หลายวันต่อมา..
"ฉันจะทำยังไงกับเจ้าลูกคนนี้ดีเนี่ย โอ๊ย! ฉันจะบ้าตาย"
สาริกาที่นั่งอยู่ในห้องโถงโวยวายออกมาเสียงดังลั่นทำให้เมษาที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับสะดุ้งโหยงเพราะเธอเองก็กำลังคิดไม่ตกกับเรื่องชายหนุ่มเหมือนสาริกาเช่นกัน
นี่ก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยเพราะหลังจากวันที่บุกเข้าไปหาเธอในห้องชายหนุ่มก็ออกไปจากบ้านแล้วไม่โผล่หน้ากลับมาอีกเลย
"ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง ขืนปล่อยไว้แบบนี้ลูกชายฉันเสร็จยัยส้มอะไรนั่นแน่"
เสียงของสาริกาดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับสายตาดุดันที่ตวัดมองหน้าเมษาอย่างไม่ชอบใจ
"เธอไม่คิดจะออกความคิดเห็นอะไรหน่อยเหรอเมษา ฉันทุ่มเงินไปกับเธอมากมายช่วยทำงานให้มันคุ้มค่าหน่อยได้ไหม"
"จะให้ฉันทำยังไงคะในเมื่อลูกชายคุณไม่ยอมกลับบ้านเลย" เมษาตอบกลับสาริกาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าในใจนึกเคืองน้อย ๆ พอไม่พอใจหรือไม่ได้ดั่งใจอะไรสาริกาก็มักมาลงที่เธอเสมอไม่ว่าเรื่องนั้นเธอจะเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ตาม
"ให้มันได้อย่างนี้สิ"
สาริกาได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอากับความซื่อบื้อของเด็กสาว ก่อนเธอจะหยิบโทรศัพท์ที่วางข้างตัวขึ้นมาต่อสายหาส้มแฟนสาวของลูกชายเพื่อพูดคุยขอให้เด็กสาวเลิกกับบุตรชาย ส่วนเมษาได้แต่นั่งมองสาริกาด้วยความสงสัย
"หนูส้มใช่ไหม"
ก่อนความสงสัยของเธอจะกระจ่างในเวลาต่อมาเมื่อได้ยินสาริกาเอ่ยกับคนปลายสายถ้าจำไม่ผิดคนชื่อส้มคือแฟนของเจ้านายนั่นเอง แล้วท่านจะโทรไปหาหญิงสาวทำไมกันเธอได้แต่เก็บความสงสัยแล้วนั่งฟังสาริกาคุยไปเงียบ ๆ
ผ่านไปกว่าสิบห้านาทีที่สาริกาคุยกับปลายสายเธอไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นพูดอะไรบ้างแต่ดูจากอารมณ์เกรี้ยวกราด และใบหน้าบึ้งตึงของสาริกาคงไม่ใช่เรื่องดี หากให้เดาฝ่ายนั้นคงปฏิเสธคำขอที่สาริกาบอกให้เลิกยุ่งกับบุตรชายแน่ ๆ งานนี้คงไม่แคล้วเป็นเธอที่ต้องรองรับอารมณ์ของสาริกาอีก
"แม่นั่นไม่ยอมเลิกกับลูกชายฉัน หน้าด้านจริง ๆ เลย"
มันเหมือนที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด ทันทีที่วางสายจากฝั่งนั้นสาริกาก็ตวาดเสียงใส่เธอดังลั่น คำว่าหน้าด้านมันเข้าหน้าเธอเต็ม ๆ จนอดสะดุ้งไม่ได้ถึงแม้สาริกาจะไม่ได้ว่าเธอก็ตาม
"แล้วคุณจะเอายังไงต่อคะ" เธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยถามความคิดของสาริกาว่าจะเอายังไงต่อ
ส่วนเธอนั่นคิดอะไรไม่ออกจริง ๆ อย่างที่บอกว่าเรื่องผู้ชาย หรือเรื่องความรักเธอไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนแม้อายุจะยี่สิบกว่าแล้วก็ตาม
"ตอนนี้ฉันยังคิดไม่ออกหรอก"
สาริกาตอบเสียงห้วนพลางกลอกตามองเด็กสาวอย่างนึกรำคาญทำเอาเมษาหน้าเจื่อนตัวหลีบเหลือสองนิ้วไม่กล้าจะพูดอะไรอีกทำให้บรรยากาศภายในห้องโถงเงียบสนิท
หลายชั่วโมงต่อมา ระหว่างที่สาริกากับเมษากำลังนั่งคุยกันในห้องโถงหลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จคนที่หายหน้าหายตาไปเกือบอาทิตย์ก็ปรากฏตัวขึ้นสร้างความแปลกใจให้ทั้งสองคนเป็นอย่างมาก
"ลมอะไรหอบแกกลับมาบ้านได้" สาริกาอดไม่ได้จะพูดแดกดันบุตรชาย
"แม่โทรไปพูดแบบนั้นกับแฟนผมได้ยังไง แม่จะทำเกินไปแล้วนะ"
คนถูกแดกดันอย่างเจ้านายหาได้สนใจไม่เพราะมีเรื่องที่ทำให้เขาโกรธผู้เป็นแม่ยิ่งกว่า มันคือเรื่องที่แม่ของเขาโทรไปพูดจาไม่ดีใส่คนรักของเขานั่นเอง
เขาได้รู้เรื่องนี้จากคนรักพอรู้เขาก็รีบบึ่งรถมาหาท่านทันทีเพื่อพูดคุยให้รู้เรื่องเพราะที่ท่านทำมันเกินไปแล้วจริง ๆ
"แล้วยังไงแม่ทำได้มากกว่านี้อีกหากลูกยังไม่เลิกกับแม่นั่น" สาริกาไม่ได้มีท่าทีสำนึกสักนิดกับการกระทำของตัวเอง หนำซ้ำยังพูดขู่บุตรชายอีก
"ยิ่งแม่ทำแบบนี้ผมก็ยิ่งอยากแต่งงานกับส้ม ผมจะเลื่อนงานแต่งของผมกับส้มให้เร็วขึ้นอีก"
แน่นอนว่าเจ้านายไม่ยอมอ่อนข้อให้ผู้เป็นแม่ประกาศออกไปอย่างชัดเจนถึงเจตนารมณ์ ขณะที่สายตาจ้องมองตัวต้นเหตุอย่างเมษาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อหากสามารถฉีกเนื้อหญิงสาวออกเป็นชิ้น ๆ ได้เขาคงทำไปแล้วไม่ปล่อยให้เธอมานั่งหน้าเสร่ออยู่แบบนี้หรอก
สาริกาถึงกับนั่งไม่ติดกับประโยคที่หลุดจากปากบุตรชายลุกขึ้นตะเบ็งเสียงใส่ดั่งลั่น "แม่ไม่ยอม คนที่ลูกจะแต่งงานด้วยมีเพียงคนเดียวคือหนูลียา"
"ได้ฤกษ์แต่งวันไหนผมจะมาแจ้งให้แม่กับพ่อทราบอีกทีนะครับ"
เจ้านายไม่คิดฟังคำพูดผู้เป็นแม่บอกกล่าวกับท่านทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากบ้านอีกครั้งทั้งที่เพิ่งกลับมา
ความจริงเขาไม่อยากจะเหยียบกลับมาด้วยซ้ำถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่ผู้เป็นแม่โทรไปหาคนรักของเขา
ปึก!
