"คู่หมั้น!"
คำว่าคู่หมั้นจากปากผู้เป็นแม่ทำเอาเจ้านายถึงกับเบิกตากว้างพรวดพราดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ คู่หมั้นของเขาอย่างนั้นเหรอนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเขาไปมีคู่หมั้นตั้งแต่ตอนไหน คำถามมากมายผุดขึ้นในสมอง "นี่มันอะไรกันครับแม่ คู่หมั้นอะไรกัน" ไม่ใช่แค่เจ้านายที่ตกใจส้มแฟนของเขาก็ตกใจเช่นกันที่จู่ ๆ แฟนตัวเองก็มีคู่หมั้นโผล่มา ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอควรรู้สึกยังไงดี ทว่าในตอนนี้เธอก็ทำได้แค่เก็บความรู้สึกเก็บความสงสัยเอาไว้นั่งฟังต่อไปเงียบ ๆ ไว้ค่อยถามเจ้านายทีหลังเพราะเธอยังเชื่อมั่นในตัวเขา ภายในห้องโถงตกอยู่ในความเงียบ บรรยากาศเป็นไปอย่างอึมครึม ก่อนที่สาริกาจะตอบคำถามบุตรชายด้วยสีหน้าท่าทางสบาย ๆ ไม่มีแว่วทุกขร้อนใด ๆ "ลูกจำไม่ได้เหรอที่แม่เคยบอกว่าพ่อได้หมั้นหมายลูกสาวของเพื่อนพ่อไว้ให้ลูกในตอนที่ลูกยังเด็ก ๆ อยู่ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คือหนูลียานี่ไง วันนี้พ่อของลียาเลยส่งหนูลียามาทวงสัญญา" "..." "ลูกเองก็เคยเจอหนูลียาแล้วนิเมื่อสิบปีก่อน ก่อนที่หนูลียาจะย้ายไปอยู่เกาหลีทำไมถึงจำไม่ได้ แต่ก็ไม่แปลกเพราะลูกเคยเจอกับน้องตอนเด็ก ๆ ตอนนี้น้องเขาโตเป็นสาวแถมยังสวยด้วยเป็นธรรมดาที่ลูกจะจำไม่ได้" เจ้านายยิ่งขมวดคิ้วชนกันหนักกว่าเดิมกับคำพูดของผู้เป็นแม่สายตายังคงจับจ้องหน้าผู้หญิงที่ท่านบอกว่าเป็นคู่หมั้นของเขา พยายามทบทวนเรื่องราวในอดีต ก่อนความทรงจำบางอย่างจะผุดขึ้นในสมอง ใช่เขาเคยเจอเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่าลียาจริง ๆ ตอนนั้นเธอน่าจะสิบขวบส่วนเขาก็อายุสิบห้า แต่หน้าตาของลียาในอดีตไม่ใช่แบบนี้ เท่าที่จำได้เธอหน้าตาออกหมวย ๆ ผิวขาวอมชมพูไม่ใช่หน้าตาสวยคม และผิวขาวเหลืองอย่างตอนนี้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน คนเราพอโตขึ้นจะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนแบบนี้ได้เลยเหรอไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ นอกเสียจากว่าเธอศัลยกรรมเพราะที่เกาหลีเลื่องชื่อเรื่องศัลยกรรมอยู่แล้ว แต่นี่มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลยสิ่งสำคัญคือเรื่องการหมั้นกับความรู้สึกของผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างเขาตอนนี้ต่างหาก เขากลัวว่าเธอจะเข้าใจผิดคิดว่าเขามีคู่หมั้นอยู่แล้วแต่ไปหลอกเธอ รีบหันไปบอกกล่าวกับเธอด้วยความร้อนรนใจ "ส้มอย่าเพิ่งเข้าใจพี่ผิดนะ " "ค่ะ ยังไงส้มขอตัวพาลูกออกไปรอด้านนอกนะคะไม่อยากให้ลูกต้องมารับรู้เรื่องของผู้ใหญ่ค่ะ" ส้มเอ่ยอย่างใจเย็นแม้ในใจจะเต็มไปด้วยคำถาม และความรู้สึกไม่โอเค แต่ยังไงเธอก็ต้องนึกถึงลูกเป็นอันดับแรกจึงขอแยกตัวออกไป ไม่อยากให้ลูกต้องมารับรู้เรื่องของผู้ใหญ่ "แม่ทำแบบนี้ได้ยังไงครับแม่ก็รู้นิว่าวันนี้ผมพาแฟนมาไหว้แม่ แม่จงใจทำให้แฟนผมเข้าใจผิดใช่ไหมครับ" ทันทีที่แฟนสาวหายหลังไปเจ้านายก็โวยวายใส่ผู้เป็นแม่ยกใหญ่ สายตาจ้องมองท่านด้วยความผิดหวังระคนไม่พอใจ "จะให้แม่ทำยังไงในเมื่อวันนี้คู่หมั้นของลูกกลับมาทวงคำสัญญาแล้ว จะให้พ่อกับแม่ผิดสัญญากับฝ่ายนั้นเหรอตานาย" แน่นอนว่าสาริกาไม่ได้สนใจเสียงโวยวายของบุตรชายสักนิดในเมื่อเธอต้องการให้มันเป็นแบบที่บุตรชายพูดอยู่แล้ว ทว่าจะให้ยอมรับไปตรง ๆ ก็กะไรอยู่จึงแสร้งตีสีหน้าหนักใจออกไปทำเหมือนว่าเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องที่เกิดขึ้น เจ้านายถึงกับถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่นึกหัวเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่น้อยพานทำให้นึกโมโหคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผู้เป็นแม่ไปด้วย เขาตวัดสายตามองหน้าเธอด้วยแววตาดุดัน ก่อนจะเอ่ยออกไปตรง ๆ ไม่คิดจะรักษาน้ำใจกันสักนิด "ไหน ๆ เจ้าตัวก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยแล้วผมขอพูดตรง ๆ เลยแล้วกันว่าเรื่องการหมั้นระหว่างเราขอให้ยกเลิกไปเพราะมันเป็นแค่คำมั่นของผู้ใหญ่ และมันก็นานมาแล้วไม่จำเป็นต้องถือเป็นจริง ตอนนี้ผมมีคนรักแล้วและกำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หวังว่าคุณคงเข้าใจ" คำพูดของเจ้านายทำเอาเมษาถึงกับอึกอักเพราะไม่รู้ว่าควรตอบ หรือทำสีหน้ายังไงดีในเมื่องานที่เธอต้องทำคือทำให้เขากับแฟนเลิกกัน แน่นอนว่าต่อให้เธอไม่อยากทำก็มิอาจปฏิเสธได้ "ไม่ได้ยังไงลูกก็ต้องแต่งงานกับหนูลียาตามคำสัญญาที่ผู้ใหญ่ได้ให้กันไว้" สาริการีบตอบแทนเมื่อเห็นว่าเด็กสาวเอาแต่อึกอักกลัวว่าจะทำให้บุตรชายเห็นถึงความผิดปกติได้ "ไม่ครับคนเดียวที่ผมจะแต่งงานด้วยคือส้มเท่านั้น" เจ้านายยังคงยืนยันคำเดิมไม่ว่ายังไงคนที่เขาจะใช้ชีวิตคู่ด้วยมีเพียงส้มคนเดียวเท่านั้น เขาไม่มีวันยอมแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักเด็ดขาด "แม่ไม่ยอมรับแม่หม้ายลูกติดอย่างผู้หญิงคนนั้นมาเป็นลูกสะใภ้หรอกนะ ผู้หญิงที่จะมาเป็นลูกสะใภ้แม่ต้องไม่มีตำหนิและบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างหนูลียาเท่านั้น" ในที่สุดสาริกาก็หมดความอดทนอดกลั้นกับความดื้อรั้นของบุตรชายเผลอหลุดปากพูดความจริงออกไป "ผมไม่คิดเลยนะครับว่าแม่จะมีความคิดแบบนี้" เจ้านายได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความผิดหวัง เขาคิดมาตลอดว่าแม่ของตัวเองเป็นคนใจกว้างจิตใจดี ทว่าวันนี้เขาได้รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ แต่อย่าหวังเลยว่าเขาจะยอมให้ท่านจูงจมูกได้ "งั้นผมก็ขอยืนยันคำเดิมเหมือนกันว่าผมจะไม่มีวันแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด" เปล่งเสียงเอ่ยไปอย่างดุดันสายตาจ้องมองหน้าหญิงสาวที่นั่งข้างกายผู้เป็นแม่เขม็งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก ว่าจบก็ผลุนผลันเดินออกจากห้องโถงไปไม่สนใจเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ที่ดังตามหลังสักนิดสาริกามองตามหลังบุตรชายจนสุดสายตาพร้อมกับถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ด้วยความรู้สึกขัดใจ ก่อนจะดึงสายตากลับมาหน้าเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ "เธอเห็นรึยังเมษาว่าทำไมฉันถึงต้องให้เธอสวมรอยเป็นคู่หมั้นของลูกชายฉัน""ค่ะ แล้วคุณสาริกาจะให้ฉันทำยังไงต่อไปคะในเมื่อคุณเจ้านายยืนยันขนาดนี้แล้ว การจะทำให้ทั้งสองคนเลิกกันคงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ" เมษาตอบกลับสาริกาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความหนักใจ จากเหตุการณ์เมื่อกี้แล้วการทำให้ชายหนุ่มกับคนรักเลิกกันมีแนวโน้มว่ายากเพราะดูทั้งสองจะรักกันมาก ๆ ขนาดสาริกาพูดออกไปแบบนั้นแล้วเขายังต่อต้านเลย และที่สำคัญเหมือนว่าชายหนุ่มจะโกรธเคืองเธอมากด้วยดูจากสายตาวาวโรจน์ที่เขาใช้มองเธอตอนที่รู้ว่าเธอคู่หมั้นของเขา เห็นทีการทำงานของเธอจะไม่ราบรื่นเสียแล้วสิ หนทางการเป็นอิสระของเธอยิ่งไกลออกไป"มันไม่ง่าย แต่ก็คงไม่ยากเกินความสามารถเธอใช่ไหม" สาริกาย้อนถามเด็กสาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สวนทางกลับสายตาที่ส่งกดดันอย่างหนัก "ฉันให้สิทธิ์เต็มที่เธอจะทำยังไง หรือใช้วิธีไหนก็ได้แยกทั้งคู่ออกจากกัน""บอกตามตรงนะคะว่าฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าควรทำยังไงดี ฉันไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องค
