Share

บทที่ 2

Author: อี้ซัวเยียนอวี่
เฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่ในห้องหรี่ดวงเนตรงามลงเล็กน้อย

วันนี้ไม่ว่าผลตรวจร่างกายเป็นเช่นไร ก็ล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเฟิ่งทั้งสิ้น

หวงกุ้ยเฟยจะต้องตัดสินว่าบุตรีตระกูลเฟิ่งไม่บริสุทธิ์เป็นแน่ จากนั้นก็ใช้เหตุนี้สร้างเรื่องตามมา

ถ้าคนที่มาสวมรอยแทนอย่างนางถูกตรวจร่างกายได้ผลว่ายังบริสุทธิ์ ถึงจะสามารถป้องกันแผนร้ายของหวงกุ้ยเฟย แต่ก็คงจะทำให้หวงกุ้ยเฟยนึกสงสัยขึ้นมา

ทันทีที่เรื่องสวมรอยแต่งงานมีพิรุธปรากฏ ถึงยามนั้นโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงก็เพียงพอให้ตระกูลเฟิ่งประสบหายนะได้แล้ว!

สายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนมองตรงไปข้างหน้า ใช้มือที่จับทวนมาจนชินนั้นแต้มบุปผาตรงหว่างคิ้วของตนเองอย่างหนักแน่น

สิ่งที่อาจารย์สั่งสอนนางมีเพียงหลักพิชัยสงครามและหลักการเป็นขุนนาง

อาจารย์หญิงเคยสอนหลักการครองเรือนให้นาง ในนั้นย่อมมีธรรมเนียมปฏิบัติในวังหลวงด้วยเช่นกัน ยามนั้นแม้นางได้เรียนรู้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้นำมาใช้งาน

เพราะปณิธานของนางอยู่ที่ใต้หล้า ไม่ต้องการถูกคุมขังไว้ในเรือน เป็นเพียงภรรยาตัวน้อยที่โอนอ่อนผ่อนตามสามี

คิดไม่ถึงว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต

นอกห้อง

ขันทีผู้นั้นเดินนำนางกำนัลจากในวังหลวงตรงมาอย่างดุดัน

“ฮูหยิน นี่คือบัญชาของหวงกุ้ยเฟย ท่านยังกล้าฝ่าฝืน?”

เฟิ่งฮูหยินขวางอยู่หน้าห้องบุตรสาว ไม่ยอมถอยแม้ก้าวเดียว

“ต่อให้เป็นหวงกุ้ยเฟยก็ไม่อาจกระทำหุนหันเหยียดหยามกันเช่นนี้! คิดว่าบุตรีตระกูลเฟิ่งของข้าเป็นอะไรกัน!”

ขันทีเลิกคิ้ว ความเยาะหยันฉายชัดในแววตา

ตระกูลนี้คิดว่าตัวเองเป็นหงส์จริง ๆ งั้นรึ?

ต่อให้เป็นหงส์จริง ขนร่วงไปหมดแล้ว กระทั่งไก่ยังสู้ไม่ได้

“เฟิ่งฮูหยิน ท่านไม่ชอบไม้อ่อนแต่จะเอาไม้แข็งใช่หรือไม่? เช่นนั้นก็ล่วงเกินแล้ว!” น้ำเสียงขันทีกดต่ำ สีหน้าสะท้อนความเหี้ยมเกรียมหลายส่วน

จากนั้น เขาก็โบกมือทีหนึ่ง บัญชาองครักษ์ด้านหลัง

เฟิ่งฮูหยินมีสีหน้าตะลึงงัน

ที่นี่คือจวนตระกูลเฟิ่งนะ!

พวกเขาจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว!

ครั้นเฟิ่งฮูหยินกำลังจะถูกองครักษ์จากวังหลวงควบคุมตัว น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอก็ดังมาจากภายในห้องโดยมีประตูคั่นกลาง

“ตระกูลเฟิ่งของข้าเคยมีฮองเฮาทั้งสิ้นสิบสามคน ทุกคนล้วนมีชื่อเสียงดีงาม

“วันนี้มีคนกังขาในความบริสุทธิ์ของข้า คิดว่าข้าคงมีสิ่งใดน่าแคลงใจ มิฉะนั้นไยจึงมีคนสงสัยในตัวข้ากันเล่า?

“ในเมื่อเป็นความผิดของข้าเพียงผู้เดียว ข้าไม่อยากเห็นตระกูลเฟิ่งต้องได้รับความไม่เป็นธรรมเพราะเรื่องนี้ จึงได้แต่ใช้ความตายมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์

“รบกวนท่านแม่หาแพรขาวสามฉื่อ[1]มาให้ข้า รอหลังข้าตายไปแล้ว โปรดยกศพของข้าให้พวกเขาตรวจสอบ ยามนั้นย่อมจะทราบเองว่าลูกเป็นผู้บริสุทธิ์

“เช่นนี้ จะได้ไม่กระทบต่อชื่อเสียงตระกูลเฟิ่ง!”

เฟิ่งฮูหยินหน้าซีดเผือด “ไม่ได้เด็ดขาดนะ!”

ขันทีที่เมื่อครู่นี้ยังจองหองพองขน ชั่วขณะนี้กลับลังเลขึ้นมาเสียแล้ว จากนั้นก็โบกมือส่งสัญญาณให้องครักษ์หยุดอยู่กับที่

เขาเดินหน้ามาหลายก้าว กล่าวกับคนในห้องด้วยท่าทีอ่อนน้อมจอมปลอม

“คุณหนูใหญ่เฟิ่ง เรื่องหาได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้นไม่

“หากท่านบริสุทธิ์จริงก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวการตรวจสอบ

“นางกำนัลสองท่านนี้เป็นผู้มากประสบการณ์ จะต้องปรนนิบัติเป็นอย่างดีแน่นอน”

จากคำกล่าวของเขา หากเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ให้ความร่วมมือก็เท่ากับว่าร้อนตัว

ขณะที่เขานึกว่าตัวเองจัดการคนในห้องได้อยู่หมัดแล้วนั่นเอง ก็ได้ยินเสียงถามมาอีกว่า

“กงกง ตกลงแล้วเป็นหวงกุ้ยเฟยที่สงสัยข้า หรือว่าฝ่าบาทที่ทรงสงสัยกันแน่?”

ขันทีผู้นั้นขมวดคิ้วน้อย ๆ

เขายังไม่ทันตอบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ชิงตอบเสียเอง

“คิดดูแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นหวงกุ้ยเฟย

“นางเป็นเพียงสนมในวังหลังคนหนึ่ง จะกล้าล้ำเส้นมาสงสัยฮองเฮาที่แต่งเข้าราชวงศ์อย่างถูกต้องตามธรรมเนียมเช่นข้าได้อย่างไร?

“เป็นได้เพียงฝ่าบาทหรือไม่ก็ไทเฮาที่ทรงสงสัย จึงอ้างนามหวงกุ้ยเฟยมากระมัง”

ขันทีได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ

เขาโต้แย้งกลับไปโดยพลัน

“คุณหนูใหญ่เฟิ่ง! ท่านกล้าดีอย่างไร...”

เฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่งอย่างยิ่ง ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย

“ถ้าเป็นราชวงศ์ที่สงสัยในตัวข้า บุตรีตระกูลเฟิ่งของข้าไม่ยินดีรับคำครหาที่ไม่มีมูลเช่นนี้

“ต่อให้วันนี้พิธีอภิเษกสมรสไม่สำเร็จเสร็จสิ้น ก็ต้องไปร้องทุกข์ที่สุสานหลวงบนเขาอวิ๋นไถให้จงได้!”

ขันทีเห็นเรื่องมาถึงขั้นนี้ก็พลันรู้สึกร้อนใจ หนังตากระตุกยิบ

ถ้าเรื่องนี้ลุกลามบานปลายก็จัดการยากแล้ว!

เฟิ่งเวยเฉียงเปลี่ยนมามีคารมคมคายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด!

วังหลวง

ตำหนักหลิงเซียว

หวงกุ้ยเฟยเอนกายบนตั่งคนงามอย่างเกียจคร้าน นางกำนัลหลายคนช่วยกันบีบไหล่ทุบขาให้นาง

ฟังคำรายงานของขันทีจบแล้ว ดวงตาเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนดุจจิ้งจอกของนางก็ฉายแววเย็นชา

“เฟิ่งเวยเฉียง นางคนชั้นต่ำนั่น นางพูดเช่นนี้จริง ๆ รึ ?”

ขันทีพยักหน้าติดต่อกัน

แววตาหวงกุ้ยเฟยเย็นชากว่าเดิม นางถีบนางกำนัลที่กำลังทุบขากระเด็นแล้วหยัดร่างขึ้นนั่ง

“นางกล้าแต่งเข้าวังมา ไม่กลัวว่าจะถูกจับได้ในคืนเข้าหอ หรือว่าข่าวสารผิดพลาด นางไม่ได้เสียพรหมจรรย์?”

ขันทีคุกเข่าลงบนพื้นทันที “หวงกุ้ยเฟย บ่าวมิทราบขอรับ!”

...…

เกี้ยวเจ้าสาวถูกหามเข้าไปในประตูวัง ตามธรรมเนียม เฟิ่งจิ่วเหยียนจะต้องถูกนำตัวไปยังตำหนักข้าง รอจนถึงฤกษ์มงคลจึงจะเข้าไปทำพิธีในตำหนักหลัก

เหลียนซวง สาวใช้ของนางยังประหม่ากว่านางเสียอีก ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้าง ๆ

“คุณหนู ว่ากันว่าฝ่าบาททรงเอาใจยากนัก เคยสั่งประหารขุนนางใหญ่หลายสิบคนในวันเดียว สตรีที่มาเป็นสนมโดยสมัครใจในวังหลังเหล่านั้น ล้วนได้รับพระราชทานความตายด้วยวิธีโหดเหี้ยมเหลือแสน

“ยังถึงขั้นพูดกันว่า ฝ่าบาทเป็นเทพสังหารมาจุติ โหดร้ายกระหายเลือด...”

ข่าวลือเหล่านี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนเคยได้ยินตั้งแต่ตอนอยู่ที่ชายแดนแล้ว

ฮ่องเต้เซียวอวี้เป็นฮ่องเต้ทรราชองค์หนึ่ง

เหลียนซวงยังคงพูดต่อไป

“แต่ตอนแรกฝ่าบาทไม่ได้เป็นเช่นนี้ ทว่านับแต่หรงเฟยที่ทรงรักใคร่เสียชีวิตก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

“คุณหนู ท่านรู้ไหมเจ้าคะ สาเหตุที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานหวงกุ้ยเฟยก็เพราะหวงกุ้ยเฟยมีหน้าตาคล้ายหรงเฟยอย่างมาก สนมทั้งหลายในวังหลังเหล่านั้น ทุกคนล้วนคล้ายหรงเฟยไม่มากก็น้อย

“แต่สำหรับสตรีที่ฝ่าบาทไม่โปรดปราน เขาล้วนแต่...”