เขาใช้กำปั้นทุบลงบนพวงมาลัยสุดแรงหลังจากขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้วเพื่อระบายอารมณ์ขุ่นเคืองที่คุกรุ่นอยู่ภายใน ยิ่งภาพใบหน้าของลียาผุดขึ้นในสมองเขาก็ยิ่งหงุดหงิด เป็นเพราะเธอคนเดียวเรื่องทุกอย่างจึงแย่แบบนี้โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของเขากับคนรักที่นับวันก็ยิ่งสั่นคลอน
คนรักของเขาเกือบจะถอดใจขอยุติความสัมพันธ์หลายครั้งหลายคราแต่เขาขอร้อง และขอโอกาสจากเธอไว้เลยทำให้ความสัมพันธ์ยังอยู่
ดังนั้นเขาจึงต้องเคลียร์เรื่องบ้า ๆ นี่ให้จบโดยเร็วที่สุดก่อนคนรักของเขาจะถอดใจไปจริง ๆ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เขาพยายามนั่งระงับอารมณ์ตัวเองกระทั่งรู้สึกเย็นลงจึงขับรถออกจากบ้านไปหาคนรักที่บ้านของเธอ
เขาพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่พร้อมกับปรับใบหน้าที่บึ้งตึงให้เป็นปกติครั้นรถเคลื่อนตัวมาจอดลงยังบ้านสาวคนรัก ก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้าน
ใบหน้าหล่อเหลาพลันประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นใบหน้าสาวคนรักกับเด็กน้อยภริตาบุตรสาวของเธอ
เขาได้รู้จักกับส้มสาวคนรักเพราะพี่ชายของเธอเป็นเพื่อนสนิทกับเขา ตอนนั้นเขาทำงานอยู่ที่อเมริกาเบสพี่ชายของส้มก็ได้ติดต่อให้เขาช่วยหาที่อยู่ให้ส้ม และฝากฝังให้ช่วยดูแลเพราะส้มกำลังท้องแก่ ซึ่งเขาก็ได้หาห้องให้ส้มได้พักอยู่คอนโดเดียวกับเขาและช่วยดูแลตามคำขอของเพื่อน
ช่วงแรกเขาไม่ได้คิดอะไรกับส้มไปมากกว่าน้องสาวเพื่อนนอกจากจะเอ็นดู และสงสารที่เธอหย่ากับสามีทั้งที่กำลังท้อง หนำซ้ำยังทะเลาะกับพ่อแม่จนต้องระหกระเหินมาอยู่ไกลถิ่น แต่พอได้ใกล้ชิด ได้เห็นนิสัยใจคอ ได้เห็นความเด็ดเดี่ยว และเข้มแข็งของเธอก็ทำให้เขานึกชึ่นชมจนไม่รู้เลยว่ามีความรู้สึกอื่นแทรกซึมเข้ามาตอนไหนรู้ตัวอีกทีก็ชอบเธอเข้าเสียแล้วโดยไม่สนใจเลยว่าในท้องของเธอมีลูกผู้ชายคนอื่นอยู่
เขาไม่ได้รังเกียจสักนิดที่เธอเคยผ่านการแต่งงานและมีลูกติด กลับกันเขารักบุตรสาวของส้มเหมือนลูกแท้ ๆ ด้วยซ้ำเพราะคอยดูแลมาตั้งแต่ในท้องจนกระทั่งลืมตาออกมาดูโลกและตอนนี้ก็อายุสามขวบกว่า ๆ แล้ว
"พ่อนาย" เสียงใส ๆ ของเด็กน้อยภริตาดังขึ้นทำให้เจ้านายหลุดจากภวังค์ความคิด เขาฉีกยิ้มหวานให้เด็กน้อยจนตาหยีพร้อมกับเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งข้างเด็กน้อย "ว่าไงครับคนสวยของพ่อนาย"
"คิดถึงค่ะ"
"เมื่อเช้าก็เพิ่งเจอกันคิดถึงอีกแล้วเหรอครับ" ใบหน้าหล่อยิ่งมีรอยยิ้มผุดพรายมากกว่าเดิมกับคำตอบจากเด็กน้อย อดไม่ได้จะใช้มือบีบแก้มอวบ ๆ เบา ๆ ให้หายมันเขี้ยว "น่ารักจริง ๆ ลูกสาวพ่อนาย"
"น่ารักก็รักน้องริตาเยอะ ๆ นะคะ" เด็กน้อยภริตาเอ่ยอย่างไร้เดียงสาพร้อมกับสวมกอดชายหนุ่มที่ตัวเองรักเสมือนพ่อแน่นทำให้คนถูกกอดอย่างเจ้านายอิ่มเอมหัวใจยิ่งนักกอดตอบร่างน้อย ๆ ไว้หลวม ๆ "ครับ"
เขานั่งกอดนั่งหยอกล้อกับเด็กน้อยสักครู่ใหญ่จึงเรียกให้พี่เลี้ยงพาเด็กน้อยภริตาไปวิ่งเล่นเพราะเขาต้องการคุยเรื่องแม่กับแฟนสาว
เมื่อเด็กน้อยคล้อยหลังไปเขาก็ขยับไปนั่งลงข้างแฟนสาวแล้วบอกกล่าวเรื่องทีี่ไปคุยกับแม่ที่บ้านให้แฟนสาวฟังทันที
"พี่ไปคุยกับแม่มาแล้วนะ พี่ต่อว่าท่านไปนิดหน่อยแล้วก็บอกกับท่านอย่างชัดเจนว่าจะเร่งงานแต่งของเราให้เราขึ้น"
"เร่งงานแต่ง?" ส้มถึงกับคิ้วขมวดหันมองหน้าแฟนหนุ่มเชิงขอคำขยายความ
"เราเลื่อนงานแต่งให้เร็วขึ้นนะครับ เป็นเดือนหน้าเลยก็ยิ่งดีพี่ไม่อยากรอแล้ว" เห็นสีหน้างุนงงของแฟนสาวเจ้านายก็รีบทำหน้าออดอ้อนทันทีพลางสอดมือเข้าไปสวมกอดเอวบางหลวม ๆ ด้วยกลัวว่าแฟนสาวจะโกรธและไม่ยอมทำตามคำร้องขอ
"แต่แม่ของพี่ยังไม่ยอมรับส้มนะคะ หากแต่งงานไปแล้วมีปัญหาทีหลังจะทำยังไงคะส้มไม่อยากผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง" ส้มบอกกล่าวแฟนหนุ่มไปตามความรู้สึกแม้จะใจอ่อนยวบยาบกับเสียงอ้อนของเขาก็ตาม
เธอเคยพลาดกับเรื่องความรักมาแล้วครั้งหนึ่งจนได้ชื่อว่าแม่หม้ายลูกติดจึงไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดเป็นครั้งที่สองอีกเพราะหัวใจของเธอคงตั้งรับกับความบอบช้ำบ่อย ๆ ไม่ไหว