หลังจากไปหาผู้เป็นแม่กับน้องสาว และได้พูดคุยกันเรียบร้อยแล้วเมษาก็เดินทางกลับมายังบ้านวณิชกาญจนโชติอีกครั้งตามคำสั่งของสาริกา"เฮ้อ..สู้ ๆ เมย์" เธอพ่นลมหายใจหนัก ๆ ออกมาพร้อมกับบ่นพึมพำให้กำลังใจตัวเองครั้นรถมาจอดลงยังบ้านวณิชกาญจนโชติ ก่อนจะพาตัวลงจากรถเดินเข้าไปภายในบ้านทว่าเธอก็ต้องชะงักเท้าดังกึกเมื่อเดินมาถึงห้องโถงแล้วเจอเข้ากับเจ้านายที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับ ยังมีสาริกานั่งอยู่ที่โซฟาอีกตัวดูเหมือนสถานการณ์ระหว่างแม่ลูกจะอึมครึมไม่น้อยเธออยากจะถอยหลังกลับแต่ก็ทำไม่ได้เพราะตอนนี้ทั้งสาริกา และเจ้านายต่างมองมายังเธอเป็นตาเดียวกันแน่นอนว่าคนถูกจ้องอย่างเธอแทบอยากจะหายไปจากตรงนี้ ยิ่งได้เห็นสายตาของชายหนุ่มที่จับจ้องเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อยิ่งรู้สึกตัวหลีบ ลมหายใจติด ๆ ขัด ๆ หัวใจกระหน่ำเต้นแทบจะทะลุออกมานอกอกอ่า..ให้ตายสิเธอไม่ชอบความรู้สึก และสถานการณ์แบบนี้เลยได้แต่วิงวอนในใจขอให้ใครก็ได้มาช่วยพาเธอออกไปจากตรงนี้ที"กลับมาแล้วเหรอหนูลียา" แต่เหมือนคำขอของเธอจะไม่เป็นผลเมื่อเสียงของสาริกาดังขึ้น"ค่ะคุณป้า" เธอทำได้แค่เก็บความรู้สึกมากมายเอาไว้ฝืนระบายยิ้มตอบเสียงอ่อนเส
หลายวันต่อมา.."ฉันจะทำยังไงกับเจ้าลูกคนนี้ดีเนี่ย โอ๊ย! ฉันจะบ้าตาย" สาริกาที่นั่งอยู่ในห้องโถงโวยวายออกมาเสียงดังลั่นทำให้เมษาที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับสะดุ้งโหยงเพราะเธอเองก็กำลังคิดไม่ตกกับเรื่องชายหนุ่มเหมือนสาริกาเช่นกัน นี่ก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยเพราะหลังจากวันที่บุกเข้าไปหาเธอในห้องชายหนุ่มก็ออกไปจากบ้านแล้วไม่โผล่หน้ากลับมาอีกเลย"ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง ขืนปล่อยไว้แบบนี้ลูกชายฉันเสร็จยัยส้มอะไรนั่นแน่" เสียงของสาริกาดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับสายตาดุดันที่ตวัดมองหน้าเมษาอย่างไม่ชอบใจ "เธอไม่คิดจะออกความคิดเห็นอะไรหน่อยเหรอเมษา ฉันทุ่มเงินไปกับเธอมากมายช่วยทำงานให้มันคุ้มค่าหน่อยได้ไหม""จะให้ฉันทำยังไงคะในเมื่อลูกชายคุณไม่ยอมกลับบ้านเลย" เมษาตอบกลับสาริกาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าในใจนึกเคืองน้อย ๆ พอไม่พอใจหรือไม่ได้ดั่งใจอะไรสาริกาก็มักมาลงที่เธอเสมอไม่ว่าเรื่องนั้นเธอจะเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ตาม "ให้มันได้อย่างนี้สิ" สาริกาได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอากับความซื่อบื้อของเด็กสาว ก่อนเธอจะหยิบโทรศัพท์ที่วางข้างตัวขึ้นมาต่อสายหาส้มแฟนสาวของลูกชายเพื่อพู
หลังจากวันนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นดีเพราะสาริกาไม่ได้โทรมาระราน หรือทำอะไรตามที่พูดขู่เอาไว้กับส้มทำให้เจ้านายสบายใจได้บ้าง และได้แต่หวังว่าท่านจะยอมหยุดขัดขวางเรื่องการแต่งงานของเขากับแฟนสาวสักทีวันนี้เขาจึงคิดไว้ว่าจะเอาคำตอบจากแฟนสาวเพราะให้เวลาเธอได้คิดมาหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ แล้วครืดดด~ระหว่างที่กำลังขับรถไปหาแฟนสาวที่บ้านเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาชะลอความเร็วของรถลงเล็กน้อยก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งล้วงไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาดู คิ้วเข้มขมวดชนกันเล็กน้อยครั้นเห็นว่าสายที่โทรเข้ามาคือผู้เป็นแม่อดสงสัยไม่ได้ว่าท่านมีอะไรถึงได้โทรมาแต่เช้า ๆ จึงกดรับสาย"ว่าไงครับแม่"(ลูกทำอะไรอยู่เหรอ)"กำลังขับรถครับ แม่มีอะไรรึเปล่าโทรหาผมแต่เช้า"(ลูกไม่กลับบ้านหลายวันแล้ว เย็นนี้กลับมาทานข้าวที่บ้านนะแม่คิดถึง) คำตอบจากผู้เป็นแม่ทำให้เจ้านายแปลกใจเล็กน้อย แต่พอได้ฟังน้ำเสียงแสนเศร้าของท่านก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิดน้อย ๆ ปกติท่านไม่เคยใช้น้ำเสียงเศร้าระคนน้อยใจแบบนี้เอาจริง ๆ เขาก็ผิดที่โกรธจนลืมไปว่ายังไงท่านก็เป็นแม่"ได้ครับ" คิด
หลังจากการทานมื้อเย็นจบลงสาริกาก็ได้ให้แม่บ้านทำการย่างบาร์บีคิวต่อรวมถึงเสิร์ฟอาหารทานเล่น และเครื่องดื่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไวน์ บรั่นดี วิสกี้ และเหล้าจากแบรนด์ดังทำเอาทุกคนบนโต๊ะอาหารแปลกใจไปตาม ๆ กันกับการจัดเต็มของสาริกาแน่นอนสาริการู้ว่าทุกคนกำลังแปลกใจ แต่เธอก็ทำเป็นไม่สนใจหันเอ่ยกับคนเป็นสามีที่นั่งข้าง ๆ อย่างใจดี "วันนี้ฉันอนุญาตให้คุณดื่มได้เต็มที่หนึ่งวันค่ะ""วันนี้คุณใจดีจัง" ประวีเลิกคิ้วมองหน้าภรรยาด้วยความแปลกใจระคนฉงนเข้าไปอีก ปกติคนเป็นภรรยาจะกำชับหนักหนาว่าไม่ให้เขาแตะต้องแอลกอฮอล์ แต่มาวันนี้กลับใจดีเสียอย่างนั้น"ก็ฉันบอกแล้วไงคะว่าวันนี้เราสังสรรค์กัน ใครอยากทำอะไร หรืออยากทานอะไรตามสบายเลยค่ะ" สาริกาหาเหตุผลมาอ้างได้อย่างแนบเนียน ประวีเชื่ออย่างสนิทใจไม่ได้ถามไถ่อะไรต่อ ส่วนเจ้านายนั้นนั่งดื่มไวน์ไปเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แค่ผู้เป็นแม่ไม่พูดถึงเรื่องการแต่งงานมันก็ดีมากแล้ว ทว่าหากให้ดีกว่านี้ต้องให้ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาหายไปเสียด้วย บรรยากาศในการสังสรรค์กับครอบครัวถึงจะดีมาก ๆเขากระดกไวน์ที่เหลือลงคออึกใหญ่ ก่อนจะเอียงหน้าไปเอ่ยกับร่างบางที่นั่ง
วันต่อมา..ก็อก! ก็อก!เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลายครั้งติด ๆ กันปลุกให้สองหนุ่มสาวที่นอนหลับไหลอยู่บนเตียงเดียวกันค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา "เฮ้ย!""คุณ!"ทั้งเจ้านายและเมษาต่างผงะร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจวินาทีแรกที่ลืมตาขึ้นมาเห็นหน้ากัน จากที่มีอาการงัวเงีย และมึนจากฤทธิ์ยานอนหลับบวกฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เมษาลอบกลืนน้ำลายหนี่ยว ๆ ลงคออึกใหญ่ ค่อย ๆ ก้มมองตัวเองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ดวงตากลมโตพลันเบิกกว้าง หัวใจดวงน้อยของเธอกระตุกวูบอย่างช่วยไม่ได้เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าห่มคลุมไว้ถึงหน้าอก เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่ต่างกันมีผ้าห่มผืนเดียวกับเธอคลุมท่อนล่างเอาไว้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ความสงสัย และคำถามมากมายเริ่มผุดขึ้นในสมองของเธอ พยายามจะคิดทบทวนถึงเรื่องเมื่อคืนก็จำได้ลาง ๆ ว่าตัวเองดื่มไวน์จนรู้สึกมึน ๆ จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลยเหมือนภาพมันตัดไปทว่าในตอนนี้เธอรู้สึกหวั่นใจ และอับอายมากกว่าเพราะมีอีกคนนอนอยู่ข้างกาย เธอรู้สึกอายจนไม่แม้แต่จะกล้าขยับตัว หรือเงยหน้ามองว่าอีกคนกำลังทำหน้าแบบไหน ได้แต่ใช้มือกำผ้าห่มบริ
เมษายืนทำใจ และรวบรวมความกล้าให้ตัวเองอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะก้าวลงบันไดต่อมาถึงห้องโถงเธอก็เห็นหญิงชายวัยไล่เลี่ยกับแม่ของเธอนั่งอยู่ในห้องโถงด้วยตามที่สาริกาบอก เธอพยายามสะกดจิตตัวเองว่านั้นคือพ่อแม่ของลียาต้องทำตัวสนิทสนมเข้าไว้ แล้วเดินตรงเข้าไปหาพวกท่านพลางแสดงท่าทางตกใจออกมา "พ่อแม่มาได้ยังไงคะ""พ่อกับแม่ตั้งใจจะมาทักทายคุณป้าสาริกาน่ะ" วสินพ่อสวมรอยของเมษาในคราบลียาตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล"ใช่จ้ะ" นิดาแม่สวมรอยเอ่ยเสริมอีกคนพลางมองหน้าเมษาด้วยแววตารักใคร่เอ็นดูราวกับว่าเด็กสาวเป็นลูกจริง ๆ ท่าทางราวกับเป็นพ่อแม่จริง ๆ ที่ทั้งคู่แสดงออกมาช่างสมบทบาททำเอาเมษาแอบทึ่งในใจ แสดงว่าคงเตรียมตัวมาอย่างดี ซึ่งเธอก็ต้องเล่นไปตามน้ำอย่างที่สาริกาบอกเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ คุณแม่สวมรอยแล้วสวมกอดหลวม ๆ ทำเหมือนว่าคิดถึงท่านมาก "คิดถึงจังเลยค่ะ"บอกกล่าวกับแม่สวมรอยจบก็หันไปบอกกล่าวพ่อสวมรอยต่อพร้อมฉีกยิ้มให้จนตายี "คิดถึงพ่อเหมือนกันนะคะ""ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย มาพูดเรื่องลูกกับพี่เจ้านายดีกว่า พ่อกับแม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจากคุณป้าสาริกาหมดแล้ว" วสินแสร้งตีหน้าเคร่งขรึมแทน สา
"เป็นยังไงบ้าง"ทันทีที่เมษาย่างกรายเข้ามาถึงห้องโถงของบ้านวณิชกาญจนโชติเสียงของสาริกาที่นั่งอยู่ก็ถามไถ่ขึ้น เธอได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนเปล่งเสียงตอบพร้อมเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งบนโซฟาตัวตรงข้าม "คุณส้มไม่ได้พูดอะไรค่ะ แต่ฉันคิดว่าวิธีนี้น่าจะได้ผล""ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น ฉันเหนื่อยและเอือมระอากับเรื่องนี้เต็มทนแล้ว" สาริกาเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจออกมา"ทันทีที่คุณส้มยอมเลิกกับคุณเจ้านาย ฉันจะได้รับอิสระสามารถกลับไปอยู่กับแม่ และน้องสาวได้เลยใช่ไหมคะ" "ยัง..จนกว่าฉันจะแน่ใจว่าสองคนนั้นเลิกกันจริง ๆ เธอต้องอยู่เป็นไม้กันหมาสักระยะ""สักระยะนี่มันนานแค่ไหนคะ?" เมษาขมวดคิ้วมุ่น"เธอจะถามอะไรเยอะแยะ ถึงเวลาก็รู้เองแหละ" สาริกาตวัดสายตามองหน้าเมษาที่เอาแต่ยิงคำถามไม่เลิกด้วยความรำคาญ ทำเอาคนถูกจ้องต้องรีบหลบสายตาพร้อมกับเอ่ยขอโทษไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว "ขอโทษค่ะ"ภายในห้องโถงถูกความเงียบเข้าปกคลุมนานนับนาที ก่อนสาริกาจะเอ่ยปากไล่เด็กสาวที่นั่งขวางหูขวางตา "จะไปไหนก็ไปไป" สิ้นเสียงไล่เมษาก็ลุกเดินคอตกขึ้นไปยังห้องนอนตัวเองทันที เธอทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรงอุตส่าห์หวังไ
"..."เมษากลับเงียบพร้อมก้มหน้าหลบสายตากดดันเธอไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไงดี อีกทั้งยังรู้สึกกลัวและกังวลไปหมด นั่นทำให้เจ้านายไม่คิดจะอดทนอีกต่อไปผละตัวออกจากร่างบาง "งั้นก็ไปพูดกับลียาตัวจริงเองแล้วกัน แต่เธอคงไม่ได้โง่จนไม่รู้ใช่ไหมว่าการสวมรอยเป็นคนอื่นมันผิดกฎหมาย หากลียาตัวจริงรู้ว่าตัวเองถูกสวมรอยแล้วไปแจ้งความจับเธอเข้าคุกใครหน้าไหนก็คงช่วยเธอไม่ได้" พูดขู่ด้วยน้ำเสียงดุดันพร้อมทั้งยื่นมือไปจับข้อมือเล็กทำท่าลากเธอออกไปจากบ้าน จงใจแสดงให้หญิงสาวเห็นว่าเขาพูดจริงทำจริงเธอจะได้เลิกปากแข็งสักทีและมันได้ผล.."มะ..ไม่นะ"เมษารีบสะบัดมือออกจากการจับกุมวิ่งไปยืนห่าง ๆ ร่างสูงด้วยกลัวว่าจะถูกเขาจับไปส่งลียา สายตาจ้องมองใบหน้าคมคายด้วยความรู้สึกกลัวและกังวลสองมือน้อย ๆ ขย้ำกระโปรงตัวยาวแน่นจนฝ่ามือเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อตลอดจนถึงไรผม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภายในบ้านมันร้อน หรือเพราะความกดดันกันแน่ เธอลอบกลืนน้ำลายลงลำคอแห้งผากดังอึก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดยาว ๆ เรียกความกล้าบอกกล่าวไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิวแทบจะขาดหาย"ฉันชื่อ..เมษา..""แล้วเธอมาสวมรอยเป็นลียาทำไม ต้องการอะไร"พอมาถึงคำถามนี้เม
