมิ่งเฉียวม่อผู้นี้นับว่าเป็นวีรสตรีจริง ๆ ! นางสามารถวาดพิมพ์เขียวออกมาได้งดงามจริง ๆ !”“กรมศัสตราวุธของพวกเรามิได้มีของดี ๆ แบบนี้มานานแล้ว! แจ้งข่าวแก่ช่างฝีมือทุกนายว่า เรื่องอื่นมิจำเป็นต้องสนใจ รีบสร้างปืนหอกไฟแบบใหม่ขึ้นมาเสียก่อนเถอะ!”“ข้าตั้งหน้าตั้งตารอคอยยิ่งนัก!”หลังจากที่ได้เห็นภาพพิมพ์เขียวนั้น คำชื่นชมสรรเสริญเยินยอที่มีต่อเฉียวม่อก็เพิ่มขึ้นมาในทันทีสตรีที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ใต้หล้านับว่าหาได้ยากยิ่งนักนับว่าโชคดีที่นางเกิดและเติบโตในหนานฉีปืนหอกไฟหรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าปืนฉับพลัน ปืนลำสั้นจักยาวประมาณหนึ่งนิ้ว และปืนลำกล้องยาวจักยาวถึงเจ็ดนิ้วรูปร่างภายนอกดูเหมือนท่อยาว ๆ หลังจากที่มีการ
เมื่อเฉียวม่อเห็นฝ่าบาทเดินออกจากตำหนักหย่งเหอไปนั้น นางจึงรีบติดตามไปในทันทีนางที่เป็นเพียงองครักษ์อารักขาประตูนั้น โดยปกติแล้วหากมิได้มีพระราชโองการเรียกตัวย่อมมิอาจเข้ามาในวังได้ในฐานะที่นางเป็นสตรีนั้น เกรงว่าไม่ว่าจักมียศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตเพียงใด ก็มิอาจเข้าร่วมการว่าความหรือการประชุมเพื่อพูดคุยเรื่องบ้านเมืองได้หากว่ากันแล้ว นางมีโอกาสน้อยมากนักที่จะได้พบฮ่องเต้ยามที่นางอยากจะเอ่ยเรื่องบางอย่างออกมานั้น กลับเห็นนัยน์ตาที่แดงก่ำทั้งสองข้างของฮ่องเต้เข้าเสียก่อน ราวกับอยากจะสังหารผู้ใดก็ไม่ปานนางพลันรู้สึกหวาดผวาไปในทันที ความประทับใจที่ฝ่าบาทมีให้แก่นางนั้น อย่างมากที่สุดคือท่าทีเข้มงวดหรือใบหน้าที่มีรอยยิ้ม หาได้น่ากลัวเท่ากับวันนี้ไม่“เรื่องใด?” กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทั่วร่างของเซียวอวี้ราวกับประติมากรรมน้ำแข็งก็ไม่ปาน สามารถแช่แข็งความอบอุ่นโดยรอบที่หลงเหลืออยู่เฉียวม่อที่ได้สติกลับมานั้น นางจึงรีบยกมือขึ้นคำนับในทันที“หม่อมฉันมีพิมพ์เขียวอาวุธที่หม่อมฉันอยากจะนำมาถวายแด่ฝ่าบาทเพคะ!”ลมหนาวที่พัดผ่านหน้าทำเอารู้สึกความเจ็บปวดขึ้นมาในฐานะฮ่องเต้ของแผ่นดินนั้น
เซียวอวี้หยิบถุงหอมขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในทันทีเขาจ้องมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเพื่อมิให้นางคิดทำอะไรบุ่มบ่ามในขณะเดียวกัน ก็ส่งเสียงสั่งการไปยังด้านนอกตำหนักว่า“เชิญหมอหลวง!”ไม่นานนัก หมอหลวงชราที่เป็นผู้ดูแลเรื่องการตั้งครรภ์ของฮองเฮาก็รีบมาในทันทีเขารู้ดีว่าฮองเฮาหาได้ตั้งครรภ์ไม่หมอหลวงเพียงแค่ดมถุงหอมก็สามารถสรุปออกมาได้ว่า“ทูลฝ่าบาท สิ่งนี้คือกลิ่นหลิงหลิงพ่ะย่ะค่ะ มีส่วนช่วยในการส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้หาได้พบความผิดปกติไม่คำพูดของหมอหลวงหลังจากนั้นกลับขยายความออกมาในทันที“ทว่า ของสิ่งนี้มีกลิ่นเหมือนกับกลิ่นชะมด หากสตรีมีครรภ์สัมผัสได้สูดกลิ่นเข้าไปเป็นเวลานานนั้น ย่อมส่งผลต่อทารกในครรภ์ จนนำไปสู่การตกเลือดหรืออาจทำให้ทารกในครรภ์ตายได้พ่ะย่ะค่ะ! มิต้องเอ่ยถึงสตรีตั้งครรภ์เลย แม้แต่สตรีปกติทั่วไปก็มิเหมาะที่จะพกถุงหอมนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนลอบกำหมัดแน่นอยู่ในแขนเสื้อของตนเองเจอจนได้...ดวงตาของเซียวอวี้ค่อย ๆ มืดครึ้มลง ราวกับว่าแสงสว่างที่ค่อย ๆ มอดดับไป ทั้งยังเจือไปด้วยความหนาวเย็น ทำเอาผู้คนนึกหวาดกลัวจนตัวสั่นไปในทันทีทว่า
เมื่อได้ยินว่าเฉียวม่อเป็นลม สายตาของเซียวอวี้พลันเปลี่ยนไปในทันทีพลางขมวดคิ้วเป็นปม เพื่ออดกลั้นน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความโมโหเอาไว้ พร้อมเอ่ยตำหนิเฟิ่งจิ่วเหยียนออกมาว่า“เจ้าทำได้ ‘ดี’ ยิ่ง!”เซียวอวี้จึงสั่งให้คนไปอุ้มเฉียวม่อเข้าไปพักที่ตำหนักข้าง ทั้งยังเรียกตัวให้หมอหลวงเข้ามาตรวจดูอาการของนางในขณะเดียวกันก็ออกคำสั่ง ห้ามคนภายในตำหนักหย่งเหอแพร่งพรายเรื่องราวในวันนี้ออกไปไม่นานนัก เฉียวม่อจึงตื่นขึ้นมาภายในตำหนักที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นมีนางกำนัลสาวใช้ที่รอปรนนิบัตินางอยู่ภายในตำหนักนั้น“ใต้เท้าเมิ่ง ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่เจ้าคะ?” นางกำนัลเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลเฉียวม่อหาได้เป็นลมจริง ๆ ไม่นางเพียงแค่อดทนรอไม่ไหวเท่านั้นในยามนี้นางกำลังนอนอยู่บนเตียง พลางแสดงท่าทีเหนื่อยอ่อนแรงออกมาให้เห็น“พยุงข้า...ขึ้นมา ข้ายังคุกเข่าไม่ครบหนึ่งชั่วยาม...”ตึก!นางทำเหมือนขาทั้งสองข้างได้ถูกแช่แข็งเอาไว้ แม้แต่จะลุกขึ้นยืนยังไม่ไหว เมื่อนางลุกขึ้นมานั้นร่างกายจึงล้มลงไปบนพื้นในทันทีนางกำนัลจึงเข้ามาช่วยพยุงนางลุกขึ้นโดยไว“ใต้เท้าเมิ่ง ท่านมิต้องเป็นกังวลไปเจ้าค่ะ