คนเคยมีบาดแผลอย่างเธอย่อมกลัวเป็นธรรมดาได้แต่หวังว่าแฟนหนุ่มจะเข้าใจ
"เรื่องนี้น้องส้มไม่ต้องกลัว และไม่ต้องกังวลเลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่ไม่มีวันปล่อยมือน้องเด็ดขาด พี่จะทำให้แม่ยอมรับน้องส้มกับลูกให้ได้ พี่เชื่อว่าแม่พี่จะต้องรักน้องส้มกับลูกในสักวัน พี่สัญญาว่าจะไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และหลังจากแต่งงานกันหากน้องไม่สบายใจที่จะอยู่รวมกับพ่อแม่พี่ พี่ก็มองหาบ้านไว้แล้วเราจะแยกไปอยู่อีกแห่งหนึ่ง"
"ส้มขอบคุณพี่นายมากนะคะที่พยายามทำอะไรเพื่อส้มมากมาย แต่ส้มขอคิดดูหน่อยนะคะ"
ส้มซาบซึ้งในความตั้งใจของแฟนหนุ่มยิ่งนักตั้งแต่คบกันเขาดูแลเธอกับลูกดีมาตลอดไม่เคยมีสักครั้งที่ทำให้เสียใจมีแต่จะทำให้เธอมีความสุขและเสียงหัวเราะ
เขายังเป็นคนเยียวยาบาดแผลในใจของเธอดีขึ้นอีกด้วย หากไม่ติดเรี่องแม่ของเขาเธอคงตอบตกลงโดยไม่คิดมากเลยหรือลังเลเลย
"ครับ" เจ้านายเข้าใจถึงความรู้สึกแฟนสาวดีจึงไม่เร่งเร้าจะเอาคำตอบอีกด้วยกลัวจะทำให้แฟนสาวลำบากใจ
"ขอบคุณนะคะ พี่นายน่ารักกับส้มตลอดเลย"
"เพราะพี่รักส้มไง อะไรที่เป็นความสุขและความสบายใจของส้มพี่ได้เสมอ"
เขาตอบไปตามความจริงพร้อมกับสวมกอดผู้หญิงอันเป็นที่รักแนบแน่นขึ้นส่งผ่านความรู้สึกที่มีให้เธอได้รับรู้
หลังจากวันนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นดีเพราะสาริกาไม่ได้โทรมาระราน หรือทำอะไรตามที่พูดขู่เอาไว้กับส้มทำให้เจ้านายสบายใจได้บ้าง และได้แต่หวังว่าท่านจะยอมหยุดขัดขวางเรื่องการแต่งงานของเขากับแฟนสาวสักทีวันนี้เขาจึงคิดไว้ว่าจะเอาคำตอบจากแฟนสาวเพราะให้เวลาเธอได้คิดมาหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ แล้วครืดดด~ระหว่างที่กำลังขับรถไปหาแฟนสาวที่บ้านเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาชะลอความเร็วของรถลงเล็กน้อยก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งล้วงไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาดู คิ้วเข้มขมวดชนกันเล็กน้อยครั้นเห็นว่าสายที่โทรเข้ามาคือผู้เป็นแม่อดสงสัยไม่ได้ว่าท่านมีอะไรถึงได้โทรมาแต่เช้า ๆ จึงกดรับสาย"ว่าไงครับแม่"(ลูกทำอะไรอยู่เหรอ)"กำลังขับรถครับ แม่มีอะไรรึเปล่าโทรหาผมแต่เช้า"(ลูกไม่กลับบ้านหลายวันแล้ว เย็นนี้กลับมาทานข้าวที่บ้านนะแม่คิดถึง) คำตอบจากผู้เป็นแม่ทำให้เจ้านายแปลกใจเล็กน้อย แต่พอได้ฟังน้ำเสียงแสนเศร้าของท่านก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิดน้อย ๆ ปกติท่านไม่เคยใช้น้ำเสียงเศร้าระคนน้อยใจแบบนี้เอาจริง ๆ เขาก็ผิดที่โกรธจนลืมไปว่ายังไงท่านก็เป็นแม่"ได้ครับ" คิด
หลังจากการทานมื้อเย็นจบลงสาริกาก็ได้ให้แม่บ้านทำการย่างบาร์บีคิวต่อรวมถึงเสิร์ฟอาหารทานเล่น และเครื่องดื่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไวน์ บรั่นดี วิสกี้ และเหล้าจากแบรนด์ดังทำเอาทุกคนบนโต๊ะอาหารแปลกใจไปตาม ๆ กันกับการจัดเต็มของสาริกาแน่นอนสาริการู้ว่าทุกคนกำลังแปลกใจ แต่เธอก็ทำเป็นไม่สนใจหันเอ่ยกับคนเป็นสามีที่นั่งข้าง ๆ อย่างใจดี "วันนี้ฉันอนุญาตให้คุณดื่มได้เต็มที่หนึ่งวันค่ะ""วันนี้คุณใจดีจัง" ประวีเลิกคิ้วมองหน้าภรรยาด้วยความแปลกใจระคนฉงนเข้าไปอีก ปกติคนเป็นภรรยาจะกำชับหนักหนาว่าไม่ให้เขาแตะต้องแอลกอฮอล์ แต่มาวันนี้กลับใจดีเสียอย่างนั้น"ก็ฉันบอกแล้วไงคะว่าวันนี้เราสังสรรค์กัน ใครอยากทำอะไร หรืออยากทานอะไรตามสบายเลยค่ะ" สาริกาหาเหตุผลมาอ้างได้อย่างแนบเนียน ประวีเชื่ออย่างสนิทใจไม่ได้ถามไถ่อะไรต่อ ส่วนเจ้านายนั้นนั่งดื่มไวน์ไปเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แค่ผู้เป็นแม่ไม่พูดถึงเรื่องการแต่งงานมันก็ดีมากแล้ว ทว่าหากให้ดีกว่านี้ต้องให้ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาหายไปเสียด้วย บรรยากาศในการสังสรรค์กับครอบครัวถึงจะดีมาก ๆเขากระดกไวน์ที่เหลือลงคออึกใหญ่ ก่อนจะเอียงหน้าไปเอ่ยกับร่างบางที่นั่ง