"เฮ้อ.."เมษาลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าเขตห้องครัวเพราะเมื่อกี้ตอนออกไปเติมของที่โต๊ะข้างนอก เหลือบเห็นว่าชายหนุ่มนั่งจ้องด้วยสายตาแทบจะกินหัวตลอดเวลา แต่เธอแสร้งทำไม่เห็นรีบเติมของแล้วรีบเข้ามาเธออยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็ว ๆ แล้วสิ.."เป็นอะไรคะน้องลี" รสที่เห็นสีหน้าเหนื่อย ๆ ของหญิงสาวอดถามไถ่ไม่ได้ ทั้งที่ตอนออกไปดูปกติดี"ปะ..""อ๊ะ..".ไม่ทันได้ตอบคำถามเมษาก็ต้องหลุดร้องด้วยแรงกระชากรุนแรงจากด้านหลัง ตัวเธอหมุนติ้วเข้าปะทะร่างเจ้าของการกระทำเต็ม ๆ ท่ามกลางสายตาของแม่บ้านที่ตกใจเจ้านายไม่พูดพร่ำทำเพลงพอจับหญิงสาวได้ก็ลากให้เธอเดินตามไปทางประตูหลังครัว"ปล่อยนะคุณเจ้านาย คุณจะพาฉันไปไหน" เมษาพยายามขัดขืนสะบัดมือออกจากการจับกุมพร้อมทั้งหันส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเหล่าแม่บ้านไปด้วย แต่ไม่มีใครกล้าเข้ายุ่งเพราะเห็นว่าเจ้านายกำลังโกรธมาก "โอ้ย!" เมษาถูกฉุดกระชากแรงขึ้นจนตัวปลิว หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความหวาดหวั่นเมื่อถูกฉุดกระชากเข้าสู่บริเวณทางเดินบ้านพักของแม่บ้านที่มีเพียงแสงสว่างส่องเล็กน้อย บรรยากาศเงียบสงัดจนดูวังเวง"คุณเจ้านาย คุณจะพาฉันไปไ
"ส่วนนี้คุณหญิงสิณีกับหนูดีเจ้านาย ภรรยาเจ้าสัวเกริกศักดิ์" เสียงแม่ดังทบโสตประสาททำให้เจ้านายหลุดจากภวังค์ความคิด ดึงสายตาไปมองทั้งสองคนตรงหน้า แล้วยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนตามมารยาท สวนทางกับใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มไร้ความยินดีทำคนทั้งสองที่ยิ้มร่าถึงกับหน้าเจื่อนรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มคงไม่อยากรู้จักพวกเธอสักเท่าดูจากปฏิกิริยาที่แสดงออกมาสาริกาเองก็รับรู้ได้เกรงว่าปล่อยไว้บรรยากาศจะไม่ราบรื่นจึงเชื้อเชิญให้สองแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ให้ ก่อนไปก็มิวายส่งสายตาตำหนิบุตรชายเธออุตส่าห์แนะนำให้บุตรชายรู้จักกับผู้หญิงที่เพรียบพร้อม และเหมาะสมกับตัวเองทุกอย่างเพื่ออนาคตจะได้เกี่ยวดองกัน แต่บุตรชายกลับทำเสียแผนหมดถามว่าเจ้านายสะท้านกับสายตาตำหนิคนเป็นแม่ไหมตอบเลยว่าไม่ เดินไปนั่งดื่มเครื่องดื่มข้างคนเป็นพ่อหน้าตาเฉยสาริกาจึงต้องเป็นฝ่ายสะกดกลั้นอารมณ์เสียเองไม่อยากทำให้บรรยากาศในวันเกิดเสีย ครั้นส่งสองแม่ลูกถึงโต๊ะก็เดินกลับมานั่งกับสามีและลูก ทำเป็นพูดคุยหัวเราะกับทั้งสองอย่างมีความสุขให้คนในงานอิจฉา ทั้งที่ความรู้สึกตรงกันข้ามเธอหงุดสองคนพ่อลูกมากกว่าที่ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลยทุกอย่
วันต่อมาภายในบ้านดูจะวุ่นวายไปเสียหมดเพราะทุกคนยุ่งกับการจัดงานวันเกิดของสาริกา รวมถึงเมษาด้วยที่ไม่อยู่นิ่งเฉยช่วยงานจนตัวเป็นเกลียว คิดเสียว่าเป็นการส่งท้ายก่อนเธอจะออกจากบ้านหลังนี้งานวันเกิดสาริกาถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตทุกปีเพราะครอบครัวของเธอค่อนข้างมีหน้ามีตาทางสังคม บวกด้วยสาริกาที่เป็นคนชอบโอ้อวดเป็นทุกเดิมอยู่แล้วด้วยจึงน้อยหน้าใคร ๆ ไม่ได้ใช้เวลากับการจัดสถานที่บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน และจัดเตรียมอาหาร เครื่องดื่ม ขนมเสร็จก็เย็นพอดีเมษาจึงหลบขึ้นห้องพักผ่อนและคิดว่าคืนนี้คงไม่ไปร่วมงานแค่ช่วยแม่บ้านเตรียมอาหารในครัวก็พอเพราะพอพรุ่งนี้เช้าเธอก็จะไปจากที่นี่ทันทีไม่มีความจำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไป สาริกาเองก็ไม่ได้สั่งอะไรเมื่อถึงเวลาเริ่มงานแขกเหรื่อเริ่มทยอยกันมาเมษาก็อาบน้ำแต่งตัว โดยเสื้อผ้าที่เธอเลือกสวมใส่วันนี้เป็นเสื้อยืดคอกลมสีขาวธรรมดากับกระโปรงผ้าซาตินสีชมพูอ่อนยาวถึงกลางขาดูเรียบร้อยและอ่อนหวานในคราวเดียวกันใบหน้าแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางบางเบาให้ดูไม่จืดชืดจนเกินไป เธอไม่ได้แต่งหรูหรา แต่ก็ไม่ได้แต่งจนดูเหมือนไม่ให้เกียรติเจ้าของงานอย่างสาริกาเธอยืนสำรวจความเรีย
สาริกากับประวีที่กำลังพักผ่อนอยู่บนห้องได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กสาวจนต้องรีบพากันลงมาดู แล้วก็ได้เห็นว่าบุตรชายกำลังกอดรัดเด็กสาวอยู่"เจ้านายลูกทำอะไร ปล่อยน้องเดี๋ยวนี้นะ!" เธอทั้งตกใจและไม่ชอบใจในเวลาเดียวกันที่บุตรชายใกล้ชิดเด็กสาว แต่ยังตีหน้าทำเหมือนเป็นห่วงเด็กสาวรีบเดินเข้าไปดึงตัวบุตรชายออกโดยมีคนเป็นสามียืนมองเงียบ ๆ แต่มีหรือเจ้านายจะยอมปล่อยง่าย ๆ ในเมื่อเขาจับหญิงสาวได้แล้ว"แม่อย่ามายุ่ง ยังไงวันนี้ผมก็จะจัดการเธอให้ได้" เขาจ้องหน้าผู้เป็นแม่เขม็งพลางสลัดแขนออกจากการดึงรั้งของท่าน ขณะที่อีกข้างจับมือหญิงสาวไว้แน่น"ปล่อยนะคุณเจ้านาย" เมษาเองพยายามแกะมือหนาออกจากข้อมือพัลวันพร้อมกับสาริกาที่ไม่ยอมละความพยายามจะแยกบุตรชายออกจากเด็กสาว"แม่บอกให้ปล่อยน้องเจ้านาย มีอะไรค่อยคุยกัน""ผู้หญิงอย่างลียาคุยดีด้วยไม่ได้หรอกครับ"ภายในห้องนั่งเล่นเกิดความวุ่นวายจากการเยื้อยุด และเสียงถกเถียงของสองคนแม่ลูก และไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ ขณะที่คนกลางอย่างเมษาตัวเซถลาไปมาแทบจะล้มแล้ไม่ล้มแล้อยู่หลายครั้งจากการแรงเยื้อยุดสุดท้ายประวีที่ยืนมองเหตุการณ์ก็ทนดูไม่ไหวต้องเป็นคนห้ามศึกทั้งที
บนถนนใหญ่ที่มุ่งตรงสู่บ้านวณิชกาญจนโชติมีรถสองคันวิ่งไล่กันมาติด ๆ คันหนึ่งเป็นรถแท็กซี่ที่เมษานั่งอยู่ ส่วนคันที่วิ่งตามหลังเป็นรถของเจ้านายเสียงแตรจากรถของชายหนุ่มที่ไล่บี้รถหญิงสาวดังมาตลอดทางเป็นเชิงส่งสัญญาณให้รถเธอจอด เมษาได้ยินและรู้ว่าเป็นรถชายหนุ่มที่ตามมา แล้วเธอจะจอดให้โง่เหรออุตส่าห์หนีมาได้แล้วแท้ ๆ ยิ่งบอกคนขับแท็กซี่ให้ขับเร็วขึ้น เธอต้องกลับไปถึงบ้านให้เร็วที่สุดเท่านั้นเพราะในเวลานี้คงมีแค่สาริกาที่ปกป้องเธอจากคนที่กำลังโกรธจนบ้าระห่ำได้"หนูรู้จักคนที่กำลังขับรถไล่ตามมาใช่ไหม" แท็กซี่วัยกลางคนถามไถ่ด้วยความสงสัยระคนร้อนใจด้วยกลัวว่าจะเกิดปัญหาเหมือนที่เคยดูในข่าว"รู้จักค่ะ เขาเป็นญาติหนูเอง" เมษาเลือกโกหกเพราะไม่อยากพูดอะไรมากมายกว่านี้ ขณะนั้นก็คอยหันมองรถชายหนุ่มไปด้วยตอนนี้เธอแทบนั่งไม่ติด จิตใจมันรุ่มร้อนยิ่งกว่าไฟเสียอีกอยากจะกลับถึงบ้านไว ๆ "ลุงขับเร็วกว่านี้ได้ไหมคะ""เร็วกว่านี้ลุงกลัวจะอันตราย" คนขับแท็กซี่บอกกล่าวเมษาจึงทำให้แค่พยายามสงบจิตสงบใจไว้ สองมือน้อย ๆ บนหน้าตักประสานเข้าหากันแน่นด้วยความลุ้นระทึกทุกวินาทีหัวใจดวงน้อยยิ่งกระหน่ำเต้นหนักกว่าเด
จากเหตุการณ์ในคืนนั้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน ๆ เต็ม ๆ ที่เมษาต้องอยู่อย่างหวาดระแวง จะขยับตัวหรือทำอะไรก็เหมือนถูกจับจ้องตลอดเวลา และเธอยังถูกชายหนุ่มรังแก พูดจาเหยียดหยามทุกครั้งที่มีโอกาส บอกตามตรงว่าเธอไม่มีความสุขเอาเสียเลย ขนาดจะไปหาแม่กับน้องสาวก็ยังไม่ได้ไปเพราะกลัวความลับแตกทำได้แค่โทรถามข่าวคราวเธอตั้งใจว่าจะคุยกับสาริกาอีกครั้งเพราะนี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วที่เจ้านายกับส้มเลิกกัน และไม่มีทีท่าว่าทั้งสองจะหวนกลับมาคบกันอีก ซึ่งมันน่าจะมั่นใจได้แล้วเธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะสลัดความคิดอันหนักอึ้งออก แล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายไหล่เดินลงไปยังชั้นล่าง"คุณลียาจะไปไหนครับ" ลุงดินที่ยืนสำรวจรถอยู่หน้าบ้านเอ่ยถามเมื่อเห็นเด็กสาวเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอก "ให้ลุงไปส่งไหมครับ""ไม่เป็นไรค่ะลุงดิน หนูไปเองดีกว่า" เมษาระบายยิ้มให้ลุงดินบาง ๆ แล้วเดินออกไปยืนรอรถที่โทรเรียกหน้ารั้วบ้านรอไม่นานรถก็มาถึง ที่ที่เธอจะไปก็คือห้างนั่นเองเพื่อซื้อของขวัญให้สาริกาสำหรับวันเกิดของท่านในวันพรุ่งนี้ ความจริงเธอไม่ได้อยากจะซื้อให้สักนิด แต่ติดที่เธออยู่ในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้หากไม่มีอะไรมอบให้ว่าที
วันทั้งวันเมษาคลุกตัวอยู่แต่ในห้อง มื้อเที่ยงเธอก็ไม่ลงไปทานโดยอ้างว่าไม่หิวทั้งที่ความจริงคือเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์เหมือนตอนเช้ามากกว่าก็อก! ก็อก!เธอพลันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจครั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น หัวใจดวงน้อยอดเต้นแรงไม่ได้ด้วยระแวงว่าจะเป็นชายหนุ่ม ยอมรับเลยว่าตั้งแต่เกิดเรื่องเธอรู้สึกระแวงไปหมดจริง ๆ"คุณลียาคะ คุณสาริกาให้มาตามลงไปทานข้าวค่ะ"ลมหายใจถูกพ่นออกจากจมูกโด่งด้วยความรู้สึกโล่งอกพอได้ยินเสียงแม่บ้านที่ดังเล็ดลอดเข้ามา เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ชายหนุ่มเธอก็ลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตูทันที "ค่ะ" ส่งยิ้มให้แม่บ้านเล็กน้อย จากนั้นก็เดินลงไปยังชั้นล่างด้วยหัวใจตุ่ม ๆ ต่อม ๆ ลุ้นว่าเย็นนี้เธอจะโดนชายหนุ่มหาเรื่องอะไรอีก เอาจริง ๆ หากไม่เกรงใจสาริกาที่เป็นเจ้าของบ้าน และรู้สึกหิวเธอไม่อยากจะลงไปเลยด้วยซ้ำเธอลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึกสองมือน้อย ๆ ขย้ำกระโปรงชุดเดรสแน่นในตอนที่เดินมาถึงห้องอาหารแล้วเห็นชายหนุ่มนั่งทำหน้ายักษ์อยู่ สายตาจ้องมองเธอราวกับจะกินหัวกันเธอไม่ชอบเอาเสียเลย แต่ก็ทำได้แค่ข่มอารมณ์ และจิตใจให้สงบนิ่งเอาไว้ ก้าวเข้าไปหย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้ข้างสาริกา"อยู่บ้า
เมษารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าของวันใหม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่สดชื่นเท่าไรนักเพราะเมื่อคืนกว่าจะหลับได้ก็เกือบตีสี่แล้ว"เฮ้อ.." เธอถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหนักอก ก่อนจะสบัดผ้าห่มออกจากตัวลุกลงจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อช่วยแม่บ้านทำอาหารเช้าเหมือนเช่นทุกวันทว่าเมื่อเดินลงไปถึงห้องโถงใหญ่เธอก็ต้องชะงัก หน้าถอดสีฉับพลันเพราะคนที่เพิ่งถูกเธอตีหัวไปเมื่อคืนนั่งอยู่ในห้องโถง รอบศีรษะของเขามีผ้าก็อตพันอยู่ชายหนุ่มคงโกรธเธอมากดูจากสายตาที่จ้องเธอแทบจะเขมือบหัว บางทีหากตอนนี้ไม่มีสาริกานั่งอยู่ที่โซฟาด้วยเขาคงพุ่งเข้ามาฆ่าเธอแล้วก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าสาริการู้ว่าแผลบนหัวบุตรชายสุดที่รักได้มาจากเธอสาริกาคงเล่นงานเธอแน่ ๆ เหมือนเธออยู่ท่ามกลางฝูงเสือฝูงจระเข้ที่พร้อมจะขย้ำเธอทุกเมื่อแท้ ๆเธอแทบจะก้าวขาเดินต่อไม่ได้เพราะรู้สึกกดดันกับสายตาทั้งสองคู่ที่มองมา มือทั้งสองกำกระโปรงชุดเดรสแน่นพยายามข่มความรู้สึกมากมายที่กำลังประเดประดังเข้ามา"หนูลียามานั่งนี่สิจ๊ะ" กระทั่งสาริกาเอ่ยเรียกเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจึงทำให้เบาใจขึ้นมาหน่อย นั่นอาจหมายความว่าท่านยังไม่ร