แชร์

บทที่ 191

ผู้แต่ง: อี้ซัวเยียนอวี่
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-10-29 19:42:56
แม่ทัพสองสามนายส่งคนไปเชิญเมิ่งสิงโจว กลับได้รับแจ้งว่าในกระโจมนั้นไม่มีคนอยู่มานานแล้ว

ใบหน้าของพวกเขาเผยให้เห็นถึงความตกตะลึงปนชื่นชม “หรือจะเป็นเมิ่งสิงโจวนำทหารไปจริง ๆ ?”

ขณะเดียวกันนั้นเอง

เวลานี้เฉียวม่อที่เดิมอยู่ในกระโจมได้ออกไปจากฐานที่มั่นด้วยวิชาตัวเบานานแล้ว โดยใช้ความเร็วสูงสุดเพื่อขึ้นไปบนเนินเขาหานซาน

ยามที่ทหารสอดแนมตัวน้อยพูดว่า ‘ชนะแล้ว’ นางก็รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ผิดปกติ

พอได้ยินว่าเป็นคนของแม่ทัพน้อยก็รู้ทันทีว่าศิษย์พี่กลับมาแล้ว

เช่นนั้นหากนางยังอยู่ที่นี่จะต้องถูกเปิดโปงเป็นแน่

ดังนั้นนางจึงต้องรีบกลับไป

ณ ฐานที่มั่น

แม่ทัพสองสามท่านทั้งรู้สึกประหลาดใจ ทั้งรู้สึกอัดอั้น

พวกเขารวมตัวอยู่ด้วยกัน แต่ละคนล้วนไม่รู้ว่าจากนี้ไปควรทำอะไรต่อ

“กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมของเมิ่งสิงโจวนี้ใช้ได้ดี ทว่าเขาไม่มีศีลธรรมเกินไปแล้ว ปิดบังแม้กระทั่งพวกเรา”

“นั่นหมายความว่า การที่ทำเป็นถอนทัพครั้งยิ่งใหญ่นั้น สุดท้ายตัวเขาพาทหารสิบกว่านายไปบุกโจมตีค่ายทหารรัฐเหลียงเอง...แล้วยามนี้ก็หาตัวเขาไม่เจอ เช่นนั้นพอถึงเวลายามเช้า พวกเราควรเดินทัพต่อหรือรอเขาอยู่ที่เดิมดีเล่
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อเรื่องนี้บน Application

บทที่เกี่ยวข้อง

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 192

    เฉียวม่อถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ท่าทางโล่งอก“ศิษย์พี่ ท่าน...ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”เฟิ่งจิ่วเหยียนจ้องมองนางด้วยสายตาจริงจัง“เจ้าทอดทิ้งอาจารย์และอาจารย์หญิง รวมถึงทหารทั้งหมดเกือบสองหมื่นนาย แล้วนำทหารแสนกว่านายถอนทัพไปทางตะวันออก นี่เจ้าคิดอะไรอยู่กัน!”เฉียวม่อทำท่าจะร้องไห้ และอธิบายอย่างรีบร้อน“ข้าไม่ได้อยากจะทอดทิ้งพวกเขา โดยเฉพาะท่านอาจารย์...แต่ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจริง ๆ“นั่นเป็นผลลัพธ์หลังจากปรึกษากับแม่ทัพมาหลายท่าน“ข้า...ข้าไม่ใช่ท่าน ศิษย์พี่ ข้าเพียงมาแทนท่านชั่วคราวเพื่อทำให้กำลังใจทหารมั่นคงเท่านั้น“ข้าไม่มีความสามารถ ทำอะไรไม่ได้เลย...”เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าใจนิสัยศิษย์น้องของนางคนนี้ดี เกรงกลัวปัญหา ไม่มีความคิดเป็นของตนเองคราแรกที่พบกับเฉียวม่อ นางอายุเพียงหกเจ็ดขวบเท่านั้น นางหิวจนเกือบตาย ล้มอยู่หน้าประตูจวนสกุลเมิ่งหลังจากท่านอาจารย์และอาจารย์หญิงช่วยนางเอาไว้ เดิมคิดจะส่งตัวไปที่อื่นเป็นเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ขอร้องไม่หยุดจนพวกท่านอาจารย์ยอมให้เฉียวม่ออยู่ต่อ ทั้งยังรับไว้เป็นศิษย์เฉียวม่อกลัวคนแปลกหน้า

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 193

    กองทัพใหญ่แสนกว่านายปักหลักฐานที่มั่นอยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ จะว่าใกล้ก็ใกล้ จะว่าไกลก็ไกลอยู่“พวกเขาต้องรู้เรื่องการปะทะที่ค่ายทหารรัฐเหลียงแล้วเป็นแน่ ช้าสุดวันพรุ่งนี้ฟ้าสว่างย่อมส่งคนมาสอบถาม“จิ่วเหยียน นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เรื่องกลยุทธ์ศึกการโจมตีรัฐเหลียง เจ้ามีความคิดอย่างไรบ้าง?“กองทัพใหญ่มากกว่าแสนนายนี้ จะต้องเคลื่อนพลไปทางตะวันออกต่อหรือจะย้อนกลับมา แล้วผ่านเนินเขาหนานซานมุ่งหน้าไปทางเหนือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองโต๊ะทรายแล้วครุ่นคิดอยู่เป็นนานผ่านไปไม่นาน นางก็มีความคิดหนึ่งอยู่ในใจ“ศึกคืนนี้รัฐเหลียงต้องพ่ายแพ้ยับเยินเท่านั้น“ดังนั้นพวกเราจะต้องทำให้ศึกนี้จบโดยเร็วที่สุดให้กองทัพอินทรีเหิน[1]ออกปฏิบัติการก่อนเพื่อเปิดประตูใหญ่ทางใต้ของรัฐเหลียง จากนั้นให้กองทัพใหญ่แสนกว่านายเร่งเคลื่อนพลแล้วบุกเข้าไป เป้าหมายคือเมืองหลวงของรัฐเหลียง!”นางดึงธงเมืองหลวงรัฐเหลียงออก แววตาสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการคว้าชัยชนะแม่ทัพเมิ่งลูบเคราและพยักหน้า “นี่เหมือนกับกลยุทธ์ที่พวกเราคิดจะใช้ในตอนแรก“ยามนั้นรัฐเหลียงพักรบแล้วขอสงบศึกกะทันหัน กองทัพเราหยุดการรบทั้งที่กำลังได้เ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 194

    เหล่าขุนนางในราชสำนักแอบซุบซิบกัน“ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่? แคว้นหนานฉีชนะแล้วจริง ๆ ไม่ใช่รัฐเหลียง?”“กองทัพชาวเหลียงหนึ่งแสนสองหมื่นนาย ถึงกับแพ้แล้ว?”“ไม่ใช่ข่าวลวงหรอกหรือ? ตรวจสอบดีรึยัง? เมิ่งสิงโจวมีกำลังพลเพียงแค่หมื่นนายจริงหรือ?”เหล่าฝูงชนต่างเชื่อไม่ลงเซียวอวี้บนบัลลังก์มังกรมีสีหน้าเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ดูราวกับไม่รู้สึกยินดีจากข่าวศึกเนินเขาหานซานเลยแม้แต่น้อยจากนั้นเขาก็สั่งการลงไปทันที“ศึกนี้ให้แต่งตั้งเมิ่งสิงโจวเป็นหัวหน้าแม่ทัพเป็นพิเศษ บอกเขาว่าหากครั้งนี้สามารถตีรัฐเหลียงได้สำเร็จ จะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์และพระราชทานบรรดาศักดิ์โหวและศักดินาหนึ่งหมื่นครัวเรือน!”เหล่าขุนนางทั้งอิจฉาและริษยาทันใดนั้นก็มีคนกระโดดออกมากล่าวทัดทาน“ฝ่าบาท! ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! เมิ่งสิงโจวผู้นี้เดิมก็ลำพองตนอยู่แล้ว หากยังทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์โหวและศักดินาหนึ่งหมื่นครัวเรือนให้อีก เกรงว่าจะยิ่งควบคุมเขาไม่อยู่นะพ่ะย่ะค่ะ!”จากนั้นก็มีคนมาสนับสนุนเขาอีก“ฝ่าบาท หากให้เมิ่งสิงโจวเป็นหัวหน้าแม่ทัพก็จะไม่มีใครคุมเขาได้ เขาจะยิ่งกำเริบเสิบสานนะพ่ะย่ะค่ะ แม้คนผู้นี้จะทำศึกอย่า

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 195

    ระยะทางระหว่างวังหลวงกับวัดต้าเจาใช้เวลาเกือบสองชั่วยามหลิวซื่อเหลียงกลับมาอย่างรวดเร็ว“ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงกักตนสวดมนต์ บ่าวไม่อาจเข้าพบพระนางได้ ได้พบเพียงข้าหลวงเหลียนซวง นางบอกว่าพระนางสบายดีทุกอย่าง ไม่ขาดอะไรพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้เลิกคิ้วคมดุจกระบี่ขึ้น“สวดมนต์ยังต้องกักตน?”นางกำลังทำอะไรอยู่กันณ วัดต้าเจาเหลียนซวงใจเต้นรัวตึกตักตึกตักนางรีบปิดหน้าต่างอาราม กลัวว่าจะมีคนรู้...ว่าฮองเฮาไม่ได้ทรงประทับอยู่ที่นี่“ฮองเฮา ท่านรีบเสด็จกลับมาเถิดเพคะ...”ฝ่าบาทก็ทรงแปลกยิ่ง อยู่ ๆ จะส่งคนมาทำไม? คงไม่ใช่ว่ารู้สึกสงสัยหรอกนะ?......การรบระหว่างแคว้นหนานฉีกับรัฐเหลียงนั้นกำลังเป็นไปอย่างคึกคักยิ่งผ่านไปไม่กี่วันก็มีรายงานส่งเข้ามาที่เมืองหลวงแคว้นหนานฉีอีก“รายงาน! ฝ่าบาท แม่ทัพน้อยเมิ่งใช้กำลังพลสามสิบนายบุกยึดหุบเขาชุ่ยซานได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ข่าวนี้สร้างความตกตะลึงให้กับเหล่าขุนนางเป็นอย่างยิ่งสามสิบคน?!!“ฝ่าบาท นี่ต้องเป็นการหลอกลวงแน่พ่ะย่ะค่ะ! สามสิบคนจะยึดดินแดนอันตรายอย่างหุบเขาชุ่ยซานมาได้อย่างไรกัน!”ถ้าสามหมื่นยังพอว่า!น้อยคนนักที่เซียวอวี้จะรู้สึกนับถือ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 196

    ภายใต้การสั่งการของเฟิ่งจิ่วเหยียน กองทัพใหญ่แคว้นหนานฉีห้าวหาญทะยานดุจสายรุ้งที่พาดผ่านท้องฟ้าภายในหนึ่งเดือนก็สามารถยึดคูป้องกันเมืองได้ถึงสองแห่งด้วยความเร็วนี้ทำให้ชาวเหลียงตะลึงกลัวจนอยู่ไม่สุขฮ่องเต้เหลียงที่มัวเมาอยู่กับสุรานารีมานานปี ยามนี้ถึงกับเริ่มงดเว้นราคะ งดเว้นสุรา จุดธูปและสวดมนต์ในพิธีกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษ เขาถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาหยดหนึ่ง“หากรัฐเหลียงสามารถรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้ หลังจากนี้เราจะเพียรพยายามพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง!”พิธีกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษเพิ่งจะเสร็จสิ้น ผู้ส่งสารก็ขี่ม้าเข้ามาส่งข่าว“ฝ่าบาท! เราเสียเมืองชวนไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้เหลียงที่กำลังเดินลงจากขั้นบันไดเกือบจะเสียการทรงตัว“เมืองชวนที่อยู่มากว่าร้อยปีแล้ว...รักษาเอาไว้ไม่ได้แล้วหรือ?”เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า กล่าวถามอย่างพิโรธ“สวรรค์ เจ้าต้องการให้รัฐเหลียงของเราสิ้นชาติรึ! เราทำอะไรผิดไปหรือไร?”เมืองชวนเป็นปราการด่านสุดท้ายของรัฐเหลียงเมืองหลวงของแคว้นเหลียง ตกอยู่ในอันตรายแล้ว...ในสนามรบสู้กันอย่างดุเดือดเพียงใด การต่อสู้ในราชสำนักเองก็ดุเดือดไม่แพ้กันหลัง

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 197

    ทหารกองทัพใต้มีคุณธรรมน้ำมิตรจึงลุกขึ้นมากันทั้งหมด“แม่ทัพซุน เห็นแก่หน้าของท่าน พวกเราเต็มใจยอมรับการลงโทษ ทว่าพวกเราไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด!”“ใช่ พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด!”“พวกเราเป็นทหารกองทัพใต้ ถือสิทธิ์อะไรถึงจะให้พวกเรารักษากฎของกองทัพเหนือ?”ที่สุดแล้วแม่ทัพซุนก็เข้าข้างคนของตน จึงหันกลับไปมองเฟิ่งจิ่วเหยียน“ที่พวกเขาพูดก็ใช่ว่าไร้เหตุผล แม่ทัพน้อยเมิ่ง ค่ายกองทัพเหนือของพวกท่านมีกฎของค่ายกองทัพเหนือ และค่ายกองทัพแต่ละแห่งของพวกเราก็ล้วนมี...”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนหนาวเหน็บเข้ากระดูก“แม่ทัพซุนทำใจไม่ได้งั้นหรือ”แม่ทัพซุนตกตะลึง “ไม่ใช่ว่าทำใจไม่ได้ ทว่าหากไม่ให้เหตุผล เกรงว่าพลทหารจะไม่ยินยอม ทำให้ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”แม่ทัพหลายคนเองก็มาช่วยไกล่เกลี่ยแบบขอไปที“แม่ทัพน้อยเมิ่งพอได้แล้วกระมัง เหตุใดจึงต้องทำให้ทหารของหนานฉีเราลำบากใจเพื่อชาวบ้านของรัฐเหลียงด้วยเล่า?”“แม่ทัพซุน เจ้าก็ทำเป็นลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ เสียหน่อย นี่ก็ใกล้จะเข้าไปโจมตีเมืองหลวงรัฐเหลียงแล้ว ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเจ้าควบคุมของที่อยู่ในกางเกงให้ดี ๆ หน่อย อย่าทำให้แม่ทัพน้อยเมิ่งต้องลำบา

