หลังจากวันนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นดีเพราะสาริกาไม่ได้โทรมาระราน หรือทำอะไรตามที่พูดขู่เอาไว้กับส้มทำให้เจ้านายสบายใจได้บ้าง
และได้แต่หวังว่าท่านจะยอมหยุดขัดขวางเรื่องการแต่งงานของเขากับแฟนสาวสักที
วันนี้เขาจึงคิดไว้ว่าจะเอาคำตอบจากแฟนสาวเพราะให้เวลาเธอได้คิดมาหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ แล้ว
ครืดดด~
ระหว่างที่กำลังขับรถไปหาแฟนสาวที่บ้านเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาชะลอความเร็วของรถลงเล็กน้อยก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งล้วงไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาดู
คิ้วเข้มขมวดชนกันเล็กน้อยครั้นเห็นว่าสายที่โทรเข้ามาคือผู้เป็นแม่อดสงสัยไม่ได้ว่าท่านมีอะไรถึงได้โทรมาแต่เช้า ๆ จึงกดรับสาย
"ว่าไงครับแม่"
(ลูกทำอะไรอยู่เหรอ)
"กำลังขับรถครับ แม่มีอะไรรึเปล่าโทรหาผมแต่เช้า"
(ลูกไม่กลับบ้านหลายวันแล้ว เย็นนี้กลับมาทานข้าวที่บ้านนะแม่คิดถึง)
คำตอบจากผู้เป็นแม่ทำให้เจ้านายแปลกใจเล็กน้อย แต่พอได้ฟังน้ำเสียงแสนเศร้าของท่านก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิดน้อย ๆ
ปกติท่านไม่เคยใช้น้ำเสียงเศร้าระคนน้อยใจแบบนี้เอาจริง ๆ เขาก็ผิดที่โกรธจนลืมไปว่ายังไงท่านก็เป็นแม่
"ได้ครับ" คิดได้ดังนั้นจึงตอบตกลงไปโดยไม่คิดเอะใจอะไรสักนิด
(แม่จะรอนะ)
"ครับ"
ครั้นวางสายจากผู้เป็นแม่เขาก็ลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ได้แต่หวังว่าท่านจะไม่ทะเลาะกับเขาเรื่องการแต่งงานอีกนะเพราะเขาอุตส่าห์ยอมกลับบ้านหลังจากที่ไม่กลับไปถึงหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ
สาเหตุคือไม่อยากทะเลาะกับท่านนั่นแหละ
เขาลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะสลัดความคิดเรื่องผู้เป็นแม่ออก แล้วบึ่งรถตรงไปบ้านแฟนสาวด้วยความเร็ว เพียงไม่นานรถคันหรูก็เคลื่อนตัวมาจอดลงยังจุดหมาย
เจ้านายหอบถุงขนมพะรุงพะรังที่ซื้อมาฝากเด็กน้อยภริตากับแฟนสาวเดินเข้าไปในบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ต่อให้จะเจอเรื่องอะไรมาแค่มาถึงบ้านแฟนสาว และคิดว่าจะได้เจอเด็กน้อยภริตาก็ทำให้เขายิ้มได้ทันทีมันช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์
"พ่อนายย.."
ทันทีที่เขาย่างกรายเข้าไปในบ้านเสียงใส ๆ ของคนที่เขากำลังคิดถึงก็ดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มหวาน ๆ ที่ส่งมาให้ แบบนี้จะไม่ให้เขาหลงรักเด็กน้อยคนนี้ได้ยังไงกัน
"สวัสดีตอนเช้าครับคนสวย" เขาเอ่ยทักทายเด็กน้อยด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งลงข้าง ๆ วางถุงขนมในมือลงบนโต๊ะกระจก ก่อนจะวางมือลงบนศีรษะเล็กทุยแล้วขยี้เบา ๆ ด้วยความรักใคร่เอ็นดูโดยมีแฟนสาวนั่งมองอยู่บนโซฟาอีกตัว
เขานั่งหยอกล้อกับเด็กน้อยภริตาครู่ใหญ่จึงหันไปเอ่ยกับแฟนสาว "วันนี้พี่มาเอาคำตอบครับ น้องมีคำตอบให้พี่รึยัง"
"มีแล้วค่ะ ส้มตกลงค่ะ" ส้มตอบพลางระบายยิ้มอ่อนให้หนุ่มคนรัก ความจริงเธอได้คำตอบตั้งแต่สามวันที่แล้วเพียงแต่รอให้เขาทวงคำตอบเท่านั้นเอง
เธอคิดไตร่ตรองมาดีแล้วว่าจะเร่งงานแต่งให้เร็วขึ้นตามที่เขาขอเพราะเธอเชื่อมั่นในตัวเขาเชื่อว่าเขาจะทำได้ตามที่สัญญาเอาไว้
"จริงเหรอครับ พี่ดีใจที่สุดเลย"
เจ้านายดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่จากที่แอบกลัวกับคำตอบก็ใจฟูขึ้นมาทันทีหากไม่ติดว่ามีเด็กน้อยอยู่เขาอยากจะกระโดดเข้าไปกอดเข้าไปหอมแก้มแฟนสาวสักฟอดใหญ่ขอบคุณที่เธอยอมตกลงแม้จะมีปัญหามากมายก็ตาม
"งั้นพี่จะไปหากฤษ์เลยนะครับ"
"ค่ะ"
"เรื่องนี้พ่อกับแม่น้องรู้แล้วใช่ไหมครับ"
"รู้แล้วค่ะ ส้มโทรบอกพวกท่านแล้วว่าจะเลื่อนงานแต่งให้เร็ว พวกท่านก็ไม่ว่าอะไร"
"ครับ ขอบคุณน้องอีกครั้งนะพี่สัญญาว่าจะทำให้น้องกับลูกมีแต่ความสุข" เขาเอ่ยขอบคุณแฟนสาวด้วยความซาบซึ้งสุดใจที่ยอมตกลงทั้งที่มีปัญหาเรื่องแม่กับว่าที่คู่หมั้นอะไรนั่นอยู่แท้ ๆ
"ค่ะ ส้มก็ต้องขอบคุณพี่เช่นกันที่แสนดีกับส้ม และลูกเสมอมา" ส้มยิ้มตอบหนุ่มคนรักก่อนจะเลื่อนสายตามองหน้าลูกที่นั่งมองหน้าเธอกับชายหนุ่มตาปริบ ๆ คงสงสัยว่าพวกเธอพูดอะไรกันอยู่
"น้องริตาดีใจไหมครับอีกไม่นานพ่อนายก็จะได้อยู่กับน้องริตาตลอดแล้วเพราะพ่อนายกับแม่ส้มกำลังจะแต่งงานกันครับ" เป็นเจ้านายที่เอ่ยบอกเด็กน้อย
"จริงเหรอคะ เย้ ๆ! น้องริตาดีใจจังเลยค่ะ"
เด็กน้อยได้ยินดังนั้นก็ลุกกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจทำให้ส้มกับเจ้านายพลอยหัวเราะออกมาอย่างนึกเอ็นดู
บรรยากาศภายในห้องโถงเป็นไปอย่างอบอุ่นให้ความรู้สึกเสมือนว่าทั้งสามเป็นพ่อแม่ลูกกันจริง ๆ เจ้านายอยู่เล่นกับเด็กน้อยและแฟนสาวจนเที่ยงจึงขอตัวกลับคอนโด
ครั้นตกเย็นเขาก็ขับรถกลับบ้านตามที่ได้รับปากผู้เป็นแม่ไว้
เมื่อมาถึงบ้านเขาก็ต้องแปลกใจเพราะบริเวณลานสนามหญ้าหน้าบ้านมีการตั้งโต๊ะ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้คล้ายกับว่ามีงานเลี้ยงสังสรรค์อะไรสักอย่าง แต่มันงานเลี้ยงสังสรรค์อะไรนี่สิเพราะวันนี้ไม่ได้เป็นวันเกิดใคร หรือวันพิเศษอะไรเลย
เขาได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้แล้วเปิดประตูลงจากรถเดินเข้าไปในบ้าน ทว่าพอเดินมาถึงห้องโถงเขาก็ต้องอารมณ์เสียขึ้นมาดื้อ ๆ เพียงเห็นหน้าผู้หญิงที่อยากเป็นเมียเขาจนตัวสั่นนั่งอยู่กับพ่อแม่ด้วย
แม้ไม่สบอารมณ์ แต่เขาก็ทำได้แค่เก็บเอาไว้แล้วเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งบนโซฟาตัวที่ยังว่างอยู่
"มีงานอะไรกันรึเปล่าครับเห็นแม่บ้านเหมือนกำลังเตรียมของอยู่ที่สนามหน้าบ้าน"
เอ่ยถามพ่อแม่ถึงสิ่งที่กำลังสงสัยโดยทำเหมือนอีกคนที่นั่งอยู่เป็นอากาศไม่มีตัวตน เขาไม่แม้จะชายตามองเธอสักนิด ต้องการทำให้รู้ว่าเธอไม่ได้มีค่ามีตัวตนในสายตาเขาสักนิดถึงอยู่บ้านหลังนี้ไปก็เปล่าประโยชน์
"อ่อ แม่อยากเปลี่ยนบรรยากาศในการทานข้าว และอยากจะถือโอกาศนี้สังสรรค์กันในครอบครัวน่ะเลยให้แม่บ้านเตรียมสถานที่ด้านนอก" สาริกาตอบบุตรชายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทว่าในแววตากลับแฝงไปด้วยอะไรบางอย่างหากสังเกตดี ๆ ถึงจะเห็น
"แม่มาอารมณ์ไหนครับ" คำตอบจากผู้เป็นแม่ทำเอาเจ้านายฉงนไม่น้อยมองหน้าของท่านอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ร้อยวันพันปีท่านไม่เคยมีความคิดแบบนี้มันแปลก ๆ แต่เขาก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ หรือบางทีเขาอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้
"ก็ช่วงนี้บ้านเราบรรยากาศมันอึมครึมไง" สาริกาพูดโกหกไปทั้งที่ความจริงไม่ใช่ เธอมีแผนบางอย่างอยู่ในใจต่างหากจึงจัดงานสังสรรค์ภายในครอบครัวและเรียกให้บุตรชายกลับมา
"ครับ" เจ้านายเลือกจะสลัดความระแวงที่มีต่อผู้เป็นแม่ออกหลงเชื่อสนิทใจว่าท่านคงอยากทำให้บรรยากาศภายในครอบครัวดีขึ้นมาจริง ๆ
ส่วนเมษาเองก็ไม่ได้รู้เรื่องเช่นกันว่าสาริกามีแผนบางอย่างเธอเองก็เชื่อสนิทใจว่าสาริกามีจุดประสงค์อย่างที่พูดจริง ๆ
ทว่าเธอยังแอบติดอยู่นิดหนึ่งคือทำไมสาริกาต้องให้เธออยู่ร่วมด้วยในเมื่อรู้ ๆ กันอยู่ว่าลูกชายตัวเองไม่ชอบหน้าเธอเลย
ดูอย่างตอนนี้สิหน้าเธอเขาก็ไม่แม้จะชายตามองทำราวกับว่าตรงนี้ไม่มีเธออยู่ด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละเธอทำได้แค่คิด และเก็บความสงสัยเอาไว้นั่งฟังสามคนพ่อแม่ลูกคุยไปเงียบ ๆ
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแม่บ้านที่จัดเตรียมอาหารก็มาบอกว่าอาหารเสร็จเรียบร้อยพร้อมรับประทานแล้ว
สาริกา สามี และเจ้านายจึงพากันเดินออกไปยังลานสนามหญ้าหน้าบ้านซึ่งเป็นสถานที่ทานมื้อเย็น และสังสรรค์กันในคืนนี้โดยมีเมษาเดินตามหลังไปติด ๆ
ความอึดอัด และลำบากใจเข้าเล่นงานเมษาฉับพลันเมื่อทุกคนนั่งลงบนโต๊ะอาหาร โดยสาริกานั่งข้างคนเป็นสามี เจ้านายนั่งอยู่อีกฝั่งคนเดียวซึ่งไม่ต้องให้ใครบอกก็รู้ว่าเธอต้องนั่งข้างเขาเพราะเก้าอี้มีสี่ตัวพอดี
'อ่า..ให้ตายสิ' เธอได้แต่สบถในใจยิ่งเห็นสายตาที่ชายหนุ่มตวัดมองมาอย่างเอาเรื่องก็ยิ่งทำให้เธอแทบลืมหายใจ อยากจะหายไปจากตรงนี้ด้วยซ้ำแต่ติดที่เธอไม่มีมนต์วิเศษนี่สิ
สุดท้ายจึงทำได้แค่พาตัวเองไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ คนที่กำลังแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตลอดการทานข้าวเธอรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากจนข้าวก็แทบกลืนไม่ลง ความจริงไม่ได้รู้สึกหิวเลยด้วยซ้ำยิ่งมีอีกคนนั่งอยู่ใกล้ยิ่งแล้วใหญ่แม้บรรยากาศรอบตัวจะดีก็ตาม
แต่นั่นแหละเธอขัดสาริกาไม่ได้ต้องฝืนทานไปเรื่อย ๆ จนข้าวหมดจาน
หลังจากการทานมื้อเย็นจบลงสาริกาก็ได้ให้แม่บ้านทำการย่างบาร์บีคิวต่อรวมถึงเสิร์ฟอาหารทานเล่น และเครื่องดื่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไวน์ บรั่นดี วิสกี้ และเหล้าจากแบรนด์ดังทำเอาทุกคนบนโต๊ะอาหารแปลกใจไปตาม ๆ กันกับการจัดเต็มของสาริกาแน่นอนสาริการู้ว่าทุกคนกำลังแปลกใจ แต่เธอก็ทำเป็นไม่สนใจหันเอ่ยกับคนเป็นสามีที่นั่งข้าง ๆ อย่างใจดี "วันนี้ฉันอนุญาตให้คุณดื่มได้เต็มที่หนึ่งวันค่ะ""วันนี้คุณใจดีจัง" ประวีเลิกคิ้วมองหน้าภรรยาด้วยความแปลกใจระคนฉงนเข้าไปอีก ปกติคนเป็นภรรยาจะกำชับหนักหนาว่าไม่ให้เขาแตะต้องแอลกอฮอล์ แต่มาวันนี้กลับใจดีเสียอย่างนั้น"ก็ฉันบอกแล้วไงคะว่าวันนี้เราสังสรรค์กัน ใครอยากทำอะไร หรืออยากทานอะไรตามสบายเลยค่ะ" สาริกาหาเหตุผลมาอ้างได้อย่างแนบเนียน ประวีเชื่ออย่างสนิทใจไม่ได้ถามไถ่อะไรต่อ ส่วนเจ้านายนั้นนั่งดื่มไวน์ไปเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แค่ผู้เป็นแม่ไม่พูดถึงเรื่องการแต่งงานมันก็ดีมากแล้ว ทว่าหากให้ดีกว่านี้ต้องให้ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาหายไปเสียด้วย บรรยากาศในการสังสรรค์กับครอบครัวถึงจะดีมาก ๆเขากระดกไวน์ที่เหลือลงคออึกใหญ่ ก่อนจะเอียงหน้าไปเอ่ยกับร่างบางที่นั่ง
วันต่อมา..ก็อก! ก็อก!เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลายครั้งติด ๆ กันปลุกให้สองหนุ่มสาวที่นอนหลับไหลอยู่บนเตียงเดียวกันค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา "เฮ้ย!""คุณ!"ทั้งเจ้านายและเมษาต่างผงะร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจวินาทีแรกที่ลืมตาขึ้นมาเห็นหน้ากัน จากที่มีอาการงัวเงีย และมึนจากฤทธิ์ยานอนหลับบวกฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เมษาลอบกลืนน้ำลายหนี่ยว ๆ ลงคออึกใหญ่ ค่อย ๆ ก้มมองตัวเองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ดวงตากลมโตพลันเบิกกว้าง หัวใจดวงน้อยของเธอกระตุกวูบอย่างช่วยไม่ได้เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าห่มคลุมไว้ถึงหน้าอก เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่ต่างกันมีผ้าห่มผืนเดียวกับเธอคลุมท่อนล่างเอาไว้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ความสงสัย และคำถามมากมายเริ่มผุดขึ้นในสมองของเธอ พยายามจะคิดทบทวนถึงเรื่องเมื่อคืนก็จำได้ลาง ๆ ว่าตัวเองดื่มไวน์จนรู้สึกมึน ๆ จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลยเหมือนภาพมันตัดไปทว่าในตอนนี้เธอรู้สึกหวั่นใจ และอับอายมากกว่าเพราะมีอีกคนนอนอยู่ข้างกาย เธอรู้สึกอายจนไม่แม้แต่จะกล้าขยับตัว หรือเงยหน้ามองว่าอีกคนกำลังทำหน้าแบบไหน ได้แต่ใช้มือกำผ้าห่มบริ
เมษายืนทำใจ และรวบรวมความกล้าให้ตัวเองอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะก้าวลงบันไดต่อมาถึงห้องโถงเธอก็เห็นหญิงชายวัยไล่เลี่ยกับแม่ของเธอนั่งอยู่ในห้องโถงด้วยตามที่สาริกาบอก เธอพยายามสะกดจิตตัวเองว่านั้นคือพ่อแม่ของลียาต้องทำตัวสนิทสนมเข้าไว้ แล้วเดินตรงเข้าไปหาพวกท่านพลางแสดงท่าทางตกใจออกมา "พ่อแม่มาได้ยังไงคะ""พ่อกับแม่ตั้งใจจะมาทักทายคุณป้าสาริกาน่ะ" วสินพ่อสวมรอยของเมษาในคราบลียาตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล"ใช่จ้ะ" นิดาแม่สวมรอยเอ่ยเสริมอีกคนพลางมองหน้าเมษาด้วยแววตารักใคร่เอ็นดูราวกับว่าเด็กสาวเป็นลูกจริง ๆ ท่าทางราวกับเป็นพ่อแม่จริง ๆ ที่ทั้งคู่แสดงออกมาช่างสมบทบาททำเอาเมษาแอบทึ่งในใจ แสดงว่าคงเตรียมตัวมาอย่างดี ซึ่งเธอก็ต้องเล่นไปตามน้ำอย่างที่สาริกาบอกเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ คุณแม่สวมรอยแล้วสวมกอดหลวม ๆ ทำเหมือนว่าคิดถึงท่านมาก "คิดถึงจังเลยค่ะ"บอกกล่าวกับแม่สวมรอยจบก็หันไปบอกกล่าวพ่อสวมรอยต่อพร้อมฉีกยิ้มให้จนตายี "คิดถึงพ่อเหมือนกันนะคะ""ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย มาพูดเรื่องลูกกับพี่เจ้านายดีกว่า พ่อกับแม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจากคุณป้าสาริกาหมดแล้ว" วสินแสร้งตีหน้าเคร่งขรึมแทน สา
"เป็นยังไงบ้าง"ทันทีที่เมษาย่างกรายเข้ามาถึงห้องโถงของบ้านวณิชกาญจนโชติเสียงของสาริกาที่นั่งอยู่ก็ถามไถ่ขึ้น เธอได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนเปล่งเสียงตอบพร้อมเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งบนโซฟาตัวตรงข้าม "คุณส้มไม่ได้พูดอะไรค่ะ แต่ฉันคิดว่าวิธีนี้น่าจะได้ผล""ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น ฉันเหนื่อยและเอือมระอากับเรื่องนี้เต็มทนแล้ว" สาริกาเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจออกมา"ทันทีที่คุณส้มยอมเลิกกับคุณเจ้านาย ฉันจะได้รับอิสระสามารถกลับไปอยู่กับแม่ และน้องสาวได้เลยใช่ไหมคะ" "ยัง..จนกว่าฉันจะแน่ใจว่าสองคนนั้นเลิกกันจริง ๆ เธอต้องอยู่เป็นไม้กันหมาสักระยะ""สักระยะนี่มันนานแค่ไหนคะ?" เมษาขมวดคิ้วมุ่น"เธอจะถามอะไรเยอะแยะ ถึงเวลาก็รู้เองแหละ" สาริกาตวัดสายตามองหน้าเมษาที่เอาแต่ยิงคำถามไม่เลิกด้วยความรำคาญ ทำเอาคนถูกจ้องต้องรีบหลบสายตาพร้อมกับเอ่ยขอโทษไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว "ขอโทษค่ะ"ภายในห้องโถงถูกความเงียบเข้าปกคลุมนานนับนาที ก่อนสาริกาจะเอ่ยปากไล่เด็กสาวที่นั่งขวางหูขวางตา "จะไปไหนก็ไปไป" สิ้นเสียงไล่เมษาก็ลุกเดินคอตกขึ้นไปยังห้องนอนตัวเองทันที เธอทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรงอุตส่าห์หวังไ
ตุ้บ!!ร่างของเมษาถูกเจ้านายเหวี่ยงขึ้นเตียงอย่างแรง แรงกระแทกกับที่นอนส่งผลให้เธอจุกจนร้องไม่ออก หน้าคะมำจูบที่นอนนุ่มเต็ม ๆ ทว่าแม้จะรู้สึกจุก และเจ็บเพียงใดเธอก็พยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยเร็วที่สุดด้วยความกลัวที่มีมากกว่า "อ๊ะ.."ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรก็ถูกร่างสูงผลักให้นอนราบกับที่นอนอีกครั้งโดยมีเขาตามมาคร่อมเอาไว้ มือเล็กทั้งสองยกขึ้นผลักไสคนด้านบนพัลวันพลางพยายามดีดดิ้นสุดแรง ปากร้องถามไปด้วยความตื่นตระหนก "คะ..คุณจะทำอะไร อะ..ออกไปนะ""อย่ามาทำไขสือลียา เธออยากได้ฉันมากไม่ใช่เหรอฉันก็กำลังสนองให้อยู่นี่ไง" เจ้านายกดเสียงเอ่ยอย่างเย็นเยือก แววตาแข็งกร้าวจดจ้องใบหน้าเรียวเขม็ง มือทั้งสองจับมือเล็กที่เอาแต่ผลักไสไปกดตรึงกับที่นอนข้างศีรษะเล็ก"ไม่ ฉันไม่ได้ต้องการแบบนี้" ใบหน้าเรียวส่ายปฏิเสธระรัวจนเส้นผมสีน้ำตาลสลวยยุ่งเหยิง ร่างบอบบางยังคงออกแรงดีดดิ้นไม่หยุดหย่อน สองเท้าเล็กถีบยันที่นอนไปมาจนยับยู่ยี่หวังดันตัวให้หลุดพ้นจากพันธนาการคนด้านบน"กรี๊ดด!" ริมฝีปากอิ่มพลันหลุดเสียงกรีดในเสี้ยววินาทีต่อมาเมื่อใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงซุกไซ้ลำคอ ใบหน้าเรียวที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัวพยายา
@ผับหลังจากออกจากบ้านเจ้านายก็มานั่งดื่มที่ผับของเพื่อนชายคนสนิทเพื่อดับความร้อนรุ่มที่เกิดจากความโกรธน้ำสีอำพันในแก้วคริสตัลถูกชายหนุ่มยกดื่มครั้งแล้วครั้งแล้ว พอหมดก็เติมใหม่โดยมีแมธธิวเพื่อนที่เป็นเจ้าของผับคอยรินให้"แม่งเอ้ย! ทำไมทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ" จู่ ๆ เสียงทุ้มก็สบถออกมาด้วยอารมณ์ที่ยังคุกรุ่น แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปเป็นจำนวนมากไม่สามารถดับไฟในกายเขาได้เลย กลับกันยิ่งเริ่มเมากึ๋ม ๆ ก็ยิ่งมีอารมณ์รุนแรงขึ้น ในสมองมีแต่ใบหน้าของลียาผู้หญิงแพศยาลอยวนซ้ำ ๆมือหนากำแก้วแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือลากยาวไปถึงแขนปูดนูน กรามทั้งสองขบเข้าหากันแน่นจนเกิดเสียงดังกรอด เขาอยากจะขย้ำเธอให้แหลกเป็นผุยผงให้สมกับที่เธอทำลายความรักของเขากับแฟนสาวพังไม่ใช่แค่คิดแต่เขาลุกพรวดขึ้นยืนโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้แมธธิวรู้สึกตกใจไม่น้อย เอ่ยถามไปด้วยความสงสัย "เป็นอะไรของมึง อยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นยืน""กูต้องกลับไปจัดการคน" เจ้านายตอบเพื่อนชายเพียงแค่นั้นไม่ได้ขยายความต่อ ว่าจะก็เดินตัวปลิวออกจากผับไปขึ้นรถหรูราคาหลายสิบล้านขับตรงกลับบ้านด้วยความเร็วใช้เวลาขับรถราว ๆ สี่สิบห้านาทีก็มาถึงบ้าน ซึ่งตอน
เมษารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าของวันใหม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่สดชื่นเท่าไรนักเพราะเมื่อคืนกว่าจะหลับได้ก็เกือบตีสี่แล้ว"เฮ้อ.." เธอถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหนักอก ก่อนจะสบัดผ้าห่มออกจากตัวลุกลงจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อช่วยแม่บ้านทำอาหารเช้าเหมือนเช่นทุกวันทว่าเมื่อเดินลงไปถึงห้องโถงใหญ่เธอก็ต้องชะงัก หน้าถอดสีฉับพลันเพราะคนที่เพิ่งถูกเธอตีหัวไปเมื่อคืนนั่งอยู่ในห้องโถง รอบศีรษะของเขามีผ้าก็อตพันอยู่ชายหนุ่มคงโกรธเธอมากดูจากสายตาที่จ้องเธอแทบจะเขมือบหัว บางทีหากตอนนี้ไม่มีสาริกานั่งอยู่ที่โซฟาด้วยเขาคงพุ่งเข้ามาฆ่าเธอแล้วก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าสาริการู้ว่าแผลบนหัวบุตรชายสุดที่รักได้มาจากเธอสาริกาคงเล่นงานเธอแน่ ๆ เหมือนเธออยู่ท่ามกลางฝูงเสือฝูงจระเข้ที่พร้อมจะขย้ำเธอทุกเมื่อแท้ ๆเธอแทบจะก้าวขาเดินต่อไม่ได้เพราะรู้สึกกดดันกับสายตาทั้งสองคู่ที่มองมา มือทั้งสองกำกระโปรงชุดเดรสแน่นพยายามข่มความรู้สึกมากมายที่กำลังประเดประดังเข้ามา"หนูลียามานั่งนี่สิจ๊ะ" กระทั่งสาริกาเอ่ยเรียกเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจึงทำให้เบาใจขึ้นมาหน่อย นั่นอาจหมายความว่าท่านยังไม่ร
วันทั้งวันเมษาคลุกตัวอยู่แต่ในห้อง มื้อเที่ยงเธอก็ไม่ลงไปทานโดยอ้างว่าไม่หิวทั้งที่ความจริงคือเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์เหมือนตอนเช้ามากกว่าก็อก! ก็อก!เธอพลันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจครั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น หัวใจดวงน้อยอดเต้นแรงไม่ได้ด้วยระแวงว่าจะเป็นชายหนุ่ม ยอมรับเลยว่าตั้งแต่เกิดเรื่องเธอรู้สึกระแวงไปหมดจริง ๆ"คุณลียาคะ คุณสาริกาให้มาตามลงไปทานข้าวค่ะ"ลมหายใจถูกพ่นออกจากจมูกโด่งด้วยความรู้สึกโล่งอกพอได้ยินเสียงแม่บ้านที่ดังเล็ดลอดเข้ามา เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ชายหนุ่มเธอก็ลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตูทันที "ค่ะ" ส่งยิ้มให้แม่บ้านเล็กน้อย จากนั้นก็เดินลงไปยังชั้นล่างด้วยหัวใจตุ่ม ๆ ต่อม ๆ ลุ้นว่าเย็นนี้เธอจะโดนชายหนุ่มหาเรื่องอะไรอีก เอาจริง ๆ หากไม่เกรงใจสาริกาที่เป็นเจ้าของบ้าน และรู้สึกหิวเธอไม่อยากจะลงไปเลยด้วยซ้ำเธอลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึกสองมือน้อย ๆ ขย้ำกระโปรงชุดเดรสแน่นในตอนที่เดินมาถึงห้องอาหารแล้วเห็นชายหนุ่มนั่งทำหน้ายักษ์อยู่ สายตาจ้องมองเธอราวกับจะกินหัวกันเธอไม่ชอบเอาเสียเลย แต่ก็ทำได้แค่ข่มอารมณ์ และจิตใจให้สงบนิ่งเอาไว้ ก้าวเข้าไปหย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้ข้างสาริกา"อยู่บ้า
"..."เมษากลับเงียบพร้อมก้มหน้าหลบสายตากดดันเธอไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไงดี อีกทั้งยังรู้สึกกลัวและกังวลไปหมด นั่นทำให้เจ้านายไม่คิดจะอดทนอีกต่อไปผละตัวออกจากร่างบาง "งั้นก็ไปพูดกับลียาตัวจริงเองแล้วกัน แต่เธอคงไม่ได้โง่จนไม่รู้ใช่ไหมว่าการสวมรอยเป็นคนอื่นมันผิดกฎหมาย หากลียาตัวจริงรู้ว่าตัวเองถูกสวมรอยแล้วไปแจ้งความจับเธอเข้าคุกใครหน้าไหนก็คงช่วยเธอไม่ได้" พูดขู่ด้วยน้ำเสียงดุดันพร้อมทั้งยื่นมือไปจับข้อมือเล็กทำท่าลากเธอออกไปจากบ้าน จงใจแสดงให้หญิงสาวเห็นว่าเขาพูดจริงทำจริงเธอจะได้เลิกปากแข็งสักทีและมันได้ผล.."มะ..ไม่นะ"เมษารีบสะบัดมือออกจากการจับกุมวิ่งไปยืนห่าง ๆ ร่างสูงด้วยกลัวว่าจะถูกเขาจับไปส่งลียา สายตาจ้องมองใบหน้าคมคายด้วยความรู้สึกกลัวและกังวลสองมือน้อย ๆ ขย้ำกระโปรงตัวยาวแน่นจนฝ่ามือเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อตลอดจนถึงไรผม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภายในบ้านมันร้อน หรือเพราะความกดดันกันแน่ เธอลอบกลืนน้ำลายลงลำคอแห้งผากดังอึก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดยาว ๆ เรียกความกล้าบอกกล่าวไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิวแทบจะขาดหาย"ฉันชื่อ..เมษา..""แล้วเธอมาสวมรอยเป็นลียาทำไม ต้องการอะไร"พอมาถึงคำถามนี้เม
"เฮ้อ.."เมษาลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าเขตห้องครัวเพราะเมื่อกี้ตอนออกไปเติมของที่โต๊ะข้างนอก เหลือบเห็นว่าชายหนุ่มนั่งจ้องด้วยสายตาแทบจะกินหัวตลอดเวลา แต่เธอแสร้งทำไม่เห็นรีบเติมของแล้วรีบเข้ามาเธออยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็ว ๆ แล้วสิ.."เป็นอะไรคะน้องลี" รสที่เห็นสีหน้าเหนื่อย ๆ ของหญิงสาวอดถามไถ่ไม่ได้ ทั้งที่ตอนออกไปดูปกติดี"ปะ..""อ๊ะ..".ไม่ทันได้ตอบคำถามเมษาก็ต้องหลุดร้องด้วยแรงกระชากรุนแรงจากด้านหลัง ตัวเธอหมุนติ้วเข้าปะทะร่างเจ้าของการกระทำเต็ม ๆ ท่ามกลางสายตาของแม่บ้านที่ตกใจเจ้านายไม่พูดพร่ำทำเพลงพอจับหญิงสาวได้ก็ลากให้เธอเดินตามไปทางประตูหลังครัว"ปล่อยนะคุณเจ้านาย คุณจะพาฉันไปไหน" เมษาพยายามขัดขืนสะบัดมือออกจากการจับกุมพร้อมทั้งหันส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเหล่าแม่บ้านไปด้วย แต่ไม่มีใครกล้าเข้ายุ่งเพราะเห็นว่าเจ้านายกำลังโกรธมาก "โอ้ย!" เมษาถูกฉุดกระชากแรงขึ้นจนตัวปลิว หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความหวาดหวั่นเมื่อถูกฉุดกระชากเข้าสู่บริเวณทางเดินบ้านพักของแม่บ้านที่มีเพียงแสงสว่างส่องเล็กน้อย บรรยากาศเงียบสงัดจนดูวังเวง"คุณเจ้านาย คุณจะพาฉันไปไ
"ส่วนนี้คุณหญิงสิณีกับหนูดีเจ้านาย ภรรยาเจ้าสัวเกริกศักดิ์" เสียงแม่ดังทบโสตประสาททำให้เจ้านายหลุดจากภวังค์ความคิด ดึงสายตาไปมองทั้งสองคนตรงหน้า แล้วยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนตามมารยาท สวนทางกับใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มไร้ความยินดีทำคนทั้งสองที่ยิ้มร่าถึงกับหน้าเจื่อนรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มคงไม่อยากรู้จักพวกเธอสักเท่าดูจากปฏิกิริยาที่แสดงออกมาสาริกาเองก็รับรู้ได้เกรงว่าปล่อยไว้บรรยากาศจะไม่ราบรื่นจึงเชื้อเชิญให้สองแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ให้ ก่อนไปก็มิวายส่งสายตาตำหนิบุตรชายเธออุตส่าห์แนะนำให้บุตรชายรู้จักกับผู้หญิงที่เพรียบพร้อม และเหมาะสมกับตัวเองทุกอย่างเพื่ออนาคตจะได้เกี่ยวดองกัน แต่บุตรชายกลับทำเสียแผนหมดถามว่าเจ้านายสะท้านกับสายตาตำหนิคนเป็นแม่ไหมตอบเลยว่าไม่ เดินไปนั่งดื่มเครื่องดื่มข้างคนเป็นพ่อหน้าตาเฉยสาริกาจึงต้องเป็นฝ่ายสะกดกลั้นอารมณ์เสียเองไม่อยากทำให้บรรยากาศในวันเกิดเสีย ครั้นส่งสองแม่ลูกถึงโต๊ะก็เดินกลับมานั่งกับสามีและลูก ทำเป็นพูดคุยหัวเราะกับทั้งสองอย่างมีความสุขให้คนในงานอิจฉา ทั้งที่ความรู้สึกตรงกันข้ามเธอหงุดสองคนพ่อลูกมากกว่าที่ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลยทุกอย่
วันต่อมาภายในบ้านดูจะวุ่นวายไปเสียหมดเพราะทุกคนยุ่งกับการจัดงานวันเกิดของสาริกา รวมถึงเมษาด้วยที่ไม่อยู่นิ่งเฉยช่วยงานจนตัวเป็นเกลียว คิดเสียว่าเป็นการส่งท้ายก่อนเธอจะออกจากบ้านหลังนี้งานวันเกิดสาริกาถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตทุกปีเพราะครอบครัวของเธอค่อนข้างมีหน้ามีตาทางสังคม บวกด้วยสาริกาที่เป็นคนชอบโอ้อวดเป็นทุกเดิมอยู่แล้วด้วยจึงน้อยหน้าใคร ๆ ไม่ได้ใช้เวลากับการจัดสถานที่บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน และจัดเตรียมอาหาร เครื่องดื่ม ขนมเสร็จก็เย็นพอดีเมษาจึงหลบขึ้นห้องพักผ่อนและคิดว่าคืนนี้คงไม่ไปร่วมงานแค่ช่วยแม่บ้านเตรียมอาหารในครัวก็พอเพราะพอพรุ่งนี้เช้าเธอก็จะไปจากที่นี่ทันทีไม่มีความจำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไป สาริกาเองก็ไม่ได้สั่งอะไรเมื่อถึงเวลาเริ่มงานแขกเหรื่อเริ่มทยอยกันมาเมษาก็อาบน้ำแต่งตัว โดยเสื้อผ้าที่เธอเลือกสวมใส่วันนี้เป็นเสื้อยืดคอกลมสีขาวธรรมดากับกระโปรงผ้าซาตินสีชมพูอ่อนยาวถึงกลางขาดูเรียบร้อยและอ่อนหวานในคราวเดียวกันใบหน้าแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางบางเบาให้ดูไม่จืดชืดจนเกินไป เธอไม่ได้แต่งหรูหรา แต่ก็ไม่ได้แต่งจนดูเหมือนไม่ให้เกียรติเจ้าของงานอย่างสาริกาเธอยืนสำรวจความเรีย
สาริกากับประวีที่กำลังพักผ่อนอยู่บนห้องได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กสาวจนต้องรีบพากันลงมาดู แล้วก็ได้เห็นว่าบุตรชายกำลังกอดรัดเด็กสาวอยู่"เจ้านายลูกทำอะไร ปล่อยน้องเดี๋ยวนี้นะ!" เธอทั้งตกใจและไม่ชอบใจในเวลาเดียวกันที่บุตรชายใกล้ชิดเด็กสาว แต่ยังตีหน้าทำเหมือนเป็นห่วงเด็กสาวรีบเดินเข้าไปดึงตัวบุตรชายออกโดยมีคนเป็นสามียืนมองเงียบ ๆ แต่มีหรือเจ้านายจะยอมปล่อยง่าย ๆ ในเมื่อเขาจับหญิงสาวได้แล้ว"แม่อย่ามายุ่ง ยังไงวันนี้ผมก็จะจัดการเธอให้ได้" เขาจ้องหน้าผู้เป็นแม่เขม็งพลางสลัดแขนออกจากการดึงรั้งของท่าน ขณะที่อีกข้างจับมือหญิงสาวไว้แน่น"ปล่อยนะคุณเจ้านาย" เมษาเองพยายามแกะมือหนาออกจากข้อมือพัลวันพร้อมกับสาริกาที่ไม่ยอมละความพยายามจะแยกบุตรชายออกจากเด็กสาว"แม่บอกให้ปล่อยน้องเจ้านาย มีอะไรค่อยคุยกัน""ผู้หญิงอย่างลียาคุยดีด้วยไม่ได้หรอกครับ"ภายในห้องนั่งเล่นเกิดความวุ่นวายจากการเยื้อยุด และเสียงถกเถียงของสองคนแม่ลูก และไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ ขณะที่คนกลางอย่างเมษาตัวเซถลาไปมาแทบจะล้มแล้ไม่ล้มแล้อยู่หลายครั้งจากการแรงเยื้อยุดสุดท้ายประวีที่ยืนมองเหตุการณ์ก็ทนดูไม่ไหวต้องเป็นคนห้ามศึกทั้งที
บนถนนใหญ่ที่มุ่งตรงสู่บ้านวณิชกาญจนโชติมีรถสองคันวิ่งไล่กันมาติด ๆ คันหนึ่งเป็นรถแท็กซี่ที่เมษานั่งอยู่ ส่วนคันที่วิ่งตามหลังเป็นรถของเจ้านายเสียงแตรจากรถของชายหนุ่มที่ไล่บี้รถหญิงสาวดังมาตลอดทางเป็นเชิงส่งสัญญาณให้รถเธอจอด เมษาได้ยินและรู้ว่าเป็นรถชายหนุ่มที่ตามมา แล้วเธอจะจอดให้โง่เหรออุตส่าห์หนีมาได้แล้วแท้ ๆ ยิ่งบอกคนขับแท็กซี่ให้ขับเร็วขึ้น เธอต้องกลับไปถึงบ้านให้เร็วที่สุดเท่านั้นเพราะในเวลานี้คงมีแค่สาริกาที่ปกป้องเธอจากคนที่กำลังโกรธจนบ้าระห่ำได้"หนูรู้จักคนที่กำลังขับรถไล่ตามมาใช่ไหม" แท็กซี่วัยกลางคนถามไถ่ด้วยความสงสัยระคนร้อนใจด้วยกลัวว่าจะเกิดปัญหาเหมือนที่เคยดูในข่าว"รู้จักค่ะ เขาเป็นญาติหนูเอง" เมษาเลือกโกหกเพราะไม่อยากพูดอะไรมากมายกว่านี้ ขณะนั้นก็คอยหันมองรถชายหนุ่มไปด้วยตอนนี้เธอแทบนั่งไม่ติด จิตใจมันรุ่มร้อนยิ่งกว่าไฟเสียอีกอยากจะกลับถึงบ้านไว ๆ "ลุงขับเร็วกว่านี้ได้ไหมคะ""เร็วกว่านี้ลุงกลัวจะอันตราย" คนขับแท็กซี่บอกกล่าวเมษาจึงทำให้แค่พยายามสงบจิตสงบใจไว้ สองมือน้อย ๆ บนหน้าตักประสานเข้าหากันแน่นด้วยความลุ้นระทึกทุกวินาทีหัวใจดวงน้อยยิ่งกระหน่ำเต้นหนักกว่าเด
จากเหตุการณ์ในคืนนั้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน ๆ เต็ม ๆ ที่เมษาต้องอยู่อย่างหวาดระแวง จะขยับตัวหรือทำอะไรก็เหมือนถูกจับจ้องตลอดเวลา และเธอยังถูกชายหนุ่มรังแก พูดจาเหยียดหยามทุกครั้งที่มีโอกาส บอกตามตรงว่าเธอไม่มีความสุขเอาเสียเลย ขนาดจะไปหาแม่กับน้องสาวก็ยังไม่ได้ไปเพราะกลัวความลับแตกทำได้แค่โทรถามข่าวคราวเธอตั้งใจว่าจะคุยกับสาริกาอีกครั้งเพราะนี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วที่เจ้านายกับส้มเลิกกัน และไม่มีทีท่าว่าทั้งสองจะหวนกลับมาคบกันอีก ซึ่งมันน่าจะมั่นใจได้แล้วเธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะสลัดความคิดอันหนักอึ้งออก แล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายไหล่เดินลงไปยังชั้นล่าง"คุณลียาจะไปไหนครับ" ลุงดินที่ยืนสำรวจรถอยู่หน้าบ้านเอ่ยถามเมื่อเห็นเด็กสาวเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอก "ให้ลุงไปส่งไหมครับ""ไม่เป็นไรค่ะลุงดิน หนูไปเองดีกว่า" เมษาระบายยิ้มให้ลุงดินบาง ๆ แล้วเดินออกไปยืนรอรถที่โทรเรียกหน้ารั้วบ้านรอไม่นานรถก็มาถึง ที่ที่เธอจะไปก็คือห้างนั่นเองเพื่อซื้อของขวัญให้สาริกาสำหรับวันเกิดของท่านในวันพรุ่งนี้ ความจริงเธอไม่ได้อยากจะซื้อให้สักนิด แต่ติดที่เธออยู่ในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้หากไม่มีอะไรมอบให้ว่าที
วันทั้งวันเมษาคลุกตัวอยู่แต่ในห้อง มื้อเที่ยงเธอก็ไม่ลงไปทานโดยอ้างว่าไม่หิวทั้งที่ความจริงคือเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์เหมือนตอนเช้ามากกว่าก็อก! ก็อก!เธอพลันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจครั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น หัวใจดวงน้อยอดเต้นแรงไม่ได้ด้วยระแวงว่าจะเป็นชายหนุ่ม ยอมรับเลยว่าตั้งแต่เกิดเรื่องเธอรู้สึกระแวงไปหมดจริง ๆ"คุณลียาคะ คุณสาริกาให้มาตามลงไปทานข้าวค่ะ"ลมหายใจถูกพ่นออกจากจมูกโด่งด้วยความรู้สึกโล่งอกพอได้ยินเสียงแม่บ้านที่ดังเล็ดลอดเข้ามา เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ชายหนุ่มเธอก็ลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตูทันที "ค่ะ" ส่งยิ้มให้แม่บ้านเล็กน้อย จากนั้นก็เดินลงไปยังชั้นล่างด้วยหัวใจตุ่ม ๆ ต่อม ๆ ลุ้นว่าเย็นนี้เธอจะโดนชายหนุ่มหาเรื่องอะไรอีก เอาจริง ๆ หากไม่เกรงใจสาริกาที่เป็นเจ้าของบ้าน และรู้สึกหิวเธอไม่อยากจะลงไปเลยด้วยซ้ำเธอลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึกสองมือน้อย ๆ ขย้ำกระโปรงชุดเดรสแน่นในตอนที่เดินมาถึงห้องอาหารแล้วเห็นชายหนุ่มนั่งทำหน้ายักษ์อยู่ สายตาจ้องมองเธอราวกับจะกินหัวกันเธอไม่ชอบเอาเสียเลย แต่ก็ทำได้แค่ข่มอารมณ์ และจิตใจให้สงบนิ่งเอาไว้ ก้าวเข้าไปหย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้ข้างสาริกา"อยู่บ้า
เมษารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าของวันใหม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่สดชื่นเท่าไรนักเพราะเมื่อคืนกว่าจะหลับได้ก็เกือบตีสี่แล้ว"เฮ้อ.." เธอถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหนักอก ก่อนจะสบัดผ้าห่มออกจากตัวลุกลงจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อช่วยแม่บ้านทำอาหารเช้าเหมือนเช่นทุกวันทว่าเมื่อเดินลงไปถึงห้องโถงใหญ่เธอก็ต้องชะงัก หน้าถอดสีฉับพลันเพราะคนที่เพิ่งถูกเธอตีหัวไปเมื่อคืนนั่งอยู่ในห้องโถง รอบศีรษะของเขามีผ้าก็อตพันอยู่ชายหนุ่มคงโกรธเธอมากดูจากสายตาที่จ้องเธอแทบจะเขมือบหัว บางทีหากตอนนี้ไม่มีสาริกานั่งอยู่ที่โซฟาด้วยเขาคงพุ่งเข้ามาฆ่าเธอแล้วก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าสาริการู้ว่าแผลบนหัวบุตรชายสุดที่รักได้มาจากเธอสาริกาคงเล่นงานเธอแน่ ๆ เหมือนเธออยู่ท่ามกลางฝูงเสือฝูงจระเข้ที่พร้อมจะขย้ำเธอทุกเมื่อแท้ ๆเธอแทบจะก้าวขาเดินต่อไม่ได้เพราะรู้สึกกดดันกับสายตาทั้งสองคู่ที่มองมา มือทั้งสองกำกระโปรงชุดเดรสแน่นพยายามข่มความรู้สึกมากมายที่กำลังประเดประดังเข้ามา"หนูลียามานั่งนี่สิจ๊ะ" กระทั่งสาริกาเอ่ยเรียกเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจึงทำให้เบาใจขึ้นมาหน่อย นั่นอาจหมายความว่าท่านยังไม่ร