เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่คาดคิดว่า เซียวอวี้จะมาหานางในเวลากลางคืนเช่นนี้ นกพิราบสื่อสารบินออกจากตำหนักหย่งเหอ โดยปกติไม่ส่งเสียงเคลื่อนไหวมากนัก ทว่าเซียวอวี้ และราชองครักษ์ที่อยู่รอบกายเขา ทั้งหมดล้วนเป็นปรมาจารย์ด้านกำลังภายในขั้นสูง การเคลื่อนไหวใด ๆ มิอาจเล็ดลอดหูตาของพวกเขาได้ เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบซ่อนจดหมายลับไว้ และกวาดสายตามองไปยังทิศทางที่นกพิราบสื่อสารบินจากไป เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือ ต้องส่งเสียงดังเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ... เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงร้องตะโกนทันที “มีนักฆ่า!” เหลียนซวงก็ตอบสนองได้ว่องไว จึงช่วยตะโกน “ทหาร! คุ้มครองฮองเฮา!” ทันใดนั้น เซียวอวี้และราชองครักษ์ก็เข้ามาในตำหนัก เซียวอวี้เดินตรงเข้าสู่ตำหนักชั้นใน ทว่าสิ่งแรกที่เขาสนใจ มิใช่ความปลอดภัยและอันตรายของเฟิ่งจิ่วเหยียนผู้เป็นฮองเฮา “นักฆ่าอยู่ที่ใด!” หรือว่านักฆ่าหญิงผู้นั้นก่อเรื่องอีกแล้ว นางเพิ่งจะขับพิษวารีสวรรค์ทั้งหมดให้เขา พลังภายในยังไม่ฟื้นฟู กลับกล้ามาก่อความวุ่นวายในวัง! ทว่า นั่นอาจจะมิใช่นาง เฟิ่งจิ่วเหยียนชี้ไปทางหน้าต่างท
หลังจากเหลียนซวงได้รู้ความจริงที่คุณหนูเวยเฉียงถูกลักพาตัวไป แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านไปแล้ว แต่ในใจยังคงหวาดผวาอยู่“ฮองเฮา นี่ก็คือที่ท่านพูดว่า เราอยู่ในที่แจ้ง ศัตรูอยู่ในที่ลับใช่ไหม!“สามารถปลอมเป็นเหยาเหนียง แฝงตัวอยู่กับคุณหนูเวยเฉียง คนคนนั้นน่ากลัวมากเลย! พวกเราจะทำยังไงถึงจะสามารถจับตัวเขาได้?“อีกอย่าง ท่านวางแผนที่จะไปจากเมืองหลวง กลับชายแดนเหนือไม่ใช่หรือ?”นางรู้ดีมาตลอด ฮองเฮาไม่เหมาะสมกับที่นี่แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง พร้อมพูดขึ้นมาว่า“ไม่ไปแล้ว”นางจะต้องสืบให้รู้ถึงคนที่วางแผนอยู่เบื้องหลังให้ได้ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ก็ไม่สามารถพาเวยเฉียงจากไปได้ สิ่งเดียวที่เป็นกังวลก็คือชายแดนเหนือ หวังว่าชายแดนเหนือจะไม่เกิดเหตุวุ่นวายอะไร…… ฮองเฮาไม่เหมือนนางสนมที่มีเวลาว่างพวกนั้น ต้องจัดการงานภายในวังมากมายช่วงที่ผ่านมานี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนบันทึกการรับสินบนทั้งหมดของตำหนักหลิงเซียวไว้ พร้อมส่งไปยังคลังหลวงข้าหลวงในตำหนักหลิงเซียว ที่เคยกระทำเรื่องชั่วช้าให้กับหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ ผู้ที่ได้ทำความผิดอย่างร้ายแรงนั้น ต้องรับโทษเช่นชุนเหอนั้น ส่งตัวไปยังกรมราชทัณฑ์ ไม่ไ