วันต่อมา..ก็อก! ก็อก!เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลายครั้งติด ๆ กันปลุกให้สองหนุ่มสาวที่นอนหลับไหลอยู่บนเตียงเดียวกันค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา "เฮ้ย!""คุณ!"ทั้งเจ้านายและเมษาต่างผงะร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจวินาทีแรกที่ลืมตาขึ้นมาเห็นหน้ากัน จากที่มีอาการงัวเงีย และมึนจากฤทธิ์ยานอนหลับบวกฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เมษาลอบกลืนน้ำลายหนี่ยว ๆ ลงคออึกใหญ่ ค่อย ๆ ก้มมองตัวเองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ดวงตากลมโตพลันเบิกกว้าง หัวใจดวงน้อยของเธอกระตุกวูบอย่างช่วยไม่ได้เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าห่มคลุมไว้ถึงหน้าอก เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่ต่างกันมีผ้าห่มผืนเดียวกับเธอคลุมท่อนล่างเอาไว้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ความสงสัย และคำถามมากมายเริ่มผุดขึ้นในสมองของเธอ พยายามจะคิดทบทวนถึงเรื่องเมื่อคืนก็จำได้ลาง ๆ ว่าตัวเองดื่มไวน์จนรู้สึกมึน ๆ จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลยเหมือนภาพมันตัดไปทว่าในตอนนี้เธอรู้สึกหวั่นใจ และอับอายมากกว่าเพราะมีอีกคนนอนอยู่ข้างกาย เธอรู้สึกอายจนไม่แม้แต่จะกล้าขยับตัว หรือเงยหน้ามองว่าอีกคนกำลังทำหน้าแบบไหน ได้แต่ใช้มือกำผ้าห่มบริ
เมษายืนทำใจ และรวบรวมความกล้าให้ตัวเองอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะก้าวลงบันไดต่อมาถึงห้องโถงเธอก็เห็นหญิงชายวัยไล่เลี่ยกับแม่ของเธอนั่งอยู่ในห้องโถงด้วยตามที่สาริกาบอก เธอพยายามสะกดจิตตัวเองว่านั้นคือพ่อแม่ของลียาต้องทำตัวสนิทสนมเข้าไว้ แล้วเดินตรงเข้าไปหาพวกท่านพลางแสดงท่าทางตกใจออกมา "พ่อแม่มาได้ยังไงคะ""พ่อกับแม่ตั้งใจจะมาทักทายคุณป้าสาริกาน่ะ" วสินพ่อสวมรอยของเมษาในคราบลียาตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล"ใช่จ้ะ" นิดาแม่สวมรอยเอ่ยเสริมอีกคนพลางมองหน้าเมษาด้วยแววตารักใคร่เอ็นดูราวกับว่าเด็กสาวเป็นลูกจริง ๆ ท่าทางราวกับเป็นพ่อแม่จริง ๆ ที่ทั้งคู่แสดงออกมาช่างสมบทบาททำเอาเมษาแอบทึ่งในใจ แสดงว่าคงเตรียมตัวมาอย่างดี ซึ่งเธอก็ต้องเล่นไปตามน้ำอย่างที่สาริกาบอกเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ คุณแม่สวมรอยแล้วสวมกอดหลวม ๆ ทำเหมือนว่าคิดถึงท่านมาก "คิดถึงจังเลยค่ะ"บอกกล่าวกับแม่สวมรอยจบก็หันไปบอกกล่าวพ่อสวมรอยต่อพร้อมฉีกยิ้มให้จนตายี "คิดถึงพ่อเหมือนกันนะคะ""ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย มาพูดเรื่องลูกกับพี่เจ้านายดีกว่า พ่อกับแม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจากคุณป้าสาริกาหมดแล้ว" วสินแสร้งตีหน้าเคร่งขรึมแทน สา
"เป็นยังไงบ้าง"ทันทีที่เมษาย่างกรายเข้ามาถึงห้องโถงของบ้านวณิชกาญจนโชติเสียงของสาริกาที่นั่งอยู่ก็ถามไถ่ขึ้น เธอได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนเปล่งเสียงตอบพร้อมเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งบนโซฟาตัวตรงข้าม "คุณส้มไม่ได้พูดอะไรค่ะ แต่ฉันคิดว่าวิธีนี้น่าจะได้ผล""ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น ฉันเหนื่อยและเอือมระอากับเรื่องนี้เต็มทนแล้ว" สาริกาเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจออกมา"ทันทีที่คุณส้มยอมเลิกกับคุณเจ้านาย ฉันจะได้รับอิสระสามารถกลับไปอยู่กับแม่ และน้องสาวได้เลยใช่ไหมคะ" "ยัง..จนกว่าฉันจะแน่ใจว่าสองคนนั้นเลิกกันจริง ๆ เธอต้องอยู่เป็นไม้กันหมาสักระยะ""สักระยะนี่มันนานแค่ไหนคะ?" เมษาขมวดคิ้วมุ่น"เธอจะถามอะไรเยอะแยะ ถึงเวลาก็รู้เองแหละ" สาริกาตวัดสายตามองหน้าเมษาที่เอาแต่ยิงคำถามไม่เลิกด้วยความรำคาญ ทำเอาคนถูกจ้องต้องรีบหลบสายตาพร้อมกับเอ่ยขอโทษไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว "ขอโทษค่ะ"ภายในห้องโถงถูกความเงียบเข้าปกคลุมนานนับนาที ก่อนสาริกาจะเอ่ยปากไล่เด็กสาวที่นั่งขวางหูขวางตา "จะไปไหนก็ไปไป" สิ้นเสียงไล่เมษาก็ลุกเดินคอตกขึ้นไปยังห้องนอนตัวเองทันที เธอทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรงอุตส่าห์หวังไ
