กริชตกลงที่พื้น หกเนตรจ้องมองกันไปมารุ่ยอ๋องปริปากเล็กน้อยทว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนชิงพูดก่อนนางถอยหลังมาหนึ่งก้าว โน้มกายทำความเคารพให้กับเซียวอวี้“ฝ่าบาท หม่อมฉันหลงทางอยู่ในป่า ดังนั้นจึงลงจากม้า เดิมทีคิดว่าจะใช้กริชทำเครื่องหมายบนต้นไม้ ป้องกันไม่ให้ตนเองเดินกลับมาทางเดิม“เห็นมีเงาที่เข้าใกล้มาอย่างไม่ทันตั้งตัว และคิดถึงเรื่องที่ช่วงก่อนในวังมีนักฆ่าปรากฏตัว ยังไม่สามารถจับตัวได้ จึงคิดว่าเป็นนักฆ่า จึง...”รุ่ยอ๋องช่วยกลบเกลื่อนคำโกหก“ที่แท้พระนางเข้าใจผิดว่ากระหม่อมเป็นนักฆ่า มิน่าล่ะ”เขาเก็บกริชขึ้นมา ส่งคืนให้เฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยความเคารพแววตาของเซียวอวี้เย็นยะเยือกมองร่างสองคนสลับไปมาคำพูดของฮองเฮา เขาไม่หลงเชื่อทว่ารุ่ยอ๋องเป็นพี่น้องที่ดีของเขามาตั้งแต่ยังเยาว์วัย...“ฝ่าบาท พระนาง กระหม่อมกราบบังคมลา”รุ่ยอ๋องจูงม้าจากไป สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงมองไปที่ร่างของเขาเซียวอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“ออกไป ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่สตรีนางหนึ่งเยี่ยงเจ้าควรจะอยู่”“เพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบด้วยความเคารพเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็หันกายกลับมาอีกครั
การเป็นองครักษ์ลับของฮ่องเต้ เป็นสิ่งหลายคนใฝ่ฝันที่จะทำเฟิ่งจิ่วเหยียนกลับเพิกเฉยต่อตัวเลือกนี้ไปเสียอย่างนั้นเซียวอวี้มองนางอย่างพินิจพิเคราะห์“เจ้าไม่ยินยอมรับใช้เรา มีนายแล้วงั้นหรือ”หากนางไม่ใช้พลังภายในถอนพิษให้เขา นักฆ่าที่ลักลอบเข้าวังเช่นนาง คงจะตายนับครั้งไม่ถ้วนไปนานแล้วเขากำลังให้โอกาสนางกลับตัวเฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายหน้า“ในยุทธภพข้าเป็นอิสระไร้นาย”เซียวอวี้กล่าวต่อ: “เราให้เจ้าเลือกที่สองคือ——ไปรับใช้ชาติที่ค่ายเป่ยต้า”เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน“ทราบข่าวว่าค่ายเป่ยต้ามีกองกำลังหญิงอยู่กลุ่มหนึ่ง”เซียวอวี้กดคางลงเล็กน้อย“ใช่”เห็นนางสนใจในกองกำลังหญิง เขากล่าวเตือนด้วยเสียงเย็นยะเยือก“กองกำลังหญิงเป็นเมิ่งสิ่งโจวจัดตั้งขึ้นมา เขาอารมณ์ดุร้าย กฎค่ายทหารเข้มงวด จะไม่จัดการอย่างเบามือกับเจ้าเพราะเจ้าเป็นสตรีหรอก”นางที่เป็นอิสระจนเคยชิน จะรับไหวได้อย่างไร?หารู้ไม่ว่าคนที่เขาบรรยายว่า “อารมณ์ดุร้าย” นั้น ยืนอยู่ด้านหน้าเขาแล้วนางกล่าวอย่างไม่ต้องคิด“เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โปรดอนุญาตข้าได้พิจารณา”พิจารณา?ไม่มีอยู่จริงทั้งสองเส้