มู่หรงฉานได้เป็นที่โปรดปรานของไทเฮา ถูกไทเฮาเรียกให้เข้าวังมาบ่อยครั้ง สวดมนต์เป็นเพื่อนไทเฮา เป็นสิ่งได้เปรียบที่หญิงสาวรอการคัดเลือกคนอื่นไม่มีแม้แต่หนิงเฟยที่เป็นหลานสาวแท้ๆ ยังถูกไทเฮาหลงลืมมองข้ามไปในใจหนิงเฟยนั้นไม่พอใจวันนี้นางไม่ได้มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า ก็ตรงไปถวายพระพรยังตำหนักฉือหนิงกุ้ยหมัวมัวออกมาบอกว่า“หนิงเฟยมาได้ไม่ถูกจังหวะ แม่นางมู่หรงกำลังช่วยซ่อมแซมหนังสือสวดมนต์ให้กับไทเฮา เมื่อสักครู่ไทเฮามีรับสั่งว่า ใครก็ห้ามมารบกวน พระนางค่อยมาช่วงบ่ายเถอะ”หนิงเฟยอดกลั้นความขุ่นเคืองไว้ ฝืนยิ้มแย้มพร้อมพูดขึ้นมาว่า“ไม่ง่ายที่ท่านป้ากับแม่นางของตระกูลมู่หรงเข้ากันได้ดี ข้าไม่รบกวนแล้ว”กุ้ยหมัวมัวเป็นคนช่างสังเกต มองเห็นถึงความโศกเศร้าของหนิงเฟย เห็นว่ารอบข้างไม่มีใคร จึงกระซิบด้วยเสียงต่ำ พูดเตือนหนิงเฟย“พระนาง ที่ไทเฮาทำแบบนี้ ล้วนเป็นการทำเพื่อท่าน เพื่อความรุ่งโรจน์ของตระกูล ท่านกับไทเฮาเป็นญาติกัน คนอื่นเทียบไม่ได้”หนิงเฟยผงกศีรษะ“ข้ารู้ ขอให้ท่านป้าดูแลสุขภาพด้วย”หลังจากไปแล้ว สาวใช้ของหนิงเฟย เต็มไปด้วยความกังวล“พระนาง คุณหนูมู่หรงฉานคนนั้นมีความสาม
ตำหนักจื้อเฉินเซียวอวี้อาบน้ำเสร็จ ผมดำสยาย สวมอาภรณ์หลวมเล็กน้อย เผยกล้ามที่หน้าอกอันแข็งแกร่ง เปล่งรัศมีเยือกเย็นชาดวงตาคู่หงส์นั้นมองหรี่ลง มองดูแส้เก้าท่อนบนโต๊ะมันคือสิ่งที่นักฆ่าหญิงคนนั้น ถูกนางทิ้งไว้จนถึงวันนี้นับดูวันเวลา เมื่อวานเป็นสิบวันที่พิษแดนฝันกำเริบนางน่าจะมาเอายาตามปกติ เขาจะสั่งให้เฉินจี๋นำยาไปส่งที่ตำหนักฉางสิ้นแต่เฉินจี๋รออยู่เป็นเวลานาน ก็ไม่เห็นนางมาเอายา เช้าวันนี้ไปดู ยาถอนพิษก็ยังอยู่ที่นั่น ยังคงสภาพเดิมไว้ในระหว่างที่เซียวอวี้กำลังครุ่นคิด เฉินจี๋กลับมารายงานว่า“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมไปยังตำหนักฉางสิ้นอีกครั้ง ยาถอนพิษก็ยังคงไม่ถูกนำไป”เฉินจี๋คิดว่า เป็นเรื่องที่แปลกจริงๆพิษแดนฝันกำเริบ ทุกข์ทรมานอย่างมากนางถูกพิษนี้ จะอดทนอยู่ได้อย่างไร?สีหน้าเซียวอวี้เยือกเย็นชา พร้อมพูดขึ้นมาว่า“แล้วแต่นาง”หากนางต้องการ ก็จะไปเอาเองมิเช่นนั้นจะให้เขาป้อนยาถอนพิษ ให้ถึงปากนางด้วยตนเองหรือ……เรื่องบุคคลลึกลับ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้แอบสืบความอยู่อย่างหลายครั้งแต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผลอะไรเขารอบคอบอย่างมาก ไม่ทิ้งร่องรอยอะ
หญิงดีงามหลายชุดเข้ามาในตำหนัก เฟิ่งจิ่วเหยียนเลือกคนไว้น้อยมากพวกนางสนมยิ่งมั่นใจว่า ฮองเฮามีใจริษยา“บุตรสาวเจ้ากรมพิธีการมู่หรงหวย...มู่หรงฉาน”ได้ยินเช่นนี้ พวกนางสนมล้วนระแวดระวังขึ้นมา ต่างพากันหันไปมองเห็นเพียงหญิงสาวคนนั้นรูปร่างงดงามสง่า สวมชุดกระโปรงผ้าปักสีสันสดใส ใบหน้าสวยงามสดใส ราวกับดอกบัวในสระน้ำ ส่งกลิ่นหอมที่ชวนให้น่าหลงใหล ทำให้บรรยากาศในตำหนักสดชื่นน่ารื่นรมย์“มู่หรงฉาน ถวายบังคมฮองเฮา”หนิงเฟยอดเบิกตาโตไม่ได้เหมือน!เหมือนหรงเฟยอย่างมาก!หากพูดว่า หลิงเยี่ยนเอ๋อร์คล้ายหรงเฟยเจ็ดแปดส่วน แล้งมู่หรงฉานคนนี้ เหมือนหรงเฟยไม่มีผิดเพี้ยนนางสนมคนอื่นกระซิบคุยกัน“เป็นลูกพี่ลูกน้องกันเอง ทำไมถึงได้เหมือนขนาดนี้?”“ใช่ ทุกอากัปกิริยา ทุกคำพูดเเละการกระทำ ล้วนเหมือนอย่างมาก ข้ายังคิดว่า...คิดว่าหรงเฟยกลับมาแล้ว!”เดิมพวกนางยังคิดเข้าข้างตนเองว่า ต่อให้คล้ายหรงเฟย มู่หรงฉานก็จะเป็นเหมือนพวกนางสนมเจีย ใช่ว่าจะเป็นที่โปรดปรานตอนนี้เพิ่งรู้ว่า พวกนางคิดผิดไปแล้วมู่หรงฉานจะต้องเป็นที่โปรดปรานแน่นอน และจะต้องมากยิ่งกว่าหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ทุกคนหันไปมองเฟิ่งจิ่วเ
จวนตระกูลมู่หรงมู่หรงฉานได้รับจดหมายจากพี่ชายมู่หรงเจี๋ย รอยยิ้มอ่อนหวานมีเมตตาสาวใช้หลิวซวี่ พูดขึ้นมาอย่างใส่ใจว่า“คุณหนู มีเรื่องอะไรทำให้ดีใจขนาดนี้หรือ?”ท่าทีมู่หรงฉานเงียบสงบ พูดขึ้นมาด้วยเสียงอ่อนหวานว่า“พี่ชายทำศึกได้ชัยชนะ”หลิวซวี่พูดขึ้นมาอย่างดีใจว่า “ดีมากเลย!”แต่ไม่ช้า มู่หรงฉานก็เริ่มโศกเศร้าบ้าง“ท่านอ๋องยังคงไม่ตอบจดหมายหรือ?”หลิวซวี่ก้มศีรษะ พร้อมพูดขึ้นมาว่า“คุณหนู ท่านอย่าคิดมาก ท่านอ๋องมีงานราชการมาก...”มู่หรงฉานพูดแทรกขึ้นมาว่า“เจ้าไม่ต้องโกหกข้า ข้ารู้ การเข้าวังเพื่อร่วมการคัดเลือกโดยพลการ ท่านอ๋องไม่มีทางพอใจ ดังนั้นตอนแรกที่เข้าร่วมการคัดเลือก ข้าจึงปิดบังเขา ไม่กล้าบอกกับเขา”“ยังไงความจริงก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจปิดบังได้“แต่ข้าไม่เสียใจ”หลิวซวี่พูดขึ้นมาว่า “คุณหนูเกิดมาพร้อมกับความโชคลาภ วัดเล็กๆ ย่อมไม่เพียงพอสำหรับท่าน”มู่หรงฉานมองดูใบหน้าในคันฉ่อง ที่คล้ายคลึงกับพี่สาวลูกพี่ลูกน้องใบนั้น ท่าทีจริงจังแน่วแน่“ท่านอ๋องไม่ได้บอกข้าเพียงครั้งเดียวว่า ให้อยู่ในวัดอย่างสงบ ข้าถึงจะปลอดภัยราบรื่น เขากำลังกลัวอะไรกันแน่?“ข้ารู้ว่าเขาก
เซียวอวี้เห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ขยับ จึงเร่งเร้าอย่างหมดความอดทน“ของประทานจากเรา ฮองเฮาไม่ยอมดื่ม?”“มิใช่เพคะ เพียงแค่กำลังคิดว่า ในวังมีนกพิราบสื่อสารได้อย่างไร”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สะทกสะท้าน ไม่ได้ถูกเซียวอวี้หลอกให้พูดความจริงออกมาเซียวอวี้จับจ้องมองดูนางด้วยแววตาเยือกเย็น“นกพิราบสื่อสารตัวนั้น บินออกมาจากตำหนักหย่งเหอ ฮองเฮา เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ?”นอกจากนาง ภายในวังยังจะมีใครใจกล้าหาญเช่นนี้!เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมา จ้องมองดูเขาด้วยแววตาแน่วแน่“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ”นกพิราบสื่อสารบินออกมาจากตำหนักหย่งเหอ ก็อาจเป็นไปได้ที่ถูกคนอื่นปล่อยมาและในเมื่อถูกจับตอนที่บินออกไป ก็ไม่มีจดหมายลับใดตกอยู่ในมือของเซียวอวี้แสดงว่าเซียวอวี้ ก็ไม่มีหลักฐานอย่างแน่นอนแววตาเซียวอวี้เฉยเมย“ดื่มน้ำแกงถ้วยนี้ลงไปก่อน”เฟิ่งจิ่วเหยียนยกถ้วยน้ำแกงนั้นขึ้นมา แล้วก็ดื่มลงไปอย่างไม่พูดไม่จาเหลียนซวงมองดูแล้วยังรู้สึกปวดใจนกพิราบสื่อสารขนดำตัวนั้น ถูกฮ่องเต้ทรราชต้มเสียแบบนี้แล้ว!นี่ก็ว่าไปอย่าง ทำไมเขายังบีบบังคับให้พระนางดื่มอีก!เฟิ่งจิ่วเหยียนมีนิสัยสงบสุขุมแม้ว่าในใจมีควา
มู่หรงฉานถูกพิษกะทันหัน เซียวอวี้รีบไปยังตำหนักฟางเฟยทันทีหมอหลวงขับให้นางอาเจียน จึงไม่อันตรายถึงชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน ในฐานะที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นฮองเฮาก็มาถึงเช่นกันเซียวอวี้นั่งอยู่ตรงนั้น พร้อมพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าบูดบึ้งว่า“เกิดเรื่องวางยาพิษขึ้นในวัง ฮองเฮา เจ้าต้องสืบให้กระจ่างว่าเป็นฝีมือผู้ใด!”“เพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนหันไปมองบนเตียง สายตานั้นสงบนิ่งมู่หรงฉานอาเจียนอยู่นาน ร่างกายอ่อนแออย่างมากเซียวอวี้อยู่เฝ้านางหนึ่งช่วยยาม แล้วค่อยกลับตำหนักจื้อเฉิน……ตำหนักฉือหนิง“จิ้งกุ้ยเหรินถูกวางยาพิษ? ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง?” ไทเฮาตกตะลึงอย่างมากใช่ว่านางเป็นห่วงมู่หรงฉาน หากเป็นเพราะไทฮองไทเฮาอาศัยที่ตนเองเป็นผู้อาวุโสวางอำนาจ เขียนจดหมายมาบอกว่า ให้นางดูแลจิ้งกุ้ยเหรินให้ดีหากเกิดอะไรขึ้นกับจิ้งกุ้ยเหริน ไทฮองไทเฮาไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่นอนกุ้ยหมัวมัวตอบอย่างนอบน้อมว่า“หมอหลวงได้ทำการรักษาแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ฝ่าบาทก็อยู่เฝ้าครู่หนึ่ง นับจากที่จิ้งกุ้ยเหรินเข้าวังมา ยังไม่เคยได้รับความโปรดปราน ครั้งนี้ถือว่าในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่”พูดเสร็
หินเซวียนอิง เคยย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ตอนนี้กลับได้มาเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบถามทันที“นี่คือหินเซวียนอิง เจ้ามีได้อย่างไร?”จางฉีหยางกลับแปลกประหลาดใจ“อาจารย์ ทำไมท่านก็รู้จักหินเซวียนอิง?“เมื่อสามปีก่อน ครั้งแรกที่ข้าได้เจอแม่ทัพน้อยเมิ่ง ได้ยินเขากับท่านพ่อคุยกันเรื่องหินเซวียนอิง ดูเหมือนนางจะชอบหินนี้มาก ดูในตำราก็มีบันทึกไว้“ความจำของข้าดี จึงจดจำไว้“ตำบลหลินผิงที่บ้านเกิดของข้า มีหุบเขามากมาย ยามมีเวลาว่าง ข้าก็จะออกค้นหาไปทั่ว เมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าได้เจอหินเซวียนอิง ดังนั้นข้าจึงนำมันมาเป็นของขวัญคารวะอาจารย์...”