จวนตระกูลมู่หรงมู่หรงฉานได้รับจดหมายจากพี่ชายมู่หรงเจี๋ย รอยยิ้มอ่อนหวานมีเมตตาสาวใช้หลิวซวี่ พูดขึ้นมาอย่างใส่ใจว่า“คุณหนู มีเรื่องอะไรทำให้ดีใจขนาดนี้หรือ?”ท่าทีมู่หรงฉานเงียบสงบ พูดขึ้นมาด้วยเสียงอ่อนหวานว่า“พี่ชายทำศึกได้ชัยชนะ”หลิวซวี่พูดขึ้นมาอย่างดีใจว่า “ดีมากเลย!”แต่ไม่ช้า มู่หรงฉานก็เริ่มโศกเศร้าบ้าง“ท่านอ๋องยังคงไม่ตอบจดหมายหรือ?”หลิวซวี่ก้มศีรษะ พร้อมพูดขึ้นมาว่า“คุณหนู ท่านอย่าคิดมาก ท่านอ๋องมีงานราชการมาก...”มู่หรงฉานพูดแทรกขึ้นมาว่า“เจ้าไม่ต้องโกหกข้า ข้ารู้ การเข้าวังเพื่อร่วมการคัดเลือกโดยพลการ ท่านอ๋องไม่มีทางพอใจ ดังนั้นตอนแรกที่เข้าร่วมการคัดเลือก ข้าจึงปิดบังเขา ไม่กล้าบอกกับเขา”“ยังไงความจริงก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจปิดบังได้“แต่ข้าไม่เสียใจ”หลิวซวี่พูดขึ้นมาว่า “คุณหนูเกิดมาพร้อมกับความโชคลาภ วัดเล็กๆ ย่อมไม่เพียงพอสำหรับท่าน”มู่หรงฉานมองดูใบหน้าในคันฉ่อง ที่คล้ายคลึงกับพี่สาวลูกพี่ลูกน้องใบนั้น ท่าทีจริงจังแน่วแน่“ท่านอ๋องไม่ได้บอกข้าเพียงครั้งเดียวว่า ให้อยู่ในวัดอย่างสงบ ข้าถึงจะปลอดภัยราบรื่น เขากำลังกลัวอะไรกันแน่?“ข้ารู้ว่าเขาก
เซียวอวี้เห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ขยับ จึงเร่งเร้าอย่างหมดความอดทน“ของประทานจากเรา ฮองเฮาไม่ยอมดื่ม?”“มิใช่เพคะ เพียงแค่กำลังคิดว่า ในวังมีนกพิราบสื่อสารได้อย่างไร”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สะทกสะท้าน ไม่ได้ถูกเซียวอวี้หลอกให้พูดความจริงออกมาเซียวอวี้จับจ้องมองดูนางด้วยแววตาเยือกเย็น“นกพิราบสื่อสารตัวนั้น บินออกมาจากตำหนักหย่งเหอ ฮองเฮา เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ?”นอกจากนาง ภายในวังยังจะมีใครใจกล้าหาญเช่นนี้!เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมา จ้องมองดูเขาด้วยแววตาแน่วแน่“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ”นกพิราบสื่อสารบินออกมาจากตำหนักหย่งเหอ ก็อาจเป็นไปได้ที่ถูกคนอื่นปล่อยมาและในเมื่อถูกจับตอนที่บินออกไป ก็ไม่มีจดหมายลับใดตกอยู่ในมือของเซียวอวี้แสดงว่าเซียวอวี้ ก็ไม่มีหลักฐานอย่างแน่นอนแววตาเซียวอวี้เฉยเมย“ดื่มน้ำแกงถ้วยนี้ลงไปก่อน”เฟิ่งจิ่วเหยียนยกถ้วยน้ำแกงนั้นขึ้นมา แล้วก็ดื่มลงไปอย่างไม่พูดไม่จาเหลียนซวงมองดูแล้วยังรู้สึกปวดใจนกพิราบสื่อสารขนดำตัวนั้น ถูกฮ่องเต้ทรราชต้มเสียแบบนี้แล้ว!นี่ก็ว่าไปอย่าง ทำไมเขายังบีบบังคับให้พระนางดื่มอีก!เฟิ่งจิ่วเหยียนมีนิสัยสงบสุขุมแม้ว่าในใจมีควา