ตุ้บ!!ร่างของเมษาถูกเจ้านายเหวี่ยงขึ้นเตียงอย่างแรง แรงกระแทกกับที่นอนส่งผลให้เธอจุกจนร้องไม่ออก หน้าคะมำจูบที่นอนนุ่มเต็ม ๆ ทว่าแม้จะรู้สึกจุก และเจ็บเพียงใดเธอก็พยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยเร็วที่สุดด้วยความกลัวที่มีมากกว่า "อ๊ะ.."ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรก็ถูกร่างสูงผลักให้นอนราบกับที่นอนอีกครั้งโดยมีเขาตามมาคร่อมเอาไว้ มือเล็กทั้งสองยกขึ้นผลักไสคนด้านบนพัลวันพลางพยายามดีดดิ้นสุดแรง ปากร้องถามไปด้วยความตื่นตระหนก "คะ..คุณจะทำอะไร อะ..ออกไปนะ""อย่ามาทำไขสือลียา เธออยากได้ฉันมากไม่ใช่เหรอฉันก็กำลังสนองให้อยู่นี่ไง" เจ้านายกดเสียงเอ่ยอย่างเย็นเยือก แววตาแข็งกร้าวจดจ้องใบหน้าเรียวเขม็ง มือทั้งสองจับมือเล็กที่เอาแต่ผลักไสไปกดตรึงกับที่นอนข้างศีรษะเล็ก"ไม่ ฉันไม่ได้ต้องการแบบนี้" ใบหน้าเรียวส่ายปฏิเสธระรัวจนเส้นผมสีน้ำตาลสลวยยุ่งเหยิง ร่างบอบบางยังคงออกแรงดีดดิ้นไม่หยุดหย่อน สองเท้าเล็กถีบยันที่นอนไปมาจนยับยู่ยี่หวังดันตัวให้หลุดพ้นจากพันธนาการคนด้านบน"กรี๊ดด!" ริมฝีปากอิ่มพลันหลุดเสียงกรีดในเสี้ยววินาทีต่อมาเมื่อใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงซุกไซ้ลำคอ ใบหน้าเรียวที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัวพยายา
@ผับหลังจากออกจากบ้านเจ้านายก็มานั่งดื่มที่ผับของเพื่อนชายคนสนิทเพื่อดับความร้อนรุ่มที่เกิดจากความโกรธน้ำสีอำพันในแก้วคริสตัลถูกชายหนุ่มยกดื่มครั้งแล้วครั้งแล้ว พอหมดก็เติมใหม่โดยมีแมธธิวเพื่อนที่เป็นเจ้าของผับคอยรินให้"แม่งเอ้ย! ทำไมทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ" จู่ ๆ เสียงทุ้มก็สบถออกมาด้วยอารมณ์ที่ยังคุกรุ่น แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปเป็นจำนวนมากไม่สามารถดับไฟในกายเขาได้เลย กลับกันยิ่งเริ่มเมากึ๋ม ๆ ก็ยิ่งมีอารมณ์รุนแรงขึ้น ในสมองมีแต่ใบหน้าของลียาผู้หญิงแพศยาลอยวนซ้ำ ๆมือหนากำแก้วแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือลากยาวไปถึงแขนปูดนูน กรามทั้งสองขบเข้าหากันแน่นจนเกิดเสียงดังกรอด เขาอยากจะขย้ำเธอให้แหลกเป็นผุยผงให้สมกับที่เธอทำลายความรักของเขากับแฟนสาวพังไม่ใช่แค่คิดแต่เขาลุกพรวดขึ้นยืนโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้แมธธิวรู้สึกตกใจไม่น้อย เอ่ยถามไปด้วยความสงสัย "เป็นอะไรของมึง อยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นยืน""กูต้องกลับไปจัดการคน" เจ้านายตอบเพื่อนชายเพียงแค่นั้นไม่ได้ขยายความต่อ ว่าจะก็เดินตัวปลิวออกจากผับไปขึ้นรถหรูราคาหลายสิบล้านขับตรงกลับบ้านด้วยความเร็วใช้เวลาขับรถราว ๆ สี่สิบห้านาทีก็มาถึงบ้าน ซึ่งตอน
เมษารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าของวันใหม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่สดชื่นเท่าไรนักเพราะเมื่อคืนกว่าจะหลับได้ก็เกือบตีสี่แล้ว"เฮ้อ.." เธอถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหนักอก ก่อนจะสบัดผ้าห่มออกจากตัวลุกลงจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อช่วยแม่บ้านทำอาหารเช้าเหมือนเช่นทุกวันทว่าเมื่อเดินลงไปถึงห้องโถงใหญ่เธอก็ต้องชะงัก หน้าถอดสีฉับพลันเพราะคนที่เพิ่งถูกเธอตีหัวไปเมื่อคืนนั่งอยู่ในห้องโถง รอบศีรษะของเขามีผ้าก็อตพันอยู่ชายหนุ่มคงโกรธเธอมากดูจากสายตาที่จ้องเธอแทบจะเขมือบหัว บางทีหากตอนนี้ไม่มีสาริกานั่งอยู่ที่โซฟาด้วยเขาคงพุ่งเข้ามาฆ่าเธอแล้วก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าสาริการู้ว่าแผลบนหัวบุตรชายสุดที่รักได้มาจากเธอสาริกาคงเล่นงานเธอแน่ ๆ เหมือนเธออยู่ท่ามกลางฝูงเสือฝูงจระเข้ที่พร้อมจะขย้ำเธอทุกเมื่อแท้ ๆเธอแทบจะก้าวขาเดินต่อไม่ได้เพราะรู้สึกกดดันกับสายตาทั้งสองคู่ที่มองมา มือทั้งสองกำกระโปรงชุดเดรสแน่นพยายามข่มความรู้สึกมากมายที่กำลังประเดประดังเข้ามา"หนูลียามานั่งนี่สิจ๊ะ" กระทั่งสาริกาเอ่ยเรียกเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจึงทำให้เบาใจขึ้นมาหน่อย นั่นอาจหมายความว่าท่านยังไม่ร
“อ๊ะ!” เมษาหลับตาพริ้มเมื่อแก่นกายหนาค่อย ๆ สอดใส่ผ่านปากทางรัก ฝากฝังความเป็นชายของเขาเข้ามาถึงครึ่งลำอย่างรวดเร็วจากหยาดน้ำหวานเปียกชื้นที่ทำหน้าที่แทนสารหล่อลื่นลำกายหนาชำแรกผ่านม่านความเจ็บปวดที่ตอดรัดเขาอย่างบ้าคลั่ง เพียงไม่กี่วินาทีขนาดอันใหญ่โตก็ถูกโอบอุ้มด้วยความอบอุ่นจากร่างกายของหญิงสาวที่ตอนนี้ตัวสั่นเกร็งอย่างห้ามไม่อยู่“ฮึก..” เมษากัดริมฝีปาก ใบหน้าหวานเชิดขึ้นสูงเมื่อคนตัวโตทิ้งน้ำหนักลงจนร่างกายเบียดแนบกันไร้ช่องว่าง“เจ็บไหมคะ?” เจ้านายกระซิบถามเสียงต่ำขณะโน้มตัวลงจูบซับไปตามใบหน้าเรียว“เจ็บนิดหน่อยค่ะ..แต่ทนไหว” หญิงสาวตอบเสียงอ้อนอาจเป็นเพราะห่างหายมานาน และขนาดที่ใหญ่โตของชายหนุ่มเลยทำให้รู้สึกเจ็บน้อย ๆ ทว่าแม้จะเจ็บแต่เธอก็ไม่อยากให้เขาแยกจากเลยแม้แต่วินาทีเดียว สองมือเรียวจิกผ้าปูที่นอนระบายความเจ็บที่เคล้าระคนไปกับความเสียวซ่านจนแทบจะแยกไม่ออก เสียงลมหายใจหนัก ๆ ที่ข้างใบหูทำให้เลือดในกายของเธอสูบฉีด ในที่สุดเธอก็ปรับตัวได้ “พี่จะขยับแล้วนะ” เจ้านายกระซิบ สอดผสานฝ่ามือของเขาและเธอเข้าด้วยกัน กดลงที่เหนือศีรษะเล็กแล้วเริ่มขยับ ในจังหวะแรกเนิบนาบและมั่นคง
@โรงแรมภายในห้องทรงสี่เหลี่ยมที่ถูกเปิดไฟดาวน์ไลท์หน้าห้องน้ำเอาไว้ ให้ความสว่างเพียงสลัว ๆ เท่านั้น กลิ่นอโรม่าลอยจาง ๆ ในอากาศทำให้บรรยากาศโรแมนติกไม่น้อย เดินมาถึงห้องนอนเมษาก็อดหัวใจเต้นแรงไม่ได้เมื่อเห็นบนเตียงนอนสีขาวที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงเป็นรูปหัวใจตรงกลางถูกโรยเป็นตัวอักษรคำว่า 'พี่นายรักน้องเมย์'ตรงปลายเตียงมีผ้าขนหนูที่ถูกทำเป็นรูปหงส์สองตัวหันหน้าเข้าหากันมันเหมือนเตียงสำหรับคู่บ่าวสาวชัด ๆ สมองพานก่อเกิดภาพแสนลามกขึ้นมา"ชอบไหมครับ" เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกคนตัวโตสอดแขนเข้ามาโอบกอดเอวคอดจากด้านหลังพร้อมกับน้ำเสียงสุดเซ็กซี่ที่ดังชิดกกหูตามมาด้วยลมหายใจร้อนผะผ่าวทำขนกายเธอลุกซู่ ในท้องรู้สึกปั่นป่วนแปลก ๆ"ชอบค่ะ เหมือนเตียงในเรือนหอบ่าวสาวเลย" ใบหน้าเรียวที่เคลือบด้วยรอยยิ้มแสนหวานเอียงขึ้นมองสบสายตาร่างสูงด้านหลัง"งั้นเรามาเข้าหอกันไหมครับ" ได้ทีเจ้านายก็ชวนทำเรื่องอย่างว่าทั้งที่สัญญาดิบดีว่าแค่นอนกอดเฉย ๆ เอาจริง ๆ ที่พูดแบบนั้นเขาก็แค่หลอล่อคนตัวเล็กเขาของขาดมาตั้งไม่รู้กี่เดือนจะให้ทนไหวได้อย่างไรกัน แน่นอนว่าเมษาเองรู้ทันคนตัวโตอย่างที่รู้ ๆ กันดีทั้งเธอแล
หลังจากคืนดีกันสิ่งแรกที่เจ้านายทำคือพาหญิงสาวไปเดท เขาเลือกร้านอาหารที่เป็นร้านโปรดของเธอ เขาอยากให้เธอประทับใจที่สุดกับการกลับมาเริ่มต้นใหม่เพราะที่ผ่านมาการเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาไม่ดีเท่าไรนัก ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าไม่ดีมาก ๆ..แต่นี่สินะที่คนโบร่ำโบราณกล่าวไว้ว่าเกลียดสิ่งไหนมักได้สิ่งนั้นวันนี้เขากล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่ารักผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามสุดหัวใจ รักแบบไม่คิดว่าจะรักได้มากขนาดนี้"อย่ามองแบบนี้สิคะ เมย์เขินนะ" เมษาที่ถูกชายหนุ่มจ้องมองแทบจะกลืนกินถึงกับหน้าแดงระเรื่อออกอาการเขินจนเก็บไม่อยู่ บ่อยครั้งที่ถูกเขามองด้วยสายตาแบบนี้แต่อย่างที่บอกว่าเธอก็ไม่เคยต้านทานมันได้สักทียิ่งหลังจากกลับมาคืนดีกันเขาก็ใช้สายตาแบบนี้แทบทุกวันแทบทุกเวลาที่อยู่ด้วยกัน แค่นั้นไม่พอเขายังติดสกินชิพเธอชนิดที่ว่าเหมือนกาวตราช้างก็ไม่ปราน วันแรกที่ตกลงคืนดีกันเขาก็ไปแสดงตัวว่าเป็นแฟนเธอที่มหาวิทยาลัยโดยเฉพาะกับเพื่อนร่วมห้องที่แอบชอบเธอกะว่าจะไม่ให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้เธอเลยสิ แต่บอกตามตรงว่าแทนที่จะไม่พอใจเธอกับรู้สึกดีด้วยซ้ำที่เขาแสดงความหึงหวงออกมา และกล้าจะเป
วันต่อมา.."อรุณสวัสดิ์ครับน้องเมย์"เสียงทักทายดังขึ้นเหนือศีรษะทำเมษาที่กำลังลืมตาตื่นถึงกับตาเบิกโพลงอาการง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง เธอดีดตัวลุกขี้นนั่งอัตโนมัติเมื่อเงยขึ้นเห็นคนตัวโตนั่งพิงหัวเตียง และกำลังจับจ้องมาที่เธอ สองคิ้วสวยขมวดมุ่นจำได้ว่าเมื่อคืนเธอนั่งทำรายงานจนดึกจึงเข้านอน โดยตอนที่เธอเข้านอนชายหนุ่มยังฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะ แต่ไหง่เช้านี้ตื่นมาเขาถึงอยู่บนเตียงได้ แล้วเขาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร"คุณขึ้นมาบนเตียงตั้งแต่เมื่อไร" ไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยเปล่งเสียงถามตรง ๆ "ราวตีสองได้แล้วครับ นอนตรงนั้นแล้วปวดเมื่อยไปทั้งตัวพี่เลยมานอนบนเตียง" เจ้านายเอ่ยเสียงอ่อนพลางส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้หญิงสาวด้วยกลัวว่าเธอจะโกรธ ที่เขาพูดไปไม่ใช่คำแก้ตัว แต่รู้สึกปวดหลังปวดขาจริง ๆ จึงมานอนที่เตียงกับเธออย่างถือวิสาสะใบหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากลัวเธอโกรธ ทว่าเมษากลับแอบอมยิ้ม ในสายตาเขาเธอดุมากเลยหรือถึงให้ออกอาการขนาดนี้ เจ้านายคนใจร้ายหายไปไหนเสียแล้ว เธออยากจะหัวเราะออกมา แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้"ฉันเข้าใจ คนแก่ก็แบบนี้แหละปวดหลังปวดนู่นปวดนี่ป็นธรรมดาจะไม่ถือโทษแล้วกัน" เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ซี๊ดด.."เจ้านายซูดปากออกมาเบา ๆ ในตอนที่กำลังหยัดกายลุกขึ้นยืน มือกอบกุมหน้าท้องแกร่งเอาไว้ ใบหน้าเหยเกคล้ายคนกำลังเจ็บปวด เมษาเห็นก็อดสงสัยไม่ได้ "คุณเป็นอะไร""พี่รู้สึกปวดท้องนิดหน่อยครับ"พอฟังคำตอบเธอก็เดาได้ทันทีว่าที่ชายหนุ่มปวดท้องน่าจะเพราะทานอาหารที่เธอทำมากเกินไป สิ่งที่แอบกังวลก็เป็นจริงถึงเธอจะตั้งใจแกล้ง แต่ก็ไม่ได้อยากให้เขาถึงขั้นเจ็บตัว"ไปหาหมอไหม" ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทว่าคนตัวโตกลับส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับเดินกอบกุมท้องออกไปยังห้องโถงเดินมาหย่อนก้นนั่งที่โซฟาโดยมีเมษาเดินตามมาติด ๆ ด้วยรู้สึกเป็นห่วงต่อให้เขาบอกว่าปวดท้องนิดหน่อยก็ตาม"แน่ใจจริง ๆ นะว่าจะไม่ไปหาหมอ" เดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งข้าง ๆ แล้วถามย้ำอีกครั้ง "ฉันว่าไปหาหมอดีกว่า"ใบหน้าเรียวและดวงตากลมแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างปิดไม่มิดเจ้านายเห็นก็แอบหัวใจพองโตถือว่าที่เขาทนทานอาหารรสชาติแย่จนเกลี้ยงไม่เสียเปล่าอย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่าหญิงสาวยังมีความรู้สึกต่อเขาไม่มากก็น้อยไม่อย่างนั้นคงไม่มีท่าทีเป็นห่วงแบบนี้"แน่ใจครับ ไม่ได้เจ็บมากเดี๋ยวก็คงหายไปเอง" เขาระบายยิ้มออกมาบาง ๆ สายตาจ้องมองใ
เจ้านายเดินไปหย่อนก้นนั่งที่โซฟาในห้องโถง ขณะที่เมษาเดินขึ้นไปยังห้องนอนเพื่อเอาของไว้ แล้วลงมายังชั้นล่างอีกครั้ง"ฉันจะไปทำกับข้าว คุณนั่งรอก่อน" บอกกล่าวกับร่างสูงที่นั่งบนโซฟาแล้วเดินเข้าไปในครัว แต่เมื่อมาถึงเธอกลับบอกให้แม่บ้านทำเมนูต่างให้ สวนปรุงรสเธอจะเป็นคนปรุงเองสั่งเสร็จก็นั่งบนเก้าอี้แถวนั้นรอแม่บ้านทำอาหาร แม่บ้านห้าคนเร่งทำเมนูอาหารที่หญิงสาวสั่งพัลวัน ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีก็เสร็จเหลือเพียงให้คนเป็นเจ้านายมาปรุงรส"มาปรุงรสได้เลยค่ะคุณหนู" แม่บ้านคนหนึ่งบอกกล่าว เมษาจึงลุกเดินไปยื่นหน้าเตาที่วางเรียงกันสี่อัน ก่อนจะยื่นมือไปหยิบขวดน้ำส้มสายชูมาบีบใส่ผัดผักรวมในกระทะ ตามด้วยหม้อแกงอีกสามหม้อ จากนั้นก็หยิบขวดเกลือมาเปิดฝาเหยาะใส่ต่อสร้างความงุนงงให้เหล่าแม่บ้านที่ยืนมองอยู่ด้านหลังไม่น้อย ต่างพากันมองหน้าไปมาเพราะจะทักท้วงก็ไม่กล้าเมษยกยิ้มร้ายมุมปากพลางไล่สายตามองกับข้าวบนเตา เธอใช้แค่น้ำส้มสายชูกับเกลือปรุงรสด้วยนึกหมั่นไส้คนตัวโตจึงอยากแกล้งเขา ดูสิยังจะบอกว่าได้ทานข้าวกับคนที่รักอร่อยอยู่ไหม"เสร็จแล้วจัดโต๊ะได้เลยนะคะ แล้วก็ทอดไข่เจียวให้เมย์สักสองฟองด้วยนะคะ" เธอ
