หลังจากกินอาหารจิบน้ำชาเสร็จแล้วนั่งคุยกันต่อสักพัก สามีภรรยาสองคู่ก็แยกกันไปหาสระที่เหมาะแก่การแช่น้ำร้อนก่อนไป เมิ่งชิงไต้ยังขอลายเย็บปักลายใหม่ๆ จากซูชิงลั่วมาอีกสองสามใบแสงอาทิตย์ในยามเที่ยงแรงกำลังดีหลังจากแช่น้ำร้อน ลู่เหิงจือและซูชิงลั่วก็เตรียมพร้อมจะเข้าไปพักผ่อนในกระโจมข้างๆ ที่ประกอบเสร็จแล้วก่อกองไฟไว้ด้านนอก ทำให้ไม่รู้สึกหนาวมากนักก่อนเข้ามา ลู่เหิงจือชี้ไปยังท่าเสวี่ยและเอ่ยเสียงเรียบ : "หากเจ้ากล้ากวนพวกข้า ต่อไปจะไม่ได้กินข้าวโพดปิ้งอีก"ท่าเสวี่ย : น้อยอกน้อยใจซูชิงลั่วเกือบจะหลุดหัวเราะลั่นออกมา ดูเหมือนเรื่องครั้งก่อนที่ถูกท่าเสวี่ยขัดจังหวะจะยังคอยตามหลอกหลอนเขาอยู่กระโจมหลังนี้แม้จะประกอบขึ้นมาอย่างง่ายๆ แต่กลับปูด้วยพรมขนจิ้งจอกขาว อบอุ่นยิ่งนักซูชิงลั่วแช่น้ำจนเหนื่อย เอนตัวลงไปด้านบนพลางลูบไล้ขนจิ้งจอก : "นอนสบายเสียจริง"ลู่เหิงจือกวาดสายตามองตามท่าทางของนาง : "หากคุกเข่าก็ดูเหมือนจะไม่เลวเช่นกัน"ซูชิงลั่ว "...?"ที่จริงแล้วตอนอยู่ที่นี่ ในใจซูชิงลั่วรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยไม่รู้เพราะเหตุใดลู่เหิงจือถึงได้ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ...นางเ
หลังจากลู่เหรินผู้เป็นพ่อจากไป เฮ่อเสวี่ยหลานผู้เป็นแม่มีรูปโฉมงดงาม จึงเป็นที่ถูกตาต้องใจของลู่ซิวอาของเขา ทุกครั้งที่ลู่เหิงจือไม่อยู่บ้าน เขาจะเข้ามาเกาะแกะลวนลามแน่นอนว่าเฮ่อเสวี่ยหลานไม่ยินยอม ลู่ซิวจึงคิดหาหนทางครอบครองที่นาร้อยหมู่ของบ้านพวกเขา หนำซ้ำบ่าวชั่วยังหอบเงินหนีไปเพราะการยั่วยุของลู่ซิว อีกทั้งยังขายลู่ซือไหวที่ตอนนั้นยังเด็กน้อยอยู่ที่บ้านขาดรายรับอย่างกะทันหัน เหล่าคนใช้พากันแยกย้ายไปคนละทิศละทาง เหลือเพียงแค่ซ่งเหวินและเจียงหมัวมัวที่รับใช้เขามาแต่เด็กเฮ่อเสวี่ยหลานได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจติดๆ กันหลายหน ร่างกายก็ทรุดลงไปแม้จะเป็นเช่นนี้ หลังจากที่รู้ว่าลู่เหิงจือไม่มีเงินไปเรียน นางก็ยังคงฮึดสู้ขึ้นมา นึกถึงจวนหย่งซุ่นป๋อที่เป็นญาติห่างๆ ตระกูลนี้ จึงไปขอร้องจนลู่เหิงจือได้โอกาสเข้าศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งหลังจากกลับไป แม่ก็ล้มป่วยรักษาไม่หาย ไม่นานนักก็ลาจากโลกไปน้ำเสียงของลู่เหิงจือหนักแน่น : "ข้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ผู้อื่นกระทำผิดต่อข้า ข้าจะต้องเอาคืนเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่า ฉะนั้น ข้าจะยอมปล่อยลู่ซิวไปได้อย่างไร..."หลังจากที่เขาได