เหลียนซวงมองไปทางคุณหนู อดกังวลแทนอีกฝ่ายไม่ได้

คุณหนูไม่มีส่วนคล้ายหรงเฟยเลยแม้สักนิด ไม่เพียงจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ แต่ยังอาจถูกฮ่องเต้รังเกียจเดียดฉันท์อีกด้วย

เกรงว่าคืนเข้าหอคงไม่สงบนัก

----------------------------------------------

[1] แพรขาวสามฉื่อ คือผ้าที่ใช้ในการผูกคอตาย ไม่จำเป็นต้องยาวสามฉื่อเสมอไป แค่ยาวพอสำหรับการผูกคอก็พอแล้ว (ทั้งนี้ 1 ฉื่อ เท่ากับ 33.33 ซม.)
Continue to read this book for free
Scan code to download App
Comments (25)
goodnovel comment avatar
Joom
I never read the good novel before.
goodnovel comment avatar
กัณทิกา กิติชาติกุล
มีทั้งหมดกี่ตอนคะ
goodnovel comment avatar
Dafefo Jom
ดี สนุก น่าอ่าน ชอบจ้า
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 3

    ณ ตำหนักฉือหนิง ที่ประทับของไทเฮาไทเฮาได้ยินเรื่องที่จวนตระกูลเฟิ่งแล้วก็มีสีพระพักตร์แช่มชื่น กล่าวกับกุ้ยหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายว่า“ตอนงานวันเกิดของข้าปีที่แล้ว เคยเห็นเฟิ่งเวยเฉียงผู้นั้น นิสัยนางอ่อนโยนเกินไป เวลานั้นข้าก็รู้สึกว่านางยากจะรั้งตำแหน่งฮองเฮาได้“เรื่องในวันนี้กลับแปลกใหม่นัก ถึงกับโต้แย้งคนของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ต่อหน้าธารกำนัล“ข้าต้องมองนางใหม่เสียแล้ว”กุ้ยหมัวมัวเป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายไทเฮา เข้าใจความซับซ้อนในวังอย่างลึกซึ้ง นางรินน้ำชาร้อนกรุ่นให้ไทเฮา“แต่ดูจากความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมีต่อหวงกุ้ยเฟย แม้ฮองเฮาจะปราดเปรื่องกล้าหาญเพียงไหนก็ยากจะรับมือท่านที่อยู่ตำหนักหลิงเซียวผู้นั้นได้ คืนนี้ ยากจะรับประกันว่าหวงกุ้ยเฟยจะไม่ก่อเรื่องนะเพคะ”เห็นได้ชัดว่านางมีความเห็นแตกต่างจากไทเฮา ไม่คิดว่าฮองเฮาจะมีความสามารถถึงเพียงนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าไทเฮาสลายไป“เจ้าพูดถูก ข้ายังจำได้ว่า วันที่ซิ่วหว่านเข้าวัง เดิมนั้นฝ่าบาทตั้งใจจะไปหานาง ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ผู้นั้นจะเข้ามาขัดขวาง เชิญฝ่าบาทไปหา“น่าสงสารก็แต่ซิ่วหว่านเด็กคนนั้น แม้แต่อาหญิงอย่างข้าก

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 4

    ฮ่องเต้ทรราชจะเสด็จมา เฟิ่งจิ่วเหยียนได้แต่บอกให้เหลียนซวงทำทรงผมกลับไปตามเดิม แต่มือของเหลียนซวงสั่นเทิ้ม คิดว่าคงเป็นเพราะหวาดกลัวฮ่องเต้ทรราชที่กำลังจะมาเยือนผู้นั้นนางมือสั่น ย่อมทำผิดพลาดอย่างไม่อาจเลี่ยงเมื่อถูกถอนผมเป็นเส้นที่สาม เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ทนไม่ไหว เอ่ยเสียงเย็นชาว่า“ถอยไป ข้าจัดการเอง” นางเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม การฝึกฝนทำผมทรงต่าง ๆ ให้ได้อย่างคล่องแคล่วจึงเป็นสิ่งจำเป็นด้วยเหตุนี้ นางจัดแจงเพียงไม่กี่ครั้งก็ทำให้ทรงผมกลับไปเหมือนตอนแรกได้แล้ว เหลียนซวงเห็นแล้วก็ตกตะลึงเหลือล้น“ฮองเฮา ท่านมีฝีมือยอดเยี่ยมนักเพคะ!”แต่ขณะที่ฝั่งพวกนางเตรียมความพร้อมต้อนรับฮ่องเต้ คนจากนอกตำหนักก็มารายงานอีกครั้งว่า“ฮองเฮา โรคปวดศีรษะของหวงกุ้ยเฟยกำเริบ ฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักหลิงเซียวแล้วเพคะ”เหลียนซวงเผยอปาก รู้สึกโมโหแต่ไม่กล้าพูดออกมาหวงกุ้ยเฟยจะต้องแกล้งป่วยเป็นแน่ โรคปวดศีรษะกำเริบขึ้นมาตอนนี้ จะเหมาะเจาะขนาดนี้ได้อย่างไรคงเห็นว่าฝ่าบาทเสด็จกลับวังมาแล้วจึงให้คนไปเชิญน่ะสิพอเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยินคำว่าหวงกุ้ยเฟยก็คิดถึงเวยเฉียงน้องสาวเวยเฉียงถูกทำร้ายแสนสาหัสจนถึงแก่คว

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 5

    กลับถึงห้องหอ หัวหน้าหมัวมัวที่ตอนแรกก้มหน้าก้มตาท่าทางเข้มงวดก็สั่งให้คนเตรียมน้ำมาปรนนิบัติฮองเฮาอาบน้ำนางเบียดเหลียนซวงออก เข้ามายิ้มกว้างให้เฟิ่งจิ่วเหยียน“ฮองเฮา หลายปีมานี้ นอกจากหวงกุ้ยเฟยแล้ว ฝ่าบาทยังไม่เคยโปรดปรานสนมคนอื่นมาก่อนเลยนะเพคะ ท่านนับเป็นคนแรก!”เหลียนซวงยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกไม่ใคร่พอใจหมัวมัวผู้นี้ตอนแรกยังไม่เห็นว่านางจะปรนนิบัติด้วยความกระตือรือร้นปานนี้ ช่างเป็นพวกประจบผู้มีอำนาจเหยียบย่ำคนฐานะต่ำกว่าโดยแท้ในวังหลวงแห่งนี้ ฐานะของสตรีล้วนพึ่งพาความโปรดปรานของฮ่องเต้ดังคาด มิฉะนั้น ต่อให้สูงส่งเป็นฮองเฮาก็ยังถูกเมินเฉยไม่ได้รับการเหลียวแลหัวหน้าหมัวมัวพูดอะไรไปมากมาย เฟิ่งจิ่วเหยียนล้วนไม่ตอบนางสั่งความอย่างเย็นชา “ออกไปให้หมด ให้เหลียนซวงปรนนิบัติในตำหนักคนเดียวก็พอ”……หลังจากในตำหนักเงียบลงแล้ว เหลียนซวงก็ถามอย่างกังวลใจ“ฮองเฮา ฝ่าบาทเสด็จมาย่อมเป็นเรื่องดี“แต่ท่านทำเช่นนี้ จะมิเป็นการขัดแย้งกับหวงกุ้ยเฟยหรือเพคะ?“นายหญิงบอกให้พวกเราอยู่ในวังหลวงอย่างเงียบ ๆ อย่าสร้างศัตรู โดยเฉพาะหวงกุ้ยเฟย...”“ท่านแม่ก็สอนเวยเฉียงเช่นนี้หรือ” เฟิ่งจิ่ว

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 6

    เมื่อเหลียนซวงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็รีบเข้าไปในตำหนัก“ฮองเฮา เกิดอะไรขึ้นเพคะ...”เหลียนซวงพูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงสายหนึ่งดังออกมาจากม่านอักษรมงคล [1] “ไสหัวไป”เป็นเสียงของบุรุษ!เหลียนซวงตระหนักว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว คิดจะตะโกนเรียกคนเข้ามาทันใดนั้นขันทีคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาขวางนางไว้อย่างรีบร้อน เสียงที่พยายามกดความโกรธเกรี้ยวเอาไว้กล่าวว่า“ไม่รู้จักเบิกตาดูซะบ้าง! นั่นคือฮ่องเต้!”เหลียนซวงตกตะลึงจนพูดไม่ออกฝ่ะ ฝ่ะ ฝ่า...ฝ่าบาท? ฮ่องเต้ทรราชผู้ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตาผู้นั้น?มืดค่ำถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดอยู่ ๆ พระองค์ถึงเสด็จมาเล่า!!ภายในม่านฝ่ามือใหญ่ของบุรุษกดไหล่ข้างหนึ่งของเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งจับข้อมือข้างที่นางถือกริช โน้มร่างอยู่เหนือนาง ราวกับสิงโตที่กำลังโถมเข้าหาเหยื่อเดิมเฟิ่งจิ่วเหยียนสามารถลองสลัดให้หลุดได้ แต่เมื่อรู้สถานะของอีกฝ่ายนางจึงไม่ได้ลงมือในความมืดมิด นางไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดแต่รังสีฆ่าฟันบนร่างของเขาเข้มข้นยิ่ง“ฮองเฮา ไม่อธิบายซักหน่อยหรือ?”น้ำเสียงทุ้มอันราบเรียบของบุรุษทำให้คนรู้สึกกลัวเกรงหากเป็นสต

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 7

    คืนนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่านางต้องถูกเอาเปรียบซักครั้ง เฟิ่งจิ่วเหยียนคาดการณ์เรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วที่จริงเมื่อเทียบกับโดนฮ่องเต้ทรราชนี่พรากคืนแรกไป ให้ทำเองยังนับว่าดีกว่ามากนักอย่างน้อยก็ไม่ต้องทนถูกคนกดไว้ข้างล่างเฟิ่งจิ่วเหยียนฉีกผ้าจากชายกระโปรงออกมาชิ้นหนึ่ง นำมาปูรองไว้เป็นผ้าพรหมจรรย์[1]หลังจากนั้นก็ใช้มือหนึ่งถลกกระโปรงขึ้นมา อีกข้างพลิกมือจับกริชนั้นถึงแม้นางตัดสินใจแล้วว่าจะทำ แต่ร่างกายยังคงต่อต้านโดยสัญชาตญาณนางปลอบใจตัวเอง คิดเสียว่าโดนแทงหนึ่งทีแล้วกันตั้งแต่เล็กจนโตนางบาดเจ็บมาน้อยหรือไร?จากนั้นนางก็เริ่มออกแรง...เพียงชั่วพริบตานั้นเองพละกำลังสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจับข้อมือนางเอาไว้แน่นเฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเซียวอวี้แย่งกริชในมือนางไปอีกครั้ง ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก“ช่างเป็นสตรีที่โง่เสียจริง”เคร้ง!กริชถูกโยนออกไปนอกม่านเตียงอักษรมงคล“เจ้าจะบริสุทธิ์หรือไม่ เราไม่แยแสแม้แต่น้อย”“ในเมื่อเจ้ากล้าแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเป็นฮองเฮาให้ได้ เช่นนั้นก็อย่าแกล้งโง่ไปเลย”“ดังเช่นที่เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าเราอยู่ที่ตำหนักห

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 8

    เฟิ่งจิ่วเหยียนดูไม่เหมือนพระมเหสีที่ถูกพระสวามีทอดทิ้งอย่างเย็นชาแม้แต่น้อย นางสวมชุดอย่างฮองเฮา แลดูสูงศักดิ์ดั่งพญาหงส์ที่เดินดินนัยน์ตาที่เยือกเย็นคู่หนึ่ง ม่านตาสีอ่อนเผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์ที่มิอาจเอื้อมราวกับหยกผิวพรรณของนางหาได้ซีดขาวอมโรคเหมือนดังที่สตรีในเมืองหลวงนิยมกันไม่ แต่เป็นผิวที่อิ่มเอิบและเปล่งปลั่งดังกลีบกุหลาบรูปลักษณ์งดงามแฝงด้วยความสูงศักดิ์น่าเกรงขาม งามล้ำดั่งเทพธิดาในวังจันทราเหล่าผู้คนในวังหลังล้วนคุ้นเคยกับการเห็นสนมนางในที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับหรงเฟยดี พอวันนี้ได้พบกับความงามพิลาสล้ำของฮองเฮาก็ตาลุกวาวราวกับจะเปล่งแสงได้ไม่เสียทีที่เป็นหญิงงามผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นในเมืองหลวง รูปโฉมงดงามล่มเมืองเช่นนี้ หาใช่ปุถุชนคนธรรมดาจะเทียบเคียงได้ตั้งแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าสู่ยุทธภพเพียงลำพัง นางก็ใช้ชีวิตแปลงโฉมหน้ามาโดยตลอดสำหรับนางแล้วหน้าตาที่งดงามคือภาระ โดยเฉพาะในค่ายทหารอาจารย์หญิงมักบอกว่าใบหน้างามนี้ของนางช่างเสียเปล่ายิ่งนัก วัน ๆ ล้วนแต่ถูกนางใช้อย่างส่งเดชเหลียนซวงที่เดินติดตามอยู่ด้านหลังฮองเฮาก็พลันรู้สึกมีหน้ามีตาไปด้วยเมื่อเดินจนถึง

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 9

    รุ่ยอ๋องไม่อาจทำใจได้จึงเอ่ยปากโน้มน้าว“ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ ออกจะโหดร้ายต่อฮองเฮาไปซักหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”ทว่าเซียวอวี้กลับสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้เพียงภาพแผ่นหลังอันน่าเกรงขามที่ยากจะต่อกรได้สายลมพัดโชยโบกสะบัดเสื้อของบุรุษผู้นี้ เขาย่างก้าวเดินลงบันได สายตาทอดมองไปไกลโพ้น กวาดตามองทัศนียภาพของอุทยานหลวงและสนามม้าหลวงไว้ในสายตา รวมทั้งภาพของสตรีที่ขี่ม้าอยู่เมื่อครู่นี้ด้วยภาพเงาร่างของหญิงสาวที่ขี่ม้าในความทรงจำ ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้......เพราะได้รับความตื่นตระหนก ไทเฮาจึงเสด็จกลับตำหนักฉือหนิงก่อนเฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็กลับตำหนักหย่งเหอของตนตามกฎระเบียบแล้วฮองเฮายังต้องรับการคารวะจากเหล่าสนมนางในแต่สนมนางในที่มาถึงก่อนแล้วกลับมีเพียงน้อยนิด ส่วนใหญ่หากไม่อ้างว่าป่วย ก็อ้างว่ายุ่งกับภารกิจในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็ไม่มีใจจะมานั่งเสแสร้งรับหน้าพวกนาง จึงส่งพวกนางไม่กี่คนที่มาให้กลับไปเสียผ่านไปไม่นานก็มีคนมาถ่ายทอดคำพูดของฮ่องเต้“ฮองเฮา ฝ่าบาทได้ทรงทราบถึงคุณงามความดีที่เมื่อเช้าพระองค์ได้ทรงช่วยไทเฮาเอาไว้แล้ว ทรงพระราชทานหยกสมปรารถนาให้คู่หนึ่

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 10

    ดูเหมือนว่ารุ่ยอ๋องจะเพิ่งออกมาจากตำหนักฉือหนิง เขาก้าวเดินมาข้างหน้าแล้วคารวะเฟิ่งจิ่วเหยียน“น้องชายขอคารวะพี่สะใภ้”การที่เขาเรียกนางเป็นพี่สะใภ้ไม่ใช่ฮองเฮา แสดงให้เห็นว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮ่องเต้เหลียนซวงที่ชำเลืองมองรุ่ยอ๋องตกอยู่ในภวังค์รุ่ยอ๋องช่างรูปงามเสียจริง! หน้าตาสะอาดสะอ้าน บุคลิกมารยาทงามสง่า ลักษณะเช่นนี้ดีกว่าฮ่องเต้ทรราชที่เอาแต่ฆ่าคนตั้งมากหากผู้ที่คุณหนูแต่งด้วยคือ...เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เหลียนซวงก็รีบหยุดความคิดที่ไร้สาระนี้ทันทีกฎระเบียบในวังเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่อาจเทียบกับในค่ายทหารที่สามารถพูดคุยกับบุรุษอย่างไรก็ได้เมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะจากไป รุ่ยอ๋องพลันเอ่ยปากแสดงความเป็นห่วงออกมา“การประหารเมื่อวานนี้พี่สะใภ้ได้รับความตระหนกหรือไม่? ”เฟิ่งจิ่วเหยียนที่จดจ่ออยู่กับความคิดตอบกลับอย่างกลัวพิกุลจะร่วงว่า “ไม่”“เมื่อวานยามที่พี่สะใภ้ปราบพยศม้าตัวนั้น ข้าบังเอิญเห็นเข้าพอดี ท่านฝีมือดียิ่ง ที่จริงแล้วฝ่าบาททรงโปรดสตรีที่มีทักษะการขี่ม้า พี่สะใภ้เริ่มต้นจากเรื่องนี้ดู บางทีอาจจะได้รับความโปรดปราน”น้ำเสียงของรุ่ยอ๋องอ่อนโยนนุ่มนวลราวก

Latest chapter

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1066

    ก่อนที่งานชุมนุมประลองยุทธ์จะเริ่มขึ้น รองเจ้าสำนักอวิ๋นซานก็เดินขึ้นไปบนเวที“สำนักอวิ๋นซานยินดีต้อนรับเหล่าวีรบุรุษผู้กล้าทุกท่าน งานชุมนุมประลองยุทธ์ที่จัดขึ้นหนึ่งครั้งต่อหนึ่งปี จะมีการคัดเลือดเจ้ายุทธจักรแห่งอู่หลิน เพื่อสร้างยุทธภพให้ยิ่งใหญ่ ภายใต้การนำของผู้แข็งแกร่ง”“ทุกท่าน ก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น ข้าขอพูดอะไรอีกสักหน่อย“กฎในการประลองครั้งนี้ พวกท่านน่าจะเข้าใจกันดี“ก่อนเริ่มประลอง สำนักไหนคว้าชัยชนะได้ถึงสิบห้าครั้งก่อน ถือว่าชนะการประลอง“แม้นจะกล่าวว่านักบุ๋นไร้ที่หนึ่ง นักบู๊มีได้เพียงผู้เดียวในใต้หล้า แต่การประลองในวันนี้ ให้สิ้นสุดเมื่อมีการสัมผัสตัว ห้ามให้ถึงแก่ชีวิต หากเพื่อแย่งชิงที่หนึ่ง ทำให้คนร่วมยุทธภพต้องตาย ถึงจะชนะ ก็เอาชนะใจผู้คนไม่ได้”“พูดได้ถูกต้อง!” คนข้างล่างส่งเสียงเห็นด้วยรองเจ้าสำนักผู้นั้นมองผู้คนโดยรอบ พูดอีกว่า“หากทุกท่านไม่มีเรื่องจะถามแล้ว เช่นนั้น การประลองในครั้งนี้ ก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ!”คนที่นั่ง ณ ตำแหน่งหลัก คือเจ้าสำนักอวิ๋นซาน——ชิวเฮ่อรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผากของเขาเหมือนหุบเหว ดูแก่ชราอย่างมาก แต่ยังดูคล่องแคล่ว

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1065

    เฟิ่งจิ่วเหยียนเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่แรก ใบหน้าภายใต้หน้ากาก นางก็ทำการแปลงโฉมมาก่อนแล้วหลังจากที่ถอดหน้ากากออก นางก็เงยหน้าอย่างผ่าเผย แววตาเด็ดเดี่ยวทรงพลัง“เจ้าทำอะไรน่ะ!” ศิษย์ในสำนักเฉวียนเจินผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ผลักลูกศิษย์สำนักอวิ๋นซานที่เข้ามาเกาะแกะตัวเองออกไปอีกฝ่ายหลงคิดไปเอง“ข้าต่างหากที่ต้องถามว่าเจ้าทำอะไร! หลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจค้นร่างกาย ดูก็รู้แล้วว่ามีพิรุธ!”“ข้าหลบซ่อนอย่างไร? เห็น ๆ กันอยู่ว่า เจ้าฉวยโอกาสลูบคลำข้า…” ศิษย์สำนักเสวียนเจินผู้นั้นโต้แย้งสุดกำลังคนจากสำนักอวิ๋นซานรีบโต้แย้งนาง“ไร้สาระ! พวกข้าตรวจค้นร่างกายอย่างถูกต้อง เจ้านั่นแหละที่คิดไม่ซื่อเอง!”คนจากสำนักอื่นที่ยืนอยู่รอบ ๆ ต่างทยอยหันมามองพวกนาง เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา“สตรีจากสำนักเฉวียนเจิน แต่ละคนต่างจงใจใส่ชุดมาเช่นนี้ เบื้องหน้าดูสะอาดบริสุทธ์ แต่ลึก ๆ คงคาดหวังให้ชายหนุ่มลูบคลำเป็นแน่!”“นั่นสิ ก็แค่ตรวจค้นร่างกายธรรมดา พวกนางสะบัดสะบิ้งไปเอง แถมยังคิดว่าผู้ชายต่างชอบพวกนางอีก!​ เหอะ!”“ในยุทธภพแห่งนี้ มีใครสนใจความแตกต่างระหว่างชายหญิงที่ไหน

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1064

    ความผิดปกติของเหล่าข้าราชการเจียงโจว ไปถึงหูสำนักอวิ๋นซานอย่างรวดเร็วภายในห้องโถงหลักสำนักอวิ๋นซานเจ้าสำนักกับเหล่าผู้อาวุโสกำลังร่วมประชุมพวกเขาแต่ละคนล้วนหนักใจ คิ้วขมวดแน่นไม่คลายหนึ่งในนั้นมองมาที่เจ้าสำนัก พูดเสียงเบาในลำคอ“เจ้าสำนัก ต้องรีบตัดสินใจเร็ว ๆ นะ ดูท่าแล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากที่ฮ่องเต้จะมาที่เจียงโจว”“ใช่! ข้าก็ได้ข่าวมาเช่นนี้ พ่อตาของไอ้เด็กฮ่องเต้ ช่วงนี้เคลื่อนไหวบ่อยมาก ฮ่องเต้ต้องอยู่ที่เจียงโจวเป็นแน่!”เจ้าสำนักอวิ๋นซานหนวดเคราหงอกขาว อายุราว ๆ หกสิบปีนัยน์ตาของเขาเจือไปด้วยแววเย็นชาเล็กน้อย“ทางหมู่บ้านจู๋ซาน ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”มีคนตอบกลับ “จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวส่งกลับมา คาดว่านักฆ่าน่าจะทำไม่สำเร็จ”“ยังต้องเดาอีกหรือ? ต้องไม่สำเร็จอยู่แล้วสิ! ไม่เพียงล้มเหลว ยังมีคนทรยศสำนักอวิ๋นซานอีกด้วย! ไม่เช่นนั้น ไอ้เด็กฮ่องเต้นั่นจะมาที่เจียงโจวได้อย่างไร? ต้องพุ่งเป้ามาที่สำนักอวิ๋นซานเป็นแน่!”ทุกคนทั้งกังวลและหนักใจ หันไปมองเจ้าสำนักโดยไม่ได้นัดหมายเจ้าสำนักลูบเครา ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก็เอ่ยพูดอย่างไม่รีบร้อน“ส่งศิษย์กลุ่มหนึ่งไปสืบข

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1063

    หลังจากเข้ามาในห้อง เซียวอวี้ก็เอ่ยในที่สุดเขาไม่เป็นวิชาการเปลี่ยนน้ำเสียง อดกลั้นจนทนไม่ไหว“รองเจ้าสำนักผู้นั้น เหมือนจะยังไม่ตัดใจจากเจ้า” เขาดื่มชาเข้าไปเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้คิดมากเรื่องความรักใคร่ของหญิงสาวสิ่งที่นางสนใจมากกว่า คืองานชุมนุมประลองยุทธ์ในอีกสองวันหากชนะงานชุมนุมประลองยุทธ์ ก็จะสามารถตัดกำลังของสำนักอวิ๋นซานให้อ่อนลงได้ เช่นนี้ก็จะปลอดภัย“คิดอะไรอยู่?” เซียวอวี้เห็นนางเหม่อลอย จึงยื่นมือออกไปโบกข้างหน้านางเฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวเสียงเข้ม“ข้ากำลังคิด ว่าศักยภาพของสำนักอวิ๋นซานเป็นเช่นไร โอกาสชนะงานชุมนุมประลองยุทธ์มีเท่าไร”เซียวอวี้ยกมือขึ้นโอบเอวนางไว้เบา ๆ ถูไถจอนหูของนาง พูดเสียงเบาว่า “ข้าเชื่อว่า เราต้องชนะแน่นอน แต่ข้ามีคำถาม จำเป็นต้องอยู่ในสำนักเฉวียนเจินตลอดเลยหรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้า“เหลืออีกแค่สองวัน อีกไม่นานหรอก จะได้ไม่ต้องไป ๆ กลับ ๆ จนถูกคนจับตามอง”เซียวอวี้ถอนหายใจ“เราเป็นถึงฮ่องเต้ แต่ต้องมาแต่งตัวเป็นสตรี เป็นเรื่องน่าอับอายต่อบรรพบุรุษยิ่งนัก ฮองเฮาต้องชดเชยให้เราดี ๆ นะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักหัวเขาที่โน้มเข้ามาใกล้ออกไป

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1062

    รองเจ้าสำนักเฉวียนเจิน——เหลิ่งเซียนเอ๋อร์ นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลม ในอาภรณ์สีขาว แผ่นหลังบอบบาง แต่ไม่ดูผอมแห้งนางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา พูดเสียงดังฟังชัด“ไปเอาป้ายไม้มา”ลูกศิษย์เดินอ้อมมาตรงหน้านาง ส่งให้ด้วยสองมือวินาทีที่เห็นป้ายไม้ นัยน์ตาสวยของเหลิ่งเซียนเอ๋อร์ก็หดลงซูฮ่วนหรือ? นางมาที่สำนักเฉวียนเจิน?หรือว่า…ซูฮ่วนส่งป้ายไม้ให้ใคร แล้วคนนั้นมีเรื่องอยากขอร้องสำนักเฉวียนเจิน?เหลิ่งเซียนเอ๋อร์สีหน้าสงบนิ่ง “ให้คนผู้นั้นเข้ามา”“รับทราบ รองเจ้าสำนัก”ขณะที่ลูกศิษย์กำลังจะออกไป เลิ่งเซียนเอ๋อร์พลันเอ่ยขึ้น“ช้าก่อน”เหลิ่งเซียนเอ๋อร์ลุกขึ้น อาภรณ์สีขาวปลิวไสวราวเทพเซียนนางกำชับศิษย์ผู้นั้น “ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า รอเวลาอีกสองถ้วยชา ค่อยพาคนผู้นั้นเข้ามา”ลูกศิษย์ค่อนข้างไม่เข้าใจเสื้อผ้าของรองเจ้าสำนักก็ไม่ได้เปื้อนนี่นา จำเป็นต้องเปลี่ยนตอนนี้เลยหรือ?สำนักเฉวียนเจินล้วนเป็นผู้หญิง ศิษย์ทั่วไปอาศัยอยู่รวมกัน สิบคนต่อหนึ่งห้องเจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักมีห้องส่วนตัวเหลิ่งเซียนเอ๋อร์กลับมาที่ห้องตัวเอง เลือกใส่อาภรณ์ที่สะอาด เดิมตั้งใจจะออกไป แต่เมื่อเดินผ่านคันฉ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1061

    บ้านพักตระกูลเจียงหลังนี้ ที่เจียงหลินซื้อมาในตอนนั้น ก็เพื่อเอาไว้ต้อนรับมิตรสหายในยุทธภพ ห้องหับจึงมีอยู่เพียงพอพวกเฟิ่งจิ่วเหยียนเลือกห้องกันเอง พักผ่อนเพื่อรวบรวมพละกำลังเซียวอวี้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนนอนด้วยกัน เมื่อเข้ามาในห้อง เขาก็ปิดประตูถามว่า“เจ้าจะไปสำนักเสวียนเจินทำไม?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดกึ่งหยอกล้อ“ไปหา ‘คนรักเก่า’ เพื่อรำลึกความหลัง”เซียวอวี้รู้ว่านางไม่ได้พูดจริง จึงยิ้มออกมาเขายื่นแขนออกไปกอดเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน เอาหน้าแนบชิดกับหน้า ถูไถเบา ๆ ไร้ท่าทีน่าเกรงขามของฮ่องเต้ กลับดูเหมือนสามีน้อย ๆ “เราไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น แค่อยากรู้ ว่าการเดินทางของเจ้าในครั้งนี้จะมีอันตรายหรือไม่ เมื่อครู่เจ้าไม่ได้หลุดอะไรมากมาย ต่อหน้าพวกตงฟางซื่อ “ตอนนี้มีเพียงเจ้ากับเราสองคน เจ้าคงอธิบายกับเราให้ชัดเจนได้ใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนถอยออกจากอ้อมกอดของเขา เงยหน้ามองเขา แล้วลูบรอยแผลเป็นปลอมบนใบหน้าของเขา ด้วยความรักใคร่นางเอ่ยช้า ๆ“สำนักเสวียนเจินกับสำนักอวิ๋นซานอยู่ห่างกันไม่ไกล อย่างแรกข้าอยากไปสืบหาความจริง ให้รู้แจ้งว่าพวกเขาร่วมมือกันหรือไม่ อย่างที