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 198

    ภายใต้หน้ากาก สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนแข็งทื่อ เพราะชั่วพริบตาหนึ่งใบหน้าของเด็กสาวคนนั้นกลายเป็นใบหน้าของเวยเฉียง...เด็กสาวนางนั้นไร้อาภรณ์คลุมกาย ร่างกายฟกช้ำไปทั้งร่างเลือดสด ๆ ไหลออกมาจากหว่างขา ร่างของนางกระตุกอย่างเจ็บปวดก่อนตาย ดวงตาสองข้างเบิกมองแม่ทัพน้อยที่เพิ่งลงจากหลังม้าเฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร นางถอดเสื้อคลุมนำมาคลุมปิดร่างของเด็กสาวเอาไว้ ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยความหนาวเหน็บอย่างที่สุดเด็กสาวใช้แรงเฮือกสุดท้ายคว้ามือของนางไว้ เล็บจิกลึกลงไปที่หลังมือของนาง ระบายความโกรธเกลียดเมื่อเปิดปาก เลือดสด ๆ ก็ไหลทะลักออกมาจากปากของนาง“ทำ...ไมกัน...”แล้วสุดท้ายนางก็ตายจากไปท่ามกลางความเกลียดชังและความสงสัยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้นเมื่ออู๋ไป๋เงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นเงาร่างที่ลุกลี้ลุกลนของทหารหลายคน เพียงแค่สบตาก็รีบหนีหายไปอย่างรวดเร็วเฟิ่งจิ่วเหยียนช่วยลูบปิดดวงตาทั้งสองข้างให้เด็กสาวที่ตายตาไม่หลับคนนั้น จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในหอสุราอู๋ไป๋รีบติดตามไปด้านหลังแล้วจัดการลงกลอนประตูด้วยท่าทีที่ดูเป็นธรรมชาติเป็นอย่างมา

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 199

    ภายใต้หน้ากาก ดวงตาทั้งสองข้างของเฟิ่งจิ่วเหยียนแดงก่ำบุตรชายของท่านอาจารย์...เมิ่งสิงโจวตัวจริงนั้นได้ตายจากไปนานแล้วนี่คือเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดของท่านอาจารย์และอาจารย์หญิงเจ้าคนสกุลซุนนี่ สมควรตาย!แม่ทัพซุนรีบตะเกียดตะกายลุกขึ้นมา แล้วมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ“เจ้า...นี่เจ้ากล้าถีบข้ารึ?!”แม่ทัพที่เหลือล้วนมายืนอยู่กับแม่ทัพซุน “เมิ่งสิงโจว ถึงอย่างไรพวกเราก็ล้วนเป็นผู้อาวุโสของเจ้านะ เจ้า..”“ถีบได้ดี!” ฮูหยินเมิ่งพลันเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่แฝงความเย็นชาอย่างลึกล้ำแม่ทัพเมิ่งเห็นฮูหยินมาจึงรีบเดินเข้าไปหา“ฮูหยิน ยามนี้ท่านอย่าเพิ่งสร้างเรื่องเพิ่มเลยนะ”ฮูหยินเมิ่งผลักสามีออกไป แล้วเดินไปอยู่ข้างกายเฟิ่งจิ่วเหยียน เผชิญหน้ากับเหล่าแม่ทัพที่ทำท่าว่าตนเหนือกว่าแล้วหัวเราะเย็น ๆ ทีหนึ่ง“สิงโจวของเราขจัดคนชั่วพิทักษ์ราษฎร ทำความผิดที่ไหนกัน? กลับเป็นพวกเจ้าที่แยกแยะถูกผิดไม่เป็น พอยึดเมืองชวนได้ก็ไปทำเรื่องอย่างโจรชั้นต่ำ ทำลายชื่อเสียงแม่ทัพและทหารของหนานฉีเราเสื่อมเสีย“สิงโจว เจ้าเขียนเรื่องนี้รายงานฝ่าบาท ให้พระองค์ได้ทรงทราบว่าทหารพวกนี้ทำเรื่

บทล่าสุด

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 318

    หินเซวียนอิง เคยย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ตอนนี้กลับได้มาเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบถามทันที“นี่คือหินเซวียนอิง เจ้ามีได้อย่างไร?”จางฉีหยางกลับแปลกประหลาดใจ“อาจารย์ ทำไมท่านก็รู้จักหินเซวียนอิง?“เมื่อสามปีก่อน ครั้งแรกที่ข้าได้เจอแม่ทัพน้อยเมิ่ง ได้ยินเขากับท่านพ่อคุยกันเรื่องหินเซวียนอิง ดูเหมือนนางจะชอบหินนี้มาก ดูในตำราก็มีบันทึกไว้“ความจำของข้าดี จึงจดจำไว้“ตำบลหลินผิงที่บ้านเกิดของข้า มีหุบเขามากมาย ยามมีเวลาว่าง ข้าก็จะออกค้นหาไปทั่ว เมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าได้เจอหินเซวียนอิง ดังนั้นข้าจึงนำมันมาเป็นของขวัญคารวะอาจารย์...”เมื่อสามปีก่อน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็คิดอยากปรับเปลี่ยนปืนหอกไฟรูปแบบใหม่ตอนนั้นนางก็มั่นใจแล้วว่า สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือฉนวนกันความร้อน และสิ่งที่เหมาะสมในการทำเป็นฉนวนกันความร้อนที่สุด ก็คือเหล็กเซวียนอิงที่หล่อหลอมมาจากหินเซวียนอิงคิดไม่ถึงว่า ถูกเด็กคนนี้ได้ยินอย่างไม่ตั้งใจ และช่วยนางตามหาจนเจอแล้ว!ปกติเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นคนสงบควบคุมตนเองได้ดีต่อให้ดีใจแค่ไหน ก็ไม่มีทางแสดงออกมานางรีบถามจางฉีหยาง“ข้าก็ชอบหินเซวียนอิงอย่างมาก บอกข้าได้ไหมว่า เจ้าเ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 317

    ริมฝีปากจางฉีหยางแห้งแตก เสียงที่พูดออกมาค่อนข้างเสียงแหบแห้งอย่างยิ่งเฟิ่งจิ่วเหยียนสบสายตากับเขา มองเห็นถึงรัศมีสังหารในแววตาของเขา“ไหว้ผู้ล่วงลับ เดินผ่านทางนี้” นางพูดอธิบายเพราะจางฉีหยางหิวโซเป็นเวลานาน มือจึงสั่นเทา เอาสิ่งของเซ่นไหว้พวกนั้นคืนให้กับนาง“เอาคืนไป! แม่ของข้าไม่ต้องการสิ่งพวกนี้!”เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นการปฏิเสธของเขานางชักกระบี่ออกมาจากฟักตรงเอวตามด้วยเสียงรอยแตกร้าวดังในอากาศ ต้นไม้ด้านข้างต้นหนึ่งถูกนางโค่นลง ตัดเป็นกระดานขนาดเท่าศิลาหลุมศพจางฉีหยางมองดูภาพนี้ แววตาไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆจนเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาแผ่นไม้นั่นวางบนพื้น แล้วถามเขา“ผู้ล่วงลับสกุลอะไร”จางฉีหยางมีปฏิกิริยาขึ้นมาเล็กน้อย มองดูนางอย่างแปลกประหลาดใจเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีความสงสารอย่างสูงส่ง“มีป้ายหลุมศพ ก็จะไม่กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน”จางฉีหยางหัวเราะเย้ย“ข้าไม่เชื่อ”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาเหมือนล้อเล่นว่า“เป็นผีก็สามารถหลงทางได้ มีป้ายหลุมศพ ต่อไปแม่ของเจ้าก็จะรู้ว่า ที่นี่เป็นบ้านของนาง เป็นบ้านที่ลูกชายของนางสร้างให้นางด้วยต

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 316

    จางฉีหยางตอบโต้รวดเร็วมาก หลบเลี่ยงฝ่ามือแรกของเฉียวม่อได้จากนั้นเฉียวม่อโจมตีเขาอีกอย่างต่อเนื่องจางฉีหยางเดินทางไกลมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ทั้งหิวทั้งหนาวเวลานี้จึงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไรนักแต่ต่อให้อยู่ภายใต้สภาพเช่นนี้ ยังสามารถหลบเลี่ยงเฉียวม่อได้ ซ้ำยังสามารถหาโอกาสตอบโต้ได้สีหน้าเฉียวม่อมืดมิดอย่างรวดเร็วเด็กคนนี้ เก่งกาจกว่าที่นางคิดไว้นางแกล้งทำเป็นจู่โจมส่วนล่างของเขา ฉวยโอกาสตอนที่เขาตอบโต้ เคลื่อนตัวไปทางด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว เตะหลังเข่าของเขาอย่างรุนแรงจางฉีหยางงอเข่าลง ขาข้างหนึ่งคุกเข่าลงจากนั้น เฉียวม่อใช้แขนรัดคอเขาไว้จากทางด้านหลังจางฉีหยางถูกบีบให้เงยศีรษะขึ้นมา อ้าปากกว้างเพื่อหายใจเฉียวม่อไม่ผ่อนมือ เพิ่มแรงมากขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...จนสีหน้าจางฉีหยางเขียวม่วง สกุลฉินเห็นว่าไม่ดีแน่ จึงรีบร้องเรียกขึ้นมาว่า“แม่ทัพน้อย!”เฉียวม่อค่อยผ่อนคลายมือ อยากที่จะกำจัดให้สิ้นซากเสียเดี๋ยวนี้สกุลฉินรีบประคองลูกชายลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นบนตัวให้กับเขาจางฉีหยางหายใจหอบ ดวงตาสีดำเข้มจ้องมองที่เฉียวม่อหลังจากดีขึ้นบ้างแล้ว เขายกมือประสานหันไปทำความเคารพนา

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 315

    “มีทั้งหมด...สามคน ข้าไม่ค่อยได้เห็นอีกสองคนนั้น”“แม่นางเมิ่งมีคำสั่ง...พวกเรา เราก็ทำตาม”ชายขายผักพูดไปด้วย เลือดไหลไปด้วยไม่ค่อยได้เห็น ซึ่งก็คือเคยเห็นบ้างแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนถามอีก“อีกสองคนนั้นมีลักษณะเป็นยังไง”“คนหนึ่งบนใบหน้ามีไฝ ส่วนอีกคนหนึ่ง...คนนั้นชอบไปบ่อนเล่นการพนัน เป็นคนที่มีนิสัยลักขโมย หน้าตาปากแหลมแก้มเหมือนลิง...ท่านผู้กล้า ปล่อยข้าไปเถอะ ที่ข้ารู้ก็ล้วนบอกหมดแล้ว!”เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้กริชเชยคางของเขาขึ้นมา“ทำไมพวกเจ้าต้องฟังคำสั่งเฉียวม่อ”ชายขายผักเสียเลือดมาก จนอ่อนแรงอย่างยิ่ง“พวกเรา... พวกเราล้วนถูกราชสำนักออกหมายนำจับ...เป็นโจรเจียงหยาง หากไม่เชื่อฟังนาง ก็จะส่งตัวพวกเราไปให้ทางการ”“เชื่อฟังนาง นางให้เงินพวกเราได้ใช้จ่าย...”“อีกอย่าง...นางวางยาพิษพวกเรา...ให้ยาถอนพิษพวกเราตามเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้น...ก็จะตาย”“ท่านผู้กล้า ตอนนี้ข้าหักหลังนาง ไม่มีทางรอดแล้ว“ขอร้องท่าน...ให้ข้าได้ตายอย่างรวดเร็วด้วยเถอะ!”แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็นชา พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ได้”จากนั้นนางยกมีดขึ้นมาแล้วปาดลง ปาดคอชายขายผักตายเดิมก็เป็นอาชญากรรายใหญ่ ต

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 314

    อู๋ไป๋บาดเจ็บสาหัสอย่างมาก หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นแม่ทัพน้อย ก็รู้ว่าตนเองมีชีวิตรอดแล้วร่างกายท่อนบนของเขา พันเต็มไปด้วยผ้าพันแผล สีหน้าซีดอ่อนแรง“แม่...”ทันใดนั้นก็เห็นว่าภายในห้องยังมีคนอื่น จึงรีบเปลี่ยนเป็นร้องเรียกขึ้นมาว่า “นายท่าน”เฟิ่งจิ่วเหยียนที่สวมหน้ากากเงินครึ่งชิ้น หันมามองดูเขาหมอกำลังบอกนางเกี่ยวกับข้อควรระวังของผู้บาดเจ็บหลังจากนางฟังแล้วก็จดจำไว้ จากนั้นก็จ่ายค่ารักษา ออกมาส่งหมอด้วยตนเองผ่านไปครู่หนึ่ง นางกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง แล้วเห็นอู๋ไป๋พยายามจะลุกขึ้นมานั่งนางรีบพูดสั่งทันทีว่า“อย่าเคลื่อนไหว”เขาบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก ไม่รู้สึกเลยสักนิดหรือ?อู๋ไป๋รีบนอนลงอย่างเชื่อฟัง ฉีกยิ้มอย่างขมขื่น พร้อมพูดขึ้นมาว่า“นายท่าน กระหม่อมผิวหยาบเนื้อหนา ไม่เป็นไร”พูดว่าไม่เป็นไรนั้นเป็นความเท็จเขายังจำได้ มีดที่แทงลงมาหลายทีนั้น เจ็บปวดอย่างมาก“นายท่าน ชายขายผักคนนั้น...”“จับตัวมาได้แล้ว” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดแทรกคำพูดของเขาอู๋ไป๋ยังอยากพูดอะไรอีก ก็มีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามา“รองผู้นำพันธมิตร! เมื่อครู่ชายขายผักคนนั้นยังคิดอยากวิ่งหนี

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 313

    ตำหนักเย็น เฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับลูกศรมาหนึ่งอันบนหัวลูกศร เสียบกระดาษไว้หนึ่งแผ่นเป็นลายมือของเฉียวม่อ...[ศิษย์พี่ ติดหนี้ชีวิตเจ้าอีกหนึ่งชีวิตแล้ว แต่ข้าจะให้เจ้าหาเจอทางหนีสุดท้ายได้ง่ายๆ ได้อย่างไร? คราวหน้าส่งคนที่ฉลาดกว่านี้หน่อยนะ]เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่า เกิดเรื่องกับอู๋ไป๋แล้วนางขมวดคิ้วแน่น ไม่กล้าชักช้าแม้ชั่วขณะเดียว ฟ้ายังไม่มืดก็ออกจากวังแล้วอู๋ไป๋ติดตามนางจากค่ายเป่ยต้า มาจนถึงเมืองหลวงเขาไม่เพียงเป็นลูกน้องคนสนิท ลูกน้องที่มีความสามารถของนาง ยังเป็นเพื่อนของนางเพื่อต่อสู้กับนาง เฉียวม่อทำร้ายคนตายไปอย่างมากมายแล้วอู๋ไป๋ นางจะต้องตามหาให้เจอ!……ท่ามกลางผู้คนมากมาย ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเบาะแสอะไรเลย ตามหาคนหนึ่ง เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรวันนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้ว่าวิ่งไปมากี่ที่ที่นางสามารถตามหา ก็มีเพียงชายขายผักจากคำบอกเล่าของชาวบ้านบริเวณรอบๆ นางวาดภาพชายขายผักคนนั้นขึ้นมาเวลาพลบค่ำโรงรับจำนำแห่งหนึ่งในเขตชานเมือง คนงานกำลังเตรียมปิดร้าน ชายสวมหน้ากากเงินคนหนึ่ง คว้าจับกรอบประตูไว้ ไม่สนใจความเจ็บปวดที่ถูกประตูหนีบ พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 312

    ไทฮองไทเฮาหันมองไปข้างนอก ดวงตาเบิกโตอย่างไม่รู้ตัว“ฮ่องเต้? เจ้ามาทำอะไร!”นางมาจัดการฮองเฮาเป็นการส่วนตัว ไม่ได้บอกเซียวอวี้รับรู้เซียวอวี้ก้าวเท้ายาวเข้ามาในตำหนัก ใช้เท้ากระทืบข้าหลวงที่คิดจะลงมือทำร้ายเฟิ่งจิ่วเหยียน พร้อมทั้งปกป้องนางไว้ข้างหลัง เผชิญหน้ากับไทฮองไทเฮาโดยตรง“เสด็จย่า ควรเป็นเราถามท่าน ท่านทำอะไรอยู่ที่นี่”เขาสวมอาภรณ์สีม่วง สีหน้าเยือกเย็นชา เป็นเหมือนดั่งหุบเขาหิมะ คนเห็นแล้วรู้สึกหวาดกลัวเฟิ่งจิ่วเหยียนแอบเก็บอาวุธลับไว้ ไทฮองไทเฮานั่งอยู่ตรงนั้น พูดขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดว่า“ข้าทำเช่นนี้ ล้วนเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน“สตรีตระกูลเฟิ่งไม่ควรเข้าวัง ยิ่งไม่ควรเป็นฮองเฮาของเจ้า”ฮ่องเต้กตัญญูต่อนางมาตลอด นางไม่เชื่อว่า ฮ่องเต้จะไม่เชื่อฟังนางเพราะเหตุนี้ดวงตาสีเข้มของเซียวอวี้หนักหน่วงมืดมน“เราได้ให้นางมาอยู่ในตำหนักเย็นแล้ว เสด็จย่าอย่าบีบคั้นกันจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เราเคยพูดแล้วว่า เราไม่เคยเชื่อในคำทำนายของหนังสือแห่งโชคชะตาในปีนั้น”ปัง!ไทฮองไทเฮาฟาดตบโต๊ะอย่างโกรธโมโห“ฮ่องเต้ เจ้าจะเลอะเลือนไม่ได้!“ผู้หญิงคนนี้...นางจะเป

