กองทัพใหญ่แสนกว่านายปักหลักฐานที่มั่นอยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ จะว่าใกล้ก็ใกล้ จะว่าไกลก็ไกลอยู่“พวกเขาต้องรู้เรื่องการปะทะที่ค่ายทหารรัฐเหลียงแล้วเป็นแน่ ช้าสุดวันพรุ่งนี้ฟ้าสว่างย่อมส่งคนมาสอบถาม“จิ่วเหยียน นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เรื่องกลยุทธ์ศึกการโจมตีรัฐเหลียง เจ้ามีความคิดอย่างไรบ้าง?“กองทัพใหญ่มากกว่าแสนนายนี้ จะต้องเคลื่อนพลไปทางตะวันออกต่อหรือจะย้อนกลับมา แล้วผ่านเนินเขาหนานซานมุ่งหน้าไปทางเหนือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองโต๊ะทรายแล้วครุ่นคิดอยู่เป็นนานผ่านไปไม่นาน นางก็มีความคิดหนึ่งอยู่ในใจ“ศึกคืนนี้รัฐเหลียงต้องพ่ายแพ้ยับเยินเท่านั้น“ดังนั้นพวกเราจะต้องทำให้ศึกนี้จบโดยเร็วที่สุดให้กองทัพอินทรีเหิน[1]ออกปฏิบัติการก่อนเพื่อเปิดประตูใหญ่ทางใต้ของรัฐเหลียง จากนั้นให้กองทัพใหญ่แสนกว่านายเร่งเคลื่อนพลแล้วบุกเข้าไป เป้าหมายคือเมืองหลวงของรัฐเหลียง!”นางดึงธงเมืองหลวงรัฐเหลียงออก แววตาสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการคว้าชัยชนะแม่ทัพเมิ่งลูบเคราและพยักหน้า “นี่เหมือนกับกลยุทธ์ที่พวกเราคิดจะใช้ในตอนแรก“ยามนั้นรัฐเหลียงพักรบแล้วขอสงบศึกกะทันหัน กองทัพเราหยุดการรบทั้งที่กำลังได้เ
เหล่าขุนนางในราชสำนักแอบซุบซิบกัน“ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่? แคว้นหนานฉีชนะแล้วจริง ๆ ไม่ใช่รัฐเหลียง?”“กองทัพชาวเหลียงหนึ่งแสนสองหมื่นนาย ถึงกับแพ้แล้ว?”“ไม่ใช่ข่าวลวงหรอกหรือ? ตรวจสอบดีรึยัง? เมิ่งสิงโจวมีกำลังพลเพียงแค่หมื่นนายจริงหรือ?”เหล่าฝูงชนต่างเชื่อไม่ลงเซียวอวี้บนบัลลังก์มังกรมีสีหน้าเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ดูราวกับไม่รู้สึกยินดีจากข่าวศึกเนินเขาหานซานเลยแม้แต่น้อยจากนั้นเขาก็สั่งการลงไปทันที“ศึกนี้ให้แต่งตั้งเมิ่งสิงโจวเป็นหัวหน้าแม่ทัพเป็นพิเศษ บอกเขาว่าหากครั้งนี้สามารถตีรัฐเหลียงได้สำเร็จ จะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์และพระราชทานบรรดาศักดิ์โหวและศักดินาหนึ่งหมื่นครัวเรือน!”เหล่าขุนนางทั้งอิจฉาและริษยาทันใดนั้นก็มีคนกระโดดออกมากล่าวทัดทาน“ฝ่าบาท! ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! เมิ่งสิงโจวผู้นี้เดิมก็ลำพองตนอยู่แล้ว หากยังทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์โหวและศักดินาหนึ่งหมื่นครัวเรือนให้อีก เกรงว่าจะยิ่งควบคุมเขาไม่อยู่นะพ่ะย่ะค่ะ!”จากนั้นก็มีคนมาสนับสนุนเขาอีก“ฝ่าบาท หากให้เมิ่งสิงโจวเป็นหัวหน้าแม่ทัพก็จะไม่มีใครคุมเขาได้ เขาจะยิ่งกำเริบเสิบสานนะพ่ะย่ะค่ะ แม้คนผู้นี้จะทำศึกอย่า
ระยะทางระหว่างวังหลวงกับวัดต้าเจาใช้เวลาเกือบสองชั่วยามหลิวซื่อเหลียงกลับมาอย่างรวดเร็ว“ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงกักตนสวดมนต์ บ่าวไม่อาจเข้าพบพระนางได้ ได้พบเพียงข้าหลวงเหลียนซวง นางบอกว่าพระนางสบายดีทุกอย่าง ไม่ขาดอะไรพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้เลิกคิ้วคมดุจกระบี่ขึ้น“สวดมนต์ยังต้องกักตน?”นางกำลังทำอะไรอยู่กันณ วัดต้าเจาเหลียนซวงใจเต้นรัวตึกตักตึกตักนางรีบปิดหน้าต่างอาราม กลัวว่าจะมีคนรู้...ว่าฮองเฮาไม่ได้ทรงประทับอยู่ที่นี่“ฮองเฮา ท่านรีบเสด็จกลับมาเถิดเพคะ...”ฝ่าบาทก็ทรงแปลกยิ่ง อยู่ ๆ จะส่งคนมาทำไม? คงไม่ใช่ว่ารู้สึกสงสัยหรอกนะ?......การรบระหว่างแคว้นหนานฉีกับรัฐเหลียงนั้นกำลังเป็นไปอย่างคึกคักยิ่งผ่านไปไม่กี่วันก็มีรายงานส่งเข้ามาที่เมืองหลวงแคว้นหนานฉีอีก“รายงาน! ฝ่าบาท แม่ทัพน้อยเมิ่งใช้กำลังพลสามสิบนายบุกยึดหุบเขาชุ่ยซานได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ข่าวนี้สร้างความตกตะลึงให้กับเหล่าขุนนางเป็นอย่างยิ่งสามสิบคน?!!“ฝ่าบาท นี่ต้องเป็นการหลอกลวงแน่พ่ะย่ะค่ะ! สามสิบคนจะยึดดินแดนอันตรายอย่างหุบเขาชุ่ยซานมาได้อย่างไรกัน!”ถ้าสามหมื่นยังพอว่า!น้อยคนนักที่เซียวอวี้จะรู้สึกนับถือ
ภายใต้การสั่งการของเฟิ่งจิ่วเหยียน กองทัพใหญ่แคว้นหนานฉีห้าวหาญทะยานดุจสายรุ้งที่พาดผ่านท้องฟ้าภายในหนึ่งเดือนก็สามารถยึดคูป้องกันเมืองได้ถึงสองแห่งด้วยความเร็วนี้ทำให้ชาวเหลียงตะลึงกลัวจนอยู่ไม่สุขฮ่องเต้เหลียงที่มัวเมาอยู่กับสุรานารีมานานปี ยามนี้ถึงกับเริ่มงดเว้นราคะ งดเว้นสุรา จุดธูปและสวดมนต์ในพิธีกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษ เขาถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาหยดหนึ่ง“หากรัฐเหลียงสามารถรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้ หลังจากนี้เราจะเพียรพยายามพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง!”พิธีกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษเพิ่งจะเสร็จสิ้น ผู้ส่งสารก็ขี่ม้าเข้ามาส่งข่าว“ฝ่าบาท! เราเสียเมืองชวนไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้เหลียงที่กำลังเดินลงจากขั้นบันไดเกือบจะเสียการทรงตัว“เมืองชวนที่อยู่มากว่าร้อยปีแล้ว...รักษาเอาไว้ไม่ได้แล้วหรือ?”เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า กล่าวถามอย่างพิโรธ“สวรรค์ เจ้าต้องการให้รัฐเหลียงของเราสิ้นชาติรึ! เราทำอะไรผิดไปหรือไร?”เมืองชวนเป็นปราการด่านสุดท้ายของรัฐเหลียงเมืองหลวงของแคว้นเหลียง ตกอยู่ในอันตรายแล้ว...ในสนามรบสู้กันอย่างดุเดือดเพียงใด การต่อสู้ในราชสำนักเองก็ดุเดือดไม่แพ้กันหลัง
ทหารกองทัพใต้มีคุณธรรมน้ำมิตรจึงลุกขึ้นมากันทั้งหมด“แม่ทัพซุน เห็นแก่หน้าของท่าน พวกเราเต็มใจยอมรับการลงโทษ ทว่าพวกเราไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด!”“ใช่ พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด!”“พวกเราเป็นทหารกองทัพใต้ ถือสิทธิ์อะไรถึงจะให้พวกเรารักษากฎของกองทัพเหนือ?”ที่สุดแล้วแม่ทัพซุนก็เข้าข้างคนของตน จึงหันกลับไปมองเฟิ่งจิ่วเหยียน“ที่พวกเขาพูดก็ใช่ว่าไร้เหตุผล แม่ทัพน้อยเมิ่ง ค่ายกองทัพเหนือของพวกท่านมีกฎของค่ายกองทัพเหนือ และค่ายกองทัพแต่ละแห่งของพวกเราก็ล้วนมี...”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนหนาวเหน็บเข้ากระดูก“แม่ทัพซุนทำใจไม่ได้งั้นหรือ”แม่ทัพซุนตกตะลึง “ไม่ใช่ว่าทำใจไม่ได้ ทว่าหากไม่ให้เหตุผล เกรงว่าพลทหารจะไม่ยินยอม ทำให้ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”แม่ทัพหลายคนเองก็มาช่วยไกล่เกลี่ยแบบขอไปที“แม่ทัพน้อยเมิ่งพอได้แล้วกระมัง เหตุใดจึงต้องทำให้ทหารของหนานฉีเราลำบากใจเพื่อชาวบ้านของรัฐเหลียงด้วยเล่า?”“แม่ทัพซุน เจ้าก็ทำเป็นลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ เสียหน่อย นี่ก็ใกล้จะเข้าไปโจมตีเมืองหลวงรัฐเหลียงแล้ว ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเจ้าควบคุมของที่อยู่ในกางเกงให้ดี ๆ หน่อย อย่าทำให้แม่ทัพน้อยเมิ่งต้องลำบา
ภายใต้หน้ากาก สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนแข็งทื่อ เพราะชั่วพริบตาหนึ่งใบหน้าของเด็กสาวคนนั้นกลายเป็นใบหน้าของเวยเฉียง...เด็กสาวนางนั้นไร้อาภรณ์คลุมกาย ร่างกายฟกช้ำไปทั้งร่างเลือดสด ๆ ไหลออกมาจากหว่างขา ร่างของนางกระตุกอย่างเจ็บปวดก่อนตาย ดวงตาสองข้างเบิกมองแม่ทัพน้อยที่เพิ่งลงจากหลังม้าเฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร นางถอดเสื้อคลุมนำมาคลุมปิดร่างของเด็กสาวเอาไว้ ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยความหนาวเหน็บอย่างที่สุดเด็กสาวใช้แรงเฮือกสุดท้ายคว้ามือของนางไว้ เล็บจิกลึกลงไปที่หลังมือของนาง ระบายความโกรธเกลียดเมื่อเปิดปาก เลือดสด ๆ ก็ไหลทะลักออกมาจากปากของนาง“ทำ...ไมกัน...”แล้วสุดท้ายนางก็ตายจากไปท่ามกลางความเกลียดชังและความสงสัยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้นเมื่ออู๋ไป๋เงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นเงาร่างที่ลุกลี้ลุกลนของทหารหลายคน เพียงแค่สบตาก็รีบหนีหายไปอย่างรวดเร็วเฟิ่งจิ่วเหยียนช่วยลูบปิดดวงตาทั้งสองข้างให้เด็กสาวที่ตายตาไม่หลับคนนั้น จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในหอสุราอู๋ไป๋รีบติดตามไปด้านหลังแล้วจัดการลงกลอนประตูด้วยท่าทีที่ดูเป็นธรรมชาติเป็นอย่างมา
ภายใต้หน้ากาก ดวงตาทั้งสองข้างของเฟิ่งจิ่วเหยียนแดงก่ำบุตรชายของท่านอาจารย์...เมิ่งสิงโจวตัวจริงนั้นได้ตายจากไปนานแล้วนี่คือเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดของท่านอาจารย์และอาจารย์หญิงเจ้าคนสกุลซุนนี่ สมควรตาย!แม่ทัพซุนรีบตะเกียดตะกายลุกขึ้นมา แล้วมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ“เจ้า...นี่เจ้ากล้าถีบข้ารึ?!”แม่ทัพที่เหลือล้วนมายืนอยู่กับแม่ทัพซุน “เมิ่งสิงโจว ถึงอย่างไรพวกเราก็ล้วนเป็นผู้อาวุโสของเจ้านะ เจ้า..”“ถีบได้ดี!” ฮูหยินเมิ่งพลันเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่แฝงความเย็นชาอย่างลึกล้ำแม่ทัพเมิ่งเห็นฮูหยินมาจึงรีบเดินเข้าไปหา“ฮูหยิน ยามนี้ท่านอย่าเพิ่งสร้างเรื่องเพิ่มเลยนะ”ฮูหยินเมิ่งผลักสามีออกไป แล้วเดินไปอยู่ข้างกายเฟิ่งจิ่วเหยียน เผชิญหน้ากับเหล่าแม่ทัพที่ทำท่าว่าตนเหนือกว่าแล้วหัวเราะเย็น ๆ ทีหนึ่ง“สิงโจวของเราขจัดคนชั่วพิทักษ์ราษฎร ทำความผิดที่ไหนกัน? กลับเป็นพวกเจ้าที่แยกแยะถูกผิดไม่เป็น พอยึดเมืองชวนได้ก็ไปทำเรื่องอย่างโจรชั้นต่ำ ทำลายชื่อเสียงแม่ทัพและทหารของหนานฉีเราเสื่อมเสีย“สิงโจว เจ้าเขียนเรื่องนี้รายงานฝ่าบาท ให้พระองค์ได้ทรงทราบว่าทหารพวกนี้ทำเรื่
เมื่อเริ่มลงไม้พลองทหาร เสียงร้องอย่างน่าอนาถก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะเดียวกันกุนซือของแม่ทัพซุนก็เดินไปทั่วทุกสารทิศเพื่อกล่อมให้แม่ทัพท่านอื่นยอมช่วยพูดต่อหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน“ท่านแม่ทัพน้อยเมิ่ง แกะดำในฝูงถูกกำจัดไปแล้ว ท่านก็อย่าต่อว่าแม่ทัพซุนอีกเลย”“กองทัพใต้ทำศึกสงครามอย่างกล้าหาญ หากไม่ให้พวกเขาร่วมขบวนทัพด้วย ออกจะน่าเสียดายไปหน่อย”เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสมาธิอยู่กับการดื่มชา ท่าทางดูเย็นชาและห่างเหินหลังจากการโบยหนึ่งร้อยครั้งด้วยไม้พลองทหารจบลง นางก็วางถ้วยชาลง“การบุกโจมตีเมืองหลวงรัฐเหลียงให้กองทัพใต้เป็นแนวหน้า สร้างผลงานชดใช้ความผิด”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหล่าแม่ทัพท่านอื่นต่างเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา......จากสี่สิบกว่าคน คนที่ยังรอดชีวิตมีเพียงเฉินเซิ่งคนเดียวเท่านั้นเมื่อได้ยินว่าเมิ่งสิงโจวยอมให้กองทัพใต้อยู่ต่อ ทั้งยังให้พวกเขาได้เป็นแนวหน้า แม่ทัพซุนก็รู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก ทั้งยังรู้สึกดีใจราวกับเก็บสมบัติล้ำค่าได้ในเวลาเดียวกันเขากำมัดคารวะไปทางกระโจมหลัก“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”จากนั้นก็ยกมือเรียกให้คนยกหลานชายเดินจากไปเฟิ่งจิ่วเหยียนเด
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย