ภายในอุโบสถพลันเงียบสงัดเวลานี้เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี แสงแดดเจิดจ้า ถูกกลุ่มเมฆขาวก้อนหนาบดบังเป็นระยะแสงแดดส่องลงมาทางหน้าต่างที่สูงและแคบ รูปปั้นอสุราขนาดยักษ์ปรากฏให้เห็นวอมๆ แวมๆ อยู่ภายใต้แสงที่ริบหรี่น้ำเสียงของลู่เหิงจือสะท้อนอยู่ในอุโบสถที่กว้างใหญ่"ทายผิดแล้ว ข้าไม่ใช่"เขายืนอยู่กับที่ มององค์รัชทายาทจากที่สูงกว่าลงไปในเชิงเหยียดหยาม"แต่ท่านพ่อของข้าตายด้วยเหตุนี้ น้องสาวของข้าหายสาบสูญไปเพราะเหตุนี้ ชาวบ้านยี่สิบกว่าชีวิตในหมู่บ้านสกุลกูต้องตายอย่างอยุติธรรมเพราะประโยคเดียว เทียบกันแล้ว ความไม่เป็นธรรมที่องค์รัชทายาทได้รับดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย"องค์รัชทายาทจ้องเขาเขม็ง พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเหมือนคำราม : "พวกชาวบ้านต้อยต่ำเช่นนั้นมีสิทธิ์อะไรมาเทียบกับข้า ข้าคือองค์รัชทายาทที่อยู่ภายใต้คนเพียงผู้เดียวและอยู่เหนือผู้คนเป็นหมื่น พวกเขาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้ามาวิจารณ์ข้าก็สมควรตายแล้ว ข้าผิดอันใด"ลู่เหิงจือพูดตอกย้ำทีละคำ : "เช่นนั้นยามนี้ท่านจะพูดเรื่องถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรมไปใย ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงวิจารณ์ฝ่าบาท ไม่สมควรตายด้วยหรอกหรือ"องค์
"สิ่งที่ข้าต้องการ คือให้พี่รองใช้ตัวท่านเปิดประตูการชิงบัลลังก์บานนี้แทนข้า"ห้องข้างๆ ดูเหมือนจะมีเสียงร้องไห้ฟูมฟายด้วยความโศกเศร้าของหญิงสาวดังขึ้นมาเซี่ยถิงอวี่จับมือของเซี่ยถิงจางไว้ แล้วเอ่ย : "ข้าไม่บังคับพี่รอง พี่รองคิดให้ดีๆ มีเพียงแค่พี่รองตาย หมอถึงจะรีบเปิดประตูเข้ามาทันที"เขาพูดจบก็หันหลังเดินจากไปเซี่ยถิงจางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเองก็พลันส่งเสียงหัวเราะออกมาแรกเริ่มเสียงหัวเราะยังไม่ดังมาก เพียงแต่ฟังดูสยดสยองจนน่าขนลุก หลังจากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกำลังจะคลุ้มคลั่ง ทำให้คนที่อยู่ด้านนอกต่างก็รู้สึกผวาไม่รู้ว่าหัวเราะไปนานเพียงใด จากนั้นเขาก็สั่งให้คนด้านนอกอุ้มพระโอรสเข้ามาพระโอรสยังไม่ครบหนึ่งปี ยามนี้กำลังนอนหลับใหลไม่มีสติเพราะฤทธิ์ไข้ ลมหายใจรวยรินนี่คือบุตรชายคนที่เขารักที่สุดอดีตสนมเสียนเฟยขององค์รัชทายาทร้องไห้พลางเอ่ยถามเขาว่าจะทำเช่นไรดีเขาลูบใบหน้าเล็กๆ ของพระโอรส พลางตบหลังเสียนเฟยเบาๆ : "ต้องไม่เป็นไร ข้าจะสั่งให้คนไปเรียกหมอหลวงมา"อดีตสนมเสียนเฟยน้ำตาไหลพราก หากมีหมอหลวงจริงคงต้องมาตั้งนานแล้วองค์รัชทายาทกุมมื
นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่เหิงจือพาซูชิงลั่วมากราบไหว้พ่อแม่ ก่อนหน้านี้ล้วนแต่ไปที่ศาลบรรพบุรุษตลอดซูชิงลั่วโค้งคำนับตามเขา ก่อนจะดื่มเหล้าแสดงความเคารพในอากาศที่หนาวเข้ากระดูก น้ำเสียงของเขาให้ความรู้สึกเศร้าสลดอย่างบอกไม่ถูก"องค์รัชทายาทปลิดชีพพระองค์เองแล้ว พวกท่านอยู่บนฟ้าได้เห็นหรือยัง"ซูชิงลั่วในเวลานี้ราวกับรู้สึกไปกับเขาด้วย โศกเศร้าจนสัมผัสได้ถึงความปวดร้าวภายใน กุมมือที่เย็นชืดของเขาไว้โดยไม่รู้ตัว แล้วประสานมือกับเขาลู่เหิงจือกุมมือนางกลับเขาไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ต้องการนั่งข้างพ่อกับแม่อยู่เงียบๆ สักพักบนเขาอากาศหนาว เขากลัวว่าซูชิงลั่วจะทนไม่ได้ เขาจึงนั่งบนพื้นแล้วอุ้มซูชิงลั่วเข้ามากอดไว้บนตัก ก่อนจะเท้าคางลงไปบนไหล่นางเบาๆท่าทางราวกับสัตว์ร้ายตัวน้อยที่กำลังบาดเจ็บซูชิงลั่วยกมือขึ้นมาลูบศีรษะเขาเบาๆนางไม่เคยถามลู่เหิงจือถึงสาเหตุที่ต้องการจะล้มองค์รัชทายาทมาก่อน ทว่าในเวลานี้ นางอยากรู้เหลือเกินอยากรู้อดีตเหล่านั้นที่นางไม่เคยสัมผัส อยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเขาเช่นนั้นนางก็จะสามารถช่วยแบ่งเบาเขาได้ดียิ่งขึ้นนางหันไปมองเขา เอ่ยถาม : "พี่สาม
หยดน้ำตาที่อุ่นร้อนไหลอาบข้างแก้มของซูชิงลั่วคือน้ำตาของลู่เหิงจือซูชิงลั่วเจ็บปวดรวดร้าว ภาพตรงหน้าพลันเลือนรางขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นางหันไปตั้งใจจะมองเขา ทว่ากลับถูกมือที่เย็นชืดของเขาขวางไว้มือของเขาดันอยู่ที่ข้างแก้มของนาง ไม่ให้นางหันไป"อย่ามองข้า"เขาในเวลานี้ทั้งอ่อนแอ ทุกข์ทรมาน ไร้ความสามารถ หมดสภาพลู่เหิงจือไม่เคยเผยด้านที่อ่อนแอของตนเองต่อหน้าผู้ใดมาก่อนยิ่งไม่มีทางยอมให้ตนดูน่าอดสูเช่นนี้ต่อหน้าซูชิงลั่วซูชิงลั่วกลับคว้ามือของเขาไว้ ออกแรงดึงออกน้ำเสียงของลู่เหิงจืออึมครึม คล้ายจะห้ามปราม : "ชิงลั่ว...""ข้าจะดู" น้ำเสียงของนางนิ่งเรียบทว่ากลับมีพลังนางค่อยๆ แกะนิ้วของเขาออกทีละนิ้ว แต่เขาไม่ยอม แรงบนมือของนางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ"พี่สาม" นางเอ่ย "ข้าต้องการมองหน้าท่าน"ลู่เหิงจือกลัวว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ สุดท้ายก็ปล่อยมือ ทว่าทันทีที่นางหันมา เขากลับเบือนหน้าไปอีกทางซูชิงลั่วเห็นคราบน้ำตาบนแก้มและหางตาที่แดงก่ำของเขานางลุกขึ้นไปนั่งคุกเข่าลงข้างกายเขา สองมือประครองใบหน้าของเขา แล้วจูบที่หางตาของเขาเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : "พี่สาม ไม่ว่าท่านจะเ
ซูชิงลั่วอยู่เป็นเพื่อนลู่เหิงจือบนเขาตลอดทั้งเช้าอารมณ์ความหดหู่ของเขาสุดท้ายก็มลายหายไปเกือบหมด ทั้งยังมีกะจิตกะใจมาพูดจาหยอกล้อนางหลายประโยคหลังจากเวลาล่วงเลยไปได้สักพัก ทั้งสองก็จูงมือกันลงมาล่างเขาท่าเสวี่ยรออยู่แต่แรกแล้ว มันเดินเข้ามาข้างกายซูชิงลั่วด้วยความเชื่อง แล้วคลอเคลียแขนเสื้อของนาง หลังจากนั้นก็รีบเดินไปข้างรถม้า ราวกับว่าจะผูกบังเหียนรถเข้ากับตนเองเสียเดี๋ยวนั้นซูชิงลั่วลูบแผงคอของมัน พลางชมมันว่าเชื่อฟังรู้ความ อีกทั้งยังพูดพึมพำต่อ : "ดูเหมือนท่าเสวี่ยจะไม่ได้กินข้าวโพดปิ้งมานานมากแล้ว""ฮี่" ท่าเสวี่ยส่งเสียงร้องแสดงออกว่าเห็นด้วยลู่เหิงจือเลิกคิ้ว : "ที่จวนปิ้งไม่ได้หรือ"ซูชิงลั่วพูดอย่างจนปัญญา : "ท่านไม่รู้เสียแล้ว เจ้ามาตัวนี้ช่างเลือกนัก ในจวนไม่สามารถก่อกองไฟได้ ข้าวโพดที่ปิ้งออกมาความร้อนไม่ถึง มันไม่กินแม้แต่คำเดียว"ท่าเสวี่ยพ่นลมออกทางจมูกยาวๆ สองที ดูเหมือนจะไม่ชอบข้าวโพดปิ้งในจวนเสียเหลือเกินซูชิงลั่วอดขำไม่ได้ลู่เหิงจือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย : "อีกสองวัน พวกเราไปเปลี่ยนบรรยากาศที่บ่อน้ำพุร้อนในบ้านพักนอกเมืองกัน เรียกติ้งอ๋อง
เลือกอยู่ครึ่งค่อนวัน ซูชิงลั่วก็ยังตัดสินใจไม่ได้ระหว่างปิ่นสองด้ามลู่เหิงจือหยิบมาเพิ่มอีกด้าม : "ข้าว่าอันนี้ก็ไม่เลว ยังมีด้ามนั้น...เอาไปให้หมดเลยเถอะ"ซูชิงลั่วมองเขา : "จะซื้อมากมายเช่นนี้ไปใย"ลู่เหิงจือหลุบตาลง : "เจ้าชอบใช้ที่ข้ามอบให้ไม่ใช่หรือ อย่างไรก็ต้องเอาไปสักสิบกว่าด้ามถึงจะมีให้พอเปลี่ยน"ซูชิงลั่วก้มลงมองดูปิ่นในมือของตน พูดเสียงเบา : "ก็ไม่จำเป็นต้องมากเช่นนั้น...""จำเป็น" ลู่เหิงจือเสียงต่ำ "ข้าอยากเห็น ใส่ให้ข้าดู ดีหรือไม่""เจ้าค่ะ" ซูชิงลั่วขานรับด้วยความเขินอายลู่เหิงจือมองนางด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะโบกมือเรียกเถ้าแก่เนี้ยให้นำต่างหูและกำไลข้อมือออกมา แล้วเลือกอย่างละหกคู่ จากนั้นถึงจะกลับไประหว่างนั่งรถม้ากลับไป ซูชิงลั่วมองดูกล่องเครื่องประดับทำจากไม้ที่วางกองคล้ายภูเขาลูกเล็กๆ อยู่ด้านข้าง มุมปากที่ยกขึ้นยังไม่ตกลงมาเลยหลังจากกลับไปถึงบ้าน ลู่เหิงจือได้รับแจ้งว่าฝ่าบาททรงประชวรอย่างหนัก จึงรีบเข้าวังทันทีส่วนซูชิงลั่วก็เรียกจื๋อหยวนมา นำของที่ลู่เหิงจือมอบให้แต่ละชิ้นไปเก็บไว้อย่างดี วาดภาพตัวอย่างอยู่ทั้งคืน เพื่อจดลงไปในสมุดบันทึกฝีมือการวาดข
หลังจากกินอาหารจิบน้ำชาเสร็จแล้วนั่งคุยกันต่อสักพัก สามีภรรยาสองคู่ก็แยกกันไปหาสระที่เหมาะแก่การแช่น้ำร้อนก่อนไป เมิ่งชิงไต้ยังขอลายเย็บปักลายใหม่ๆ จากซูชิงลั่วมาอีกสองสามใบแสงอาทิตย์ในยามเที่ยงแรงกำลังดีหลังจากแช่น้ำร้อน ลู่เหิงจือและซูชิงลั่วก็เตรียมพร้อมจะเข้าไปพักผ่อนในกระโจมข้างๆ ที่ประกอบเสร็จแล้วก่อกองไฟไว้ด้านนอก ทำให้ไม่รู้สึกหนาวมากนักก่อนเข้ามา ลู่เหิงจือชี้ไปยังท่าเสวี่ยและเอ่ยเสียงเรียบ : "หากเจ้ากล้ากวนพวกข้า ต่อไปจะไม่ได้กินข้าวโพดปิ้งอีก"ท่าเสวี่ย : น้อยอกน้อยใจซูชิงลั่วเกือบจะหลุดหัวเราะลั่นออกมา ดูเหมือนเรื่องครั้งก่อนที่ถูกท่าเสวี่ยขัดจังหวะจะยังคอยตามหลอกหลอนเขาอยู่กระโจมหลังนี้แม้จะประกอบขึ้นมาอย่างง่ายๆ แต่กลับปูด้วยพรมขนจิ้งจอกขาว อบอุ่นยิ่งนักซูชิงลั่วแช่น้ำจนเหนื่อย เอนตัวลงไปด้านบนพลางลูบไล้ขนจิ้งจอก : "นอนสบายเสียจริง"ลู่เหิงจือกวาดสายตามองตามท่าทางของนาง : "หากคุกเข่าก็ดูเหมือนจะไม่เลวเช่นกัน"ซูชิงลั่ว "...?"ที่จริงแล้วตอนอยู่ที่นี่ ในใจซูชิงลั่วรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยไม่รู้เพราะเหตุใดลู่เหิงจือถึงได้ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ...นางเ
หลังจากลู่เหรินผู้เป็นพ่อจากไป เฮ่อเสวี่ยหลานผู้เป็นแม่มีรูปโฉมงดงาม จึงเป็นที่ถูกตาต้องใจของลู่ซิวอาของเขา ทุกครั้งที่ลู่เหิงจือไม่อยู่บ้าน เขาจะเข้ามาเกาะแกะลวนลามแน่นอนว่าเฮ่อเสวี่ยหลานไม่ยินยอม ลู่ซิวจึงคิดหาหนทางครอบครองที่นาร้อยหมู่ของบ้านพวกเขา หนำซ้ำบ่าวชั่วยังหอบเงินหนีไปเพราะการยั่วยุของลู่ซิว อีกทั้งยังขายลู่ซือไหวที่ตอนนั้นยังเด็กน้อยอยู่ที่บ้านขาดรายรับอย่างกะทันหัน เหล่าคนใช้พากันแยกย้ายไปคนละทิศละทาง เหลือเพียงแค่ซ่งเหวินและเจียงหมัวมัวที่รับใช้เขามาแต่เด็กเฮ่อเสวี่ยหลานได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจติดๆ กันหลายหน ร่างกายก็ทรุดลงไปแม้จะเป็นเช่นนี้ หลังจากที่รู้ว่าลู่เหิงจือไม่มีเงินไปเรียน นางก็ยังคงฮึดสู้ขึ้นมา นึกถึงจวนหย่งซุ่นป๋อที่เป็นญาติห่างๆ ตระกูลนี้ จึงไปขอร้องจนลู่เหิงจือได้โอกาสเข้าศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งหลังจากกลับไป แม่ก็ล้มป่วยรักษาไม่หาย ไม่นานนักก็ลาจากโลกไปน้ำเสียงของลู่เหิงจือหนักแน่น : "ข้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ผู้อื่นกระทำผิดต่อข้า ข้าจะต้องเอาคืนเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่า ฉะนั้น ข้าจะยอมปล่อยลู่ซิวไปได้อย่างไร..."หลังจากที่เขาได
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป