เหล่าขุนนางในราชสำนักแอบซุบซิบกัน“ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่? แคว้นหนานฉีชนะแล้วจริง ๆ ไม่ใช่รัฐเหลียง?”“กองทัพชาวเหลียงหนึ่งแสนสองหมื่นนาย ถึงกับแพ้แล้ว?”“ไม่ใช่ข่าวลวงหรอกหรือ? ตรวจสอบดีรึยัง? เมิ่งสิงโจวมีกำลังพลเพียงแค่หมื่นนายจริงหรือ?”เหล่าฝูงชนต่างเชื่อไม่ลงเซียวอวี้บนบัลลังก์มังกรมีสีหน้าเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ดูราวกับไม่รู้สึกยินดีจากข่าวศึกเนินเขาหานซานเลยแม้แต่น้อยจากนั้นเขาก็สั่งการลงไปทันที“ศึกนี้ให้แต่งตั้งเมิ่งสิงโจวเป็นหัวหน้าแม่ทัพเป็นพิเศษ บอกเขาว่าหากครั้งนี้สามารถตีรัฐเหลียงได้สำเร็จ จะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์และพระราชทานบรรดาศักดิ์โหวและศักดินาหนึ่งหมื่นครัวเรือน!”เหล่าขุนนางทั้งอิจฉาและริษยาทันใดนั้นก็มีคนกระโดดออกมากล่าวทัดทาน“ฝ่าบาท! ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! เมิ่งสิงโจวผู้นี้เดิมก็ลำพองตนอยู่แล้ว หากยังทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์โหวและศักดินาหนึ่งหมื่นครัวเรือนให้อีก เกรงว่าจะยิ่งควบคุมเขาไม่อยู่นะพ่ะย่ะค่ะ!”จากนั้นก็มีคนมาสนับสนุนเขาอีก“ฝ่าบาท หากให้เมิ่งสิงโจวเป็นหัวหน้าแม่ทัพก็จะไม่มีใครคุมเขาได้ เขาจะยิ่งกำเริบเสิบสานนะพ่ะย่ะค่ะ แม้คนผู้นี้จะทำศึกอย่า
ระยะทางระหว่างวังหลวงกับวัดต้าเจาใช้เวลาเกือบสองชั่วยามหลิวซื่อเหลียงกลับมาอย่างรวดเร็ว“ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงกักตนสวดมนต์ บ่าวไม่อาจเข้าพบพระนางได้ ได้พบเพียงข้าหลวงเหลียนซวง นางบอกว่าพระนางสบายดีทุกอย่าง ไม่ขาดอะไรพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้เลิกคิ้วคมดุจกระบี่ขึ้น“สวดมนต์ยังต้องกักตน?”นางกำลังทำอะไรอยู่กันณ วัดต้าเจาเหลียนซวงใจเต้นรัวตึกตักตึกตักนางรีบปิดหน้าต่างอาราม กลัวว่าจะมีคนรู้...ว่าฮองเฮาไม่ได้ทรงประทับอยู่ที่นี่“ฮองเฮา ท่านรีบเสด็จกลับมาเถิดเพคะ...”ฝ่าบาทก็ทรงแปลกยิ่ง อยู่ ๆ จะส่งคนมาทำไม? คงไม่ใช่ว่ารู้สึกสงสัยหรอกนะ?......การรบระหว่างแคว้นหนานฉีกับรัฐเหลียงนั้นกำลังเป็นไปอย่างคึกคักยิ่งผ่านไปไม่กี่วันก็มีรายงานส่งเข้ามาที่เมืองหลวงแคว้นหนานฉีอีก“รายงาน! ฝ่าบาท แม่ทัพน้อยเมิ่งใช้กำลังพลสามสิบนายบุกยึดหุบเขาชุ่ยซานได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ข่าวนี้สร้างความตกตะลึงให้กับเหล่าขุนนางเป็นอย่างยิ่งสามสิบคน?!!“ฝ่าบาท นี่ต้องเป็นการหลอกลวงแน่พ่ะย่ะค่ะ! สามสิบคนจะยึดดินแดนอันตรายอย่างหุบเขาชุ่ยซานมาได้อย่างไรกัน!”ถ้าสามหมื่นยังพอว่า!น้อยคนนักที่เซียวอวี้จะรู้สึกนับถือ
ภายใต้การสั่งการของเฟิ่งจิ่วเหยียน กองทัพใหญ่แคว้นหนานฉีห้าวหาญทะยานดุจสายรุ้งที่พาดผ่านท้องฟ้าภายในหนึ่งเดือนก็สามารถยึดคูป้องกันเมืองได้ถึงสองแห่งด้วยความเร็วนี้ทำให้ชาวเหลียงตะลึงกลัวจนอยู่ไม่สุขฮ่องเต้เหลียงที่มัวเมาอยู่กับสุรานารีมานานปี ยามนี้ถึงกับเริ่มงดเว้นราคะ งดเว้นสุรา จุดธูปและสวดมนต์ในพิธีกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษ เขาถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาหยดหนึ่ง“หากรัฐเหลียงสามารถรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้ หลังจากนี้เราจะเพียรพยายามพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง!”พิธีกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษเพิ่งจะเสร็จสิ้น ผู้ส่งสารก็ขี่ม้าเข้ามาส่งข่าว“ฝ่าบาท! เราเสียเมืองชวนไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้เหลียงที่กำลังเดินลงจากขั้นบันไดเกือบจะเสียการทรงตัว“เมืองชวนที่อยู่มากว่าร้อยปีแล้ว...รักษาเอาไว้ไม่ได้แล้วหรือ?”เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า กล่าวถามอย่างพิโรธ“สวรรค์ เจ้าต้องการให้รัฐเหลียงของเราสิ้นชาติรึ! เราทำอะไรผิดไปหรือไร?”เมืองชวนเป็นปราการด่านสุดท้ายของรัฐเหลียงเมืองหลวงของแคว้นเหลียง ตกอยู่ในอันตรายแล้ว...ในสนามรบสู้กันอย่างดุเดือดเพียงใด การต่อสู้ในราชสำนักเองก็ดุเดือดไม่แพ้กันหลัง
ทหารกองทัพใต้มีคุณธรรมน้ำมิตรจึงลุกขึ้นมากันทั้งหมด“แม่ทัพซุน เห็นแก่หน้าของท่าน พวกเราเต็มใจยอมรับการลงโทษ ทว่าพวกเราไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด!”“ใช่ พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด!”“พวกเราเป็นทหารกองทัพใต้ ถือสิทธิ์อะไรถึงจะให้พวกเรารักษากฎของกองทัพเหนือ?”ที่สุดแล้วแม่ทัพซุนก็เข้าข้างคนของตน จึงหันกลับไปมองเฟิ่งจิ่วเหยียน“ที่พวกเขาพูดก็ใช่ว่าไร้เหตุผล แม่ทัพน้อยเมิ่ง ค่ายกองทัพเหนือของพวกท่านมีกฎของค่ายกองทัพเหนือ และค่ายกองทัพแต่ละแห่งของพวกเราก็ล้วนมี...”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนหนาวเหน็บเข้ากระดูก“แม่ทัพซุนทำใจไม่ได้งั้นหรือ”แม่ทัพซุนตกตะลึง “ไม่ใช่ว่าทำใจไม่ได้ ทว่าหากไม่ให้เหตุผล เกรงว่าพลทหารจะไม่ยินยอม ทำให้ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”แม่ทัพหลายคนเองก็มาช่วยไกล่เกลี่ยแบบขอไปที“แม่ทัพน้อยเมิ่งพอได้แล้วกระมัง เหตุใดจึงต้องทำให้ทหารของหนานฉีเราลำบากใจเพื่อชาวบ้านของรัฐเหลียงด้วยเล่า?”“แม่ทัพซุน เจ้าก็ทำเป็นลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ เสียหน่อย นี่ก็ใกล้จะเข้าไปโจมตีเมืองหลวงรัฐเหลียงแล้ว ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเจ้าควบคุมของที่อยู่ในกางเกงให้ดี ๆ หน่อย อย่าทำให้แม่ทัพน้อยเมิ่งต้องลำบา
ภายใต้หน้ากาก สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนแข็งทื่อ เพราะชั่วพริบตาหนึ่งใบหน้าของเด็กสาวคนนั้นกลายเป็นใบหน้าของเวยเฉียง...เด็กสาวนางนั้นไร้อาภรณ์คลุมกาย ร่างกายฟกช้ำไปทั้งร่างเลือดสด ๆ ไหลออกมาจากหว่างขา ร่างของนางกระตุกอย่างเจ็บปวดก่อนตาย ดวงตาสองข้างเบิกมองแม่ทัพน้อยที่เพิ่งลงจากหลังม้าเฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร นางถอดเสื้อคลุมนำมาคลุมปิดร่างของเด็กสาวเอาไว้ ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยความหนาวเหน็บอย่างที่สุดเด็กสาวใช้แรงเฮือกสุดท้ายคว้ามือของนางไว้ เล็บจิกลึกลงไปที่หลังมือของนาง ระบายความโกรธเกลียดเมื่อเปิดปาก เลือดสด ๆ ก็ไหลทะลักออกมาจากปากของนาง“ทำ...ไมกัน...”แล้วสุดท้ายนางก็ตายจากไปท่ามกลางความเกลียดชังและความสงสัยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้นเมื่ออู๋ไป๋เงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นเงาร่างที่ลุกลี้ลุกลนของทหารหลายคน เพียงแค่สบตาก็รีบหนีหายไปอย่างรวดเร็วเฟิ่งจิ่วเหยียนช่วยลูบปิดดวงตาทั้งสองข้างให้เด็กสาวที่ตายตาไม่หลับคนนั้น จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในหอสุราอู๋ไป๋รีบติดตามไปด้านหลังแล้วจัดการลงกลอนประตูด้วยท่าทีที่ดูเป็นธรรมชาติเป็นอย่างมา
ภายใต้หน้ากาก ดวงตาทั้งสองข้างของเฟิ่งจิ่วเหยียนแดงก่ำบุตรชายของท่านอาจารย์...เมิ่งสิงโจวตัวจริงนั้นได้ตายจากไปนานแล้วนี่คือเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดของท่านอาจารย์และอาจารย์หญิงเจ้าคนสกุลซุนนี่ สมควรตาย!แม่ทัพซุนรีบตะเกียดตะกายลุกขึ้นมา แล้วมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ“เจ้า...นี่เจ้ากล้าถีบข้ารึ?!”แม่ทัพที่เหลือล้วนมายืนอยู่กับแม่ทัพซุน “เมิ่งสิงโจว ถึงอย่างไรพวกเราก็ล้วนเป็นผู้อาวุโสของเจ้านะ เจ้า..”“ถีบได้ดี!” ฮูหยินเมิ่งพลันเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่แฝงความเย็นชาอย่างลึกล้ำแม่ทัพเมิ่งเห็นฮูหยินมาจึงรีบเดินเข้าไปหา“ฮูหยิน ยามนี้ท่านอย่าเพิ่งสร้างเรื่องเพิ่มเลยนะ”ฮูหยินเมิ่งผลักสามีออกไป แล้วเดินไปอยู่ข้างกายเฟิ่งจิ่วเหยียน เผชิญหน้ากับเหล่าแม่ทัพที่ทำท่าว่าตนเหนือกว่าแล้วหัวเราะเย็น ๆ ทีหนึ่ง“สิงโจวของเราขจัดคนชั่วพิทักษ์ราษฎร ทำความผิดที่ไหนกัน? กลับเป็นพวกเจ้าที่แยกแยะถูกผิดไม่เป็น พอยึดเมืองชวนได้ก็ไปทำเรื่องอย่างโจรชั้นต่ำ ทำลายชื่อเสียงแม่ทัพและทหารของหนานฉีเราเสื่อมเสีย“สิงโจว เจ้าเขียนเรื่องนี้รายงานฝ่าบาท ให้พระองค์ได้ทรงทราบว่าทหารพวกนี้ทำเรื่
เมื่อเริ่มลงไม้พลองทหาร เสียงร้องอย่างน่าอนาถก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะเดียวกันกุนซือของแม่ทัพซุนก็เดินไปทั่วทุกสารทิศเพื่อกล่อมให้แม่ทัพท่านอื่นยอมช่วยพูดต่อหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน“ท่านแม่ทัพน้อยเมิ่ง แกะดำในฝูงถูกกำจัดไปแล้ว ท่านก็อย่าต่อว่าแม่ทัพซุนอีกเลย”“กองทัพใต้ทำศึกสงครามอย่างกล้าหาญ หากไม่ให้พวกเขาร่วมขบวนทัพด้วย ออกจะน่าเสียดายไปหน่อย”เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสมาธิอยู่กับการดื่มชา ท่าทางดูเย็นชาและห่างเหินหลังจากการโบยหนึ่งร้อยครั้งด้วยไม้พลองทหารจบลง นางก็วางถ้วยชาลง“การบุกโจมตีเมืองหลวงรัฐเหลียงให้กองทัพใต้เป็นแนวหน้า สร้างผลงานชดใช้ความผิด”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหล่าแม่ทัพท่านอื่นต่างเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา......จากสี่สิบกว่าคน คนที่ยังรอดชีวิตมีเพียงเฉินเซิ่งคนเดียวเท่านั้นเมื่อได้ยินว่าเมิ่งสิงโจวยอมให้กองทัพใต้อยู่ต่อ ทั้งยังให้พวกเขาได้เป็นแนวหน้า แม่ทัพซุนก็รู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก ทั้งยังรู้สึกดีใจราวกับเก็บสมบัติล้ำค่าได้ในเวลาเดียวกันเขากำมัดคารวะไปทางกระโจมหลัก“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”จากนั้นก็ยกมือเรียกให้คนยกหลานชายเดินจากไปเฟิ่งจิ่วเหยียนเด
ภายในกระโจมหลัก เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่ข้างถาดทราย มองดูแผนที่ภูมิศาสตร์จำลองของรัฐเหลียง อย่างมิได้ตั้งใจนัก ทว่าไม่ลดสายตาเหยียดหยามต่อโลกที่เฉียบคม อู๋ไป๋เร่งรีบเดินเข้ามา “แม่ทัพน้อย เฉินเซิ่งตายแล้วขอรับ” เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้แปลกใจแม้แต่น้อย ถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง “แล้วพ่อกับพี่ชายของสตรีนางนั้นอยู่ไหน?” “ข้าน้อยได้ส่งพวกเขาออกจากค่ายทหารอย่างปลอดภัยแล้ว ไม่มีผู้ใดเห็นว่าพวกเขาก่อเหตุขอรับ” เฟิ่งจิ่วเหยียนกดคางลงเล็กน้อย “อืม ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร” อู๋ไป๋พูดอย่างกังวล “แม่ทัพน้อย หลานชายของแม่ทัพซุนเสียชีวิต เขายังสามารถทำศึกด้วยจิตใจที่สงบได้หรือขอรับ?” เฟิ่งจิ่วเหยียนน้ำเสียงเมินเฉย “มิใช่ว่าหลานชายของคนทั้งกองทัพชายแดนใต้เสียชีวิต “หากแม่ทัพไร้ความคิดจะสู้รบ เพียงแค่ถอนตัว ขอเพียงกองทัพชายแดนใต้ยังสามารถต่อสู้ได้ มันก็มิใช่ปัญหาใหญ่” “ขอรับ!” อู๋ไป๋เพิ่งจะเดินออกไป ก็พบกับแม่ทัพซุนที่เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบจนน่าสงสัย เขาหยุดอีกฝ่ายไว้ “ท่านมาหาแม่ทัพน้อยหรือ?” แม่ทัพซุนโกรธเป็นฟืนไฟ ผลักอู๋ไป๋ให
“ท่านแม่! ท่านว่าอะไรนะ ข้ายังมีน้องสาวอีกคนรึ?!”เฟิ่งเหยียนเฉินไม่อยากจะเชื่อน้องสาวอีกคนนึงของเขา เพิ่งเกิดได้ไม่นานก็ถูกส่งตัวออกไปแล้วที่ฮูหยินเฟิ่งบอกเขาก็เพราะหวังว่าบุตรชายจะได้รู้ว่าเขายังมีน้องสาวที่ต้องปกป้องอีกคนหนึ่งเฟิ่งเหยียนเฉินอึ้งไปครู่หนึ่ง“ท่านแม่ เดี๋ยวนะ เหตุใดคนที่แต่งกับฮ่องเต้แต่แรกถึงเป็นจิ่วเหยียน ไม่ใช่เวยเฉียงเล่า?“เช่นนั้นเวยเฉียงล่ะ? เวยเฉียงไปไหนแล้ว?”แววตาของฮูหยินเฟิ่งแฝงไปด้วยความโกรธแค้น“เป็นท่านพ่อของเจ้า สามีชั่วนั่น! เขาคิดว่าหลังจากเวยเฉียงถูกลักพาตัวไปก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่อาจเข้าวังไปเป็นฮองเฮาได้ จึงส่งเวยเฉียงออกไปเสีย ทั้งยังโกหกว่านางตายแล้ว! เขาหลอกพวกเราทุกคน!”“หากไม่ใช่เพราะจิ่วเหยียน ยามนี้เวยเฉียงจะเป็นหรือตายอยู่ข้างนอกก็ไม่รู้!”เฟิ่งเหยียนเฉินที่น่าสงสารถูกปกปิดจนไม่รู้อะไรเลย แม้แต่เรื่องที่เวยเฉียงถูกลักพาตัวไป สูญเสียความบริสุทธิ์ เขาก็เพิ่งได้รู้ความจริงเอาตอนนี้เขารู้สึกว่าในหัวมีแต่เสียงดังหึ่งหึ่งสวรรค์!ในช่วงที่เขาตกอยู่ในความกลัดกลุ้มนั่น ที่แท้ตระกูลเฟิ่งกลับเกิดเรื่องมากมายเพียงนี้เขาที่เป็นพี่ชาย ช่
ณ ค่ายเป่ยต้าสีหน้าของเมิ่งฉวีเขียวคล้ำ เขามองไปที่ฮ่องเต้เบื้องหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ“ฝ่าบาท ท่าน...” ตรัสว่าอะไรนะ ถุงยาง?ยังอยากให้ฮูหยินทำถุงยางให้มากหน่อย?จากที่เขารู้ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะทำให้ไปสิบอันหรอกหรือ?ใช้หมดเร็วขนาดนี้เลยหรือ?!เมิ่งฉวีอดไม่ได้ที่จะคิดว่า...หนุ่มแน่นช่างกำลังวังชาดีเสียจริงเซียวอวี้ไม่สะดวกที่จะพูดเรื่องนี้กับฮูหยินเมิ่ง จึงคิดจะพูดกับเมิ่งฉวีแทนถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษด้วยกันเมิ่งฉวีรู้สึกลิ้นจุกปาก “ฝ่าบาท เรื่องนี้ยากนัก กับฮูหยิน กระหม่อมเองก็พูดไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้นั่งดื่มชาอยู่ในกระโจม ท่าทางดูผ่อนคลายสงบนิ่งเขากล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า“จิ่วเหยียนกับฮูหยินเมิ่งผูกพันดุจมารดาและบุตร นางต้องแต่งงานไปไกลถึงเมืองหลวง เราตัดสินใจว่าจะให้ฮูหยินเมิ่งติดตามไปด้วย”เมิ่งฉวี: !!!ฝ่าบาทจะมาพรากพวกเขาสามีภรรยาออกจากกันได้อย่างไร!นี่กำลังขู่เขาอย่างนั้นหรือ?……ณ จวนแม่ทัพเวยเฉียงกับสาวใช้นามไฉ่เยว่ย้ายมาอยู่ที่นี่ รู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้างยังดีที่นางคุ้นเคยกับท่านพี่และฮูหยินเมิ่ง จึงไม่ถึงกับประหม่าฮูหยินเมิ่งสงสารที่เวยเฉี
วินาทีที่ถอดหน้ากากของนางออก เซียวอวี้เห็นนางยิ้มดั่งดอกไม้เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางยิ้มอย่างปล่อยตัว มีความสุขอาจเป็นเพราะดื่มจนเมา ทิ้งเกราะป้องกันตัว นางล้มสู่อ้อมกอดของเขา เกาะไหล่ของเขา แล้วลุกขึ้นมา“ข้าไม่ได้เมา...”เซียวอวี้ขมวดคิ้วเดินยังไม่มั่นคง ยังบอกว่าไม่เมา?“ตงฟางซื่อส่งเจ้ากลับมา” เขาไม่ได้ถาม ทว่าเป็นการพูดขึ้นมาอย่างมั่นใจหยิ่นลิ่วคอยปกป้องนางอยู่ตลอดตอนที่ตงฟางซื่อไปหาถึงเซียวเหยาจวี เซียวอวี้ก็รู้แล้วภายหลังนางตามตงฟางซื่อไปยังหอสุรา ดื่มสุราทานข้าวกับคนเหล่านั้น เขาก็รู้เขาอดกลั้นไม่ไปรบกวนนาง เพราะเขารู้ดี นั่นคือเพื่อนสนิทของนาง เป็นวิถีชีวิตของนางถึงแม้ว่านางกำลังจะแต่งงานกับเขา นั่นก็คือสิ่งที่นางไม่อาจทอดทิ้งทว่า นางเป็นสตรีผู้หนึ่ง ดื่มอยู่ข้างนอกจนดึกขนาดนี้ เหลวไหลเกินไปแล้วเซียวอวี้วางหน้ากาก จับปลายคางของนางไว้“ดื่มไปมากเท่าไหร่? ถึงได้เมาเป็นสภาพเช่นนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนคลี่มือของเขาออก แววตาเต็มไปด้วยความมัวหมอง ไม่เย็นชาเหินห่างเหมือนทุกวันที่ผ่านมา“ก็บอกแล้ว ข้าไม่ได้เมา”นางลุกขึ้น อยากหาน้ำดื่มทว่าเวลาถัดมา ตรงแขนมีแรง
ไม่ได้เจอกันหลายเดือน ตงฟางซื่อยิ่งอยู่ยิ่งดำเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นมาต้อนรับ“เจ้ามาได้อย่างไร?”ตงฟางซื่อหรี่ตายิ้มแย้ม “ข้าได้เจอกับอู๋ไป๋ จึงถามเขาว่าเจ้าอยู่ที่ใด ไม่ใช่ว่าไม่ต้อนรับข้ากระมัง?”สหายเก่ามาพานพบ มิใช่เรื่องน่ายินดีหรือเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างจริงใจ “เป็นไปได้อย่างไร เชิญนั่ง”สายตาของตงฟางซื่อหันไปมองเฟิ่งเวยเฉียง เห็นนางหน้าตาเหมือนกับซูฮ่วน ก็เดารู้ว่าพวกนางเป็นพี่น้องกันเฟิ่งจิ่วเหยียนแนะนำให้เขารู้จัก“คนนี้คือน้องสาวข้า เวยเฉียง”“เวยเฉียง คนนี้คือคุณชายตงฟาง”ทั้งสองคนต่างผงกศีรษะเป็นการทักทายตงฟางซื่อพูดเข้าเรื่องทันที“เรื่องของหยางเหลียนซั่ว ข้าได้บอกพวกเหล่าฝานแล้ว ทุกคนกำลังตามสืบร่องรอยของเขา ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งจะปรึกษา”เฟิ่งจิ่วเหยียนให้เวยเฉียงกับต้วนเจิ้งกลับห้องไปก่อนเวยเฉียงพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบา “ท่านพี่ คุณชายตงฟาง พวกเจ้าคุยกันตามสบาย”ต้วนเจิ้งกลับไม่ยอม“ข้าไม่ไป หยางเหลียนซั่วทำให้พี่ชายข้าตาย เป็นศัตรูของข้า ข้าจะไปตามหาเขาพร้อมกับพวกเจ้า แล้วก็ฆ่าเขา!”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจ เพียงเร่งเร้าตงฟางซื่
เรื่องราวมาถึงขนาดนี้แล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่ปิดบังแล้วนางพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเย็นชา“ท่านดูไม่ออกหรือ ข้าไม่ได้อยากพูดถึงเรื่องนั้น?”ตลก ผู้ลี้ภัย ลิงผอมตัวดำ! ตอนกลางวันเขาพูดว่านางเช่นนี้ !นางอยากยอมรับสิแปลก!เวลานี้ เซียวอวี้ก็คิดขึ้นมาได้ นางกำลังไม่พอใจอะไรที่แท้ก็อยากรักษาภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ ไม่อยากยอมรับว่านางคือลิงน้อยคนนั้นเขาเสียใจอย่างมาก รีบพูดขอโทษขึ้นมา“เราผิดไปแล้ว ตอนนั้น...เรากลัวว่าเจ้าจะเข้าใจผิด จึงตั้งใจพูดแบบนั้น ความจริงแล้ว เราจดจำเจ้ามาตลอด วีรชนน้อย”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอียงศีรษะเล็กน้อย มองดูเขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเซียวอวี้จูบบนหน้าผากของนาง จากนั้นก็หยิบผ้าแห้งผืนนั้นมา เช็ดผมที่เปียกให้กับนางด้วยตนเอง กระทำอยู่อย่างอ่อนโยน ราวกับในมือถือสิ่งของล้ำค่าเอาไว้“ปีนั้นเมืองซีซิ่นเกิดทุพภิกขภัย เราเพิ่งเข้าเมืองมาก็ถูกปล้นแล้ว ไม่สามารถที่จะลงมือทำร้ายประชาชน โชคดีที่เจ้ามาปรากฏ เวลานี้เราพูดความจริง เจ้าในตอนนั้นถึงแม้ยังเด็ก ทว่าท่าทีขี่ม้า ดูสง่างามยิ่งกว่าบุรุษจริงๆ”“ไม่ใช่ตลกหรอกหรือ?” นางยังคงไม่ยิ้มแย้ม คำพูดแฝงไปด้วยความเหน็บแ
เซียวอวี้จำได้ดี ตอนนั้น ขนมเกาลัดที่ยัยเด็กคนนั้นให้เขา ก็ละเอียดแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ กระทั่งละเอียดเป็นเศษกลับอร่อยมากเขารู้สึกหัวใจเต้นราวกับตีกลอง พร้อมลองถามฮูหยินเมิ่ง“มีเพียงนางที่กินแบบนี้?”ฮูหยินเมิ่งผงกหัวอย่างยิ้มแย้ม“ก็ใช่นะสิ มีแค่นางคนเดียว เพราะตอนอายุห้าขวบเคยสำลัก ทั้งรักทั้งเกลียดขนมเกาลัด คิดว่าทุบแล้วค่อยกิน เหมือนอย่างกับมันจะเชื่อฟังขึ้น ภายหลังจึงเคยชิน กินแบบนี้มาตลอด”คิดถึงจิ่วเหยียนตอนเด็กที่น่ารักดื้อรั้น และยังมีท่าทีดุร้าย บนใบหน้าฮูหยินเมิ่งปรากฏความอ่อนโยนของความเป็นแม่ “เด็กคนนั้น พริบตาเดียวก็โตขนาดนี้แล้ว...”เมื่อพูดเสร็จ แววตาฮูหยินเมิ่งก็กลายเป็นเฉียบคมขึ้นมาทันที ทุบฝ่ามือลงไป ผ่านบนไม้กระดาน ขนมเกาลัดชิ้นหนึ่งถูกทุบจนแบนเฉินจี๋ : ! ! !ฝ่ามือของฮูหยินเมิ่ง ดุเดือดมากเวลานี้ สีหน้าเซียวอวี้แข็งทื่อใช่ !อยู่ดี ๆ ใครจะทุบขนมเกาลัดที่เป็นชิ้นสมบูรณ์ให้แหลก !และปีนั้น ยัยเด็กคนนั้นอายุเพียงสิบขวบ เมื่อนับดูแล้ว ก็อายุไม่ต่างอะไรกับเฟิ่งจิ่วเหยียนบังเอิญบวกกับบังเอิญ นั่นก็จะไม่ใช่ความบังเอิญแล้ว !แล้วก็คิดถึงความผิดปกติของนาง
เมื่อครู่เซียวอวี้วู่ว่ามไปหน่อย เวลานี้สงบสติลง ก็รู้ตัวว่าตนเองตื่นตระหนกตื่นตูมไปแล้วพวกนางปรึกษาเรื่องตั้งกองกำลังหญิง คำนึงถึงแผ่นดินราษฎรเขากลับใจแคบ ยอมรับไม่ได้ ช่างเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีเอาเสียเลยเมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาดับความขุ่นเคืองในใจด้วยตนเองหลังจากนั้นก็ล้วงเอาขนมเกาลัดออกมาหลายชิ้น พวกมันถูกกระดาษมันห่อเป็นชั้น ๆ ยังร้อนอยู่เลย“ขนมเกาลัดที่ฮูหยินเมิ่งเพิ่งทำวันนี้ ข้าเอามาให้เจ้ากิน”สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยังยืนยันคำพูดเดิม “ข้าไม่ชอบกิน”เซียวอวี้ดึงมือของนางมา วางขนมเกาลัดไว้บนฝ่ามือของนาง“ยังคิดจะโกหกข้า?“อาจารย์กับอาจารย์หญิงของเจ้าก็พูดแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าชอบทานขนมเกาลัดที่สุด“เรารู้ ทำไมเจ้าถึงโกหกเรา”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมาเขารู้?หลังจากนั้น เซียวอวี้ก็พูดขึ้นมาอย่างมั่นใจในตนเอง“เจ้าถือสาเรื่องที่เราพูดถึง รู้สึกไม่พอใจ ใช่หรือไม่”เฟิ่งจิ่วเหยียน : ...เซียวอวี้อธิบายให้นางฟังอย่างจริงจัง“เราจำได้จนถึงตอนนี้ แค่ขนมเกาลัดชิ้นเดียว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนที่ให้ขนมเกาลัดเลย“เจ้าไม่รู้ ยัยเด็กคนนั้นป่าเถื่อนมาก
เห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนอึ้ง เซียวอวี้ถามขึ้นมาด้วยเสียงเบา“ทำไมหรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนได้สติกลับมา สายตาจ้องบนใบหน้าของเขา “ไม่เป็นไร"เซียวอวี้นึกว่านางยังเข้าใจผิดอยู่ จึงพูดขึ้นมาอีก“ไม่ได้โกหกเจ้า เป็นยัยเด็กคนนั้นจริง ๆ “ตัวผอม ๆ บนใบหน้าเปื้อนไปด้วยฝุ่น ไม่รู้ว่าลี้ภัยมาจากไหน...”“ตลกมากใช่ไหม” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขัดจังหวะเขา พร้อมถามขึ้นมาด้วยเสียงต่ำเซียวอวี้ผงกหัว“อืม”เฟิ่งจิ่วเหยียนหันไปมองข้างนอกรถม้า ไม่พูดอะไรอีกทว่า แอบกำหมัดแน่นไม่นาน เฉินจี๋ซื้อขนมเกาลัดกลับมาแล้วเซียวอวี้ยื่นมาให้เฟิ่งจิ่วเหยียนหนึ่งชิ้น นางส่ายหัวพร้อมพูดขึ้นมา “ขอบพระทัย ทว่าข้าไม่ชอบทานสิ่งนี้”ตอนที่พูดประโยคนี้ นางไม่ได้มองดูเขาแต่ละคนชอบทานไม่เหมือนกัน เซียวอวี้ไม่สงสัยว่ามีอะไรระหว่างทาง เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป จึงสั่งให้หยุดรถม้าอาจารย์หญิงพูดไม่ผิด จะแต่งตัวเป็นชายอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ ควรที่จะซื้อชุดสตรีบ้างแล้ว“ข้าขอทำธุระส่วนตัว ท่านกลับไปก่อน”พูดเสร็จ นางก็กระโดดลงจากรถม้าเซียวอวี้เปิดม่าน มองเงาแผ่นหลังของนาง แล้วก็ย้อนครุ่นคิดเขาทำอะไรผิด พ
“พี่สาว...”เฟิ่งเวยเฉียงเพิ่งวิ่งมาหา ก็เห็นบุรุษด้านข้างพี่สาวคนผู้นั้นสวมชุดผ้าแพรสีม่วง ดูออกว่าเขาพยายามที่จะไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ ทว่าก็ยังคงไม่สามารถปกปิด ความสูงศักดิ์อย่างไม่ธรรมดารอบตัวเขาโดยเฉพาะใบหน้าเผด็จการน่าเกรงขาม ดูก็รู้ว่ามีสถานะสูงส่ง ไม่ให้มีการฝ่าฝืน“ข้าน้อยถวายบังคมฝ่าบาท” เฟิ่งเวยเฉียงก้มศีรษะลงทันที ไม่กล้ามองอีกฝ่ายสาวใช้ไฉ่เยว่ ก็รีบถวายความเคารพตามได้เห็นพระพักตร์จักรพรรดิ พูดว่าไม่ตื่นเต้นนั้นเป็นความเท็จ ฝ่ามือของนางเหงื่อไหลชุ่มฝ่าบาทแตกต่างจากที่นางคิดไว้ไม่มาก...สูงส่งเย็นชา ยากที่จะคาดเดาว่ารู้สึกอย่างไรไม่รู้เลยจริง ๆ ว่า คุณหนูจิ่วเหยียนเคยชินกับการอยู่ข้างกายเขาได้อย่างไรเมื่อเซียวอวี้เห็นเฟิ่งเวยเฉียง ก็รู้ว่านางกับเฟิ่งจิ่วเหยียน สมกับที่เป็นฝาแฝดกัน ใบหน้าเหมือนกันเลยทว่าลักษณะนิสัย ดูก็รู้ว่าไม่เหมือนกันนางเพียงยืนอยู่ไม่พูดอะไร เขาก็สามารถมองทะลุถึงใจนาง เป็นคนไร้เดียงสา เป็นสตรีที่ไม่หวั่นไหวกับเรื่องทางโลกคนหนึ่ง“ครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องมากพิธี” เซียวอวี้พยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่า เฟิ่งเวยเฉียงยังคงรู้สึกว่าเขาเยือ