สามีภรรยาสองคู่ไม่สนใจเรื่องโลกภายนอก พักที่บ้านพักบ่อน้ำพุร้อนอยู่ห้าวันเต็มๆ ถึงจะกลับไปยังเมืองหลวงหิมะครั้งนี้ก็ตกๆ หยุดๆ ตลอดทั้งห้าวันบรรยากาศเงียบสงบเป็นพิเศษล้อรถวิ่งผ่านกองหิมะหนาสีขาวโพลนซูชิงลั่วนั่งอยู่ในรถม้าพร้อมกอดโถน้ำร้อนเอาไว้ ภายในใจเกิดความรู้สึกหวั่นๆ อยู่ลางๆกล้บถึงบ้านกลางดึก ซูชิงลั่วเหน็ดเหนื่อยจนผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของลู่เหิงจืออย่างรวดเร็วตื่นมาวันรุ่งขึ้น เขาออกไปราชสำนักแล้วซูชิงลั่วเพิ่งจะล้างหน้าหวีผมเสร็จ นายหญิงเฒ่าก็สั่งให้คนมาเรียกนางไปกินข้าวเช้าด้วยกันเป็นการเฉพาะหลังจากที่นางออกเรือน หญิงชราก็ยังไม่เคยสั่งให้คนมาเรียกนางเลย เห็นทีคงจะกังวลเรื่องของลู่เหิงจืออยู่เช่นกันไม่ได้เจอท่านยายหลายวัน นางคิดถึงเหลือเกินซูชิงลั่วรีบไปหา หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ หญิงชราก็ถามเรื่องคดีฟ้องร้องลู่เหิงจืออย่างที่นางคิดไว้จริงๆซูชิงลั่วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : "ท่านพี่บอกว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ใด"หญิงชราพยักหน้า : "เช่นนั้นก็ดี"หลังจากคาราวะหญิงชราเสร็จแล้วก็ออกมาพร้อมกับนางเฉียน ซูชิงลั่วเอ่ยถาม : "ท่านแม่ เหตุใดไม่เห็นน้าสะใภ้รองมาคาราวะท่านยา
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขารู้สึกเช่นไรกันแน่ตอนที่ผ่านหน้านางไปตั้งแต่ไกลๆแม้จะรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่ก็ทำได้เพียงแค่เดินผ่านนางไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นซูชิงลั่วคิดเตลิดไปไกล ในใจนึกถึงแต่ลู่เหิงจือ ไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าอวี๋ซื่อชิงกำลังมองนางอยู่ แล้วก็ไม่รู้สึกตัวด้วยว่าอวี๋ซื่อชิงเข้ามาใกล้นาง และจากนางไปแสนไกลแล้วกระทั่งหน้าผากถูกเขกเบาๆ หนึ่งทีเสียงของลู่เหิงจือฟังดูใสกังวานโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลางเสียงดังวุ่นวายของหมู่ฝูงชน : "ดูจบหรือยัง"ซูชิงลั่วคล้องแขนเขา ทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ : "ท่านมาได้เช่นไร"ลู่เหิงจือมองนางหน้าตายซูชิงลั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม : "เมื่อครู่ข้ากำลังคิดว่าขบวนยินดีของท่านในปีนั้นก็เป็นเช่นนี้หรือไม่ มีหญิงสาวโยนดอกไม้ให้ท่านเยอะเหมือนกันใช่หรือไหม"ลู่เหิงจือไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้ แล้วก็ไม่เคยโอ้อวดแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ วันนี้เขาเกิดอยากจะรู้สึกเอาชนะใครบางคนขึ้นมา จึงเอ่ย : "แน่นอน เยอะกว่าที่โยนให้เขานัก"เขาดึงซูชิงลั่วเข้ามาในอ้อมกอด ใช้ปลายนิ้วจิ้มไปบนหน้าผากนางเบาๆ อีกครั้ง "ฉะนั้นเจ้าอย่าทำตัวไม่รู้จักพอ""ข้าไม่รู้จักพอ
ท้องฟ้าด้านนอกเป็นสีเทาอึมครึม คล้ายว่าหิมะกำลังจะตกอีกครั้งประโยคที่ว่า "ชิงลั่ว ข้าต้องการให้เจ้าแต่งงานกับข้า" ราวกับฟ้าฝ่าข้างหูในช่วงฤดูหนาว เสียงดังกึกก้องติดกันไม่หยุด ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ถึงจะกลับมาสู่ความเงียบวังเวงเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ซูชิงลั่วสติหลุดลอยไปชั่วขณะ สิ่งแรกที่สมองคิดขึ้นมาได้คือไปหาลู่เหิงจือนางเรียกจื๋อหยวนมาถาม : "กี่ยามแล้ว ใต้เท้าออกไปนานหรือยัง""ยังไม่เช้ามืด ใต้เท้าออกไปได้เกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว"จื๋อหยวนคลุมเสื้อคลุม ยกโคมไฟแก้วในมือขึ้นมามองนาง ก่อนจะรีบถาม "เหตุใดนายหญิงถึงได้เหงื่อออกเยอะเช่นนี้ ฝันร้ายหรือเจ้าคะ"ซูชิงลั่วพยักหน้า ในใจกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขจื๋อหยวนรีบรินน้ำร้อนแล้วนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนหน้าผากและลำคอของนางหลังจากเช็ดเสร็จก็กลับไปนอนต่อ ทว่าไม่ว่าอย่างไรซูชิงลั่วก็นอนไม่หลับนางคือภรรยาที่ลู่เหิงจือตบแต่งอย่างถูกต้องตามทำนองครองธรรม เหตุใดอวี๋ซื่อชิงถึงได้กล้าพูดกับนางเช่นนั้นนอกเสียจาก...ลู่เหิงจือพบเจอกับอันตรายบางอย่างยิ่งไปกว่านั้น ครั้งที่แล้วตอนที่นางฝันถึงอวี๋ซื่อชิง เขายังเรียกนางว่า "ฮูหยิน" อย
ผู้ดูแลร้านดวงตาเบิกโพลงด้วยความตะลึง ราวกับได้พบเห็นเรื่องราวที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเพียงแต่ความประหลาดใจของหลี่ว์เผิงเทียนก็อยู่ได้เพียงชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความรังเกียจรังงอน : "จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่"ซูชิงลั่วมองเขาปราดหนึ่ง ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : "พี่ใหญ่"แต่ทำเช่นไรดี นางเรียกเขาว่าพี่ใหญ่แล้ว !หลี่ว์เผิงเทียนโบกมือกับผู้ดูแลร้าน : "ยังยืนนิ่งอยู่ได้ เหตุใดไม่รีบไปยกชามา"ผู้ดูแลร้านรีบขานรับเขายังไม่เคยเห็นหลี่ว์เผิงเทียนปฏิบัติกับใครด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้มาก่อน กำลังคิดว่าควรจะยกชาที่ดีที่สุดออกมาตอนรับดีหรือไม่ ก็ได้ยินหลี่ว์เผิงเทียนพูดขึ้นมา : "น้องซูเป็นคนกันเอง เอาชาที่ราคาถูกที่สุดมาก็พอ"ผู้ดูแลร้านอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากงกได้โล่เสียจริงทั้งสองคนเดินเข้าไปด้านใน ซูชิงลั่วเอ่ยถามเขาเสียงเบา : "พี่ใหญ่ ตรงนี้คุยสะดวกหรือไม่"หลี่ว์เผิงเทียนครุ่นคิดก่อนจะตอบ : "เจ้ามากับข้า"เขาพาซูชิงลั่วเดินเข้าไปด้านใน แล้วขึ้นไปชั้นสอง ไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ด้านในสุดห้องหนึ่ง อีกทั้งยังเปิดหน้าต่างมองออกไปด้านนอกก่อนถึงจะพูดกับนาง : "ว่ามาเถอะ"ซูชิงลั่ว