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่ามีคนสะกดรอยตามนาง คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นรุ่ยอ๋องและคาดไม่ถึงว่า นางแต่งกายเป็นชาย ใบหน้าสวมหน้ากาก เขายังจำได้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ยอมรับ ใช้กริซขู่เขาให้ออกไปจากตรอกอย่างนิ่งเงียบรุ่ยอ๋องก็แต่งกายอำพรางเช่นกัน ดวงตาคู่นั้นอบอุ่นเป็นพิเศษ ดั่งเติมเต็มไปด้วยสายน้ำวสันตฤดูโมงยามนี้เป็นเวลาห้ามออกเรือนแล้วถนนการค้าไร้ซึ่งผู้คนเขาถอยหลังไปพลางพูดไปพลาง“คาดไม่ถึงว่า ไม่เพียงแต่ศิลปะการขี่ม้าของท่านจะเลิศล้ำ วิชาตัวเบาก็ยอดเยี่ยมเพียงนี้เช่นกัน“ท่านพี่รู้หรือไม่ว่าท่านแอบลอบออกจากวัง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนกดเสียงต่ำลง เปลี่ยนเส้นเสียงในการพูด“ใครเป็นพี่สะใภ้เจ้ากัน! รนหาที่ตาย!”กล่าวจบ นางก็ยกเท้าถีบไปทางเขาทันทีรุ่ยอ๋องปฏิกิรยาว่องไวอย่างมาก หมุนกายเพื่อหลบเลี่ยงเมื่อเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง คนก็หายไปแล้วแววตาของรุ่ยอ๋องนั้นมีนัยนะเล็กน้อยหนีไปเช่นนี้งั้นหรือ?ทว่า ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ.........หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนสะบัดรุ่ยอ๋องหลุดแล้ว ความสงสัยในหัวก็วนเวียนไม่หายรุ่ยอ๋องตามนางออกมาตั้งแต่ในวังแล้วเขาสวมชุดอำพรางทำอันใดในวัง?และช่วง
หลิงเยี่ยนเอ๋อร์มองเฟิ่งจิ่วเหยียนราวคนเสียสติ“เจ้าไม่มีทางเลือกอื่น! นางสารเลว ส่งข้ากลับวัง ข้าต้องการพบฝ่าบาท!”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สะทกสะท้าน“ข้าทำได้มากที่สุดคือให้เจ้าจากที่แห่งนี้ไป”“ข้าต้องการพบฝ่าบาท!” ท่าทีหลิงเยี่ยนเอ๋อร์แน่วแน่เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างสุขุม“เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เจ้าไปพบฝ่าบาท ข้ายังจะมีชีวิตรอดงั้นรึ?”หลิงเยี่ยนเอ๋อร์พยายามทำให้สถานการณ์แย่ลงอีก แสยะยิ้ม “เช่นนั้นก็ไปตายให้หมด ตายให้หมด——”นางคิดที่จะแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ทว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนมองออก สายตาเย็นยะเยือกทันที“เจ้ารักฝ่าบาทเพียงนั้น จะปล่อยให้เขาตายได้จริงหรือ?“ทว่าข้าทำได้“เพราะข้าไม่มีความรู้สึกอันใดกับฝ่าบาท และไม่สนใจว่าจะเขาจะอยู่หรือตาย“ข้าเข้าวัง เพื่อแก้แค้นเท่านั้น“ขอเพียงแค่จับบุคคลลึกลับนั้นได้อีก ข้าก็สมความปรารถนาแล้ว“ด้วยเหตุนี้ ข้าสามารถแสร้งทำเป็นเชื่อฟัง สังหารฝ่าบาทก่อน ดังนั้น คนที่จะตายคือพวกเจ้า และข้าจะมีชีวิตอยู่จนวาระสุดท้าย”พูดจบ นางแสร้งว่าจะจากไปหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ตกใจอย่างมาก“ไม่! เจ้ามิกล้า!“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการจดหมายสองฉบับนั้น
เจียงหลินไม่ได้ล้อเล่น กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างมาก“เหล่าฝานส่งจดหมายมาหาข้า เมื่อครึ่งเดือนก่อน คนของเจ้าไปหาพันธมิตรอู่หลิน ขอให้พวกเขาทำธุระเรื่องหนึ่งให้เจ้า ทว่าไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเป็นเรื่องอันใด เพียงให้พวกเขามุ่งขึ้นเหนือไป“ตามหลักแล้ว การเดินทางไปกลับต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนกว่า เจ้าทำธุระเสร็จแล้ว หรือว่ากลับมาก่อนกำหนดรึ?” เฟิ่งจิ่วเหยียนสายตาเคร่งขรึม ไม่ได้อธิบายอันใดมากมายในตอนนี้เรื่องที่นางอยู่ในวังหลวง เจียงหลินและซ่งหลีไม่รู้เสียหน่อยควรจะไม่ทำให้พวกเขาตกใจเสียดีกว่า หลีกเลี่ยงการทำให้เรื่องใหญ่โตก่อนที่จะกลับวัง เฟิ่งจิ่วเหยียนแวะไปหาอู๋ไป๋อู๋ไป๋ได้ฟังเรื่องนี้แล้ว รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก“แม่ทัพน้อยท่านอยู่ในวังมาโดยตลอด ข้างกายก็มีแค่ข้าน้อยผู้เดียว จะส่งผู้ใดไปพันธมิตรอู่หลินได้? จะต้องมีผู้แอบอ้างท่านเป็นแน่!”เฟิ่งจิ่วเหยียนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไปสืบสอบมาให้กระจ่าง”“พ่ะย่ะค่ะ!” ......หลังจากกลับไปที่วังแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนกินยาบำรุงเม็ดนั้น และฝึกพลังลมปราณภายในอีกครั้ง พลังภายในฟื้นฟูกลับมารวดเร็วดังคาดเพื่อหลีกเล
หลังจากรุ่ยอ๋องมา เซียวอวี้ก็ไม่ได้อ้อมค้อมแต่อย่างใด เอ่ยถามเข้าประเด็นว่า“เจ้ากับฮองเฮาแอบมีความสัมพันธ์ลับ ๆ หรือ?”ฮ่องเต้ทรงมีอำนาจยิ่ง จนรุ่ยอ๋องผงกหัวอย่างนอบน้อม“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เคยพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้ลุกขึ้น เดินลงมาจากที่สูง ยืนตรงหน้ารุ่ยอ๋อง เงาร่างอันสูงใหญ่ ปกคลุมจนมืดดำเป็นวงกว้าง“เจ้ารู้จักขอบเขตเรื่องชู้สาวเป็นอย่างดีมาตลอด ย่อมจะไม่เสวนากับสตรีเกินงาม“เหตุการณ์ในป่าหลวงครานั้น เรารู้สึกว่าระหว่างเจ้ากับฮองเฮาดูผิดปกติ“หากเจ้าลงจากม้าเพื่อบอกทาง โดยระยะห่างทั่วไปแล้ว แม้นฮองเฮาจะดึงกริซออกมา ก็ไม่มีทางเข้าใกล้เจ้าได้“เพียงเจ้าก้าวถอยหลัง ก็จะปลอดภัย“แต่สิ่งที่เราเห็น เจ้าสองคนห่างกันเพียงสองก้าว“นอกเสียจากว่า ฮองเฮาจะหันหลังมาแล้วเห็นเจ้า ยังตามแทงเจ้าต่อ“เจ้าจะอธิบายเช่นไร”คนที่เซียวอวี้ไว้ใจที่สุด คือรุ่ยอ๋องดังนั้นตั้งแต่วันนั้นสังเกตเห็นความผิดปกติ ก็ไม่ได้เปิดโปงทันทีเขารอรุ่ยอ๋องมาอธิบายด้วยตัวเองทว่า รุ่ยอ๋องก็ไม่ได้มากล่าวอะไร วันนี้ยังพูดคุยกับฮองเฮามากเกินงาม จึงไม่กลัวว่าหากข้าหลวงมาพบเห็น จะมีข่าวลือที่ไม่เป็นผลดีต่อเขาเผยแพร่อ