มู่หรงฉานถูกพิษกะทันหัน เซียวอวี้รีบไปยังตำหนักฟางเฟยทันทีหมอหลวงขับให้นางอาเจียน จึงไม่อันตรายถึงชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน ในฐานะที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นฮองเฮาก็มาถึงเช่นกันเซียวอวี้นั่งอยู่ตรงนั้น พร้อมพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าบูดบึ้งว่า“เกิดเรื่องวางยาพิษขึ้นในวัง ฮองเฮา เจ้าต้องสืบให้กระจ่างว่าเป็นฝีมือผู้ใด!”“เพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนหันไปมองบนเตียง สายตานั้นสงบนิ่งมู่หรงฉานอาเจียนอยู่นาน ร่างกายอ่อนแออย่างมากเซียวอวี้อยู่เฝ้านางหนึ่งช่วยยาม แล้วค่อยกลับตำหนักจื้อเฉิน……ตำหนักฉือหนิง“จิ้งกุ้ยเหรินถูกวางยาพิษ? ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง?” ไทเฮาตกตะลึงอย่างมากใช่ว่านางเป็นห่วงมู่หรงฉาน หากเป็นเพราะไทฮองไทเฮาอาศัยที่ตนเองเป็นผู้อาวุโสวางอำนาจ เขียนจดหมายมาบอกว่า ให้นางดูแลจิ้งกุ้ยเหรินให้ดีหากเกิดอะไรขึ้นกับจิ้งกุ้ยเหริน ไทฮองไทเฮาไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่นอนกุ้ยหมัวมัวตอบอย่างนอบน้อมว่า“หมอหลวงได้ทำการรักษาแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ฝ่าบาทก็อยู่เฝ้าครู่หนึ่ง นับจากที่จิ้งกุ้ยเหรินเข้าวังมา ยังไม่เคยได้รับความโปรดปราน ครั้งนี้ถือว่าในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่”พูดเสร็
ห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ถามขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชาว่า“ในเมื่อมีหลักฐานแล้ว ไยไม่ลงมือจับตัว หรือเป็นเพราะว่านางสนมเจียสนิทสนมกับเจ้า เจ้าจึงคิดอยากปกป้อง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่เคยนำเรื่องส่วนตัว มาส่งผลกระทบทำให้สูญเสียการคิดวิเคราะห์นางพูดขึ้นมาว่า“ต้องสอบสวนนางสนมเจีย แต่ที่สำคัญที่สุด ต้องสอบสวนเส้นทางการนำยาพิษเข้ามา”“ยาพิษนี้มาจากข้างนอกวัง หม่อมฉันสงสัยว่า ภายในวังมีสายลับ ทำการขายสิ่งของต้องห้ามโดยเฉพาะ หม่อมฉันจึงอยากฉวยโอกาสนี้ กวาดล้างพวกเขาให้เรียบ จึงมาขออนุญาตฝ่าบาท”เซียวอวี้เห็นนางจัดการเรื่องราวอย่างเฉียบขาดกระจ่างชัดเจน ก็ค่อนข้างชื่นชมนางแน่นอนว่า ดูจากเรื่องที่นางจัดการหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ นางย่อมไม่เหมือนหญิงสาวเรียบร้อยธรรมดาทั่วไปดังนั้นแม้ว่าเขาไม่ชอบนาง และนางไม่ใช่หญิงสาวบริสุทธิ์ เขาก็ยินดีที่จะให้นางเป็นฮองเฮาต่อไป ช่วยเขาดูแลจัดการวังหลัง“ทำตามที่เจ้าพูด”เฟิ่งจิ่วเหยียนถวายความเคารพ พร้อมพูดตอบว่า“น้อมรับพระบัญชา”แล้วนางก็กลับออกไปจู่ ๆ เซียวอวี้ก็รู้สึกขึ้นมาว่า ท่าทีของนาง...ไม่เหมือนเป็นฮองเฮาของเขา กลับเหมือนลูกน้องของเขามากกว่าหวนคิด
ผงเหมาเกิ้นล่อมดและแมลง เป็นคำโกหกที่เฟิ่งจิ่วเหยียนแต่งขึ้นมา ทว่าก็เพียงพอที่จะหลอกล่อให้คนที่หวาดกลัวคนหนึ่งเผยพิรุธออกมามู่หรงฉานพูดยอมรับขึ้นมาเองว่า“ฮองเฮา ล้วนเป็นความผิดของหม่อมฉัน หม่อมฉันเป็นคนทำ...”หลิวซวี่มองดูนางอย่างไม่อยากเชื่อ คิดไม่ถึงว่า กุ้ยเหรินจะปกป้องตนเองขนาดนี้นางรีบโขกศีรษะลง พร้อมพูดขึ้นว่า “ฮองเฮาโปรดทรงเมตตา ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับกุ้ยหริน บ่าวเป็นคนทำเอง! บ่าวอยากจะกำจัดศัตรูแข็งแกร่งให้กับนาย จึงใส่ร้ายนางสนมเจียง...กุ้ยเหรินไม่รู้เรื่อง!”จิ้งกุ้ยเหรินหันไปมองหลิวซวี่ น้ำตาร่วงไหลพร้อมพูดขึ้นมาว่า“ไม่ ไม่ใช่หลิวซวี่…”“ใช่บ่าว ฮองเฮา ท่านจะลงโทษก็ลงโทษบ่าวเถอะ!”เป็นบ่าวจงรักภักดีคนหนึ่งแววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนลึกล้ำมู่หรงฉานโอบกอดหลิวซวี่ ร้องไห้ขอความเมตตา“ฮองเฮา ถึงแม้หลิวซวี่จะมีความผิด แต่นางก็เป็นสาวใช้ที่ติดตามหม่อมฉันมา ผูกพันกับหม่อมฉันเหมือนพี่น้อง ขอฮองเฮาทรงโปรดเมตตา เป็นหม่อมฉันบกพร่องในการตรวจสอบ หม่อมฉันยินดีรับผิดแทนนาง”“ไม่ กุ้ยเหริน ไม่เอา! ล้วนเป็นความผิดของบ่าว...” หลิวซวี่ตื้นตันใจอย่างมาก ต่อให้ตายแทนกุ้ยเหริน นางก็ยอม!
เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างเชื่องช้าว่า“กำจัดสองคนในคราเดียวเช่นนั้น ทั้งสองคนนี้ต้องมีสิ่งบางอย่างเหมือนกัน”“มีเหมือนกัน?” เหลียนซวงสงสัย ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ พร้อมพูดขึ้นมาอย่างตกใจว่า “ฮองเฮา หรือว่า...บุคคลลึกลับคนนั้น ต้องการตำแหน่งฮองเฮา!”คุณหนูเวยเฉียงเป็นฮองเฮาที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นคนกำหนดไว้ตอนนั้นหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ เป็นที่โปรดปรานผู้เดียว มีตำแหน่งเหมือนฮองเฮา ยังมีข่าวลือว่า ฝ่าบาทตั้งใจจะแต่งตั้งให้นางเป็นฮองเฮานานแล้วดังนั้น ไม่ผิดแน่นอน!คิดถึงเมื่อครู่ที่ฮองเฮาพูดถึงรุ่ยอ๋องกับจิ้งกุ้ยเหริน เหลียนซวงเข้าใจขึ้นมาทันที“ฮองเฮา ท่านสงสัยว่า บุคคลลึกลับกับจิ้งกุ้ยเหรินมีความเกี่ยวข้องกัน! หากไม่มีคุณหนูเวยเฉียงกับหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ เช่นนั้น ด้วยรูปลักษณ์ชาติตระกูลของจิ้งกุ้ยเหริน จะต้องได้เป็นฮองเฮาอย่างไม่ต้องสงสัย!”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ออกความเห็นใด“นำความไปให้รุ่ยอ๋อง ข้าต้องการพบเขา”“เพคะ...”เหลียนซวงเงยหน้าขึ้นมา แล้วก็เห็นในมือของนางมีกริชเพิ่มขึ้นมาเฉียบคมอย่างมาก!นางอดขนหัวลุกไม่ได้สนามม้าหลวงภายในป่าทั้งสองคน “พบกันโดยบังเอิญ”รอบด้า
กริชตกลงที่พื้น หกเนตรจ้องมองกันไปมารุ่ยอ๋องปริปากเล็กน้อยทว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนชิงพูดก่อนนางถอยหลังมาหนึ่งก้าว โน้มกายทำความเคารพให้กับเซียวอวี้“ฝ่าบาท หม่อมฉันหลงทางอยู่ในป่า ดังนั้นจึงลงจากม้า เดิมทีคิดว่าจะใช้กริชทำเครื่องหมายบนต้นไม้ ป้องกันไม่ให้ตนเองเดินกลับมาทางเดิม“เห็นมีเงาที่เข้าใกล้มาอย่างไม่ทันตั้งตัว และคิดถึงเรื่องที่ช่วงก่อนในวังมีนักฆ่าปรากฏตัว ยังไม่สามารถจับตัวได้ จึงคิดว่าเป็นนักฆ่า จึง...”รุ่ยอ๋องช่วยกลบเกลื่อนคำโกหก“ที่แท้พระนางเข้าใจผิดว่ากระหม่อมเป็นนักฆ่า มิน่าล่ะ”เขาเก็บกริชขึ้นมา ส่งคืนให้เฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยความเคารพแววตาของเซียวอวี้เย็นยะเยือกมองร่างสองคนสลับไปมาคำพูดของฮองเฮา เขาไม่หลงเชื่อทว่ารุ่ยอ๋องเป็นพี่น้องที่ดีของเขามาตั้งแต่ยังเยาว์วัย...“ฝ่าบาท พระนาง กระหม่อมกราบบังคมลา”รุ่ยอ๋องจูงม้าจากไป สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงมองไปที่ร่างของเขาเซียวอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“ออกไป ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่สตรีนางหนึ่งเยี่ยงเจ้าควรจะอยู่”“เพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบด้วยความเคารพเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็หันกายกลับมาอีกครั
การเป็นองครักษ์ลับของฮ่องเต้ เป็นสิ่งหลายคนใฝ่ฝันที่จะทำเฟิ่งจิ่วเหยียนกลับเพิกเฉยต่อตัวเลือกนี้ไปเสียอย่างนั้นเซียวอวี้มองนางอย่างพินิจพิเคราะห์“เจ้าไม่ยินยอมรับใช้เรา มีนายแล้วงั้นหรือ”หากนางไม่ใช้พลังภายในถอนพิษให้เขา นักฆ่าที่ลักลอบเข้าวังเช่นนาง คงจะตายนับครั้งไม่ถ้วนไปนานแล้วเขากำลังให้โอกาสนางกลับตัวเฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายหน้า“ในยุทธภพข้าเป็นอิสระไร้นาย”เซียวอวี้กล่าวต่อ: “เราให้เจ้าเลือกที่สองคือ——ไปรับใช้ชาติที่ค่ายเป่ยต้า”เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน“ทราบข่าวว่าค่ายเป่ยต้ามีกองกำลังหญิงอยู่กลุ่มหนึ่ง”เซียวอวี้กดคางลงเล็กน้อย“ใช่”เห็นนางสนใจในกองกำลังหญิง เขากล่าวเตือนด้วยเสียงเย็นยะเยือก“กองกำลังหญิงเป็นเมิ่งสิ่งโจวจัดตั้งขึ้นมา เขาอารมณ์ดุร้าย กฎค่ายทหารเข้มงวด จะไม่จัดการอย่างเบามือกับเจ้าเพราะเจ้าเป็นสตรีหรอก”นางที่เป็นอิสระจนเคยชิน จะรับไหวได้อย่างไร?หารู้ไม่ว่าคนที่เขาบรรยายว่า “อารมณ์ดุร้าย” นั้น ยืนอยู่ด้านหน้าเขาแล้วนางกล่าวอย่างไม่ต้องคิด“เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โปรดอนุญาตข้าได้พิจารณา”พิจารณา?ไม่มีอยู่จริงทั้งสองเส้
ราชทูตแคว้นตงซานมาพร้อมกับผ้าทอและอาชา เริ่มจากปฏิบัติด้วยความสุภาพก่อน“แคว้นตงซานเราไม่เคยเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างแคว้น ครั้งนี้แต่ละแคว้นมาล้อมโจมตีหนานฉี ฮ่องเต้พวกเราก็ได้ยินข่าวลือเหล่านี้เช่นกัน ต่างพูดกันว่า ข้อพิพาทนี้ ต้นเหตุมาจากการยุยงของแคว้นตงซาน”ราชทูตแคว้นอื่นต่างมองหน้ากันราชทูตแคว้นตงซานผู้นี้หมายความว่าอย่างไร? คำนึงแต่ตนเองไม่สนใจผู้อื่นรึ?ในตอนแรก มิใช่แคว้นตงซานพวกเขาส่งคนมาพูดหว่านล้อมว่า หากร่วมมือกับพวกเขาโจมตีหนานฉี จะแบ่งดินแดนหนานฉีให้หรอกหรือ!หลี่หลิงราชทูตแคว้นตงซานกล่าวต่อ“หลังจากสืบสวนอยู่หลายทาง พวกเราถึงสืบพบว่า เดิมทีแล้ว ทั้งหมดนี้ถานไถเหยี่ยนเป็นคนทำ“เขาหลอกลวงอวดอ้าง จนได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทของเรา ถูกยกย่องให้เป็นราชครู และถือเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของแคว้นตงซานด้วย “นึกไม่ถึงว่า เขายังไม่พึงพอใจกับสิ่งนี้ เจตนาจะหลอกล่อกษัตริย์ของเรา ให้กษัตริย์ของเราโจมตีหนานฉี เพื่อจะได้เป็นมหาอำนาจ กษัตริย์ของเรามีสติ จึงไม่หลงกลการยั่วยุ“นึกไม่ถึงว่าเขายังไม่ยอมหยุดความคิดชั่วร้าย ยังแอบตระเวนไปยังแต่ละแคว้น เพื่อยุยงให้แต่ละแคว้นล้อ
เรื่องส่งคืนกองทัพอินทรีเหินให้กับเฟิ่งจิ่วเหยียน ตอนที่นางเสร็จสิ้นจากการไปเป็นราชทูตที่แคว้นซีหนี่ว์ เซียวอวี้ก็เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ทว่าภายหลังเจอกับสงครามครั้งใหญ่ เรื่องนี้จึงถูกพักไว้ก่อนเซียวอวี้เป็นฝ่ายเริ่มพูดเรื่องนี้ ซ้ำยังเตรียมการทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี ถือว่ามีความจริงใจเต็มเปี่ยมโดยมิต้องสงสัยทว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับเป็นกังวล“เรื่องนี้ ราชสำนักรู้หรือไม่เพคะ?”เซียวอวี้สวมกอดนางจากทางด้านหลัง ราวกับได้ครอบครองทั้งใต้หล้า“เราเคยเรียกพบขุนนางคนสำคัญหลายคนในราชสำนักตั้งแต่แรก เพื่อบอกเรื่องนี้กับพวกเขา พวกเขาต่างก็คิดว่า เราสมควรทำเช่นนี้“วันนี้ประชุมราชกิจ เราก็ประกาศกับเหล่าขุนนางอย่างเป็นทางการแล้ว ทว่าก็มีบางคนคัดค้านเช่นกัน แต่เราพูดเพียงว่า ‘ตอนนี้หนานฉีต้องโจมตีกับแคว้นอื่น ผู้ใดที่คัดค้าน เราจะให้ออกไปสนามรบ’ ดังนั้น พวกเขาก็พากันเงียบกริบ“เจ้าเห็นหรือไม่ เรื่องนี้มิได้ยากเย็น”ถึงแม้เขาเอ่ยออกมาดูเหมือนจะง่ายดาย เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับรู้ว่า เพื่อตราคำสั่งทหาร เขาต้องทุ่มเทความพยายามอย่างมากขุนนางใหญ่ในราชสำนักเหล่านั้น โดยเฉพาะขุนนางอาวุโส แต่ละคนมีฝีปา
เซียวอวี้กับเซียวฉีเริ่มจะขัดแย้งกันเขานึกไม่ถึงว่า เซียวฉีจะใส่ร้ายเขาต่อหน้าจิ่วเหยียนเช่นนี้“วาดภาพ” อะไรกัน เขาจำสิ่งใดมิได้เลย!เซียวฉีเล่าออกมาเป็นเรื่องเป็นราว“ตอนที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเหล่าเสด็จพี่ อาภรณ์ของทุกคนเรียบร้อยกันหมด ทว่าของเขามักจะทำขาดอยู่เสมอ ซ้ำยังขาดตรงส่วนก้นด้านหลัง จนเห็นกางเกงลายดอกไม้ยามเหมันต์ และเพราะกลัวเสด็จพ่อจะทรงดุ จึงต้องเดินถอยหลัง“พอโตขึ้นมาหน่อย เขาก็ชอบไปเล่นกับสาวน้อยนางกำนัล...”“พูดจาเพ้อเจ้อ! เราเคยทำเรื่องแบบนั้นที่ไหนกัน!” เซียวอวี้ไม่ยอมรับ จึงตะโกนเรียกเฉินจี๋ให้เข้ามาทันที เพื่อใช้กำลังขับไล่เซียวฉีออกจากตำหนักหย่งเหอองค์หญิงใหญ่มิยอมให้เซียวอวี้อยู่อย่างสงบ ขณะถูกพาตัวไป นางยังพยายามจะหันกลับมา พร้อมตะโกน“สาวน้อยนางกำนัลไม่ยอมเล่นกับท่าน ท่านยังแกล้งนอนคว่ำอยู่บนพื้น ฮองเฮา เขายังชักดิ้นชักงอด้วย!”สีหน้าของเซียวอวี้หม่นคล้ำราวกับน้ำหมึก“ปิดปากนางไว้!”ชายหญิงมิควรแตะเนื้อต้องตัวกัน เฉินจี๋ตื่นตระหนกจนมิรู้จะใช้วิธีใด จึงรีบทำให้ตัวคนหมดสติทันทีก่อนองค์หญิงใหญ่จะหมดสติ ก็ยังเหลือกตาขาวในตำหนักชั้นในขณะที่เซียว
ราชทูตจากแคว้นต่าง ๆ มาโดยพร้อมเพรียง และเข้าพักในโรงพักแรมเหล่าราษฎรได้ยินเรื่องนี้ ภายใต้แรงผลักดันจากความโกรธแค้น จึงรวมตัวกันไปก่อจลาจลที่โรงพักแรม เพื่อต้องการจะสั่งสอนกลุ่มราชทูตเหล่านั้นยังมีชาวยุทธภพบางส่วน อาศัยวิทยายุทธ์อันแข็งแกร่ง พยายามบุกเข้าไปในโรงพักแรมพวกเขาจับราชทูตมัดไว้ และพาออกไปด้านนอก เพื่อให้เหล่าราษฎรได้ขว้างปาผักเน่า และด่าประณามเหล่าราชทูตมิกล้าต่อต้าน และมิอาจต่อต้านได้ด้วยราชทูตของต้าเซี่ยมิอาจทนต่อความอัปยศอดสูเช่นนี้ได้“ราษฎรเลวทราม! ราษฎรเลวทราม!! ข้าเป็นราชทูต พวกเจ้าทำกับข้าเช่นนี้ไม่ได้!”สิ่งที่เขาได้รับจากการขัดขืน คือฝ่ามือของเหล่าราษฎรเป็นเพราะคนเหล่านี้ ที่เกือบจะทำให้หนานฉีต้องล่มสลายพวกเขายังมีหน้ามาหนานฉีอีกหรือ?เหล่าราษฎรระบายความโกรธอยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็ถูกทางการปราบปราม เหล่าราชทูตจึงได้รับการช่วยเหลือ แต่ละคนใบหน้าปูดบวมเขียวช้ำ สติมึนงงณ หอสุราใกล้เคียง ภายในห้องส่วนตัวบนชั้นสองราชทูตสองคนของแคว้นตงซานยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้านนอกโรงพักแรมหนึ่งในนั้นรู้สึกโชคดี“ท่านแม่ทัพหยวน โชค
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเซียวอวี้ตื่นขึ้นมา ก็ไม่เห็นเงาของเฟิ่งจิ่วเหยียนแล้วคงจะตื่นเช้าไปฝึกยุทธ์อีกเป็นแน่เซียวอวี้เปลี่ยนอาภรณ์ด้วยตนเอง มิได้ให้ผู้ใดมารับใช้หลิวซื่อเหลียงยกอ่างน้ำร้อนเข้ามา “ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงเสด็จไปที่คุกเทียนเหลาตั้งแต่เช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้ขมวดคิ้วมุ่นนางไปคุกเทียนเหลาด้วยเหตุใด?ณ คุกเทียนเหลาระหว่างเฟิ่งจิ่วเหยียนกับถานไถเหยี่ยน มีเพียงประตูคุกคั่นอยู่หนึ่งบานถานไถเหยี่ยนนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างกำแพง บนกำแพงที่อยู่ด้านหลังยังสลักภาพ “ใยแมงมุม” ไว้ ภายใต้แสงเงา ยิ่งขับเน้นให้เขาดูเยือกเย็นเป็นพิเศษ“ฮองเฮาเสด็จมาเอง คิดว่าคงมิได้มาเพื่อพูดคุยความหลังกับข้ากระมัง”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูดุดัน“แคว้นตงซานส่งราชทูตมาที่หนานฉี ก็เพื่อช่วยเหลือเจ้า”สีหน้าของถานไถเหยี่ยนดูเป็นปกติ“จะช่วยข้า หรือจะสังหารข้า ก็ไม่ต่างกัน”ดูเหมือนเขาจะถอดใจแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนถามขึ้นในทันที “อาจารย์เต็มใจจะอยู่ที่หนานฉีหรือไม่”ถานไถเหยี่ยนรู้สึกประหลาดใจ หลังจากตะลึงงันอยู่ชั่วขณะ ก็เงยหน้าขึ้นมองนางเห็นนางมีสีหน้าจริงจัง ไม่เหมือนพูดหยอกล้อ“ฮองเฮา ทรงมิอ
ในเมื่อเป็นสามีภรรยากัน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังต่อเซียวอวี้ นางจึงบอกตามความจริง“ก็แค่จดหมายเพคะ”เซียวอวี้เลือกหยิบจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับ เห็นบนนั้นเขียนว่า---[อาเหยียนที่รัก]สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา จากนั้นฝืนข่มความรู้สึกไม่พอใจนั้นไว้ และหันมายิ้มให้เฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมถามว่า“นี่ต้วนไหวซวี่เป็นคนเขียนทั้งหมดหรือ?”หว่านชิวยืนอยู่ด้านข้าง เหมือนจะรับรู้บางอย่าง ทว่าก็ยังไม่แน่ชัด และยังไม่เข้าใจหลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองที่เซียวอวี้ ก็หันไปพูดกับหว่านชิว “เจ้าออกไปก่อน”“เพคะ ฮองเฮา”ในตำหนักชั้นในไม่มีผู้อื่น เหลือเพียงฮ่องเต้กับฮองเฮาสองคนเท่านั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนหยิบจดหมายฉบับนั้นมาจากมือเซียวอวี้ และเอ่ยอย่างจริงจัง“เรื่องในอดีต ฝ่าบาทจักสนพระทัยไปไยเพคะ”เซียวอวี้กลับคว้าข้อมือของนางไว้ “เราอยากอ่าน”เขาดูท่าทางจริงจังอย่างมาก “เราอยากรู้ว่า ในจดหมายของเขา เขียนอะไรบ้าง และยิ่งอยากรู้ว่า เจ้าตอบเขาว่าอย่างไร”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย“ฝ่าบาท...”เซียวอวี้เอ่ยแทรกคำพูดของนาง มองนางด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจ พร้อมกับย้อนถาม“ม
หลายวันก่อนเหล่าราชทูตก็ทยอยกันมาถึงแล้ว กำลังรอให้ฮ่องเต้ฉีเรียกเข้าเฝ้า เพื่อเจรจาเรื่องชดเชยการสงบศึกพวกเขามิอาจรบได้อีก และมิอาจเดิมพันได้ไหวหากหนานฉีโจมตีแว่นแคว้นของพวกเขาจริง ๆ จักต้องล่มสลายเป็นแน่ไม่เพียงแต่แคว้นเล็ก ๆ ที่ผู้คนรู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย แคว้นใหญ่อย่างต้าเซี่ยก็เช่นเดียวกันราชทูตต้าเซี่ยต้องการจะเข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่ เพราะหวังว่าองค์หญิงใหญ่จะออกหน้า ประสานความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นทว่า แม้แต่ประตูจวนองค์หญิงใหญ่พวกเขาก็ยังมิอาจเข้าไปได้เหล่าราชทูตอยู่รวมกัน ต่างมองหน้ากัน และถอนหายใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย“เฮ้อ!”“ทุกท่าน พวกท่านจะยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของหนานฉี ยอมยกดินแดนตามที่พวกเขาต้องการจริงหรือ?”“แล้วจะอย่างไร? พวกเรายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”“พวกเรามิใช่เป่ยเยี่ยน ไม่มีกองกำลังมากพอที่จะต่อสู้กับหนานฉีได้ การสงบศึกถึงจะรับประกันความสงบสุขได้”เหล่าราชทูตสีหน้าซีดเผือด ราวกับแบกภูเขาลูกใหญ่ หายใจแทบไม่ออกหากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นคงจะไม่เข้าร่วมกับการสู้รบครั้งนี้......จันทราลอยอยู่บนกิ่งไม้ ม่านราตรีมาเยือนงานเลี
เฟิ่งจิ่วเหยียนสังเกตว่า หลังจากเซียวอวี้ได้พบกับอาจารย์ศิษย์ทั้งสองคน หลายวันต่อมาหลังจากนั้นดูเหมือนในใจมีเรื่องครุ่นคิด คิ้วขมวดปมไม่คลาย คิดดูแล้วอาจจะวิตกกังวลเรื่องของมนุษย์โอสถขณะที่นางขี่ม้าอยู่ด้านหน้าเพื่อเปิดทาง จะรู้สึกอยู่เสมอว่ามีสายตาหนึ่งกำลังจ้องมองนางเมื่อหันกลับมา ก็มองเห็นเพียงเซียวอวี้ ใบหน้าเขาไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตาดำคล้ำคู่นั้นลึกล้ำยากจะหยั่งถึง มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ต้นเดือนเจ็ดกองทัพใหญ่ได้รับชัยชนะ และกลับมาถึงเมืองหลวงผู้คนในเมืองหลวงพากันออกจากบ้านเรือน มายืนอยู่ริมถนนสายหลักเพื่อต้อนรับกองทัพใหญ่ชาวบ้านต่างเปล่งเสียงด้วยความยินดี“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”“ฮองเฮาทรงเกรียงไกร!”เด็กตัวเล็ก ๆ ก็ถูกพ่อแม่จับยกขึ้นเหนือศีรษะ เพื่อมองดูฉากเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ผู้คนพากันพูดปากต่อปาก“ว่ากันว่าฝ่าบาททรงนำทัพด้วยพระองค์เอง จนพลิกสถานการณ์เลวร้าย แก้ไขวิกฤตในเมืองเซวียน ทหารกองทัพศัตรูก็ถูกจับกุมทั้งหมด”“ชายแดนเหนือกับชายแดนตะวันออกสร้างการป้องกันขึ้นมาใหม่! แคว้นต่าง ๆ ถูกหนานฉีพวกเราตีพ่ายจนหวาดกลัว คงมิกล้ามารุกรานอีกเป็นแน่!”
ห้องชงชาในโรงพักแรมหมอทหารและลูกศิษย์ถูกพาเข้ามา ทำความเคารพฮ่องเต้บนพระที่นั่งหลักเซียวอวี้ล้างมืออย่างง่าย ๆ ใส่เสื้อคลุมสบาย ๆ แต่มิอาจปกปิดรังสีสูงส่งของฮ่องเต้ได้ ผมดำขลับมัดรวบด้วยผ้ายาวประดับมุขขาว คิ้วคมเด่นชัด ดูแข็งแรงกำยำ“ในเมื่อเป็นหมอทหาร เหตุใดไม่ตามกองทัพใหญ่ไป แต่กลับแอบหนีมาที่แห่งนี้?” เมื่อเผชิญกับคำซักถามของฮ่องเต้ หมอทหารก็อธิบายอย่างไม่เร่งรีบ“ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยได้รับคำสั่งในยามคับขัน หาใช่หมอทหารที่แท้จริงไม่”สิ้นคำกล่าว ก็มีคนเดินเข้ามาในห้องชงชา“ฝ่าบาท” ผู้มาคือเฟิ่งจิ่วเหยียนเมื่อเซียวอวี้เห็นนาง ก็รีบลุกขึ้น น้ำเสียงฟังดูตำหนิเล็กน้อย“ทำไมไม่นอนอีก?”เฟิ่งจิ่วเหยียนโค้งให้เขาเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงพร้อมกับเขา แนะนำอาจารย์กับลูกศิษย์สองคนนั้นอย่างเป็นทางการ“เรื่องนี้หม่อมฉันเลินเล่อเอง ฝ่าบาท ตอนนั้นหม่อมฉันประสบภัยในภูเขาหิมะเทียนฉือ และได้รับการช่วยเหลือจากพวกเขา”สีหน้าของเซียวอวี้ผ่อนคลายลง ไม่ดุดันเหมือนก่อนหน้านี้เขารีบออกคำสั่ง“ที่แท้ก็เป็นสองคนนี้นี่เอง เชิญนั่ง”หมอเทวดาเฒ่ารีบโค้งคำนับ“มิได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ข้าน้