ท้องฟ้าสีเทาอึมครึมมีหิมะโปรยปรายลงมาอีกครั้งซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นไปมองป้ายจวนลู่ปราดหนึ่ง รู้สึกเพียงแค่เมฆดำทมิฬจากไกลๆ ดูเหมือนกำลังจะปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าด้านบนจวนจิตใจที่เป็นกังวลกลับสงบนิ่งลงในเวลานี้ลู่เหิงจือต้องการนาง นางจะตื่นตูมไม่ได้ความหวาดกลัวมาจากความไม่รู้หากแม้แต่นางเองยังกลัว เช่นนั้นผู้อื่นก็ควรจะกลัวยิ่งกว่านางพยักหน้า พูดอย่างใจเย็น : "เข้ามาคุยด้านใน"ฉางชิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยเดิมทีคิดว่าถึงอย่างไรนายหญิงก็น่าจะมีท่าทีตื่นตระหนกบ้างหลังจากที่รู้ข่าว คิดไม่ถึงว่านางจะนิ่งถึงเพียงนี้เกือบลืมไปแล้วว่า นายหญิงเคยควบม้าไปช่วยใต้เท้าที่หังโจวเอาไว้หิมะด้านนอกค่อยๆ ตกลงมา สีท้องฟ้าที่ดูวังเวงอ้างว้างให้ความรู้สึกหดหู่อย่างน่าประหลาดซูชิงลั่วนั่งลงบนเตียงข้างหน้าต่าง จิบน้ำหนึ่งคำเพื่อทำให้ใจสงบลงก่อน หลังจากนั้นจึงเอ่ยถาม : "เกิดเรื่องอันใดขึ้น"ฉางชิง : "วันนี้จู่ๆ ที่ราชสำนักก็มีผู้ร้องเรียน บอกว่าอดีตองค์รัชทายาทถูกใส่ร้ายจนถึงแก่ความตาย จดหมายของหวังเหลียงฮั่นกับอดีตองค์รัชทายาทไม่ใช่จดหมายที่อดีตองค์รัชทายาทเขียน แต่มีคนปลอมแปลงลายมืออดีตองค์รัชทายา
แม่นมเหมยเกือบจะหลุดขำออกมาซูชิงลั่วตะโกนเรียกนางด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ : "แม่นม""เอาเถอะ" แม่นมเหมยยกมือขึ้นมาแตะไหล่นาง "เข้าไปแล้วนายหญิงอย่าไปโมโหใส่ใต้เท้าล่ะ คุยกับใต้เท้าดีๆ"ซูชิงลั่วส่งเสียงค้อนในลำคอ : "ให้เขาฝันไปเถอะ"*ซูชิงลั่วเฝ้ารออยู่ตลอด กระทั่งตกดึก คนของติ้งอ๋องถึงจะมารับนางที่ประตูด้านข้างแม้ในเมืองหลวงจะมีกฎห้ามออกนอกเคหะสถานยามดึก แต่สำหรับติ้งอ๋องแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ใช่เรื่องยาก นางเข้าไปถึงคุกกรมราชทัณฑ์ได้อย่างราบรื่นทางเดินที่อับชื้นทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุดนักโทษที่ถูกจองจำส่วนใหญ่ต่างก็หลับกันหมดแล้ว มีไม่กี่สายตาที่จะทอดมองมาทางนางเป็นครั้งคราวไม่รู้ว่าเดินไปนานเพียงใด แม้แต่นักโทษสักคนก็ไม่เห็นแล้ว เหลือแต่ห้องขังที่ว่างเปล่าเลี้ยวที่มุมโค้งอีกสองครั้ง ซูชิงลั่วถึงจะเจอลู่เหิงจือที่อยู่ในห้องขังหินที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในสุดเขาสวมชุดสีขาวล้วน ผมปล่อยยาวไว้ด้านหลัง นั่งอยู่กลางคุกที่มืดสลัวและอับชื้นเพียงลำพังทันทีที่ยกโคมไฟส่องเข้าไป ก็สะท้อนให้เห็นใบหน้าซีดขาวที่ซูบโทรมและดวงตาที่ใสสว่างแต่เย็นเยียบคู่นั้นของเขาเขาเงยหน้าขึ้นมา จ้อ
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป