วันทั้งวันเมษาคลุกตัวอยู่แต่ในห้อง มื้อเที่ยงเธอก็ไม่ลงไปทานโดยอ้างว่าไม่หิวทั้งที่ความจริงคือเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์เหมือนตอนเช้ามากกว่า
ก็อก! ก็อก!
เธอพลันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจครั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น หัวใจดวงน้อยอดเต้นแรงไม่ได้ด้วยระแวงว่าจะเป็นชายหนุ่ม ยอมรับเลยว่าตั้งแต่เกิดเรื่องเธอรู้สึกระแวงไปหมดจริง ๆ
"คุณลียาคะ คุณสาริกาให้มาตามลงไปทานข้าวค่ะ"
ลมหายใจถูกพ่นออกจากจมูกโด่งด้วยความรู้สึกโล่งอกพอได้ยินเสียงแม่บ้านที่ดังเล็ดลอดเข้ามา เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ชายหนุ่มเธอก็ลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตูทันที
"ค่ะ"
ส่งยิ้มให้แม่บ้านเล็กน้อย จากนั้นก็เดินลงไปยังชั้นล่างด้วยหัวใจตุ่ม ๆ ต่อม ๆ ลุ้นว่าเย็นนี้เธอจะโดนชายหนุ่มหาเรื่องอะไรอีก เอาจริง ๆ หากไม่เกรงใจสาริกาที่เป็นเจ้าของบ้าน และรู้สึกหิวเธอไม่อยากจะลงไปเลยด้วยซ้ำ
เธอลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึกสองมือน้อย ๆ ขย้ำกระโปรงชุดเดรสแน่นในตอนที่เดินมาถึงห้องอาหารแล้วเห็นชายหนุ่มนั่งทำหน้ายักษ์อยู่ สายตาจ้องมองเธอราวกับจะกินหัวกัน
เธอไม่ชอบเอาเสียเลย แต่ก็ทำได้แค่ข่มอารมณ์ และจิตใจให้สงบนิ่งเอาไว้ ก้าวเข้าไปหย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้ข้างสาริกา
"อยู่บ้านคนอื่นไม่พอ ยังต้องให้เจ้าของบ้านอันเชิญลงมากินข้าวอีก..ดีเนาะ" เจ้านายที่นั่งอยู่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพูดแซะพลางจ้องมองด้วยแววตาดุดัน
ทำเอาคนถูกแซะอย่างเมษาถึงกับหน้าเจื่อนต้องรีบหลบแววตาดุดันที่จ้องมองมาด้วยความรู้สึกหวั่น รับรู้ได้ถึงรังสีอันตรายที่แผ่กระจายรอบ ๆ ตัว
"ลูกจะอะไรกับน้องนักหนาเจ้านาย" สาริกาที่นั่งทานข้าวเงียบ ๆ อดเงยหน้าขึ้นดุบุตรชายไม่ได้ เธอล่ะเหนื่อยใจจริง ๆ
หากไม่คิดว่าต้องให้เด็กสาวอยู่เป็นไม้กันหมาต่อจนกว่าจะแน่ใจว่าบุตรชายไม่หวนกลับไปหาผู้หญิงมีตำหนิแบบส้มแล้ว เธออยากจะให้เด็กสาวออกจากบ้านไปตอนนี้เลยด้วยซ้ำเพื่อตัดความรำคาญ
"แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลยนะครับ" เจ้านายเองก็อดค้อนขอดผู้เป็นแม่ไม่ได้เช่นกันด้วยคิดว่าท่านหวงหญิงสาวจนเกินเหตุ
ส่วนตัวต้นเหตุก็เสแสร้งแกล้งเป็นผู้หญิงอ่อนแอเก่งเหลือเกินทั้งที่ความจริงคงจะเจนจัดใช่ย่อยไม่อย่างนั้นคงไม่ทำเรื่องต่ำ ๆ และผิดศีลธรรม
"พอ ๆ นี่มันเวลากินข้าว อย่าทำให้เสียบรรยากาศ" สาริกาได้แต่ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะเอ่ยตัดบท แล้วก้มหน้าทานข้าวเพราะไม่อย่างนั้นบุตรชายคงพูดจาจิกกัดเด็กสาวไม่เลิก
เมษาเองก็รีบก้มหน้าทานข้าวในทันทีทำเป็นไม่สนใจร่างสูงตรงข้ามที่เอาแต่นั่งจ้องเธอด้วยแววตาดุดันสวนทางกับในใจที่โคตรอึดอัด
เมื่อทุกคนหมางเมินทำเป็นไม่สนใจเจ้านายจึงทำได้แค่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ วางช้อนในมือกระแทกลงบนจานข้าวจนเสียงดังเคร้งทำเอาสาริกากับเมษาถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ก่อนเขาจะลุกพรวดออกจากโต๊ะอาหารไปทั้งที่ยังไม่ได้ทานข้าวเลยสักนิด
เขารู้สึกโกรธจนทานอะไรไม่ลงจริง ๆ
สาริกามองตามหลังบุตรชายจนลับสายตา ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเด็กสาวอย่างอ่อนใจ "อย่าไปสนใจเลย"
"ค่ะ"
เมษาทำได้แค่ขานรับในลำคอ สวนทางกลับในใจที่แย้งว่าจะไม่ให้เธอสนใจได้ยังไงกันในเมื่อชายหนุ่มจ้องเช่นงานเธอตลอดเวลา
หลังจากทานข้าวเสร็จเธอก็รีบขึ้นห้องนอนทันทีพร้อมล็อคกลอนอย่างแน่นหนา และพอตกกลางคืนเธอก็ให้รสแม่บ้านมานอนเป็นเพื่อนด้วยกลัวว่าชายหนุ่มจะบุกเข้ามาเหมือนเมื่อคืนอีก
มีแม่บ้านนอนเป็นเพื่อนอย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องนอนอย่างหวาดระแวง..