แป๊บเดียวเวลาก็ผ่านมาสามเดือนเต็มแล้วที่เจ้านายตามง้อเมษา และเหมือนความพยายามของเขาจะออกผลบ้างแล้วเพราะเธอดูอ่อนลง ยอมรับอะไร ๆ ที่เขาคอยทำให้บ้างแม้จะไม่ทุกอย่างก็ตามเจ้านายมารอรับหญิงสาวเหมือนเช่นทุกวัน ที่แตกต่างไปคงเป็นกุหลาบสีแดงช่อโตที่วางบนเบาะข้างคนขับ เขาขับรถผ่านร้านดอกไม้แล้วนึกถึงเธอจึงตั้งใจซื้อมาให้ ได้แต่หวังว่าเธอจะชอบ และไม่โยนทิ้งถังขยะเขานั่งรอในรถจนเห็นเธอเดินมาจึงเปิดประตูลงจากรถ เดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับรอ"เชิญครับคุณผู้หญิง" เธอเดินมาถึงก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานพลางโน้มตัวผายมือเชื้อเชิญขึ้นรถ"ขอบคุณ" เมษาเอ่ยตามมารยาท ในวินาทีที่กำลังจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถแล้วเห็นช่อดอกไม้วางอยู่บนเบาะเธอก็ต้องชะงักสองคิ้วขมวดมุ่น ก่อนจะหันไปมองร่างสูงที่ยืนยิ้มแฉ่งเชิงตั้งคำถาม"ชอบไหมครับ พี่เห็นมันสวยดีเลยนึกถึงน้องเมย์" เจ้านายบอกกล่าวพลางมองช่อดอกไม้สลับกับใบหน้าแสนสวย "พี่ตั้งใจซื้อมาให้เลยนะครับ"เมษาไม่ได้พูดอะไรอีก ยื่นมือไปหยิบช่อดอกไม้มาถือไว้แล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ ก่อนจะวางช่อดอกไม้บนตักเจ้านายเห็นแบบนั้นก็ใจชื่นหน่อยเพราะแอบลุ้นอย่างหนักว่าเธอจะรับไหม หรือร
เมษารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาหลังจากนอนหลับเต็มอิ่มแล้ว สองคิ้วสวยพลันขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อปรือตาขึ้นพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดคนตัวโตหนำซ้ำเธอยังกอดเขาอยู่เช่นกัน ใบหน้าชิดใกล้กับแผงอกแกร่งที่หลบซ่อนภายใต้เสื้อยืดสีดำจนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจอีกฝ่าย และได้กลิ่นน้ำหอมประจำตัวของเขา เธอเผลอสูดดมเข้าปอดพรืดใหญ่ ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองใบหน้าคมคายที่อยู่ห่างเพียงนิด มือยกขึ้นสัมผัสบนแก้มเกลี้ยงเกลาเบา ๆ นานแล้วสินะที่เธอไม่ได้มอง และได้อยู่ใกล้ ๆ เขาแบบนี้อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้จริง ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอโคตรคิดถึงและโหยหาเขาเลย แต่ก็ทำได้แค่อดทนอดกลั้นความรู้สึกเอาไว้แม้เขาทำเธอเจ็บ แต่เธอก็ยังรู้สึกดีเวลาที่ได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดนี้เพราะเขาเป็นคนที่เข้ามาเติมเต็มความรักความอบอุ่นที่ขาดหายจากผู้เป็นพ่อให้กับเธอภายนอกเธอแสดงออกไปเหมือนยังโกรธเขาอยู่ ทว่าจริง ๆ หัวใจของเธอมันอ่อนไหวไปแล้วเพียงแค่พยายามฝืนตัวเองไว้เท่านั้นเธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ สายตายังคงจับจ้องใบหน้าคมคายไม่วาง เนิ่นนานหลายนาทีก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับซุกหน้าเข้าหาอกแกร่งใช้โอกาสที่คนตัวโตหลับซึมซับความอบอุ่นที่โหย
@ร้านอาหารครึ่งชั่วโมงต่อมาเมษาก็ต้องมานั่งหน้าบูดบึ้งอยู่ที่ร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งแทนที่จะได้กลับบ้านก็เพราะคนหน้ามึนอย่างชายหนุ่มพามาน่ะสิทั้งที่เธอบอกแล้วว่าไม่หิวไม่อยากกิน แต่เขาก็ไม่ฟังพามาจนได้เธอนั่งกอดอกมองอาหารมากกว่าห้าอย่างด้วยแววตาขุ่นเคือง ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นเมนูโปรดเธอทั้งนั้นถามว่าใครสั่งก็คนที่พามานั่นแหละ คิดว่าแค่จำเมนูอาหารทุกอย่างที่เธอชอบทานได้จะทำให้เธอใจอ่อนงั้นหรือบอกเลยไม่มีทาง"พี่สั่งของโปรดน้องเมย์ทั้งนั้นเลยนะครับ ทานสิ" เจ้านายเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อเห็นคนตัวเล็กเอาแต่นั่งทำหน้าคว่ำ มือกอดอก สายตามองมาอย่างไม่พอใจราวกับเด็กน้อย"ก็บอกแล้วไงว่าไม่หิว อยากกินก็กินไปคนเดียวสิ" เมษาตอบเสียงขุ่นพลางสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นไม่อยากจะมองหน้าคนใจร้าย"ไม่หิวจริง ๆ เหรอครับ ของโปรดน้องทั้งนั้นเลยนะ" ไม่ว่าเปล่าเจ้านายยังยกจานปูผัดผงกะหรี่ไปใกล้ใบหน้าเรียวยั่วความอยากของเธอด้วยกลิ่นหอม ๆกลิ่นหอมของผงกะหรี่ลอยอบอวลแตะจมูกทำเมษาลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึก จากที่หิวอยู่แล้วก็ยิ่งหิวเข้าไปอีก ทว่าเธอยังคงเก็บอาการได้ดี"ก็บอกว่าไม่หิวไง" หันกลับมามองคนตัวโตตาขวา