เมื่อสามปีก่อน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็คิดอยากปรับเปลี่ยนปืนหอกไฟรูปแบบใหม่ตอนนั้นนางก็มั่นใจแล้วว่า สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือฉนวนกันความร้อน และสิ่งที่เหมาะสมในการทำเป็นฉนวนกันความร้อนที่สุด ก็คือเหล็กเซวียนอิงที่หล่อหลอมมาจากหินเซวียนอิงคิดไม่ถึงว่า ถูกเด็กคนนี้ได้ยินอย่างไม่ตั้งใจ และช่วยนางตามหาจนเจอแล้ว!ปกติเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นคนสงบควบคุมตนเองได้ดีต่อให้ดีใจแค่ไหน ก็ไม่มีทางแสดงออกมานางรีบถามจางฉีหยาง“ข้าก็ชอบหินเซวียนอิงอย่างมาก บอกข้าได้ไหมว่า เจ้าเ
ริมฝีปากจางฉีหยางแห้งแตก เสียงที่พูดออกมาค่อนข้างเสียงแหบแห้งอย่างยิ่งเฟิ่งจิ่วเหยียนสบสายตากับเขา มองเห็นถึงรัศมีสังหารในแววตาของเขา“ไหว้ผู้ล่วงลับ เดินผ่านทางนี้” นางพูดอธิบายเพราะจางฉีหยางหิวโซเป็นเวลานาน มือจึงสั่นเทา เอาสิ่งของเซ่นไหว้พวกนั้นคืนให้กับนาง“เอาคืนไป! แม่ของข้าไม่ต้องการสิ่งพวกนี้!”เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นการปฏิเสธของเขานางชักกระบี่ออกมาจากฟักตรงเอวตามด้วยเสียงรอยแตกร้าวดังในอากาศ ต้นไม้ด้านข้างต้นหนึ่งถูกนางโค่นลง ตัดเป็นกระดานขนาดเท่าศิลาหลุมศพจางฉีหยางมองดูภาพนี้ แววตาไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆจนเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาแผ่นไม้นั่นวางบนพื้น แล้วถามเขา“ผู้ล่วงลับสกุลอะไร”จางฉีหยางมีปฏิกิริยาขึ้นมาเล็กน้อย มองดูนางอย่างแปลกประหลาดใจเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีความสงสารอย่างสูงส่ง“มีป้ายหลุมศพ ก็จะไม่กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน”จางฉีหยางหัวเราะเย้ย“ข้าไม่เชื่อ”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาเหมือนล้อเล่นว่า“เป็นผีก็สามารถหลงทางได้ มีป้ายหลุมศพ ต่อไปแม่ของเจ้าก็จะรู้ว่า ที่นี่เป็นบ้านของนาง เป็นบ้านที่ลูกชายของนางสร้างให้นางด้วยต
จางฉีหยางตอบโต้รวดเร็วมาก หลบเลี่ยงฝ่ามือแรกของเฉียวม่อได้จากนั้นเฉียวม่อโจมตีเขาอีกอย่างต่อเนื่องจางฉีหยางเดินทางไกลมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ทั้งหิวทั้งหนาวเวลานี้จึงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไรนักแต่ต่อให้อยู่ภายใต้สภาพเช่นนี้ ยังสามารถหลบเลี่ยงเฉียวม่อได้ ซ้ำยังสามารถหาโอกาสตอบโต้ได้สีหน้าเฉียวม่อมืดมิดอย่างรวดเร็วเด็กคนนี้ เก่งกาจกว่าที่นางคิดไว้นางแกล้งทำเป็นจู่โจมส่วนล่างของเขา ฉวยโอกาสตอนที่เขาตอบโต้ เคลื่อนตัวไปทางด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว เตะหลังเข่าของเขาอย่างรุนแรงจางฉีหยางงอเข่าลง ขาข้างหนึ่งคุกเข่าลงจากนั้น เฉียวม่อใช้แขนรัดคอเขาไว้จากทางด้านหลังจางฉีหยางถูกบีบให้เงยศีรษะขึ้นมา อ้าปากกว้างเพื่อหายใจเฉียวม่อไม่ผ่อนมือ เพิ่มแรงมากขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...จนสีหน้าจางฉีหยางเขียวม่วง สกุลฉินเห็นว่าไม่ดีแน่ จึงรีบร้องเรียกขึ้นมาว่า“แม่ทัพน้อย!”เฉียวม่อค่อยผ่อนคลายมือ อยากที่จะกำจัดให้สิ้นซากเสียเดี๋ยวนี้สกุลฉินรีบประคองลูกชายลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นบนตัวให้กับเขาจางฉีหยางหายใจหอบ ดวงตาสีดำเข้มจ้องมองที่เฉียวม่อหลังจากดีขึ้นบ้างแล้ว เขายกมือประสานหันไปทำความเคารพนา
“มีทั้งหมด...สามคน ข้าไม่ค่อยได้เห็นอีกสองคนนั้น”“แม่นางเมิ่งมีคำสั่ง...พวกเรา เราก็ทำตาม”ชายขายผักพูดไปด้วย เลือดไหลไปด้วยไม่ค่อยได้เห็น ซึ่งก็คือเคยเห็นบ้างแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนถามอีก“อีกสองคนนั้นมีลักษณะเป็นยังไง”“คนหนึ่งบนใบหน้ามีไฝ ส่วนอีกคนหนึ่ง...คนนั้นชอบไปบ่อนเล่นการพนัน เป็นคนที่มีนิสัยลักขโมย หน้าตาปากแหลมแก้มเหมือนลิง...ท่านผู้กล้า ปล่อยข้าไปเถอะ ที่ข้ารู้ก็ล้วนบอกหมดแล้ว!”เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้กริชเชยคางของเขาขึ้นมา“ทำไมพวกเจ้าต้องฟังคำสั่งเฉียวม่อ”ชายขายผักเสียเลือดมาก จนอ่อนแรงอย่างยิ่ง“พวกเรา... พวกเราล้วนถูกราชสำนักออกหมายนำจับ...เป็นโจรเจียงหยาง หากไม่เชื่อฟังนาง ก็จะส่งตัวพวกเราไปให้ทางการ”“เชื่อฟังนาง นางให้เงินพวกเราได้ใช้จ่าย...”“อีกอย่าง...นางวางยาพิษพวกเรา...ให้ยาถอนพิษพวกเราตามเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้น...ก็จะตาย”“ท่านผู้กล้า ตอนนี้ข้าหักหลังนาง ไม่มีทางรอดแล้ว“ขอร้องท่าน...ให้ข้าได้ตายอย่างรวดเร็วด้วยเถอะ!”แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็นชา พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ได้”จากนั้นนางยกมีดขึ้นมาแล้วปาดลง ปาดคอชายขายผักตายเดิมก็เป็นอาชญากรรายใหญ่ ต
อู๋ไป๋บาดเจ็บสาหัสอย่างมาก หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นแม่ทัพน้อย ก็รู้ว่าตนเองมีชีวิตรอดแล้วร่างกายท่อนบนของเขา พันเต็มไปด้วยผ้าพันแผล สีหน้าซีดอ่อนแรง“แม่...”ทันใดนั้นก็เห็นว่าภายในห้องยังมีคนอื่น จึงรีบเปลี่ยนเป็นร้องเรียกขึ้นมาว่า “นายท่าน”เฟิ่งจิ่วเหยียนที่สวมหน้ากากเงินครึ่งชิ้น หันมามองดูเขาหมอกำลังบอกนางเกี่ยวกับข้อควรระวังของผู้บาดเจ็บหลังจากนางฟังแล้วก็จดจำไว้ จากนั้นก็จ่ายค่ารักษา ออกมาส่งหมอด้วยตนเองผ่านไปครู่หนึ่ง นางกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง แล้วเห็นอู๋ไป๋พยายามจะลุกขึ้นมานั่งนางรีบพูดสั่งทันทีว่า“อย่าเคลื่อนไหว”เขาบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก ไม่รู้สึกเลยสักนิดหรือ?อู๋ไป๋รีบนอนลงอย่างเชื่อฟัง ฉีกยิ้มอย่างขมขื่น พร้อมพูดขึ้นมาว่า“นายท่าน กระหม่อมผิวหยาบเนื้อหนา ไม่เป็นไร”พูดว่าไม่เป็นไรนั้นเป็นความเท็จเขายังจำได้ มีดที่แทงลงมาหลายทีนั้น เจ็บปวดอย่างมาก“นายท่าน ชายขายผักคนนั้น...”“จับตัวมาได้แล้ว” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดแทรกคำพูดของเขาอู๋ไป๋ยังอยากพูดอะไรอีก ก็มีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามา“รองผู้นำพันธมิตร! เมื่อครู่ชายขายผักคนนั้นยังคิดอยากวิ่งหนี
ตำหนักเย็น เฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับลูกศรมาหนึ่งอันบนหัวลูกศร เสียบกระดาษไว้หนึ่งแผ่นเป็นลายมือของเฉียวม่อ...[ศิษย์พี่ ติดหนี้ชีวิตเจ้าอีกหนึ่งชีวิตแล้ว แต่ข้าจะให้เจ้าหาเจอทางหนีสุดท้ายได้ง่ายๆ ได้อย่างไร? คราวหน้าส่งคนที่ฉลาดกว่านี้หน่อยนะ]เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่า เกิดเรื่องกับอู๋ไป๋แล้วนางขมวดคิ้วแน่น ไม่กล้าชักช้าแม้ชั่วขณะเดียว ฟ้ายังไม่มืดก็ออกจากวังแล้วอู๋ไป๋ติดตามนางจากค่ายเป่ยต้า มาจนถึงเมืองหลวงเขาไม่เพียงเป็นลูกน้องคนสนิท ลูกน้องที่มีความสามารถของนาง ยังเป็นเพื่อนของนางเพื่อต่อสู้กับนาง เฉียวม่อทำร้ายคนตายไปอย่างมากมายแล้วอู๋ไป๋ นางจะต้องตามหาให้เจอ!……ท่ามกลางผู้คนมากมาย ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเบาะแสอะไรเลย ตามหาคนหนึ่ง เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรวันนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้ว่าวิ่งไปมากี่ที่ที่นางสามารถตามหา ก็มีเพียงชายขายผักจากคำบอกเล่าของชาวบ้านบริเวณรอบๆ นางวาดภาพชายขายผักคนนั้นขึ้นมาเวลาพลบค่ำโรงรับจำนำแห่งหนึ่งในเขตชานเมือง คนงานกำลังเตรียมปิดร้าน ชายสวมหน้ากากเงินคนหนึ่ง คว้าจับกรอบประตูไว้ ไม่สนใจความเจ็บปวดที่ถูกประตูหนีบ พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือ
ไทฮองไทเฮาหันมองไปข้างนอก ดวงตาเบิกโตอย่างไม่รู้ตัว“ฮ่องเต้? เจ้ามาทำอะไร!”นางมาจัดการฮองเฮาเป็นการส่วนตัว ไม่ได้บอกเซียวอวี้รับรู้เซียวอวี้ก้าวเท้ายาวเข้ามาในตำหนัก ใช้เท้ากระทืบข้าหลวงที่คิดจะลงมือทำร้ายเฟิ่งจิ่วเหยียน พร้อมทั้งปกป้องนางไว้ข้างหลัง เผชิญหน้ากับไทฮองไทเฮาโดยตรง“เสด็จย่า ควรเป็นเราถามท่าน ท่านทำอะไรอยู่ที่นี่”เขาสวมอาภรณ์สีม่วง สีหน้าเยือกเย็นชา เป็นเหมือนดั่งหุบเขาหิมะ คนเห็นแล้วรู้สึกหวาดกลัวเฟิ่งจิ่วเหยียนแอบเก็บอาวุธลับไว้ ไทฮองไทเฮานั่งอยู่ตรงนั้น พูดขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดว่า“ข้าทำเช่นนี้ ล้วนเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน“สตรีตระกูลเฟิ่งไม่ควรเข้าวัง ยิ่งไม่ควรเป็นฮองเฮาของเจ้า”ฮ่องเต้กตัญญูต่อนางมาตลอด นางไม่เชื่อว่า ฮ่องเต้จะไม่เชื่อฟังนางเพราะเหตุนี้ดวงตาสีเข้มของเซียวอวี้หนักหน่วงมืดมน“เราได้ให้นางมาอยู่ในตำหนักเย็นแล้ว เสด็จย่าอย่าบีบคั้นกันจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เราเคยพูดแล้วว่า เราไม่เคยเชื่อในคำทำนายของหนังสือแห่งโชคชะตาในปีนั้น”ปัง!ไทฮองไทเฮาฟาดตบโต๊ะอย่างโกรธโมโห“ฮ่องเต้ เจ้าจะเลอะเลือนไม่ได้!“ผู้หญิงคนนี้...นางจะเป
ไทฮองไทเฮาเสด็จมายังตำหนักเย็นด้วยพระองค์เอง แฝงไปด้วยความแปลกประหลาดและแล้ว ลางสังหรณ์เฟิ่งจิ่วเหยียนนั้นไม่มีผิดคนที่มาไม่ได้มีเพียงไทฮองไทเฮา ยังมีนางข้าหลวงหนึ่งคนนางข้าหลวงคนนั้นถือถาดไม้สีดำ สิ่งของที่วางอยู่บนถาด ทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวนมีผ้าขาว สุราหนึ่งจอก ยังมีกริชเล่มหนึ่งเหลียนซวงแสดงสีหน้าหวาดกลัว เบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อไทฮองไทเฮาต้องการที่จะ...ประหารฮองเฮา? ! !นางรีบหันไปมองพระนางของตนเองเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนถวายความเคารพ สวมอาภรณ์ธรรมดา ยากที่จะบดบังความสง่างามของนางได้นางก็มองเห็นสิ่งของพวกนั้นแล้ว ท่าทีสงบนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แม้ภูเขาไท่พังทลายลงต่อหน้าก็ตาม“ถวายบังคมไทฮองไทเฮา”สายตาไทฮองไทเฮามองผ่านนาง มีคนประคองเดินไปนั่งบนที่นั่งหลักอย่างเชื่องช้า“ตอนนี้ข้าดูแลจัดการวังหลัง ควรแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท”“ฮองเฮา เจ้ารู้ไหม ระยะนี้ที่วังหน้า เกิดปัญหาวุ่นวายเพราะเรื่องของเจ้า?”แววตาน้ำเสียงไทฮองไทเฮา ล้วนเต็มไปด้วยความตำหนิติเตียนราวกับเฟิ่งจิ่วเหยียนก็คือคนร้ายคนนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนขยับริมฝีปากพูดขึ้นมาว่า “หม่อมฉันอยู่ในตำหนักเ
“มันลวกข้า!” “อ๊าก! ร้อน!” บรรดาพลทหารต่างพากันโยนปืนหอกไฟที่พาดอยู่บนหัวไหล่ทิ้งไป ลูกปืนสูญเสียการควบคุม พุ่งมายังแท่นเฝ้าชมตรงฝั่งนี้แทน “คุ้มครองฮ่องเต้!” เฉินจี๋ราชองครักษ์หูตาว่องไว พลิกโต๊ะอาหารขึ้นเป็นเกราะกำบัง เซียวอวี้นั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน หัวคิ้วขมวดแน่น ดูเหมือนว่าปืนหอกไฟแบบใหม่อันนี้ ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกด้าน ขุนนางท่านอื่นล้วนพุ่งหาที่กำบังอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว พริบตาเดียว สถานการณ์พลันโกลาหล กระทั่งลูกปืนถูกยิงจนหมด สถานการณ์เลวร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว เหล่าขุนนางทั้งหลายค่อยยื่นศีรษะออกมาอีกครั้ง ชะเง้อคอมอง อยากสืบเสาะถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง เฉียวม่อยามนี้ก็สติหลุดลอยไปแล้วเช่นกัน เหตุใดถึงร้อนลวกขึ้นมา? พิมพ์เขียวนั่นก็มีแผ่นกันความร้อนเขียนไว้อยู่ไม่ใช่หรือ! หัวหน้าคนอื่นก็ตรวจสอบแล้ว ทุกคนล้วนคิดตรงกันว่าสมบูรณ์แบบ! เซียวอวี้หยัดกายขึ้น เงาร่างสูงใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ เขาจ้องมองสถานที่เกิดเหตุอย่างดูแคลน ก่อนจะทิ้งสายตามองบนตัวเฉียวม่อในตอนสุดท้าย แม้ว่าไม่มีเสียงตำหนิใดถูกเอื้อนเอ่ยออกมา กระนั้นแล้วยังทำให้คนพรั่นพรึงจนสั่นสะท้านได้