ชุนเหอรับใช้หลิงเยี่ยนเอ๋อร์นานหลายปี เช่นเดียวกับจ้าวเฉียน ที่ได้กระทำสิ่งเลวร้ายมากมายเพื่อหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เฟิ่งจิ่วเหยียนจะปล่อยนางไป เมื่อทำผิด ต้องได้รับโทษ ดังนั้น ชุนเหอจึงถูกจำคุกในกรมราชทัณฑ์ “ฮองเฮาโกหกข้า! นางโกหกข้า!” ไม่ว่านางจะตะโกนมากเพียงใด ก็ไม่มีผู้ใดสนใจ ตำหนักหย่งเหอ เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ตัดสินใจไปยังป่าที่เวยเฉียงถูกลักพาตัว เพื่อตรวจสอบให้ละเอียดยิ่งขึ้น หลังจากเข้าสู่ยามราตรี นางจึงลอบออกจากวัง นางกำชับให้อู๋ไป๋คอยดูแลเวยเฉียง แล้วพาไฉ่เยว่ไปที่ป่าผืนนั้นด้วยกัน วันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนนี้มีเพียงไฉ่เยว่ที่รู้ชัดเจน ไฉ่เยว่ความจำดี อีกทั้งประสบการณ์ในวันนั้นได้ฝังลึกอยู่ในจิตใจ ชั่วชีวิตนี้มิอาจลืมเลือน นางชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วรื้อฟืนความทรงจำ “ฮองเฮา ตรงนี้เพคะ! ในเวลานั้นรถม้าของพวกเราถูกโจรภูเขาขวางไว้ ผู้คุ้มกันต่อสู้กับพวกโจรภูเขา บ่าวและเหยาเหนียงปกป้องคุณหนูกระโดดลงจากรถม้า วิ่งเข้าป่าทางนั้นเพคะ” แสงจันทร์หนาวเหน็บ ส่องกระทบใบหน้าของไฉ่เยว่ ช่างดูซีดเซียว
ในสุสานอัดแน่นด้วยพลังวิญญาณ ทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุกโดยเลี่ยงไม่ได้ อู๋ไป๋แบกจอบขึ้นบ่า และมองไปทางเฟิ่งจิ่วเหยียนแบบยิ้มไม่ออก “แม่ทัพน้อย ท่านแน่ใจหรือว่ามาถูกที่แล้วขอรับ?” ก่อนจะมาที่นี่ แม่ทัพน้อยไม่ได้บอกว่าจะขุดหลุมฝังศพของตระกูลตัวเอง! หลุมฝังศพบรรพบุรุษตระกูลเฟิ่งล้วนตั้งอยู่ที่นี่ ลบหลู่มากเกินไปแล้ว! เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่พูดไร้สาระ และเดินตรงเข้าไปข้างใน หลังจากเห็นป้ายหลุมศพที่มีชื่อเหยาเหนียงเขียนอยู่ จึงออกคำสั่ง “ขุดขึ้นมา” เหล่าผู้คุ้มกันก็ถูกฝังพร้อมกับเหยาเหนียง หลุมฝังศพจึงอยู่ใกล้ ๆ กัน หาเจอไม่ยาก เฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งให้อู๋ไป๋ขุดศพขึ้นมาทั้งหมด อู๋ไป๋เห็นว่าไม่ได้ขุดหลุมฝังศพบรรพบุรุษตระกูลเฟิ่ง จึงเริ่มใช้จอบขุดทันที ฉึก! ฉึก! หนึ่งชั่วยามต่อมา บนพื้นมีซากศพที่เน่าเปื่อยอย่างหนักอยู่หลายศพ มีของเหลวไม่ทราบชนิดไหลออกมาจากช่องต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ตา จมูก ปาก... เป็นฉากที่ไม่น่ามองสุด ๆ แน่นอน แม้แต่คนเช่นอู๋ไป๋ที่เห็นคนตายมานับไม่ถ้วน ยังถูกกลิ่นเหม็นเน่าทำให้ลืมตาแทบไม่ขึ้น รู้สึกคล
เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่คาดคิดว่า เซียวอวี้จะมาหานางในเวลากลางคืนเช่นนี้ นกพิราบสื่อสารบินออกจากตำหนักหย่งเหอ โดยปกติไม่ส่งเสียงเคลื่อนไหวมากนัก ทว่าเซียวอวี้ และราชองครักษ์ที่อยู่รอบกายเขา ทั้งหมดล้วนเป็นปรมาจารย์ด้านกำลังภายในขั้นสูง การเคลื่อนไหวใด ๆ มิอาจเล็ดลอดหูตาของพวกเขาได้ เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบซ่อนจดหมายลับไว้ และกวาดสายตามองไปยังทิศทางที่นกพิราบสื่อสารบินจากไป เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือ ต้องส่งเสียงดังเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ... เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงร้องตะโกนทันที “มีนักฆ่า!” เหลียนซวงก็ตอบสนองได้ว่องไว จึงช่วยตะโกน “ทหาร! คุ้มครองฮองเฮา!” ทันใดนั้น เซียวอวี้และราชองครักษ์ก็เข้ามาในตำหนัก เซียวอวี้เดินตรงเข้าสู่ตำหนักชั้นใน ทว่าสิ่งแรกที่เขาสนใจ มิใช่ความปลอดภัยและอันตรายของเฟิ่งจิ่วเหยียนผู้เป็นฮองเฮา “นักฆ่าอยู่ที่ใด!” หรือว่านักฆ่าหญิงผู้นั้นก่อเรื่องอีกแล้ว นางเพิ่งจะขับพิษวารีสวรรค์ทั้งหมดให้เขา พลังภายในยังไม่ฟื้นฟู กลับกล้ามาก่อความวุ่นวายในวัง! ทว่า นั่นอาจจะมิใช่นาง เฟิ่งจิ่วเหยียนชี้ไปทางหน้าต่างท
หลังจากเหลียนซวงได้รู้ความจริงที่คุณหนูเวยเฉียงถูกลักพาตัวไป แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านไปแล้ว แต่ในใจยังคงหวาดผวาอยู่“ฮองเฮา นี่ก็คือที่ท่านพูดว่า เราอยู่ในที่แจ้ง ศัตรูอยู่ในที่ลับใช่ไหม!“สามารถปลอมเป็นเหยาเหนียง แฝงตัวอยู่กับคุณหนูเวยเฉียง คนคนนั้นน่ากลัวมากเลย! พวกเราจะทำยังไงถึงจะสามารถจับตัวเขาได้?“อีกอย่าง ท่านวางแผนที่จะไปจากเมืองหลวง กลับชายแดนเหนือไม่ใช่หรือ?”นางรู้ดีมาตลอด ฮองเฮาไม่เหมาะสมกับที่นี่แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง พร้อมพูดขึ้นมาว่า“ไม่ไปแล้ว”นางจะต้องสืบให้รู้ถึงคนที่วางแผนอยู่เบื้องหลังให้ได้ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ก็ไม่สามารถพาเวยเฉียงจากไปได้ สิ่งเดียวที่เป็นกังวลก็คือชายแดนเหนือ หวังว่าชายแดนเหนือจะไม่เกิดเหตุวุ่นวายอะไร…… ฮองเฮาไม่เหมือนนางสนมที่มีเวลาว่างพวกนั้น ต้องจัดการงานภายในวังมากมายช่วงที่ผ่านมานี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนบันทึกการรับสินบนทั้งหมดของตำหนักหลิงเซียวไว้ พร้อมส่งไปยังคลังหลวงข้าหลวงในตำหนักหลิงเซียว ที่เคยกระทำเรื่องชั่วช้าให้กับหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ ผู้ที่ได้ทำความผิดอย่างร้ายแรงนั้น ต้องรับโทษเช่นชุนเหอนั้น ส่งตัวไปยังกรมราชทัณฑ์ ไม่ไ