เฉียวม่อคุกเข่าท่ามกลางลมหนาวที่พัดเข้ากระดูมานานกว่าครึ่‘ชั่วยาม เมื่อเห็นฝ่าบาทเสด็จมานั้น นางจึงรีบหันหน้าไปหาด้วยท่าทีไร้หนทางในทันทีมิคิดเลยว่า ฝ่าบาทหาได้หันมามองนางสักตาเดียวไม่ พลางเดินดุ่ม ๆ เข้าไปด้านในตำหนักแทนเฉียวม่อจ้องมองไปยังแผ่นหลังของฝ่าบาท พลางกำหมัดที่แดงก่ำจากความหนาวเย็นเอาไว้แน่นศิษย์พี่มิได้ชมชอบฝ่าบาท นางรู้ดีแล้วฝ่าบาทเล่า?ฝ่าบาทดูเหมือนจะ...ชอบศิษย์พี่มากทว่า ไม่ว่าจะชมชอบสตรีมากเพียงใดก็ตาม พระองค์ก็คงมิยอมให้สตรียื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องราวในราชสำนักอย่างแน่นอน ทั้งยังมิยินยอมให้นางมารังแกท่านแม่ทัพภายใต้การบังคับบัญชาของตนเองอีกด้วย!ภายในตำหนักในเมื่อเซียวอวี้เข้ามานั้น เขาก็ไล่คนอื่น ๆ ให้ออกไปในทันที ซันหมัวมัวหันกลับไปมองฮองเฮาด้วยท่าทีหมดหนทาง พลางใช้สายตาสื่อออกมาวว่า “ผู้ใดให้ท่านมิฟังคำข้า เกิดเรื่องแล้วใช่หรือไม่” เฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นยืนทำความเคารพ ทว่า บนใบหน้าหาได้มีท่าทีตื่นตระหนกหรือรู้สึกผิดอันใดไม่“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”เซียวอวี้พลางถามด้วยท่าทีดุดัน“เหตุใดต้องลงโทษแม่ทัพเมิ่งให้นั่งคุกเข่าด้วย?”เซียวอวี้มิได้เอ่ยต่
เฉียวม่อที่ยืนมาโดยตลอดนั้น เมื่อได้ยินเฟิ่งจิ่วเหยียนออกคำสั่งให้ตนเองคุกเข่าลง นางถึงกับชะงักไปในทันทีแววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนฉายแววเย็นชา“ข้าสั่งให้เจ้าคุกเข่า เจ้าย่อมมิอาจยืนได้ ตนเองเป็นถึงขุนนางของราชสำนัก แม้แต่กฏเช่นนี้ยังมิรู้งั้นหรือ?”เฉียวม่อรู้สึกจุกอกขึ้นมาในทันทีไม่ว่านางจักเอ่ยเล่นลิ้นออกมาอย่างไร ย่อมมิอาจอยู่เหนืออำนาจของราชสำนักไปได้ ก่อนหน้านั้นเป็นเพราะศิษย์พี่เอ็นดูนาง อย่าว่าแต่ให้คุกเข่าเลย แม้แต่ให้ยืนนาน ๆ ศิษย์พี่ก็หาให้นางทำเช่นนั้นไม่ความห่างของระดับชั้นนี้ ทำเอาเฉียวม่อมิอาจรับได้ นางยืนนิ่งมิขยับเช่นนั้นอยู่นานเมื่อได้ยินคำสั่งของเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น องครักษ์ของวังหลวงจึงได้เข้ามาในตำหนักเฉียวม่อที่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น พลันนึกไปถึงศิษย์พี่ยามที่อยู่ในค่ายทหาร เพียงแค่ร้องเรียกคำเดียว บรรดาเหล่าทหารก็จะก้าวออกมารับคำสั่งในทันทีนี่คืออำนาจเป็นแม่ทัพนั้นมีอำนาจ ฮองเฮาก็มีอำนาจเช่นกันเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยออกมาด้วยท่าทีดุดันว่า“เมิ่งเฉียวม่อกระทำตัวต่อเราด้วยความหยาบคาย ลากออกไปคุกเข่าสักหนึ่งชั่วยามเสีย”ทหารองครักษ์รับคำสั่งพวกเขาหาได
ไทฮองไทเฮาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง“เจ้าแต่งเข้าวังมาก็นานแล้ว หากยังมิได้เข้าร่วมบรรทมกับฝ่าบาทอีกใช้ได้ที่ใดกัน?”เดิมทีพระนางตั้งใจจะเป็นธุระจัดการเรื่องนี้ให้ ทว่า ฝ่าบาทที่มิใส่ใจเรื่องนี้จึงได้แต่พยายามบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอดในเมื่อฝ่าบาทสามารถทำให้ฮองเฮาตั้งครรภ์ได้แล้วนั้น เช่นนี้พระองค์ย่อมมิอาจหาเรื่องปฏิเสธไปได้อีกอีกทั้ง เขาที่เคารพรักเสด็จย่าเช่นนางมาโดยตลอดในยามที่เพิ่งจัดพิธีมงคลสมรสไปได้ไม่นานนั้น ฮองเฮาก็ยังเป็นสตรีพรหมจรรย์อยู่ หากแต่เป็นพระนางที่ออกคำสั่ง จึงทำให้ฝ่าบาทและฮองเฮาได้เข้าหอเช่นนี้การถวายตัวของฉานเอ๋อร์นั้น ไทฮองไทเฮาจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งใบหน้าสวยงามของมู่หรงฉานพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตาลงพลางตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า“หม่อมฉันน้อมรับฟังคำของท่านเพคะ”ถึงแม้ท่าทีของมู่หรงฉานจักดูอ่อนโยนเรียบร้อย ทว่า นัยน์ตากลับฉายแววความทะเยอทะยานออกมาแต่งเข้าวังมาในฐานะสนม ประสูติพระโอรส เดิมทีทั้งหมดล้วนแต่เป็นเป้าหมายของนางทว่านางถูกเรื่องราวของตระกูลมารดาฉุดรั้งเอาไว้เท่านั้นในยามนี้ก็ปล่อยให้ฮองเฮามีอำนาจเหนือกว
ซุนหมัวมัวที่มิอาจควบคุมความอยากรู้อยากเห็นของตนเองได้นั้น จึงแกะจดหมายประจำตระกูลของฮองเฮาออกมาน่าแปลก เนื้อหาด้านในจดหมายเป็นเพียงเนื้อหาปกติทั่วไปที่สื่อถึงความเป็นห่วงเป็นใยเท่านั้นจดหมายเช่นนี้เหตุใดจึงต้องลอบส่งออกจากวังไปด้วยเล่า?หาได้เป็นเรื่องที่จำเป็นไม่เมื่อกลับมาคิด ๆ ดูแล้วนั้น บางทีอาจจะเป็นแผนการที่ฮองเฮาลอบทดสอบความสามารถของนางดูก็เป็นได้ ว่านางจักสามารถใช้การได้หรือไม่ซุนหมัวมัวจึงรีบทำตามรับสั่ง พลางนำจดหมายลอบส่งไปที่ประตูทิศตะวันออกในทันทีทางด้านประตูทิศตะวันออกนั้นมีคนรอรับจดหมายอยู่แล้วไม่นานนัก อู๋ไป๋จึงได้รับจดหมายในทันทีเนื้อความในจดหมายแม้จักดูธรรมดาไปนัก แต่แท้จริงแล้วเป็นการจัดเรียงข้อความลับท่านแม่ทัพน้อยมักจะชอบใช้ “สามสี่หนึ่งห้า”นั่นก็คือ วงคำที่เกี่ยวข้องในแต่ละประโยคออกมา เมื่อนำความหมายมาเชื่อมโยงกันนั้น ก็จักแปรเปลี่ยนเป็นความหมายแท้จริงที่ต้องการจะสื่อ——[เฉียวม่อมีคนให้ความช่วยเหลือ สืบหา]เมื่ออู๋ไป๋อ่านจบแล้วนั้น เขาก็จัดการเผาจดหมายทิ้งในทันที……ภายในตำหนักหย่งเหอวันแรกของปีเช่นนี้ เหล่าบรรดานางสนมทั้งหลายย่อมมาแสดงควา