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 311

    ไทฮองไทเฮาเสด็จมายังตำหนักเย็นด้วยพระองค์เอง แฝงไปด้วยความแปลกประหลาดและแล้ว ลางสังหรณ์เฟิ่งจิ่วเหยียนนั้นไม่มีผิดคนที่มาไม่ได้มีเพียงไทฮองไทเฮา ยังมีนางข้าหลวงหนึ่งคนนางข้าหลวงคนนั้นถือถาดไม้สีดำ สิ่งของที่วางอยู่บนถาด ทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวนมีผ้าขาว สุราหนึ่งจอก ยังมีกริชเล่มหนึ่งเหลียนซวงแสดงสีหน้าหวาดกลัว เบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อไทฮองไทเฮาต้องการที่จะ...ประหารฮองเฮา? ! !นางรีบหันไปมองพระนางของตนเองเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนถวายความเคารพ สวมอาภรณ์ธรรมดา ยากที่จะบดบังความสง่างามของนางได้นางก็มองเห็นสิ่งของพวกนั้นแล้ว ท่าทีสงบนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แม้ภูเขาไท่พังทลายลงต่อหน้าก็ตาม“ถวายบังคมไทฮองไทเฮา”สายตาไทฮองไทเฮามองผ่านนาง มีคนประคองเดินไปนั่งบนที่นั่งหลักอย่างเชื่องช้า“ตอนนี้ข้าดูแลจัดการวังหลัง ควรแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท”“ฮองเฮา เจ้ารู้ไหม ระยะนี้ที่วังหน้า เกิดปัญหาวุ่นวายเพราะเรื่องของเจ้า?”แววตาน้ำเสียงไทฮองไทเฮา ล้วนเต็มไปด้วยความตำหนิติเตียนราวกับเฟิ่งจิ่วเหยียนก็คือคนร้ายคนนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนขยับริมฝีปากพูดขึ้นมาว่า “หม่อมฉันอยู่ในตำหนักเ

  • แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย   บทที่ 310

    “มันลวกข้า!” “อ๊าก! ร้อน!” บรรดาพลทหารต่างพากันโยนปืนหอกไฟที่พาดอยู่บนหัวไหล่ทิ้งไป ลูกปืนสูญเสียการควบคุม พุ่งมายังแท่นเฝ้าชมตรงฝั่งนี้แทน “คุ้มครองฮ่องเต้!” เฉินจี๋ราชองครักษ์หูตาว่องไว พลิกโต๊ะอาหารขึ้นเป็นเกราะกำบัง เซียวอวี้นั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน หัวคิ้วขมวดแน่น ดูเหมือนว่าปืนหอกไฟแบบใหม่อันนี้ ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกด้าน ขุนนางท่านอื่นล้วนพุ่งหาที่กำบังอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว พริบตาเดียว สถานการณ์พลันโกลาหล กระทั่งลูกปืนถูกยิงจนหมด สถานการณ์เลวร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว เหล่าขุนนางทั้งหลายค่อยยื่นศีรษะออกมาอีกครั้ง ชะเง้อคอมอง อยากสืบเสาะถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง เฉียวม่อยามนี้ก็สติหลุดลอยไปแล้วเช่นกัน เหตุใดถึงร้อนลวกขึ้นมา? พิมพ์เขียวนั่นก็มีแผ่นกันความร้อนเขียนไว้อยู่ไม่ใช่หรือ! หัวหน้าคนอื่นก็ตรวจสอบแล้ว ทุกคนล้วนคิดตรงกันว่าสมบูรณ์แบบ! เซียวอวี้หยัดกายขึ้น เงาร่างสูงใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ เขาจ้องมองสถานที่เกิดเหตุอย่างดูแคลน ก่อนจะทิ้งสายตามองบนตัวเฉียวม่อในตอนสุดท้าย แม้ว่าไม่มีเสียงตำหนิใดถูกเอื้อนเอ่ยออกมา กระนั้นแล้วยังทำให้คนพรั่นพรึงจนสั่นสะท้านได้

DMCA.com Protection Status