มู่หรงฉานได้เป็นที่โปรดปรานของไทเฮา ถูกไทเฮาเรียกให้เข้าวังมาบ่อยครั้ง สวดมนต์เป็นเพื่อนไทเฮา เป็นสิ่งได้เปรียบที่หญิงสาวรอการคัดเลือกคนอื่นไม่มีแม้แต่หนิงเฟยที่เป็นหลานสาวแท้ๆ ยังถูกไทเฮาหลงลืมมองข้ามไปในใจหนิงเฟยนั้นไม่พอใจวันนี้นางไม่ได้มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า ก็ตรงไปถวายพระพรยังตำหนักฉือหนิงกุ้ยหมัวมัวออกมาบอกว่า“หนิงเฟยมาได้ไม่ถูกจังหวะ แม่นางมู่หรงกำลังช่วยซ่อมแซมหนังสือสวดมนต์ให้กับไทเฮา เมื่อสักครู่ไทเฮามีรับสั่งว่า ใครก็ห้ามมารบกวน พระนางค่อยมาช่วงบ่ายเถอะ”หนิงเฟยอดกลั้นความขุ่นเคืองไว้ ฝืนยิ้มแย้มพร้อมพูดขึ้นมาว่า“ไม่ง่ายที่ท่านป้ากับแม่นางของตระกูลมู่หรงเข้ากันได้ดี ข้าไม่รบกวนแล้ว”กุ้ยหมัวมัวเป็นคนช่างสังเกต มองเห็นถึงความโศกเศร้าของหนิงเฟย เห็นว่ารอบข้างไม่มีใคร จึงกระซิบด้วยเสียงต่ำ พูดเตือนหนิงเฟย“พระนาง ที่ไทเฮาทำแบบนี้ ล้วนเป็นการทำเพื่อท่าน เพื่อความรุ่งโรจน์ของตระกูล ท่านกับไทเฮาเป็นญาติกัน คนอื่นเทียบไม่ได้”หนิงเฟยผงกศีรษะ“ข้ารู้ ขอให้ท่านป้าดูแลสุขภาพด้วย”หลังจากไปแล้ว สาวใช้ของหนิงเฟย เต็มไปด้วยความกังวล“พระนาง คุณหนูมู่หรงฉานคนนั้นมีความสาม
ตำหนักจื้อเฉินเซียวอวี้อาบน้ำเสร็จ ผมดำสยาย สวมอาภรณ์หลวมเล็กน้อย เผยกล้ามที่หน้าอกอันแข็งแกร่ง เปล่งรัศมีเยือกเย็นชาดวงตาคู่หงส์นั้นมองหรี่ลง มองดูแส้เก้าท่อนบนโต๊ะมันคือสิ่งที่นักฆ่าหญิงคนนั้น ถูกนางทิ้งไว้จนถึงวันนี้นับดูวันเวลา เมื่อวานเป็นสิบวันที่พิษแดนฝันกำเริบนางน่าจะมาเอายาตามปกติ เขาจะสั่งให้เฉินจี๋นำยาไปส่งที่ตำหนักฉางสิ้นแต่เฉินจี๋รออยู่เป็นเวลานาน ก็ไม่เห็นนางมาเอายา เช้าวันนี้ไปดู ยาถอนพิษก็ยังอยู่ที่นั่น ยังคงสภาพเดิมไว้ในระหว่างที่เซียวอวี้กำลังครุ่นคิด เฉินจี๋กลับมารายงานว่า“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมไปยังตำหนักฉางสิ้นอีกครั้ง ยาถอนพิษก็ยังคงไม่ถูกนำไป”เฉินจี๋คิดว่า เป็นเรื่องที่แปลกจริงๆพิษแดนฝันกำเริบ ทุกข์ทรมานอย่างมากนางถูกพิษนี้ จะอดทนอยู่ได้อย่างไร?สีหน้าเซียวอวี้เยือกเย็นชา พร้อมพูดขึ้นมาว่า“แล้วแต่นาง”หากนางต้องการ ก็จะไปเอาเองมิเช่นนั้นจะให้เขาป้อนยาถอนพิษ ให้ถึงปากนางด้วยตนเองหรือ……เรื่องบุคคลลึกลับ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้แอบสืบความอยู่อย่างหลายครั้งแต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผลอะไรเขารอบคอบอย่างมาก ไม่ทิ้งร่องรอยอะ
หญิงดีงามหลายชุดเข้ามาในตำหนัก เฟิ่งจิ่วเหยียนเลือกคนไว้น้อยมากพวกนางสนมยิ่งมั่นใจว่า ฮองเฮามีใจริษยา“บุตรสาวเจ้ากรมพิธีการมู่หรงหวย...มู่หรงฉาน”ได้ยินเช่นนี้ พวกนางสนมล้วนระแวดระวังขึ้นมา ต่างพากันหันไปมองเห็นเพียงหญิงสาวคนนั้นรูปร่างงดงามสง่า สวมชุดกระโปรงผ้าปักสีสันสดใส ใบหน้าสวยงามสดใส ราวกับดอกบัวในสระน้ำ ส่งกลิ่นหอมที่ชวนให้น่าหลงใหล ทำให้บรรยากาศในตำหนักสดชื่นน่ารื่นรมย์“มู่หรงฉาน ถวายบังคมฮองเฮา”หนิงเฟยอดเบิกตาโตไม่ได้เหมือน!เหมือนหรงเฟยอย่างมาก!หากพูดว่า หลิงเยี่ยนเอ๋อร์คล้ายหรงเฟยเจ็ดแปดส่วน แล้งมู่หรงฉานคนนี้ เหมือนหรงเฟยไม่มีผิดเพี้ยนนางสนมคนอื่นกระซิบคุยกัน“เป็นลูกพี่ลูกน้องกันเอง ทำไมถึงได้เหมือนขนาดนี้?”“ใช่ ทุกอากัปกิริยา ทุกคำพูดเเละการกระทำ ล้วนเหมือนอย่างมาก ข้ายังคิดว่า...คิดว่าหรงเฟยกลับมาแล้ว!”เดิมพวกนางยังคิดเข้าข้างตนเองว่า ต่อให้คล้ายหรงเฟย มู่หรงฉานก็จะเป็นเหมือนพวกนางสนมเจีย ใช่ว่าจะเป็นที่โปรดปรานตอนนี้เพิ่งรู้ว่า พวกนางคิดผิดไปแล้วมู่หรงฉานจะต้องเป็นที่โปรดปรานแน่นอน และจะต้องมากยิ่งกว่าหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ทุกคนหันไปมองเฟิ่งจิ่วเ
จวนตระกูลมู่หรงมู่หรงฉานได้รับจดหมายจากพี่ชายมู่หรงเจี๋ย รอยยิ้มอ่อนหวานมีเมตตาสาวใช้หลิวซวี่ พูดขึ้นมาอย่างใส่ใจว่า“คุณหนู มีเรื่องอะไรทำให้ดีใจขนาดนี้หรือ?”ท่าทีมู่หรงฉานเงียบสงบ พูดขึ้นมาด้วยเสียงอ่อนหวานว่า“พี่ชายทำศึกได้ชัยชนะ”หลิวซวี่พูดขึ้นมาอย่างดีใจว่า “ดีมากเลย!”แต่ไม่ช้า มู่หรงฉานก็เริ่มโศกเศร้าบ้าง“ท่านอ๋องยังคงไม่ตอบจดหมายหรือ?”หลิวซวี่ก้มศีรษะ พร้อมพูดขึ้นมาว่า“คุณหนู ท่านอย่าคิดมาก ท่านอ๋องมีงานราชการมาก...”มู่หรงฉานพูดแทรกขึ้นมาว่า“เจ้าไม่ต้องโกหกข้า ข้ารู้ การเข้าวังเพื่อร่วมการคัดเลือกโดยพลการ ท่านอ๋องไม่มีทางพอใจ ดังนั้นตอนแรกที่เข้าร่วมการคัดเลือก ข้าจึงปิดบังเขา ไม่กล้าบอกกับเขา”“ยังไงความจริงก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจปิดบังได้“แต่ข้าไม่เสียใจ”หลิวซวี่พูดขึ้นมาว่า “คุณหนูเกิดมาพร้อมกับความโชคลาภ วัดเล็กๆ ย่อมไม่เพียงพอสำหรับท่าน”มู่หรงฉานมองดูใบหน้าในคันฉ่อง ที่คล้ายคลึงกับพี่สาวลูกพี่ลูกน้องใบนั้น ท่าทีจริงจังแน่วแน่“ท่านอ๋องไม่ได้บอกข้าเพียงครั้งเดียวว่า ให้อยู่ในวัดอย่างสงบ ข้าถึงจะปลอดภัยราบรื่น เขากำลังกลัวอะไรกันแน่?“ข้ารู้ว่าเขาก
ราชทูตแคว้นตงซานมาพร้อมกับผ้าทอและอาชา เริ่มจากปฏิบัติด้วยความสุภาพก่อน“แคว้นตงซานเราไม่เคยเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างแคว้น ครั้งนี้แต่ละแคว้นมาล้อมโจมตีหนานฉี ฮ่องเต้พวกเราก็ได้ยินข่าวลือเหล่านี้เช่นกัน ต่างพูดกันว่า ข้อพิพาทนี้ ต้นเหตุมาจากการยุยงของแคว้นตงซาน”ราชทูตแคว้นอื่นต่างมองหน้ากันราชทูตแคว้นตงซานผู้นี้หมายความว่าอย่างไร? คำนึงแต่ตนเองไม่สนใจผู้อื่นรึ?ในตอนแรก มิใช่แคว้นตงซานพวกเขาส่งคนมาพูดหว่านล้อมว่า หากร่วมมือกับพวกเขาโจมตีหนานฉี จะแบ่งดินแดนหนานฉีให้หรอกหรือ!หลี่หลิงราชทูตแคว้นตงซานกล่าวต่อ“หลังจากสืบสวนอยู่หลายทาง พวกเราถึงสืบพบว่า เดิมทีแล้ว ทั้งหมดนี้ถานไถเหยี่ยนเป็นคนทำ“เขาหลอกลวงอวดอ้าง จนได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทของเรา ถูกยกย่องให้เป็นราชครู และถือเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของแคว้นตงซานด้วย “นึกไม่ถึงว่า เขายังไม่พึงพอใจกับสิ่งนี้ เจตนาจะหลอกล่อกษัตริย์ของเรา ให้กษัตริย์ของเราโจมตีหนานฉี เพื่อจะได้เป็นมหาอำนาจ กษัตริย์ของเรามีสติ จึงไม่หลงกลการยั่วยุ“นึกไม่ถึงว่าเขายังไม่ยอมหยุดความคิดชั่วร้าย ยังแอบตระเวนไปยังแต่ละแคว้น เพื่อยุยงให้แต่ละแคว้นล้อ
เรื่องส่งคืนกองทัพอินทรีเหินให้กับเฟิ่งจิ่วเหยียน ตอนที่นางเสร็จสิ้นจากการไปเป็นราชทูตที่แคว้นซีหนี่ว์ เซียวอวี้ก็เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ทว่าภายหลังเจอกับสงครามครั้งใหญ่ เรื่องนี้จึงถูกพักไว้ก่อนเซียวอวี้เป็นฝ่ายเริ่มพูดเรื่องนี้ ซ้ำยังเตรียมการทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี ถือว่ามีความจริงใจเต็มเปี่ยมโดยมิต้องสงสัยทว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับเป็นกังวล“เรื่องนี้ ราชสำนักรู้หรือไม่เพคะ?”เซียวอวี้สวมกอดนางจากทางด้านหลัง ราวกับได้ครอบครองทั้งใต้หล้า“เราเคยเรียกพบขุนนางคนสำคัญหลายคนในราชสำนักตั้งแต่แรก เพื่อบอกเรื่องนี้กับพวกเขา พวกเขาต่างก็คิดว่า เราสมควรทำเช่นนี้“วันนี้ประชุมราชกิจ เราก็ประกาศกับเหล่าขุนนางอย่างเป็นทางการแล้ว ทว่าก็มีบางคนคัดค้านเช่นกัน แต่เราพูดเพียงว่า ‘ตอนนี้หนานฉีต้องโจมตีกับแคว้นอื่น ผู้ใดที่คัดค้าน เราจะให้ออกไปสนามรบ’ ดังนั้น พวกเขาก็พากันเงียบกริบ“เจ้าเห็นหรือไม่ เรื่องนี้มิได้ยากเย็น”ถึงแม้เขาเอ่ยออกมาดูเหมือนจะง่ายดาย เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับรู้ว่า เพื่อตราคำสั่งทหาร เขาต้องทุ่มเทความพยายามอย่างมากขุนนางใหญ่ในราชสำนักเหล่านั้น โดยเฉพาะขุนนางอาวุโส แต่ละคนมีฝีปา
เซียวอวี้กับเซียวฉีเริ่มจะขัดแย้งกันเขานึกไม่ถึงว่า เซียวฉีจะใส่ร้ายเขาต่อหน้าจิ่วเหยียนเช่นนี้“วาดภาพ” อะไรกัน เขาจำสิ่งใดมิได้เลย!เซียวฉีเล่าออกมาเป็นเรื่องเป็นราว“ตอนที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเหล่าเสด็จพี่ อาภรณ์ของทุกคนเรียบร้อยกันหมด ทว่าของเขามักจะทำขาดอยู่เสมอ ซ้ำยังขาดตรงส่วนก้นด้านหลัง จนเห็นกางเกงลายดอกไม้ยามเหมันต์ และเพราะกลัวเสด็จพ่อจะทรงดุ จึงต้องเดินถอยหลัง“พอโตขึ้นมาหน่อย เขาก็ชอบไปเล่นกับสาวน้อยนางกำนัล...”“พูดจาเพ้อเจ้อ! เราเคยทำเรื่องแบบนั้นที่ไหนกัน!” เซียวอวี้ไม่ยอมรับ จึงตะโกนเรียกเฉินจี๋ให้เข้ามาทันที เพื่อใช้กำลังขับไล่เซียวฉีออกจากตำหนักหย่งเหอองค์หญิงใหญ่มิยอมให้เซียวอวี้อยู่อย่างสงบ ขณะถูกพาตัวไป นางยังพยายามจะหันกลับมา พร้อมตะโกน“สาวน้อยนางกำนัลไม่ยอมเล่นกับท่าน ท่านยังแกล้งนอนคว่ำอยู่บนพื้น ฮองเฮา เขายังชักดิ้นชักงอด้วย!”สีหน้าของเซียวอวี้หม่นคล้ำราวกับน้ำหมึก“ปิดปากนางไว้!”ชายหญิงมิควรแตะเนื้อต้องตัวกัน เฉินจี๋ตื่นตระหนกจนมิรู้จะใช้วิธีใด จึงรีบทำให้ตัวคนหมดสติทันทีก่อนองค์หญิงใหญ่จะหมดสติ ก็ยังเหลือกตาขาวในตำหนักชั้นในขณะที่เซียว
ราชทูตจากแคว้นต่าง ๆ มาโดยพร้อมเพรียง และเข้าพักในโรงพักแรมเหล่าราษฎรได้ยินเรื่องนี้ ภายใต้แรงผลักดันจากความโกรธแค้น จึงรวมตัวกันไปก่อจลาจลที่โรงพักแรม เพื่อต้องการจะสั่งสอนกลุ่มราชทูตเหล่านั้นยังมีชาวยุทธภพบางส่วน อาศัยวิทยายุทธ์อันแข็งแกร่ง พยายามบุกเข้าไปในโรงพักแรมพวกเขาจับราชทูตมัดไว้ และพาออกไปด้านนอก เพื่อให้เหล่าราษฎรได้ขว้างปาผักเน่า และด่าประณามเหล่าราชทูตมิกล้าต่อต้าน และมิอาจต่อต้านได้ด้วยราชทูตของต้าเซี่ยมิอาจทนต่อความอัปยศอดสูเช่นนี้ได้“ราษฎรเลวทราม! ราษฎรเลวทราม!! ข้าเป็นราชทูต พวกเจ้าทำกับข้าเช่นนี้ไม่ได้!”สิ่งที่เขาได้รับจากการขัดขืน คือฝ่ามือของเหล่าราษฎรเป็นเพราะคนเหล่านี้ ที่เกือบจะทำให้หนานฉีต้องล่มสลายพวกเขายังมีหน้ามาหนานฉีอีกหรือ?เหล่าราษฎรระบายความโกรธอยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็ถูกทางการปราบปราม เหล่าราชทูตจึงได้รับการช่วยเหลือ แต่ละคนใบหน้าปูดบวมเขียวช้ำ สติมึนงงณ หอสุราใกล้เคียง ภายในห้องส่วนตัวบนชั้นสองราชทูตสองคนของแคว้นตงซานยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้านนอกโรงพักแรมหนึ่งในนั้นรู้สึกโชคดี“ท่านแม่ทัพหยวน โชค
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเซียวอวี้ตื่นขึ้นมา ก็ไม่เห็นเงาของเฟิ่งจิ่วเหยียนแล้วคงจะตื่นเช้าไปฝึกยุทธ์อีกเป็นแน่เซียวอวี้เปลี่ยนอาภรณ์ด้วยตนเอง มิได้ให้ผู้ใดมารับใช้หลิวซื่อเหลียงยกอ่างน้ำร้อนเข้ามา “ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงเสด็จไปที่คุกเทียนเหลาตั้งแต่เช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้ขมวดคิ้วมุ่นนางไปคุกเทียนเหลาด้วยเหตุใด?ณ คุกเทียนเหลาระหว่างเฟิ่งจิ่วเหยียนกับถานไถเหยี่ยน มีเพียงประตูคุกคั่นอยู่หนึ่งบานถานไถเหยี่ยนนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างกำแพง บนกำแพงที่อยู่ด้านหลังยังสลักภาพ “ใยแมงมุม” ไว้ ภายใต้แสงเงา ยิ่งขับเน้นให้เขาดูเยือกเย็นเป็นพิเศษ“ฮองเฮาเสด็จมาเอง คิดว่าคงมิได้มาเพื่อพูดคุยความหลังกับข้ากระมัง”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูดุดัน“แคว้นตงซานส่งราชทูตมาที่หนานฉี ก็เพื่อช่วยเหลือเจ้า”สีหน้าของถานไถเหยี่ยนดูเป็นปกติ“จะช่วยข้า หรือจะสังหารข้า ก็ไม่ต่างกัน”ดูเหมือนเขาจะถอดใจแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนถามขึ้นในทันที “อาจารย์เต็มใจจะอยู่ที่หนานฉีหรือไม่”ถานไถเหยี่ยนรู้สึกประหลาดใจ หลังจากตะลึงงันอยู่ชั่วขณะ ก็เงยหน้าขึ้นมองนางเห็นนางมีสีหน้าจริงจัง ไม่เหมือนพูดหยอกล้อ“ฮองเฮา ทรงมิอ
ในเมื่อเป็นสามีภรรยากัน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังต่อเซียวอวี้ นางจึงบอกตามความจริง“ก็แค่จดหมายเพคะ”เซียวอวี้เลือกหยิบจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับ เห็นบนนั้นเขียนว่า---[อาเหยียนที่รัก]สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา จากนั้นฝืนข่มความรู้สึกไม่พอใจนั้นไว้ และหันมายิ้มให้เฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมถามว่า“นี่ต้วนไหวซวี่เป็นคนเขียนทั้งหมดหรือ?”หว่านชิวยืนอยู่ด้านข้าง เหมือนจะรับรู้บางอย่าง ทว่าก็ยังไม่แน่ชัด และยังไม่เข้าใจหลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองที่เซียวอวี้ ก็หันไปพูดกับหว่านชิว “เจ้าออกไปก่อน”“เพคะ ฮองเฮา”ในตำหนักชั้นในไม่มีผู้อื่น เหลือเพียงฮ่องเต้กับฮองเฮาสองคนเท่านั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนหยิบจดหมายฉบับนั้นมาจากมือเซียวอวี้ และเอ่ยอย่างจริงจัง“เรื่องในอดีต ฝ่าบาทจักสนพระทัยไปไยเพคะ”เซียวอวี้กลับคว้าข้อมือของนางไว้ “เราอยากอ่าน”เขาดูท่าทางจริงจังอย่างมาก “เราอยากรู้ว่า ในจดหมายของเขา เขียนอะไรบ้าง และยิ่งอยากรู้ว่า เจ้าตอบเขาว่าอย่างไร”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย“ฝ่าบาท...”เซียวอวี้เอ่ยแทรกคำพูดของนาง มองนางด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจ พร้อมกับย้อนถาม“ม
หลายวันก่อนเหล่าราชทูตก็ทยอยกันมาถึงแล้ว กำลังรอให้ฮ่องเต้ฉีเรียกเข้าเฝ้า เพื่อเจรจาเรื่องชดเชยการสงบศึกพวกเขามิอาจรบได้อีก และมิอาจเดิมพันได้ไหวหากหนานฉีโจมตีแว่นแคว้นของพวกเขาจริง ๆ จักต้องล่มสลายเป็นแน่ไม่เพียงแต่แคว้นเล็ก ๆ ที่ผู้คนรู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย แคว้นใหญ่อย่างต้าเซี่ยก็เช่นเดียวกันราชทูตต้าเซี่ยต้องการจะเข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่ เพราะหวังว่าองค์หญิงใหญ่จะออกหน้า ประสานความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นทว่า แม้แต่ประตูจวนองค์หญิงใหญ่พวกเขาก็ยังมิอาจเข้าไปได้เหล่าราชทูตอยู่รวมกัน ต่างมองหน้ากัน และถอนหายใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย“เฮ้อ!”“ทุกท่าน พวกท่านจะยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของหนานฉี ยอมยกดินแดนตามที่พวกเขาต้องการจริงหรือ?”“แล้วจะอย่างไร? พวกเรายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”“พวกเรามิใช่เป่ยเยี่ยน ไม่มีกองกำลังมากพอที่จะต่อสู้กับหนานฉีได้ การสงบศึกถึงจะรับประกันความสงบสุขได้”เหล่าราชทูตสีหน้าซีดเผือด ราวกับแบกภูเขาลูกใหญ่ หายใจแทบไม่ออกหากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นคงจะไม่เข้าร่วมกับการสู้รบครั้งนี้......จันทราลอยอยู่บนกิ่งไม้ ม่านราตรีมาเยือนงานเลี
เฟิ่งจิ่วเหยียนสังเกตว่า หลังจากเซียวอวี้ได้พบกับอาจารย์ศิษย์ทั้งสองคน หลายวันต่อมาหลังจากนั้นดูเหมือนในใจมีเรื่องครุ่นคิด คิ้วขมวดปมไม่คลาย คิดดูแล้วอาจจะวิตกกังวลเรื่องของมนุษย์โอสถขณะที่นางขี่ม้าอยู่ด้านหน้าเพื่อเปิดทาง จะรู้สึกอยู่เสมอว่ามีสายตาหนึ่งกำลังจ้องมองนางเมื่อหันกลับมา ก็มองเห็นเพียงเซียวอวี้ ใบหน้าเขาไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตาดำคล้ำคู่นั้นลึกล้ำยากจะหยั่งถึง มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ต้นเดือนเจ็ดกองทัพใหญ่ได้รับชัยชนะ และกลับมาถึงเมืองหลวงผู้คนในเมืองหลวงพากันออกจากบ้านเรือน มายืนอยู่ริมถนนสายหลักเพื่อต้อนรับกองทัพใหญ่ชาวบ้านต่างเปล่งเสียงด้วยความยินดี“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”“ฮองเฮาทรงเกรียงไกร!”เด็กตัวเล็ก ๆ ก็ถูกพ่อแม่จับยกขึ้นเหนือศีรษะ เพื่อมองดูฉากเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ผู้คนพากันพูดปากต่อปาก“ว่ากันว่าฝ่าบาททรงนำทัพด้วยพระองค์เอง จนพลิกสถานการณ์เลวร้าย แก้ไขวิกฤตในเมืองเซวียน ทหารกองทัพศัตรูก็ถูกจับกุมทั้งหมด”“ชายแดนเหนือกับชายแดนตะวันออกสร้างการป้องกันขึ้นมาใหม่! แคว้นต่าง ๆ ถูกหนานฉีพวกเราตีพ่ายจนหวาดกลัว คงมิกล้ามารุกรานอีกเป็นแน่!”
ห้องชงชาในโรงพักแรมหมอทหารและลูกศิษย์ถูกพาเข้ามา ทำความเคารพฮ่องเต้บนพระที่นั่งหลักเซียวอวี้ล้างมืออย่างง่าย ๆ ใส่เสื้อคลุมสบาย ๆ แต่มิอาจปกปิดรังสีสูงส่งของฮ่องเต้ได้ ผมดำขลับมัดรวบด้วยผ้ายาวประดับมุขขาว คิ้วคมเด่นชัด ดูแข็งแรงกำยำ“ในเมื่อเป็นหมอทหาร เหตุใดไม่ตามกองทัพใหญ่ไป แต่กลับแอบหนีมาที่แห่งนี้?” เมื่อเผชิญกับคำซักถามของฮ่องเต้ หมอทหารก็อธิบายอย่างไม่เร่งรีบ“ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยได้รับคำสั่งในยามคับขัน หาใช่หมอทหารที่แท้จริงไม่”สิ้นคำกล่าว ก็มีคนเดินเข้ามาในห้องชงชา“ฝ่าบาท” ผู้มาคือเฟิ่งจิ่วเหยียนเมื่อเซียวอวี้เห็นนาง ก็รีบลุกขึ้น น้ำเสียงฟังดูตำหนิเล็กน้อย“ทำไมไม่นอนอีก?”เฟิ่งจิ่วเหยียนโค้งให้เขาเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงพร้อมกับเขา แนะนำอาจารย์กับลูกศิษย์สองคนนั้นอย่างเป็นทางการ“เรื่องนี้หม่อมฉันเลินเล่อเอง ฝ่าบาท ตอนนั้นหม่อมฉันประสบภัยในภูเขาหิมะเทียนฉือ และได้รับการช่วยเหลือจากพวกเขา”สีหน้าของเซียวอวี้ผ่อนคลายลง ไม่ดุดันเหมือนก่อนหน้านี้เขารีบออกคำสั่ง“ที่แท้ก็เป็นสองคนนี้นี่เอง เชิญนั่ง”หมอเทวดาเฒ่ารีบโค้งคำนับ“มิได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ข้าน้