หลังจากลู่เหรินผู้เป็นพ่อจากไป เฮ่อเสวี่ยหลานผู้เป็นแม่มีรูปโฉมงดงาม จึงเป็นที่ถูกตาต้องใจของลู่ซิวอาของเขา ทุกครั้งที่ลู่เหิงจือไม่อยู่บ้าน เขาจะเข้ามาเกาะแกะลวนลามแน่นอนว่าเฮ่อเสวี่ยหลานไม่ยินยอม ลู่ซิวจึงคิดหาหนทางครอบครองที่นาร้อยหมู่ของบ้านพวกเขา หนำซ้ำบ่าวชั่วยังหอบเงินหนีไปเพราะการยั่วยุของลู่ซิว อีกทั้งยังขายลู่ซือไหวที่ตอนนั้นยังเด็กน้อยอยู่ที่บ้านขาดรายรับอย่างกะทันหัน เหล่าคนใช้พากันแยกย้ายไปคนละทิศละทาง เหลือเพียงแค่ซ่งเหวินและเจียงหมัวมัวที่รับใช้เขามาแต่เด็กเฮ่อเสวี่ยหลานได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจติดๆ กันหลายหน ร่างกายก็ทรุดลงไปแม้จะเป็นเช่นนี้ หลังจากที่รู้ว่าลู่เหิงจือไม่มีเงินไปเรียน นางก็ยังคงฮึดสู้ขึ้นมา นึกถึงจวนหย่งซุ่นป๋อที่เป็นญาติห่างๆ ตระกูลนี้ จึงไปขอร้องจนลู่เหิงจือได้โอกาสเข้าศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งหลังจากกลับไป แม่ก็ล้มป่วยรักษาไม่หาย ไม่นานนักก็ลาจากโลกไปน้ำเสียงของลู่เหิงจือหนักแน่น : "ข้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ผู้อื่นกระทำผิดต่อข้า ข้าจะต้องเอาคืนเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่า ฉะนั้น ข้าจะยอมปล่อยลู่ซิวไปได้อย่างไร..."หลังจากที่เขาได
สามีภรรยาสองคู่ไม่สนใจเรื่องโลกภายนอก พักที่บ้านพักบ่อน้ำพุร้อนอยู่ห้าวันเต็มๆ ถึงจะกลับไปยังเมืองหลวงหิมะครั้งนี้ก็ตกๆ หยุดๆ ตลอดทั้งห้าวันบรรยากาศเงียบสงบเป็นพิเศษล้อรถวิ่งผ่านกองหิมะหนาสีขาวโพลนซูชิงลั่วนั่งอยู่ในรถม้าพร้อมกอดโถน้ำร้อนเอาไว้ ภายในใจเกิดความรู้สึกหวั่นๆ อยู่ลางๆกล้บถึงบ้านกลางดึก ซูชิงลั่วเหน็ดเหนื่อยจนผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของลู่เหิงจืออย่างรวดเร็วตื่นมาวันรุ่งขึ้น เขาออกไปราชสำนักแล้วซูชิงลั่วเพิ่งจะล้างหน้าหวีผมเสร็จ นายหญิงเฒ่าก็สั่งให้คนมาเรียกนางไปกินข้าวเช้าด้วยกันเป็นการเฉพาะหลังจากที่นางออกเรือน หญิงชราก็ยังไม่เคยสั่งให้คนมาเรียกนางเลย เห็นทีคงจะกังวลเรื่องของลู่เหิงจืออยู่เช่นกันไม่ได้เจอท่านยายหลายวัน นางคิดถึงเหลือเกินซูชิงลั่วรีบไปหา หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ หญิงชราก็ถามเรื่องคดีฟ้องร้องลู่เหิงจืออย่างที่นางคิดไว้จริงๆซูชิงลั่วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : "ท่านพี่บอกว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ใด"หญิงชราพยักหน้า : "เช่นนั้นก็ดี"หลังจากคาราวะหญิงชราเสร็จแล้วก็ออกมาพร้อมกับนางเฉียน ซูชิงลั่วเอ่ยถาม : "ท่านแม่ เหตุใดไม่เห็นน้าสะใภ้รองมาคาราวะท่านยา
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขารู้สึกเช่นไรกันแน่ตอนที่ผ่านหน้านางไปตั้งแต่ไกลๆแม้จะรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่ก็ทำได้เพียงแค่เดินผ่านนางไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นซูชิงลั่วคิดเตลิดไปไกล ในใจนึกถึงแต่ลู่เหิงจือ ไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าอวี๋ซื่อชิงกำลังมองนางอยู่ แล้วก็ไม่รู้สึกตัวด้วยว่าอวี๋ซื่อชิงเข้ามาใกล้นาง