"ลียารบกวนพี่รสแล้ว ต้องขอโทษด้วยนะคะ" เธอบอกกล่าวรสที่เดินถือหมอนกับผ้าห่มเข้ามาในห้องด้วยความเกรงใจ
"ไม่เป็นไรเลยค่ะคุณลียา" รสแม่บ้านวัยสามสิบต้น ๆ ระบายยิ้มให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยนเป็นเพราะลียานิสัยดีมาก ๆ ไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจพวกแม่บ้านอย่างเธอเลยแม้แต่น้อย
หนำซ้ำเมื่อมีเวลาว่างก็จะแวะมาช่วยงานครัวตลอดมีความเป็นกันเองไม่ถือตัวเลยสักนิดจึงทำให้แม่บ้านทุกคนเอ็นดูเธอเป็นพิเศษ
"พี่รสขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกันเถอะค่ะ นอนบนพื้นปวดหลังแย่เลย" เธอบอกกล่าวรสด้วยน้ำเสียงนุ่มพร้อมทั้งใช้มือตบที่นอนข้าง ๆ เชิงเรียกให้ขึ้นมานอนด้วยกัน
"ไม่ดีกว่าค่ะคุณลียา รสนอนบนพื้นได้ค่ะ" รสส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความเกรงใจยังไงหญิงสาวก็มีศักดิ์สูงกว่าเธอ
ทั้งที่ความจริงไม่ใช่เลยเมษาพึ่งระลึกอยู่เสมอว่าเธอเองก็มีฐานะไม่ต่างจากแม่บ้านของที่นี่เลยเพียงแต่ไม่สามารถเปิดเผยความจริงได้
"งั้นตามใจพี่รสแล้วกันค่ะ" เธอไม่อยากทำให้รสอึดอัดใจจึงไม่ได้คะยั้นคะยอ ต่างคนต่างล้มตัวลงนอนเงียบ ๆ
ทว่าเมษาไม่สามารถข่มตาหลับได้เลยในสมองของเธอมีเรื่องให้คิดเต็มไปหมด เธอนอนพลิกตัวไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนรู้สึกหิวน้ำขึ้นมาจึงหยัดกายลุกขึ้นนั่ง
หันมองรสที่นอนหลับชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจลุกลงจากเตียงเดินไปเปิดประตูแง้มดูว่าภายนอกมีบุคคลอันตรายอยู่หรือเปล่า ครั้นเห็นว่าโล่งจึงรีบเดินออกจากห้องลงไปดื่มน้ำในครัวทันที
"ว้าย!"
"ผี ๆๆ!!"
จังหวะที่เธอกำลังเก็บน้ำที่เอาออกมาดื่มใส่ไว้ในตู้เย็นดั่งเดิมแล้วเตรียมจะหันหลังกลับก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจกับเงาตะคุ่ม ๆ ที่ยืนประชิดอยู่ด้านหน้า สองเท้าเล็กขยับถอยหลังเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ
"ไง! แม่ตัวดี"
ความตกใจยังไม่ทันหายไปความกลัวก็เข้ามาแทนที่เมื่อเสียงแข็งกระด้างอันคุ้นเคยดังขึ้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร
"คะ..คุณเจ้านายมะ..มาได้ยังไงคะ"
เธอลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึกสองมือขย้ำชายกระโปรงชุดนอนผ้าซาตินแน่น สายตาก็กลอกกลิ้งไปมาเพื่อหาทางหนีทีไล่
"นี่บ้านฉันฉันจะเดินตรงไหนก็ได้" เจ้านายตอกกลับเสียงแข็งพร้อมเดินเข้าหาคนตัวเล็กช้า ๆ
"งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ" เมษาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายไม่ดีจึงเลี่ยงการปะทะด้วยการขอแยกตัวออกไป แต่ทว่าเหมือนอีกคนจะไม่ยอมจบ
"จะรีบไปไหน"
"อ๊ะ!"
เจ้านายคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็กในขณะที่เธอกำลังจะเดินผ่านไป แล้วกระตุกจนร่างน้อยเซถลาเข้าสู่อ้อมกอด โอบรัดเอวคอดแนบแน่นจนอีกคนไม่สามารถขยับตัวได้เลย
หัวใจดวงน้อย ๆ ของเมษาตุ่ม ๆ ต่อม ๆ ความกลัวเข้าครอบงำอย่างหนัก ในเวลานี้จะหาใครมาช่วยก็คงยากเพราะคงพากันหลับไปหมดแล้ว
มีเพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น เธอพยายามดีดดิ้นใช้มือผลักไสอกแกร่งสุดแรงหวังให้หลุดพ้นจากพันธนาการ แต่ก็ไร้ผล
"ปล่อยนะ คุณจะทำอะไรปล่อยนะ"
"การเข้ามาหาฉันเป็นสิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่เหรอ จะมาเล่นตัวทำไมลียาฉันอุตส่าห์ลดตัวลงมาสนองผู้หญิงร่านอย่างเธอให้แล้วไง"
ยิ่งร่างบางออกแรงดีดดิ้นมากขึ้นเจ้านายก็ยิ่งกระชับวงแขนแน่นขึ้นเช่นกันราวกับจะกดให้เธอจมลงกับอก
สองร่างแนบชิดแม้อากาศก็ไม่สามารถลอดผ่านได้
"ตอนนั้นฉันอาจจะหลงผิดไป แต่ตอนนี้ฉันรู้ตัวแล้วว่าตัวเองต้องการอะไร ฉันจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับคุณและคุณส้มแล้ว ปล่อยฉันเถอะ"
เมษาพยายามยกเหตุผลต่าง ๆ มาอ้างสุดฤทธิ์หวังให้ความโกรธของเขาทุเลาลงบ้างเพราะตอนนี้เธออยู่ในสถาการณ์ที่เสียเปรียบ
"ลิ้นที่ไม่มีกระดูกพูดอะไรไปก็เชื่อไม่ได้หรอกโดยเฉพาะคนตลบแตลงเก่งอย่างเธอลียา"
"แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไงคุณถึงจะเชื่อ"
"อื้อ..."
เจ้านายไม่ตอบอะไรกลับกระชากท้ายทอยคนตัวเล็กเข้ามาประกบจูบริมฝีปากอย่างไร้สัญญาณเตือนใด ๆ แรงกระทบรุนแรงทำเอากลีบปากอิ่มเป็นแผลจนได้กลิ่นคลาวเลือดลอยคละคลุ้งตีขึ้นจมูก
"อื้อ.." เมษาเจ็บจนน้ำตาคลอเบ้ารู้สึกพะอืดพะอมจนอยากจะอาเจียนออกมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะถูกอีกคนกดจูบปิดปากไว้แม้พยายามส่ายหน้าหนี รัวกำปั้นทุบตีอกแกร่งเท่าไรก็ไร้ผล
เจ้านายถอนจูบออกก็ตอนที่เขาพอใจไม่คิดสนใจความเจ็บปวดของอีกคนสักนิด
เขาผละจูบออกจับจ้องนัยน์ตาไหวระริกราวกับแม่กว้างน้อยอย่างเย้ยหยัน มือหนายกขึ้นแตะมุมปากอิ่มที่มีเลือดซึมออกมา ก่อนจะแลบลิ้นออกมาเลียราวกับคนโรคจิต
"เลือดคนร่านแบบเธอมันรสชาติดีเหมือนกันนะ"
คำพูดและการกระทำของชายหนุ่มทำเมษาเบี่ยงหน้าหนีอย่างนึกรังเกียจและขยะแขยง เธอเคยมองว่าเขาเยือกเย็น สุขุมมีความเป็นผู้ใหญ่ และดูเป็นคนใจดีวันนี้เธอขอถอนคำพูดทั้งหมด
เขาตรงข้ามกับที่เธอคิดทุกข้อ..
"ปล่อยฉันนะ" เธอออกแรงผลักไสคนตัวโตมากกว่าเดิมเมื่อเห็นแววตามาดหมายที่จ้องมองริมฝีปากอยู่พลันรีบเม้มปากเข้าหากันแน่นด้วยกลัวว่าเขาจะทำอะไรพิเรนทร์อีก
และเธอคิดไม่ผิด..
"อ๊ะ!"
ริมฝีปากอิ่มเผยอหลุดร้องออกเบา ๆ ใบหน้าเรียวเหยเกด้วยความเจ็บเมื่อถูกมือหนาจิกทิ้งกลุ่มผมด้านหลังจนใบหน้าเธอเชิดขึ้นสบประสานสายตากับคนใจร้าย
"ฉันเจ็บ!"
"เจ็บแค่นี้มันเทียบไม่ได้กับที่ฉัน และคนรักของฉันต้องเจ็บหรอก จำไว้ว่าหลังจากนี้ไปชีวิตของเธอก็ไม่ต่างอะไรจากอยู่ในนรก ในเมื่อฉันไม่มีความสุขตัวต้นเหตุอย่างเธอก็ไม่ควรมีความสุข"
สิ้นคำประกาศกร้าวใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มลงขบกัดลำคอระหงระบายอารมณ์ที่กำลังปะทุในกาย
"ปล่อยนะ ปล่อย" เมษาพยายามดีดดิ้นต่อต้านสุดกำลังทั้งพาตัวหนีใช้มือทุบตีปัดปายมั่วไปหมด
นาทีนี้เธอคิดเพียงว่าต้องเอาตัวให้รอด ทว่าแรงเพียงน้อยนิดของเธอไม่สามารถต่อกรกับคนตัวโตกว่าได้เลย
"ช่วยดะ.."
ครั้นทำท่าจะร้องตะโกนขอความช่วยเหลือกลับถูกเขาล็อคคอแล้วประกบจูบปิดปากอย่างแนบแน่นไร้เสียงใด ๆ หลุดรอดออกมาได้
"อื้อ ๆ"
ทุกการกระทำของชายหนุ่มสร้างความเจ็บปวดให้เมษาไม่น้อยเขาดันตัวเธอจนติดผนังเย็นเฉียบ ขณะที่ปากยังคงขบกับดูงดึงกลีบปากเธอไม่หยุดหย่อน มือทั้งสองก็พยายามดึงทึ้งเสื้อคลุมผ้าซาตินออกจนมันหลุดรุ่ยลงตามลาดไหล่เผยให้เห็นผิวขาวเรียบเนียนที่มันลอยเด่นท่ามกลางความมืดสลัว
เขาไม่มีท่าทีจะยอมหยุดการกระทำใด ๆ กลับกลายเป็นเธอเองที่เริ่มตัวอ่อนปวกเปียกหมดแรงต่อต้าน ตอนนี้เหมือนเธอจะเอามือไปแตะ ๆ ที่ตัวเขามากกว่าการผลักด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งของหญิงสาวเจ้านายก็พลันชะงักตามไปด้วยเพราะผิดจากที่เขาคิดไว้เยอะ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความอคิต และเกลียดชังที่มีต่อเธอหมดไป ยังพูดจาด้วยคำพูดจิกกัดอีก
"แค่นี้ก็หมดแรงแล้วเหรอ ฉันยังไม่ทำอะไรเลยนะไม่สมกับเป็นลียาผู้หญิงหน้าด้านเลยสักนิด"
เมษาได้แต่เก็บความโกรธเอาไว้ไม่อยากจะทำให้ความโกรธเขาปะทุขึ้นมาอีกระลอก แต่เหมือนการเมินเฉยของเธอจะกระตุ้นอารมณ์อีกคนเสียอย่างนั้น
มือหนาจับหมับเข้าที่ปลายคางมนแน่นก่อนจะกระแทกจูบลงบดเรียวปากอิ่มอย่างป่าเถื่อนจนแผลมุมปากก่อนหน้านี้มีเลือดซิบออกมาอีกครั้ง
เมษาทั้งเจ็บและโกรธจนไม่สามารถทนได้อีกต่อไปเช่นกัน เธอพยายามคว้าของที่วางอยู่ใกล้มือหวังช่วยเป็นเครื่องป้องกันตัว แต่ด้วยความไม่ทันระวังเลยทำให้มือปัดไปโดนกะละมังทำให้หล่นบนพื้นเสียงดัง
วินาทีต่อมาแสงไฟในห้องครัวก็สว่างวาบขึ้นตามด้วยเสียงเดินกึ่งวิ่งลงมาของใครบางคน และเหมือนกับสวรรค์มาโปรดเมษาเพราะคนที่วิ่งมาในครัวคือรสนั่นเอง
เธอรีบใช้โอกาสนั้นผลักชายหนุ่มออกแล้ววิ่งไปแอบหลังรสด้วยเนื้อตัวที่สั่นน้อย ๆ รสเองก็พอจะเดาออกว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อเห็นสายตาเอาเรื่องของเจ้านายหนุ่มที่จ้องมาจนเธอทำตัวไม่ถูกกันเลยทีเดียว
"จุ้น! ไม่เข้าเรื่อง" เจ้านายกดเสียงเอ่ยใส่แม่บ้านอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะก้าวดุ่ม ๆ เดินผ่านทั้งสองคนออกไปจากห้องครัว
หลังจากชายหนุ่มหายหลังไปเมษากับรสถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งออก แต่รสก็มิวายตกใจไม่ได้พอเห็นแผลบนมุมปากหญิงสาว และรอยแดงจากการโดนบีบเต็มแขนไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ซอกคอ เนินอกที่มีรอยขบกัด
"รสไม่คิดเลยว่าเจ้านายตัวเองที่ดูอ่อนโยนขนาดนั้นจะมีมุมแบบนี้ด้วย"
รสบ่นเปรย ๆ ในฐานะผู้หญิงด้วยกันเธอก็นึกเห็นใจไม่น้อยจนเมษาต้องรีบรวบเสื้อคลุมมาปกปิดร่องเอาไว้
แค่นี้เธอก็อับอายจะแย่อยู่แล้ว
"ไม่เป็นไรนะคุณลียา" รสพยายามปลอบใจหญิงสาวสุดฤทธิ์พลางพากันเดินขึ้นห้องนอนไปเพื่อพักผ่อน
จากเหตุการณ์ในคืนนั้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน ๆ เต็ม ๆ ที่เมษาต้องอยู่อย่างหวาดระแวง จะขยับตัวหรือทำอะไรก็เหมือนถูกจับจ้องตลอดเวลา และเธอยังถูกชายหนุ่มรังแก พูดจาเหยียดหยามทุกครั้งที่มีโอกาส บอกตามตรงว่าเธอไม่มีความสุขเอาเสียเลย ขนาดจะไปหาแม่กับน้องสาวก็ยังไม่ได้ไปเพราะกลัวความลับแตกทำได้แค่โทรถามข่าวคราวเธอตั้งใจว่าจะคุยกับสาริกาอีกครั้งเพราะนี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วที่เจ้านายกับส้มเลิกกัน และไม่มีทีท่าว่าทั้งสองจะหวนกลับมาคบกันอีก ซึ่งมันน่าจะมั่นใจได้แล้วเธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะสลัดความคิดอันหนักอึ้งออก แล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายไหล่เดินลงไปยังชั้นล่าง"คุณลียาจะไปไหนครับ" ลุงดินที่ยืนสำรวจรถอยู่หน้าบ้านเอ่ยถามเมื่อเห็นเด็กสาวเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอก "ให้ลุงไปส่งไหมครับ""ไม่เป็นไรค่ะลุงดิน หนูไปเองดีกว่า" เมษาระบายยิ้มให้ลุงดินบาง ๆ แล้วเดินออกไปยืนรอรถที่โทรเรียกหน้ารั้วบ้านรอไม่นานรถก็มาถึง ที่ที่เธอจะไปก็คือห้างนั่นเองเพื่อซื้อของขวัญให้สาริกาสำหรับวันเกิดของท่านในวันพรุ่งนี้ ความจริงเธอไม่ได้อยากจะซื้อให้สักนิด แต่ติดที่เธออยู่ในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้หากไม่มีอะไรมอบให้ว่าที
บนถนนใหญ่ที่มุ่งตรงสู่บ้านวณิชกาญจนโชติมีรถสองคันวิ่งไล่กันมาติด ๆ คันหนึ่งเป็นรถแท็กซี่ที่เมษานั่งอยู่ ส่วนคันที่วิ่งตามหลังเป็นรถของเจ้านายเสียงแตรจากรถของชายหนุ่มที่ไล่บี้รถหญิงสาวดังมาตลอดทางเป็นเชิงส่งสัญญาณให้รถเธอจอด เมษาได้ยินและรู้ว่าเป็นรถชายหนุ่มที่ตามมา แล้วเธอจะจอดให้โง่เหรออุตส่าห์หนีมาได้แล้วแท้ ๆ ยิ่งบอกคนขับแท็กซี่ให้ขับเร็วขึ้น เธอต้องกลับไปถึงบ้านให้เร็วที่สุดเท่านั้นเพราะในเวลานี้คงมีแค่สาริกาที่ปกป้องเธอจากคนที่กำลังโกรธจนบ้าระห่ำได้"หนูรู้จักคนที่กำลังขับรถไล่ตามมาใช่ไหม" แท็กซี่วัยกลางคนถามไถ่ด้วยความสงสัยระคนร้อนใจด้วยกลัวว่าจะเกิดปัญหาเหมือนที่เคยดูในข่าว"รู้จักค่ะ เขาเป็นญาติหนูเอง" เมษาเลือกโกหกเพราะไม่อยากพูดอะไรมากมายกว่านี้ ขณะนั้นก็คอยหันมองรถชายหนุ่มไปด้วยตอนนี้เธอแทบนั่งไม่ติด จิตใจมันรุ่มร้อนยิ่งกว่าไฟเสียอีกอยากจะกลับถึงบ้านไว ๆ "ลุงขับเร็วกว่านี้ได้ไหมคะ""เร็วกว่านี้ลุงกลัวจะอันตราย" คนขับแท็กซี่บอกกล่าวเมษาจึงทำให้แค่พยายามสงบจิตสงบใจไว้ สองมือน้อย ๆ บนหน้าตักประสานเข้าหากันแน่นด้วยความลุ้นระทึกทุกวินาทีหัวใจดวงน้อยยิ่งกระหน่ำเต้นหนักกว่าเด
สาริกากับประวีที่กำลังพักผ่อนอยู่บนห้องได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กสาวจนต้องรีบพากันลงมาดู แล้วก็ได้เห็นว่าบุตรชายกำลังกอดรัดเด็กสาวอยู่"เจ้านายลูกทำอะไร ปล่อยน้องเดี๋ยวนี้นะ!" เธอทั้งตกใจและไม่ชอบใจในเวลาเดียวกันที่บุตรชายใกล้ชิดเด็กสาว แต่ยังตีหน้าทำเหมือนเป็นห่วงเด็กสาวรีบเดินเข้าไปดึงตัวบุตรชายออกโดยมีคนเป็นสามียืนมองเงียบ ๆ แต่มีหรือเจ้านายจะยอมปล่อยง่าย ๆ ในเมื่อเขาจับหญิงสาวได้แล้ว"แม่อย่ามายุ่ง ยังไงวันนี้ผมก็จะจัดการเธอให้ได้" เขาจ้องหน้าผู้เป็นแม่เขม็งพลางสลัดแขนออกจากการดึงรั้งของท่าน ขณะที่อีกข้างจับมือหญิงสาวไว้แน่น"ปล่อยนะคุณเจ้านาย" เมษาเองพยายามแกะมือหนาออกจากข้อมือพัลวันพร้อมกับสาริกาที่ไม่ยอมละความพยายามจะแยกบุตรชายออกจากเด็กสาว"แม่บอกให้ปล่อยน้องเจ้านาย มีอะไรค่อยคุยกัน""ผู้หญิงอย่างลียาคุยดีด้วยไม่ได้หรอกครับ"ภายในห้องนั่งเล่นเกิดความวุ่นวายจากการเยื้อยุด และเสียงถกเถียงของสองคนแม่ลูก และไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ ขณะที่คนกลางอย่างเมษาตัวเซถลาไปมาแทบจะล้มแล้ไม่ล้มแล้อยู่หลายครั้งจากการแรงเยื้อยุดสุดท้ายประวีที่ยืนมองเหตุการณ์ก็ทนดูไม่ไหวต้องเป็นคนห้ามศึกทั้งที
วันต่อมาภายในบ้านดูจะวุ่นวายไปเสียหมดเพราะทุกคนยุ่งกับการจัดงานวันเกิดของสาริกา รวมถึงเมษาด้วยที่ไม่อยู่นิ่งเฉยช่วยงานจนตัวเป็นเกลียว คิดเสียว่าเป็นการส่งท้ายก่อนเธอจะออกจากบ้านหลังนี้งานวันเกิดสาริกาถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตทุกปีเพราะครอบครัวของเธอค่อนข้างมีหน้ามีตาทางสังคม บวกด้วยสาริกาที่เป็นคนชอบโอ้อวดเป็นทุกเดิมอยู่แล้วด้วยจึงน้อยหน้าใคร ๆ ไม่ได้ใช้เวลากับการจัดสถานที่บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน และจัดเตรียมอาหาร เครื่องดื่ม ขนมเสร็จก็เย็นพอดีเมษาจึงหลบขึ้นห้องพักผ่อนและคิดว่าคืนนี้คงไม่ไปร่วมงานแค่ช่วยแม่บ้านเตรียมอาหารในครัวก็พอเพราะพอพรุ่งนี้เช้าเธอก็จะไปจากที่นี่ทันทีไม่มีความจำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไป สาริกาเองก็ไม่ได้สั่งอะไรเมื่อถึงเวลาเริ่มงานแขกเหรื่อเริ่มทยอยกันมาเมษาก็อาบน้ำแต่งตัว โดยเสื้อผ้าที่เธอเลือกสวมใส่วันนี้เป็นเสื้อยืดคอกลมสีขาวธรรมดากับกระโปรงผ้าซาตินสีชมพูอ่อนยาวถึงกลางขาดูเรียบร้อยและอ่อนหวานในคราวเดียวกันใบหน้าแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางบางเบาให้ดูไม่จืดชืดจนเกินไป เธอไม่ได้แต่งหรูหรา แต่ก็ไม่ได้แต่งจนดูเหมือนไม่ให้เกียรติเจ้าของงานอย่างสาริกาเธอยืนสำรวจความเรีย
"ส่วนนี้คุณหญิงสิณีกับหนูดีเจ้านาย ภรรยาเจ้าสัวเกริกศักดิ์" เสียงแม่ดังทบโสตประสาททำให้เจ้านายหลุดจากภวังค์ความคิด ดึงสายตาไปมองทั้งสองคนตรงหน้า แล้วยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนตามมารยาท สวนทางกับใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มไร้ความยินดีทำคนทั้งสองที่ยิ้มร่าถึงกับหน้าเจื่อนรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มคงไม่อยากรู้จักพวกเธอสักเท่าดูจากปฏิกิริยาที่แสดงออกมาสาริกาเองก็รับรู้ได้เกรงว่าปล่อยไว้บรรยากาศจะไม่ราบรื่นจึงเชื้อเชิญให้สองแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ให้ ก่อนไปก็มิวายส่งสายตาตำหนิบุตรชายเธออุตส่าห์แนะนำให้บุตรชายรู้จักกับผู้หญิงที่เพรียบพร้อม และเหมาะสมกับตัวเองทุกอย่างเพื่ออนาคตจะได้เกี่ยวดองกัน แต่บุตรชายกลับทำเสียแผนหมดถามว่าเจ้านายสะท้านกับสายตาตำหนิคนเป็นแม่ไหมตอบเลยว่าไม่ เดินไปนั่งดื่มเครื่องดื่มข้างคนเป็นพ่อหน้าตาเฉยสาริกาจึงต้องเป็นฝ่ายสะกดกลั้นอารมณ์เสียเองไม่อยากทำให้บรรยากาศในวันเกิดเสีย ครั้นส่งสองแม่ลูกถึงโต๊ะก็เดินกลับมานั่งกับสามีและลูก ทำเป็นพูดคุยหัวเราะกับทั้งสองอย่างมีความสุขให้คนในงานอิจฉา ทั้งที่ความรู้สึกตรงกันข้ามเธอหงุดสองคนพ่อลูกมากกว่าที่ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลยทุกอย่
"เฮ้อ.."เมษาลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าเขตห้องครัวเพราะเมื่อกี้ตอนออกไปเติมของที่โต๊ะข้างนอก เหลือบเห็นว่าชายหนุ่มนั่งจ้องด้วยสายตาแทบจะกินหัวตลอดเวลา แต่เธอแสร้งทำไม่เห็นรีบเติมของแล้วรีบเข้ามาเธออยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็ว ๆ แล้วสิ.."เป็นอะไรคะน้องลี" รสที่เห็นสีหน้าเหนื่อย ๆ ของหญิงสาวอดถามไถ่ไม่ได้ ทั้งที่ตอนออกไปดูปกติดี"ปะ..""อ๊ะ..".ไม่ทันได้ตอบคำถามเมษาก็ต้องหลุดร้องด้วยแรงกระชากรุนแรงจากด้านหลัง ตัวเธอหมุนติ้วเข้าปะทะร่างเจ้าของการกระทำเต็ม ๆ ท่ามกลางสายตาของแม่บ้านที่ตกใจเจ้านายไม่พูดพร่ำทำเพลงพอจับหญิงสาวได้ก็ลากให้เธอเดินตามไปทางประตูหลังครัว"ปล่อยนะคุณเจ้านาย คุณจะพาฉันไปไหน" เมษาพยายามขัดขืนสะบัดมือออกจากการจับกุมพร้อมทั้งหันส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเหล่าแม่บ้านไปด้วย แต่ไม่มีใครกล้าเข้ายุ่งเพราะเห็นว่าเจ้านายกำลังโกรธมาก "โอ้ย!" เมษาถูกฉุดกระชากแรงขึ้นจนตัวปลิว หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความหวาดหวั่นเมื่อถูกฉุดกระชากเข้าสู่บริเวณทางเดินบ้านพักของแม่บ้านที่มีเพียงแสงสว่างส่องเล็กน้อย บรรยากาศเงียบสงัดจนดูวังเวง"คุณเจ้านาย คุณจะพาฉันไปไ
"..."เมษากลับเงียบพร้อมก้มหน้าหลบสายตากดดันเธอไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไงดี อีกทั้งยังรู้สึกกลัวและกังวลไปหมด นั่นทำให้เจ้านายไม่คิดจะอดทนอีกต่อไปผละตัวออกจากร่างบาง "งั้นก็ไปพูดกับลียาตัวจริงเองแล้วกัน แต่เธอคงไม่ได้โง่จนไม่รู้ใช่ไหมว่าการสวมรอยเป็นคนอื่นมันผิดกฎหมาย หากลียาตัวจริงรู้ว่าตัวเองถูกสวมรอยแล้วไปแจ้งความจับเธอเข้าคุกใครหน้าไหนก็คงช่วยเธอไม่ได้" พูดขู่ด้วยน้ำเสียงดุดันพร้อมทั้งยื่นมือไปจับข้อมือเล็กทำท่าลากเธอออกไปจากบ้าน จงใจแสดงให้หญิงสาวเห็นว่าเขาพูดจริงทำจริงเธอจะได้เลิกปากแข็งสักทีและมันได้ผล.."มะ..ไม่นะ"เมษารีบสะบัดมือออกจากการจับกุมวิ่งไปยืนห่าง ๆ ร่างสูงด้วยกลัวว่าจะถูกเขาจับไปส่งลียา สายตาจ้องมองใบหน้าคมคายด้วยความรู้สึกกลัวและกังวลสองมือน้อย ๆ ขย้ำกระโปรงตัวยาวแน่นจนฝ่ามือเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อตลอดจนถึงไรผม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภายในบ้านมันร้อน หรือเพราะความกดดันกันแน่ เธอลอบกลืนน้ำลายลงลำคอแห้งผากดังอึก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดยาว ๆ เรียกความกล้าบอกกล่าวไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิวแทบจะขาดหาย"ฉันชื่อ..เมษา..""แล้วเธอมาสวมรอยเป็นลียาทำไม ต้องการอะไร"พอมาถึงคำถามนี้เม
กลับมาถึงบ้านเจ้านายก็พบว่าแขกเหรื่อทยอยกันกลับหมดแล้ว เหลือเพียงแม่บ้านที่ช่วยกันเก็บสถานที่"พ่อกับแม่ฉันอยู่ไหน" เปล่งเสียงถามแม่บ้านเมื่อได้รับคำตอบว่าทั้งสองนั่งอยู่ในบ้านก็รีบเดินเข้าหาไป"เจ้านาย" สาริกาที่นั่งใจจดใจจ่อรอบุตรชายอยู่ในห้องโถงรีบลุกพรวดไปหาบุตรชายทันทีเธอร้อนรนใจยิ่งนักหลังรู้จากแม่บ้านว่าบุตรชายฉุดกระชากลากถูเด็กสาวออกไปทางหลังครัว แต่ไม่รู้ว่าไปไหนกันเพราะไม่มีใครกล้าตามไปดู"แล้วเมษาล่ะ ลูกพาเมษาไปไว้ที่ไหน แล้วลูกทำอะไรเธอรึเปล่า" ยิงคำถามใส่ระรัวเมื่อไม่เห็นเด็กสาวกลับมาด้วย กลัวว่าบุตรชายจะทำอะไรแผลง ๆนาทีนี้เธอเรียกเด็กสาวว่าเมษาได้เต็มปากเต็มคำเพราะความจริงถูกเปิดเผยแล้วไม่จำเป็นให้สวมรอยเป็นลียาอีกต่อไป"หึ" เจ้านายเค้นหัวเราะในลำคอเบา ๆ พอได้เห็นท่าทางร้อนรนจนปิดไม่มิดของผู้เป็นแม่ แต่เขาเลือกไม่ตอบคำถามท่านถามถึงเรื่องอื่นแทน"ลียากับครอบครัวกลับไปแล้วเหรอครับ" "เจ้านายแม่ถามลูกอยู่นะ ลูกจะพูดเรื่องอื่นทำไม" สาริกายิ่งร้อนรนจนเผลอขึ้นเสียงใส่บุตรชายถามว่าเจ้านายสะทกสะท้านไหมตอบเลยว่าไม่ มองสบแววตาขุ่นมัวคนเป็นแม่นิ่ง ๆ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ยอมอ่อนข้
“อ๊ะ!” เมษาหลับตาพริ้มเมื่อแก่นกายหนาค่อย ๆ สอดใส่ผ่านปากทางรัก ฝากฝังความเป็นชายของเขาเข้ามาถึงครึ่งลำอย่างรวดเร็วจากหยาดน้ำหวานเปียกชื้นที่ทำหน้าที่แทนสารหล่อลื่นลำกายหนาชำแรกผ่านม่านความเจ็บปวดที่ตอดรัดเขาอย่างบ้าคลั่ง เพียงไม่กี่วินาทีขนาดอันใหญ่โตก็ถูกโอบอุ้มด้วยความอบอุ่นจากร่างกายของหญิงสาวที่ตอนนี้ตัวสั่นเกร็งอย่างห้ามไม่อยู่“ฮึก..” เมษากัดริมฝีปาก ใบหน้าหวานเชิดขึ้นสูงเมื่อคนตัวโตทิ้งน้ำหนักลงจนร่างกายเบียดแนบกันไร้ช่องว่าง“เจ็บไหมคะ?” เจ้านายกระซิบถามเสียงต่ำขณะโน้มตัวลงจูบซับไปตามใบหน้าเรียว“เจ็บนิดหน่อยค่ะ..แต่ทนไหว” หญิงสาวตอบเสียงอ้อนอาจเป็นเพราะห่างหายมานาน และขนาดที่ใหญ่โตของชายหนุ่มเลยทำให้รู้สึกเจ็บน้อย ๆ ทว่าแม้จะเจ็บแต่เธอก็ไม่อยากให้เขาแยกจากเลยแม้แต่วินาทีเดียว สองมือเรียวจิกผ้าปูที่นอนระบายความเจ็บที่เคล้าระคนไปกับความเสียวซ่านจนแทบจะแยกไม่ออก เสียงลมหายใจหนัก ๆ ที่ข้างใบหูทำให้เลือดในกายของเธอสูบฉีด ในที่สุดเธอก็ปรับตัวได้ “พี่จะขยับแล้วนะ” เจ้านายกระซิบ สอดผสานฝ่ามือของเขาและเธอเข้าด้วยกัน กดลงที่เหนือศีรษะเล็กแล้วเริ่มขยับ ในจังหวะแรกเนิบนาบและมั่นคง
@โรงแรมภายในห้องทรงสี่เหลี่ยมที่ถูกเปิดไฟดาวน์ไลท์หน้าห้องน้ำเอาไว้ ให้ความสว่างเพียงสลัว ๆ เท่านั้น กลิ่นอโรม่าลอยจาง ๆ ในอากาศทำให้บรรยากาศโรแมนติกไม่น้อย เดินมาถึงห้องนอนเมษาก็อดหัวใจเต้นแรงไม่ได้เมื่อเห็นบนเตียงนอนสีขาวที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงเป็นรูปหัวใจตรงกลางถูกโรยเป็นตัวอักษรคำว่า 'พี่นายรักน้องเมย์'ตรงปลายเตียงมีผ้าขนหนูที่ถูกทำเป็นรูปหงส์สองตัวหันหน้าเข้าหากันมันเหมือนเตียงสำหรับคู่บ่าวสาวชัด ๆ สมองพานก่อเกิดภาพแสนลามกขึ้นมา"ชอบไหมครับ" เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกคนตัวโตสอดแขนเข้ามาโอบกอดเอวคอดจากด้านหลังพร้อมกับน้ำเสียงสุดเซ็กซี่ที่ดังชิดกกหูตามมาด้วยลมหายใจร้อนผะผ่าวทำขนกายเธอลุกซู่ ในท้องรู้สึกปั่นป่วนแปลก ๆ"ชอบค่ะ เหมือนเตียงในเรือนหอบ่าวสาวเลย" ใบหน้าเรียวที่เคลือบด้วยรอยยิ้มแสนหวานเอียงขึ้นมองสบสายตาร่างสูงด้านหลัง"งั้นเรามาเข้าหอกันไหมครับ" ได้ทีเจ้านายก็ชวนทำเรื่องอย่างว่าทั้งที่สัญญาดิบดีว่าแค่นอนกอดเฉย ๆ เอาจริง ๆ ที่พูดแบบนั้นเขาก็แค่หลอล่อคนตัวเล็กเขาของขาดมาตั้งไม่รู้กี่เดือนจะให้ทนไหวได้อย่างไรกัน แน่นอนว่าเมษาเองรู้ทันคนตัวโตอย่างที่รู้ ๆ กันดีทั้งเธอแล
หลังจากคืนดีกันสิ่งแรกที่เจ้านายทำคือพาหญิงสาวไปเดท เขาเลือกร้านอาหารที่เป็นร้านโปรดของเธอ เขาอยากให้เธอประทับใจที่สุดกับการกลับมาเริ่มต้นใหม่เพราะที่ผ่านมาการเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาไม่ดีเท่าไรนัก ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าไม่ดีมาก ๆ..แต่นี่สินะที่คนโบร่ำโบราณกล่าวไว้ว่าเกลียดสิ่งไหนมักได้สิ่งนั้นวันนี้เขากล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่ารักผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามสุดหัวใจ รักแบบไม่คิดว่าจะรักได้มากขนาดนี้"อย่ามองแบบนี้สิคะ เมย์เขินนะ" เมษาที่ถูกชายหนุ่มจ้องมองแทบจะกลืนกินถึงกับหน้าแดงระเรื่อออกอาการเขินจนเก็บไม่อยู่ บ่อยครั้งที่ถูกเขามองด้วยสายตาแบบนี้แต่อย่างที่บอกว่าเธอก็ไม่เคยต้านทานมันได้สักทียิ่งหลังจากกลับมาคืนดีกันเขาก็ใช้สายตาแบบนี้แทบทุกวันแทบทุกเวลาที่อยู่ด้วยกัน แค่นั้นไม่พอเขายังติดสกินชิพเธอชนิดที่ว่าเหมือนกาวตราช้างก็ไม่ปราน วันแรกที่ตกลงคืนดีกันเขาก็ไปแสดงตัวว่าเป็นแฟนเธอที่มหาวิทยาลัยโดยเฉพาะกับเพื่อนร่วมห้องที่แอบชอบเธอกะว่าจะไม่ให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้เธอเลยสิ แต่บอกตามตรงว่าแทนที่จะไม่พอใจเธอกับรู้สึกดีด้วยซ้ำที่เขาแสดงความหึงหวงออกมา และกล้าจะเป
วันต่อมา.."อรุณสวัสดิ์ครับน้องเมย์"เสียงทักทายดังขึ้นเหนือศีรษะทำเมษาที่กำลังลืมตาตื่นถึงกับตาเบิกโพลงอาการง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง เธอดีดตัวลุกขี้นนั่งอัตโนมัติเมื่อเงยขึ้นเห็นคนตัวโตนั่งพิงหัวเตียง และกำลังจับจ้องมาที่เธอ สองคิ้วสวยขมวดมุ่นจำได้ว่าเมื่อคืนเธอนั่งทำรายงานจนดึกจึงเข้านอน โดยตอนที่เธอเข้านอนชายหนุ่มยังฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะ แต่ไหง่เช้านี้ตื่นมาเขาถึงอยู่บนเตียงได้ แล้วเขาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร"คุณขึ้นมาบนเตียงตั้งแต่เมื่อไร" ไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยเปล่งเสียงถามตรง ๆ "ราวตีสองได้แล้วครับ นอนตรงนั้นแล้วปวดเมื่อยไปทั้งตัวพี่เลยมานอนบนเตียง" เจ้านายเอ่ยเสียงอ่อนพลางส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้หญิงสาวด้วยกลัวว่าเธอจะโกรธ ที่เขาพูดไปไม่ใช่คำแก้ตัว แต่รู้สึกปวดหลังปวดขาจริง ๆ จึงมานอนที่เตียงกับเธออย่างถือวิสาสะใบหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากลัวเธอโกรธ ทว่าเมษากลับแอบอมยิ้ม ในสายตาเขาเธอดุมากเลยหรือถึงให้ออกอาการขนาดนี้ เจ้านายคนใจร้ายหายไปไหนเสียแล้ว เธออยากจะหัวเราะออกมา แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้"ฉันเข้าใจ คนแก่ก็แบบนี้แหละปวดหลังปวดนู่นปวดนี่ป็นธรรมดาจะไม่ถือโทษแล้วกัน" เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ซี๊ดด.."เจ้านายซูดปากออกมาเบา ๆ ในตอนที่กำลังหยัดกายลุกขึ้นยืน มือกอบกุมหน้าท้องแกร่งเอาไว้ ใบหน้าเหยเกคล้ายคนกำลังเจ็บปวด เมษาเห็นก็อดสงสัยไม่ได้ "คุณเป็นอะไร""พี่รู้สึกปวดท้องนิดหน่อยครับ"พอฟังคำตอบเธอก็เดาได้ทันทีว่าที่ชายหนุ่มปวดท้องน่าจะเพราะทานอาหารที่เธอทำมากเกินไป สิ่งที่แอบกังวลก็เป็นจริงถึงเธอจะตั้งใจแกล้ง แต่ก็ไม่ได้อยากให้เขาถึงขั้นเจ็บตัว"ไปหาหมอไหม" ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทว่าคนตัวโตกลับส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับเดินกอบกุมท้องออกไปยังห้องโถงเดินมาหย่อนก้นนั่งที่โซฟาโดยมีเมษาเดินตามมาติด ๆ ด้วยรู้สึกเป็นห่วงต่อให้เขาบอกว่าปวดท้องนิดหน่อยก็ตาม"แน่ใจจริง ๆ นะว่าจะไม่ไปหาหมอ" เดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งข้าง ๆ แล้วถามย้ำอีกครั้ง "ฉันว่าไปหาหมอดีกว่า"ใบหน้าเรียวและดวงตากลมแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างปิดไม่มิดเจ้านายเห็นก็แอบหัวใจพองโตถือว่าที่เขาทนทานอาหารรสชาติแย่จนเกลี้ยงไม่เสียเปล่าอย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่าหญิงสาวยังมีความรู้สึกต่อเขาไม่มากก็น้อยไม่อย่างนั้นคงไม่มีท่าทีเป็นห่วงแบบนี้"แน่ใจครับ ไม่ได้เจ็บมากเดี๋ยวก็คงหายไปเอง" เขาระบายยิ้มออกมาบาง ๆ สายตาจ้องมองใ
เจ้านายเดินไปหย่อนก้นนั่งที่โซฟาในห้องโถง ขณะที่เมษาเดินขึ้นไปยังห้องนอนเพื่อเอาของไว้ แล้วลงมายังชั้นล่างอีกครั้ง"ฉันจะไปทำกับข้าว คุณนั่งรอก่อน" บอกกล่าวกับร่างสูงที่นั่งบนโซฟาแล้วเดินเข้าไปในครัว แต่เมื่อมาถึงเธอกลับบอกให้แม่บ้านทำเมนูต่างให้ สวนปรุงรสเธอจะเป็นคนปรุงเองสั่งเสร็จก็นั่งบนเก้าอี้แถวนั้นรอแม่บ้านทำอาหาร แม่บ้านห้าคนเร่งทำเมนูอาหารที่หญิงสาวสั่งพัลวัน ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีก็เสร็จเหลือเพียงให้คนเป็นเจ้านายมาปรุงรส"มาปรุงรสได้เลยค่ะคุณหนู" แม่บ้านคนหนึ่งบอกกล่าว เมษาจึงลุกเดินไปยื่นหน้าเตาที่วางเรียงกันสี่อัน ก่อนจะยื่นมือไปหยิบขวดน้ำส้มสายชูมาบีบใส่ผัดผักรวมในกระทะ ตามด้วยหม้อแกงอีกสามหม้อ จากนั้นก็หยิบขวดเกลือมาเปิดฝาเหยาะใส่ต่อสร้างความงุนงงให้เหล่าแม่บ้านที่ยืนมองอยู่ด้านหลังไม่น้อย ต่างพากันมองหน้าไปมาเพราะจะทักท้วงก็ไม่กล้าเมษยกยิ้มร้ายมุมปากพลางไล่สายตามองกับข้าวบนเตา เธอใช้แค่น้ำส้มสายชูกับเกลือปรุงรสด้วยนึกหมั่นไส้คนตัวโตจึงอยากแกล้งเขา ดูสิยังจะบอกว่าได้ทานข้าวกับคนที่รักอร่อยอยู่ไหม"เสร็จแล้วจัดโต๊ะได้เลยนะคะ แล้วก็ทอดไข่เจียวให้เมย์สักสองฟองด้วยนะคะ" เธอ
แป๊บเดียวเวลาก็ผ่านมาสามเดือนเต็มแล้วที่เจ้านายตามง้อเมษา และเหมือนความพยายามของเขาจะออกผลบ้างแล้วเพราะเธอดูอ่อนลง ยอมรับอะไร ๆ ที่เขาคอยทำให้บ้างแม้จะไม่ทุกอย่างก็ตามเจ้านายมารอรับหญิงสาวเหมือนเช่นทุกวัน ที่แตกต่างไปคงเป็นกุหลาบสีแดงช่อโตที่วางบนเบาะข้างคนขับ เขาขับรถผ่านร้านดอกไม้แล้วนึกถึงเธอจึงตั้งใจซื้อมาให้ ได้แต่หวังว่าเธอจะชอบ และไม่โยนทิ้งถังขยะเขานั่งรอในรถจนเห็นเธอเดินมาจึงเปิดประตูลงจากรถ เดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับรอ"เชิญครับคุณผู้หญิง" เธอเดินมาถึงก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานพลางโน้มตัวผายมือเชื้อเชิญขึ้นรถ"ขอบคุณ" เมษาเอ่ยตามมารยาท ในวินาทีที่กำลังจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถแล้วเห็นช่อดอกไม้วางอยู่บนเบาะเธอก็ต้องชะงักสองคิ้วขมวดมุ่น ก่อนจะหันไปมองร่างสูงที่ยืนยิ้มแฉ่งเชิงตั้งคำถาม"ชอบไหมครับ พี่เห็นมันสวยดีเลยนึกถึงน้องเมย์" เจ้านายบอกกล่าวพลางมองช่อดอกไม้สลับกับใบหน้าแสนสวย "พี่ตั้งใจซื้อมาให้เลยนะครับ"เมษาไม่ได้พูดอะไรอีก ยื่นมือไปหยิบช่อดอกไม้มาถือไว้แล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ ก่อนจะวางช่อดอกไม้บนตักเจ้านายเห็นแบบนั้นก็ใจชื่นหน่อยเพราะแอบลุ้นอย่างหนักว่าเธอจะรับไหม หรือร
เมษารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาหลังจากนอนหลับเต็มอิ่มแล้ว สองคิ้วสวยพลันขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อปรือตาขึ้นพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดคนตัวโตหนำซ้ำเธอยังกอดเขาอยู่เช่นกัน ใบหน้าชิดใกล้กับแผงอกแกร่งที่หลบซ่อนภายใต้เสื้อยืดสีดำจนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจอีกฝ่าย และได้กลิ่นน้ำหอมประจำตัวของเขา เธอเผลอสูดดมเข้าปอดพรืดใหญ่ ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองใบหน้าคมคายที่อยู่ห่างเพียงนิด มือยกขึ้นสัมผัสบนแก้มเกลี้ยงเกลาเบา ๆ นานแล้วสินะที่เธอไม่ได้มอง และได้อยู่ใกล้ ๆ เขาแบบนี้อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้จริง ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอโคตรคิดถึงและโหยหาเขาเลย แต่ก็ทำได้แค่อดทนอดกลั้นความรู้สึกเอาไว้แม้เขาทำเธอเจ็บ แต่เธอก็ยังรู้สึกดีเวลาที่ได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดนี้เพราะเขาเป็นคนที่เข้ามาเติมเต็มความรักความอบอุ่นที่ขาดหายจากผู้เป็นพ่อให้กับเธอภายนอกเธอแสดงออกไปเหมือนยังโกรธเขาอยู่ ทว่าจริง ๆ หัวใจของเธอมันอ่อนไหวไปแล้วเพียงแค่พยายามฝืนตัวเองไว้เท่านั้นเธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ สายตายังคงจับจ้องใบหน้าคมคายไม่วาง เนิ่นนานหลายนาทีก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับซุกหน้าเข้าหาอกแกร่งใช้โอกาสที่คนตัวโตหลับซึมซับความอบอุ่นที่โหย
@ร้านอาหารครึ่งชั่วโมงต่อมาเมษาก็ต้องมานั่งหน้าบูดบึ้งอยู่ที่ร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งแทนที่จะได้กลับบ้านก็เพราะคนหน้ามึนอย่างชายหนุ่มพามาน่ะสิทั้งที่เธอบอกแล้วว่าไม่หิวไม่อยากกิน แต่เขาก็ไม่ฟังพามาจนได้เธอนั่งกอดอกมองอาหารมากกว่าห้าอย่างด้วยแววตาขุ่นเคือง ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นเมนูโปรดเธอทั้งนั้นถามว่าใครสั่งก็คนที่พามานั่นแหละ คิดว่าแค่จำเมนูอาหารทุกอย่างที่เธอชอบทานได้จะทำให้เธอใจอ่อนงั้นหรือบอกเลยไม่มีทาง"พี่สั่งของโปรดน้องเมย์ทั้งนั้นเลยนะครับ ทานสิ" เจ้านายเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อเห็นคนตัวเล็กเอาแต่นั่งทำหน้าคว่ำ มือกอดอก สายตามองมาอย่างไม่พอใจราวกับเด็กน้อย"ก็บอกแล้วไงว่าไม่หิว อยากกินก็กินไปคนเดียวสิ" เมษาตอบเสียงขุ่นพลางสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นไม่อยากจะมองหน้าคนใจร้าย"ไม่หิวจริง ๆ เหรอครับ ของโปรดน้องทั้งนั้นเลยนะ" ไม่ว่าเปล่าเจ้านายยังยกจานปูผัดผงกะหรี่ไปใกล้ใบหน้าเรียวยั่วความอยากของเธอด้วยกลิ่นหอม ๆกลิ่นหอมของผงกะหรี่ลอยอบอวลแตะจมูกทำเมษาลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึก จากที่หิวอยู่แล้วก็ยิ่งหิวเข้าไปอีก ทว่าเธอยังคงเก็บอาการได้ดี"ก็บอกว่าไม่หิวไง" หันกลับมามองคนตัวโตตาขวา