เซียวอวี้ควบคุมขุนนางใหญ่กลุ่มนั้นได้ก็จริง แต่กลับไม่สามารถใช้อำนาจของฮ่องเต้มาข่มผู้อาวุโสได้“ช่วงนี้สงครามชายแดนเกิดขึ้นติดต่อกัน เราไม่มีกระจิตกระใจเข้าวังหลัง”ไทฮองไทเฮาย่อมไม่ปล่อยให้เขาผ่านได้ง่าย ๆ“ฉานเอ๋อร์ทั้งน่ารักและเฉลียวฉลาดขนาดนั้น มีจุดไหนที่ไม่ถูกใจฮ่องเต้หรือ? แม้จะไม่โปรดปราน อย่างน้อยก็ควรไปเยี่ยมเยือนนางที่ตำหนักฟางเฟยบ้าง สองคนควรมีโอกาสพบกันบ่อย ๆ เอาแต่หลบเลี่ยงไม่ไปเจอเช่นนี้ จะรู้ถึงความดีของนางได้อย่างไร?”แววตาของเซียวอวี้แน่นิ่ง“เสด็จย่า เรื่องในวังหลัง มีฮองเฮาคอยดูแล ไม่อาจรบกวนผู้อาวุโสเช่นท่านมาเป็นห่วงเป็นไยอีก”ไทฮองไทเฮาเหมือนพบที่ระบายอารมณ์ พลันตบโต๊ะน้ำชา“เจ้าบอกมาตามตรง ฮองเฮาบอกอะไรเจ้าใช่หรือไม่?”“เป็นเพราะนางอาศัยการได้ร่วมเรือนหอกับเจ้าแล้ว คอยเป่าหูเจ้าสินะ!”มิเช่นนั้นคนที่มีคุณสมบัติเพรียบพร้อมเช่นฉานเอ๋อร์ ไยไม่ได้รับความโปรดปราน?เซียวอวี้กำลังจะโต้กลับ แต่กลับคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเปลี่ยนคำพูดฉับพลัน“ฮองเฮาคือภรรยาหลวงของเรา เราต้องคำนึงถึงความรู้สึกของนางเป็นธรรมดา”เมื่อไทฮองไทเฮาได้ยินคำพูดเช่นนี้ ยิ่งโกรธหนักขึ้นจน
ภายในศาลาริมทะเลสาบหลวง สายลมพัดโชยแผ่วเบาภาพทิวทัศน์อันงดงามและสงบถึงเพียงนี้ ก็มิอาจปัดเป่าอารมณ์คุกรุ่นของฮ่องเต้ให้จางหายได้เซียวอวี้ยืนหันหลังให้เฟิ่งจิ่วเหยียน หันหน้าไปทางทะเลสาบหลวง ใช้มือไขว้หลังเอาไว้เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ ราวธารน้ำแข็งตกผลึก“ฮองเฮาพูดจาเหลวไหลจนเคยชิน ควรลงน้ำเรียกสติหน่อย”เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบกลับอย่างจริงจัง“หม่อมฉันคิดว่า ฝ่าบาทไม่เต็มใจจะประนีประนอมกับไทฮองไทเฮา โดยการโปรดปรานจิ้งกุ้ยเหรินตามคำเรียกร้องของนาง ภายใต้สถานการณ์คับขันเช่นนั้น จำต้องเลือกวิธีที่แก้ไขปัญหาได้ในครั้งเดียว“หากหม่อมฉันสื่อสารผิด หม่อมฉันจะไปอธิบายให้ไทฮองไทเฮาอย่างชัดเจน ว่าอาการของท่านหายดี…”สายตาของเซียวอวี้ดุดันถมึงทึงหายดีอะไร? เขาไม่ได้ป่วยด้วยซ้ำ!หากนางกลับไปพูดจาเหลวไหลอีกครั้ง มีแต่จะทำให้มันเลวร้ายขึ้น“พอได้แล้ว!”เซียวอวี้ถึงแม้ว่าจะโกรธ ทว่าก็ต้องยอมรับว่า พอฮองเฮาพูดเช่นนั้นกับไทฮองไทเฮาแล้ว มันช่วยเขาลดปัญหาไปได้ไม่น้อยแม้นจะเป็นวิธีที่สร้างความเสียหายให้แก่ตนเองไปหน่อย แต่เขาก็ต้องรักษาสัญญา“โทษหักเบี้ยเงินหนึ่งปีของเจ้า เราละเว้นให้”เฟิ
ที่แท้ในกล่องก็คือหินเซวียนอิงก้อนนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่เข้าใจนัก เซียวอวี้ส่งสิ่งนี้ให้นางทำไมกัน?หลิวซื่อเหลียงวางหินเซวียนอิงลงพร้อมกล่อง เขาอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงยามที่ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้เขานำหินก้อนนี้มาส่ง เขารู้สึกงุนงงเป็นอย่างมากถึงแม้จะกล่าวกันว่าสิ่งที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้ล้วนนับเป็นรางวัล ทว่า...การส่งหินก้อนหนึ่ง ย่อมทำให้คนรู้สึกสับสนอยู่บ้างเดิมทีเขาคิดว่าคงเป็นเพราะทักษะการขี่ม้าของฮองเฮาดี ย่อมเป็นผู้ที่รักม้าด้วย ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงทรงส่งหินรูปม้าให้นางทว่าความจริงก็คือ ยามนั้นฝ่าบาทตรัสเสียงต่ำประโยคหนึ่งว่า“นิสัยของฮองเฮาก็เหมือนหินก้อนนี้ ทั้งน่ารังเกียจทั้งแข็งกระด้าง”คำพูดนี้ของฝ่าบาท หลิวซื่อเหลียงไม่มีความกล้าที่จะบอกกล่าวฮองเฮา แม้แต่คำเดียวก็ไม่กล้าพูดถึงเขาจึงได้แต่พูดยิ้ม ๆ ว่า “ฮองเฮา ฝ่าบาททรงคิดถึงท่านพ่ะย่ะค่ะ”ถึงแม้จะไม่รู้เหตุผลเบื้องหลังเรื่องนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ยังรับหินเซวียนอิงก้อนนี้มาว่ากันตามจริงแล้วนี่เป็นความจริงใจที่จางฉี่หยางมีต่อนางผู้เป็นอาจารย์......ณ จวนองครักษ์อารักขาประตูเฉียวม่อขังตัวเองเอาไว้ในห้อง ท
เฉียวม่อไต่ถามด้วยความเป็นห่วงก่อน“ฉี่หยาง ไม่ได้เจอกันนานเลย เจ้าสบายดีหรือไม่?”จางฉี่หยางไม่อยากจะโทษนาง ทว่าเมื่อคิดถึงคำพูดทำร้ายจิตใจที่นางพูดเมื่อวันนั้น ก็ยากที่เขาจะใช้ใจที่เคยเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใสมาเผชิญหน้ากับนางเขาตอบนางอย่างรักษามารยาทที่ควรจะมีอย่างเต็มที่ว่า“ขอบคุณใต้เท้าที่เป็นห่วง ข้า...สบายดี”เดิมเขาคิดจะบอกนางว่า...ท่านแม่เสียชีวิตแล้ว ท่ามกลางการเคี่ยวกรำจากความอดอยากและความเจ็บป่วย นางตายจากไปอย่างทุกข์ทรมานทว่านางกลับถามต่อทันทีว่า“เจ้ารู้จักกับซูฮ่วนได้อย่างไร?”จางฉี่หยางตอบมั่ว ๆ“เป็นเรื่องบังเอิญน่ะ”ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของศิษย์พี่คิดดูแล้วศิษย์พี่เองก็คงไม่มีทางบอกเขาจนทำให้เขาต้องเข้ามาพัวพันด้วยจากนั้นเฉียวโม่แสดงสีหน้าเศร้าเสียใจแล้วตรงเข้าประเด็น“ฉี่หยาง ที่วันนั้นข้าปฏิเสธไม่รับเจ้าเป็นศิษย์ ที่จริงแล้วเพราะข้าไม่อาจทำใจให้เจ้าไปตายในสนามรบได้“ข้ากับพ่อของเจ้าเป็นสหายที่ดีต่อกัน เรื่องของเขา จนตอนนี้ข้า...ข้าก็ยังไม่อาจทำใจได้ลง“เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของเขา ข้าเพียงหวังให้เจ้าได้มีชีวิตที่สง
เมื่อถูกถามว่าอาจารย์เป็นผู้ใด จางฉีหยางหันไปมองเฉียวม่อและเวลานี้ เฉียวม่อก็หันมามองเขา พร้อมยิ้มแย้มให้กับเขาแต่เขาเพียงมองดูนาง ไม่พูดว่าอะไรเด็กคนนี้ กลัวว่านางจะปฏิเสธหรือ?เฉียวม่อพูดขึ้นมา เพื่อเป็นการให้กำลังใจเขา“หนุ่มน้อย พูดออกมาอย่างกล้าหาญเถอะ เจ้าสร้างคุณงามความดีใหญ่โตขนาดนี้ ไม่ว่าเป็นใคร ล้วนยินดีรับเจ้าเป็นลูกศิษย์”เพื่อเหมืองหินเซวียนอิงนั้น นางก็สามารถที่จะฝืนรับเขาไว้เป็นลูกศิษย์ได้หลังจากนั้นค่อยหาโอกาสกำจัดเขาก็ได้...จางฉีหยางผงกหัวให้กับเขา ราวกับรับรู้ความตั้งใจของนางแล้วจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมา “อาจารย์ของข้าก็คือ...คนในยุทธภพขนานนามว่า รากษสพันเงา ซูฮ่วน”เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ ทุกคนเงียบสงบเฉียวม่อตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ รู้สึกเหมือนเลือดในกายแข็งตัวจนหมดในทันทีซูฮ่วน ศิษย์พี่? !โกหกหรือเปล่า!ศิษย์พี่อยู่ในตำหนักเย็นตลอดไม่ใช่หรือ? นางรับจางฉีหยางเป็นลูกศิษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่!ไม่! ไม่ควรเป็นแบบนี้!จางฉีหยางควรที่จะคารวะนางที่เป็นแม่ทัพน้อยเมิ่งคนนี้เป็นอาจารย์ ไม่ใช่ซูฮ่วนอะไรนั่น!เวลานี้ หลายคนของกรมศัสตราวุธ สีหน้าแต่ละคนตกตะลึง หวา
เมื่อได้ยินว่ามีคนจะถวายหินเซวียนอิง เซียวอวี้หันไปมองเฉียวม่อเฉียวม่อพูดด้วยสัญชาตญาณ“ฝ่าบาท คนของกรมศัสตราวุธล้วนพูดว่า หินเซวียนอิงถูกขุดหมดตั้งแต่แรกแล้ว เป็นไปไม่ได้...”เซียวอวี้ไม่มีความอดทนฟังนางพูดจนจบ มีรับสั่งให้หนุ่มน้อยคนนั้นมาเข้าเฝ้าโดยตรงสายตาเฉียวม่อฉายแววมืดหมองนางจะคอยดูว่า หินเซวียนอิงนั่น เป็นของจริงหรือของปลอม!หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หนุ่มน้อยคนนั้นถูกพาเข้ามาวินาทีแรกที่เห็นเขา ท่าทีเฉียวม่อกลายเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดใจทันทีเป็นจางฉีหยางได้อย่างไร!จางฉีหยางก็แปลกใจที่เห็นเฉียวม่ออยู่ที่นี่แต่คำสั่งของอาจารย์สำคัญที่สุดเขาถวายบังคมจักรพรรดิอย่างนอบน้อม“ฝ่าบาท ข้าชื่อจางฉีหยาง มาถวายหินเซวียนอิง”เซียวอวี้มีรับสั่งให้คนของกรมศัสตราวุธเข้าวัง ให้พวกเขามาดูพร้อมกันว่า หินเซวียนอิงในมือหนุ่มน้อยคนนี้เป็นของจริงหรือไม่หลังจากผ่านการพิสูจน์หลายด้านแล้ว สุดท้ายทุกคนยืนยันเหมือนกันว่า“ฝ่าบาท ใช่หินเซวียนอิงจริงๆ !”พวกเขาแต่ละคนตื่นเต้นอย่างมากมีหินเซวียนอิงแล้ว ก็จะสามารถสร้างปืนหอกไฟแบบใหม่แล้วเฉียวม่ออึ้งไปครู่หนึ่ง มองดูจางฉีหยาง อยากจะพ
หินเซวียนอิง เคยย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ตอนนี้กลับได้มาเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบถามทันที“นี่คือหินเซวียนอิง เจ้ามีได้อย่างไร?”จางฉีหยางกลับแปลกประหลาดใจ“อาจารย์ ทำไมท่านก็รู้จักหินเซวียนอิง?“เมื่อสามปีก่อน ครั้งแรกที่ข้าได้เจอแม่ทัพน้อยเมิ่ง ได้ยินเขากับท่านพ่อคุยกันเรื่องหินเซวียนอิง ดูเหมือนนางจะชอบหินนี้มาก ดูในตำราก็มีบันทึกไว้“ความจำของข้าดี จึงจดจำไว้“ตำบลหลินผิงที่บ้านเกิดของข้า มีหุบเขามากมาย ยามมีเวลาว่าง ข้าก็จะออกค้นหาไปทั่ว เมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าได้เจอหินเซวียนอิง ดังนั้นข้าจึงนำมันมาเป็นของขวัญคารวะอาจารย์...”เมื่อสามปีก่อน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็คิดอยากปรับเปลี่ยนปืนหอกไฟรูปแบบใหม่ตอนนั้นนางก็มั่นใจแล้วว่า สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือฉนวนกันความร้อน และสิ่งที่เหมาะสมในการทำเป็นฉนวนกันความร้อนที่สุด ก็คือเหล็กเซวียนอิงที่หล่อหลอมมาจากหินเซวียนอิงคิดไม่ถึงว่า ถูกเด็กคนนี้ได้ยินอย่างไม่ตั้งใจ และช่วยนางตามหาจนเจอแล้ว!ปกติเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นคนสงบควบคุมตนเองได้ดีต่อให้ดีใจแค่ไหน ก็ไม่มีทางแสดงออกมานางรีบถามจางฉีหยาง“ข้าก็ชอบหินเซวียนอิงอย่างมาก บอกข้าได้ไหมว่า เจ้าเ
ริมฝีปากจางฉีหยางแห้งแตก เสียงที่พูดออกมาค่อนข้างเสียงแหบแห้งอย่างยิ่งเฟิ่งจิ่วเหยียนสบสายตากับเขา มองเห็นถึงรัศมีสังหารในแววตาของเขา“ไหว้ผู้ล่วงลับ เดินผ่านทางนี้” นางพูดอธิบายเพราะจางฉีหยางหิวโซเป็นเวลานาน มือจึงสั่นเทา เอาสิ่งของเซ่นไหว้พวกนั้นคืนให้กับนาง“เอาคืนไป! แม่ของข้าไม่ต้องการสิ่งพวกนี้!”เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นการปฏิเสธของเขานางชักกระบี่ออกมาจากฟักตรงเอวตามด้วยเสียงรอยแตกร้าวดังในอากาศ ต้นไม้ด้านข้างต้นหนึ่งถูกนางโค่นลง ตัดเป็นกระดานขนาดเท่าศิลาหลุมศพจางฉีหยางมองดูภาพนี้ แววตาไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆจนเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาแผ่นไม้นั่นวางบนพื้น แล้วถามเขา“ผู้ล่วงลับสกุลอะไร”จางฉีหยางมีปฏิกิริยาขึ้นมาเล็กน้อย มองดูนางอย่างแปลกประหลาดใจเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีความสงสารอย่างสูงส่ง“มีป้ายหลุมศพ ก็จะไม่กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน”จางฉีหยางหัวเราะเย้ย“ข้าไม่เชื่อ”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาเหมือนล้อเล่นว่า“เป็นผีก็สามารถหลงทางได้ มีป้ายหลุมศพ ต่อไปแม่ของเจ้าก็จะรู้ว่า ที่นี่เป็นบ้านของนาง เป็นบ้านที่ลูกชายของนางสร้างให้นางด้วยต
จางฉีหยางตอบโต้รวดเร็วมาก หลบเลี่ยงฝ่ามือแรกของเฉียวม่อได้จากนั้นเฉียวม่อโจมตีเขาอีกอย่างต่อเนื่องจางฉีหยางเดินทางไกลมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ทั้งหิวทั้งหนาวเวลานี้จึงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไรนักแต่ต่อให้อยู่ภายใต้สภาพเช่นนี้ ยังสามารถหลบเลี่ยงเฉียวม่อได้ ซ้ำยังสามารถหาโอกาสตอบโต้ได้สีหน้าเฉียวม่อมืดมิดอย่างรวดเร็วเด็กคนนี้ เก่งกาจกว่าที่นางคิดไว้นางแกล้งทำเป็นจู่โจมส่วนล่างของเขา ฉวยโอกาสตอนที่เขาตอบโต้ เคลื่อนตัวไปทางด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว เตะหลังเข่าของเขาอย่างรุนแรงจางฉีหยางงอเข่าลง ขาข้างหนึ่งคุกเข่าลงจากนั้น เฉียวม่อใช้แขนรัดคอเขาไว้จากทางด้านหลังจางฉีหยางถูกบีบให้เงยศีรษะขึ้นมา อ้าปากกว้างเพื่อหายใจเฉียวม่อไม่ผ่อนมือ เพิ่มแรงมากขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...จนสีหน้าจางฉีหยางเขียวม่วง สกุลฉินเห็นว่าไม่ดีแน่ จึงรีบร้องเรียกขึ้นมาว่า“แม่ทัพน้อย!”เฉียวม่อค่อยผ่อนคลายมือ อยากที่จะกำจัดให้สิ้นซากเสียเดี๋ยวนี้สกุลฉินรีบประคองลูกชายลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นบนตัวให้กับเขาจางฉีหยางหายใจหอบ ดวงตาสีดำเข้มจ้องมองที่เฉียวม่อหลังจากดีขึ้นบ้างแล้ว เขายกมือประสานหันไปทำความเคารพนา
“มีทั้งหมด...สามคน ข้าไม่ค่อยได้เห็นอีกสองคนนั้น”“แม่นางเมิ่งมีคำสั่ง...พวกเรา เราก็ทำตาม”ชายขายผักพูดไปด้วย เลือดไหลไปด้วยไม่ค่อยได้เห็น ซึ่งก็คือเคยเห็นบ้างแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนถามอีก“อีกสองคนนั้นมีลักษณะเป็นยังไง”“คนหนึ่งบนใบหน้ามีไฝ ส่วนอีกคนหนึ่ง...คนนั้นชอบไปบ่อนเล่นการพนัน เป็นคนที่มีนิสัยลักขโมย หน้าตาปากแหลมแก้มเหมือนลิง...ท่านผู้กล้า ปล่อยข้าไปเถอะ ที่ข้ารู้ก็ล้วนบอกหมดแล้ว!”เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้กริชเชยคางของเขาขึ้นมา“ทำไมพวกเจ้าต้องฟังคำสั่งเฉียวม่อ”ชายขายผักเสียเลือดมาก จนอ่อนแรงอย่างยิ่ง“พวกเรา... พวกเราล้วนถูกราชสำนักออกหมายนำจับ...เป็นโจรเจียงหยาง หากไม่เชื่อฟังนาง ก็จะส่งตัวพวกเราไปให้ทางการ”“เชื่อฟังนาง นางให้เงินพวกเราได้ใช้จ่าย...”“อีกอย่าง...นางวางยาพิษพวกเรา...ให้ยาถอนพิษพวกเราตามเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้น...ก็จะตาย”“ท่านผู้กล้า ตอนนี้ข้าหักหลังนาง ไม่มีทางรอดแล้ว“ขอร้องท่าน...ให้ข้าได้ตายอย่างรวดเร็วด้วยเถอะ!”แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็นชา พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ได้”จากนั้นนางยกมีดขึ้นมาแล้วปาดลง ปาดคอชายขายผักตายเดิมก็เป็นอาชญากรรายใหญ่ ต
อู๋ไป๋บาดเจ็บสาหัสอย่างมาก หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นแม่ทัพน้อย ก็รู้ว่าตนเองมีชีวิตรอดแล้วร่างกายท่อนบนของเขา พันเต็มไปด้วยผ้าพันแผล สีหน้าซีดอ่อนแรง“แม่...”ทันใดนั้นก็เห็นว่าภายในห้องยังมีคนอื่น จึงรีบเปลี่ยนเป็นร้องเรียกขึ้นมาว่า “นายท่าน”เฟิ่งจิ่วเหยียนที่สวมหน้ากากเงินครึ่งชิ้น หันมามองดูเขาหมอกำลังบอกนางเกี่ยวกับข้อควรระวังของผู้บาดเจ็บหลังจากนางฟังแล้วก็จดจำไว้ จากนั้นก็จ่ายค่ารักษา ออกมาส่งหมอด้วยตนเองผ่านไปครู่หนึ่ง นางกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง แล้วเห็นอู๋ไป๋พยายามจะลุกขึ้นมานั่งนางรีบพูดสั่งทันทีว่า“อย่าเคลื่อนไหว”เขาบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก ไม่รู้สึกเลยสักนิดหรือ?อู๋ไป๋รีบนอนลงอย่างเชื่อฟัง ฉีกยิ้มอย่างขมขื่น พร้อมพูดขึ้นมาว่า“นายท่าน กระหม่อมผิวหยาบเนื้อหนา ไม่เป็นไร”พูดว่าไม่เป็นไรนั้นเป็นความเท็จเขายังจำได้ มีดที่แทงลงมาหลายทีนั้น เจ็บปวดอย่างมาก“นายท่าน ชายขายผักคนนั้น...”“จับตัวมาได้แล้ว” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดแทรกคำพูดของเขาอู๋ไป๋ยังอยากพูดอะไรอีก ก็มีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามา“รองผู้นำพันธมิตร! เมื่อครู่ชายขายผักคนนั้นยังคิดอยากวิ่งหนี