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1060

    เฟิ่งจิ่วเหยียนหันมา มองมายังบิดาของตัวเอง“เจตนาของท่าน ข้าจะไปบอกท่านแม่ให้“แต่ว่า อย่าคาดหวังมากนักเลย เพราะถึงอย่างไรท่านก็ทำความผิดเอาไว้…”“ข้ารู้!” ดวงตาของนายท่านเฟิ่งทอประกายเขาพยักหน้าอย่างตื่นเต้น“ข้ารู้ว่าในตอนนั้นข้าทำผิดไว้มากมาย ข้าทำตัวเองทั้งนั้น!“ตราบใดที่แม่ของเจ้ายอมอภัยให้ข้า ในอนาคตข้าจะทำดีต่อนางแน่นอน”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้ว “การทำดีกับภรรยาตัวเอง เป็นเรื่องควรค่าแก่การโอ้อวดหรือให้คำมั่นสัญญาด้วยหรือ?”สตรีช่วยสามีอบรมสั่งสอนบุตร และคอยปรนนิบัติดูแลสามีส่วนบุรุษ แค่พูดว่า “จะทำดีต่อเจ้า” เพียงประโยคเดียว ก็สามารถทำให้ผู้หญิงซาบซึ้งได้แล้วหรือ?คำพูดปากเปล่าเช่นนี้ นางไม่รู้เลยว่า ควรไปบอกท่านแม่ดีหรือไม่“ท่านควรพูดว่า ท่านสำนึกผิดแล้ว และขาดนางไม่ได้…”นายท่านเฟิ่งฟังมาถึงตรงนี้ จิตใจที่รักศักดิ์ศรีพลันจุดติดประกายไฟเขาตีหน้าเข้มโต้แย้งกลับไป“เป็นสามีภรรยากันมาเนิ่นนาน ยังจะต้องพูดอะไรหวานซึ้งเช่นนั้นอีกหรือ? “เอาเป็นว่าแค่แม่เจ้ารู้ว่าข้าไปทบทวนมาแล้ว ก็ต้องกลับมาแน่นอน“อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าข้าขาดนางไม่ได้ อย่างที่เจ้าคิด วันนี้ยังมีหลา

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1059

    ก่อนหน้านี้ในหมู่บ้านจู๋ซาน แม้แต่ประชาชนทั่วไปยังวาดภาพเหมือนของฮ่องเต้ได้ เท่านี้ก็พอจะรู้แล้วว่าเรื่องที่ฮ่องเต้ใส่ชุดสามัญชนออกตรวจ เป็นที่รู้กันโดยถ้วนหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนในเจียงโจวจำได้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงสร้างรอยแผลเป็นปลอมบนหน้าของเซียวอวี้ ดูน่าสยดสยองอย่างมาก มองอย่างไรก็มองไม่ออกว่าเป็นเขานางเองก็ใส่หน้ากากเช่นกัน หน้ากากนั้นปกปิดใบหน้าของนางครึ่งหนึ่ง ไม่ทำให้จำได้ง่ายแน่นอนทว่า ณ บริเวณประตูเมือง มีนายท่านเฟิ่งผู้มีดวงตาหลักแหลมอย่างแรก นั่นคือลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองอย่างที่สอง เขารู้ข่าวที่ฝ่าบาทแต่งตัวเป็นสามัญชนออกตรวจตั้งนานแล้ว ช่วงนี้จึงให้ทานแจกข้าวต้มผู้ประสบภัยทุกวัน เพื่อรอคอยฝ่าบาท เขาเตรียมการณ์เพื่อสิ่งนี้ไว้ตั้งแต่แรก ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองคนต่างถิ่นเหล่านั้นที่เข้ามาในเมืองดังนั้น ทันทีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้ปรากฏตัว เขาก็รู้สึกคุ้นตาทว่าเขาไม่ได้รีบเข้าไปทำความเคารพแสดงละครก็ต้องแสดงให้ถึงที่สุด เขายังรอถูกโยกย้ายกลับไปที่เมืองหลวง!เมื่อเซียวอวี้เห็นพฤติกรรมของนายท่านเฟิ่ง เขาก็พูดกับเฟิ่งจิ่วเหยียนเสียงเบา “พ่อของเจ้าเหมือนจะเ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 1058

    หลังจากพวกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกไป เลี่ยอู๋ซินก็เอาวิธีต่าง ๆ ออกมาใช้ไม่ขาดสายมากจนทำให้ตงฟางซื่อที่มีความรู้ที่กว้างขวางยังต้องเบิกตากว้าง และอยากเอาอาหารรสเลิศที่กินไปตอนเย็นอาเจียนออกมาให้หมด...เขาหันกลับมามองเฉินจี๋ก็เห็นเฉินจี๋สีหน้าเรียบเฉย ไม่เปลี่ยนสีหน้าสมแล้วที่เป็นราชองครักษ์ข้างกายฝ่าบาท ช่างใจเย็นเสียจริงตอนที่ตงฟางซื่อกำลังคิดเช่นนี้ เฉินจี๋ก็พลันหันศีรษะไปด้านข้าง“แหวะ——”ตงฟางซื่อ : ที่แท้ราชองครักษ์ก็เป็นคนธรรมดาเช่นกันจากนั้นเขาก็รีบเดินไปที่มุมกำแพงหนึ่ง อ้าปากอาเจียนไม่หยุดเฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่ห้องข้าง ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างทรมานผสมกับเสียงอาเจียนด้วยนางขมวดคิ้วนี่ใครอาเจียนกัน?หลังผ่านไปครึ่งชั่วยามเสียงห้องด้านข้างก็เบาลงเฉินจี๋มาเคาะประตู“ฝ่าบาท สอบปากคำได้ความแล้วพ่ะย่ะค่ะ”พอเปิดประตูกลับพบว่าเฉินจี๋มีสีหน้าซีดขาวราวกระดาษ แม้แต่ริมฝีปากก็ซีดด้วยอู๋ไป๋สงสัยยิ่ง ข้างห้องเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทว่าพวกเขาเข้าไปไม่ได้หลังจากเลี่ยอู๋ซินเดินออกมาก็ปิดประตูลง ไม่ให้พวกเขาเห็นแม้แต่น้อย“นี่ทำเพื่อพวกเจ้านะ ไม่งั้นอีกหน่อยพวกเจ้าจะกินข้า

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status