และจากนางไปแสนไกลแล้วกระทั่งหน้าผากถูกเขกเบาๆ หนึ่งทีเสียงของลู่เหิงจือฟังดูใสกังวานโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลางเสียงดังวุ่นวายของหมู่ฝูงชน : "ดูจบหรือยัง"ซูชิงลั่วคล้องแขนเขา ทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ : "ท่านมาได้เช่นไร"ลู่เหิงจือมองนางหน้าตายซูชิงลั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม : "เมื่อครู่ข้ากำลังคิดว่าขบวนยินดีของท่านในปีนั้นก็เป็นเช่นนี้หรือไม่ มีหญิงสาวโยนดอกไม้ให้ท่านเยอะเหมือนกันใช่หรือไหม"ลู่เหิงจือไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้ แล้วก็ไม่เคยโอ้อวดแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ วันนี้เขาเกิดอยากจะรู้สึกเอาชนะใครบางคนขึ้นมา จึงเอ่ย : "แน่นอน เยอะกว่าที่โยนให้เขานัก"เขาดึงซูชิงลั่วเข้ามาในอ้อมกอด ใช้ปลายนิ้วจิ้มไปบนหน้าผากนางเบาๆ อีกครั้ง "ฉะนั้นเจ้าอย่าทำตัวไม่รู้จักพอ""ข้าไม่รู้จักพอ
ท้องฟ้าด้านนอกเป็นสีเทาอึมครึม คล้ายว่าหิมะกำลังจะตกอีกครั้งประโยคที่ว่า "ชิงลั่ว ข้าต้องการให้เจ้าแต่งงานกับข้า" ราวกับฟ้าฝ่าข้างหูในช่วงฤดูหนาว เสียงดังกึกก้องติดกันไม่หยุด ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ถึงจะกลับมาสู่ความเงียบวังเวงเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ซูชิงลั่วสติหลุดลอยไปชั่วขณะ สิ่งแรกที่สมองคิดขึ้นมาได้คือไปหาลู่เหิงจือนางเรียกจื๋อหยวนมาถาม : "กี่ยามแล้ว ใต้เท้าออกไปนานหรือยัง""ยังไม่เช้ามืด ใต้เท้าออกไปได้เกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว"จื๋อหยวนคลุมเสื้อคลุม ยกโคมไฟแก้วในมือขึ้นมามองนาง ก่อนจะรีบถาม "เหตุใดนายหญิงถึงได้เหงื่อออกเยอะเช่นนี้ ฝันร้ายหรือเจ้าคะ"ซูชิงลั่วพยักหน้า ในใจกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขจื๋อหยวนรีบรินน้ำร้อนแล้วนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนหน้าผากและลำคอของนางหลังจากเช็ดเสร็จก็กลับไปนอนต่อ ทว่าไม่ว่าอย่างไรซูชิงลั่วก็นอนไม่หลับนางคือภรรยาที่ลู่เหิงจือตบแต่งอย่างถูกต้องตามทำนองครองธรรม เหตุใดอวี๋ซื่อชิงถึงได้กล้าพูดกับนางเช่นนั้นนอกเสียจาก...ลู่เหิงจือพบเจอกับอันตรายบางอย่างยิ่งไปกว่านั้น ครั้งที่แล้วตอนที่นางฝันถึงอวี๋ซื่อชิง เขายังเรียกนางว่า "ฮูหยิน" อย
ผู้ดูแลร้านดวงตาเบิกโพลงด้วยความตะลึง ราวกับได้พบเห็นเรื่องราวที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเพียงแต่ความประหลาดใจของหลี่ว์เผิงเทียนก็อยู่ได้เพียงชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความรังเกียจรังงอน : "จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่"ซูชิงลั่วมองเขาปราดหนึ่ง ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : "พี่ใหญ่"แต่ทำเช่นไรดี นางเรียกเขาว่าพี่ใหญ่แล้ว !หลี่ว์เผิงเทียนโบกมือกับผู้ดูแลร้าน : "ยังยืนนิ่งอยู่ได้ เหตุใดไม่รีบไปยกชามา"ผู้ดูแลร้านรีบขานรับเขายังไม่เคยเห็นหลี่ว์เผิงเทียนปฏิบัติกับใครด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้มาก่อน กำลังคิดว่าควรจะยกชาที่ดีที่สุดออกมาตอนรับดีหรือไม่ ก็ได้ยินหลี่ว์เผิงเทียนพูดขึ้นมา : "น้องซูเป็นคนกันเอง เอาชาที่ราคาถูกที่สุดมาก็พอ"ผู้ดูแลร้านอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากงกได้โล่เสียจริงทั้งสองคนเดินเข้าไปด้านใน ซูชิงลั่วเอ่ยถามเขาเสียงเบา : "พี่ใหญ่ ตรงนี้คุยสะดวกหรือไม่"หลี่ว์เผิงเทียนครุ่นคิดก่อนจะตอบ : "เจ้ามากับข้า"เขาพาซูชิงลั่วเดินเข้าไปด้านใน แล้วขึ้นไปชั้นสอง ไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ด้านในสุดห้องหนึ่ง อีกทั้งยังเปิดหน้าต่างมองออกไปด้านนอกก่อนถึงจะพูดกับนาง : "ว่ามาเถอะ"ซูชิงลั่ว
ท้องฟ้าสีเทาอึมครึมมีหิมะโปรยปรายลงมาอีกครั้งซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นไปมองป้ายจวนลู่ปราดหนึ่ง รู้สึกเพียงแค่เมฆดำทมิฬจากไกลๆ ดูเหมือนกำลังจะปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าด้านบนจวนจิตใจที่เป็นกังวลกลับสงบนิ่งลงในเวลานี้ลู่เหิงจือต้องการนาง นางจะตื่นตูมไม่ได้ความหวาดกลัวมาจากความไม่รู้หากแม้แต่นางเองยังกลัว เช่นนั้นผู้อื่นก็ควรจะกลัวยิ่งกว่านางพยักหน้า พูดอย่างใจเย็น : "เข้ามาคุยด้านใน"ฉางชิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยเดิมทีคิดว่าถึงอย่างไรนายหญิงก็น่าจะมีท่าทีตื่นตระหนกบ้างหลังจากที่รู้ข่าว คิดไม่ถึงว่านางจะนิ่งถึงเพียงนี้เกือบลืมไปแล้วว่า นายหญิงเคยควบม้าไปช่วยใต้เท้าที่หังโจวเอาไว้หิมะด้านนอกค่อยๆ ตกลงมา สีท้องฟ้าที่ดูวังเวงอ้างว้างให้ความรู้สึกหดหู่อย่างน่าประหลาดซูชิงลั่วนั่งลงบนเตียงข้างหน้าต่าง จิบน้ำหนึ่งคำเพื่อทำให้ใจสงบลงก่อน หลังจากนั้นจึงเอ่ยถาม : "เกิดเรื่องอันใดขึ้น"ฉางชิง : "วันนี้จู่ๆ ที่ราชสำนักก็มีผู้ร้องเรียน บอกว่าอดีตองค์รัชทายาทถูกใส่ร้ายจนถึงแก่ความตาย จดหมายของหวังเหลียงฮั่นกับอดีตองค์รัชทายาทไม่ใช่จดหมายที่อดีตองค์รัชทายาทเขียน แต่มีคนปลอมแปลงลายมืออดีตองค์รัชทายา
แม่นมเหมยเกือบจะหลุดขำออกมาซูชิงลั่วตะโกนเรียกนางด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ : "แม่นม""เอาเถอะ" แม่นมเหมยยกมือขึ้นมาแตะไหล่นาง "เข้าไปแล้วนายหญิงอย่าไปโมโหใส่ใต้เท้าล่ะ คุยกับใต้เท้าดีๆ"ซูชิงลั่วส่งเสียงค้อนในลำคอ : "ให้เขาฝันไปเถอะ"*ซูชิงลั่วเฝ้ารออยู่ตลอด กระทั่งตกดึก คนของติ้งอ๋องถึงจะมารับนางที่ประตูด้านข้างแม้ในเมืองหลวงจะมีกฎห้ามออกนอกเคหะสถานยามดึก แต่สำหรับติ้งอ๋องแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ใช่เรื่องยาก นางเข้าไปถึงคุกกรมราชทัณฑ์ได้อย่างราบรื่นทางเดินที่อับชื้นทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุดนักโทษที่ถูกจองจำส่วนใหญ่ต่างก็หลับกันหมดแล้ว มีไม่กี่สายตาที่จะทอดมองมาทางนางเป็นครั้งคราวไม่รู้ว่าเดินไปนานเพียงใด แม้แต่นักโทษสักคนก็ไม่เห็นแล้ว เหลือแต่ห้องขังที่ว่างเปล่าเลี้ยวที่มุมโค้งอีกสองครั้ง ซูชิงลั่วถึงจะเจอลู่เหิงจือที่อยู่ในห้องขังหินที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในสุดเขาสวมชุดสีขาวล้วน ผมปล่อยยาวไว้ด้านหลัง นั่งอยู่กลางคุกที่มืดสลัวและอับชื้นเพียงลำพังทันทีที่ยกโคมไฟส่องเข้าไป ก็สะท้อนให้เห็นใบหน้าซีดขาวที่ซูบโทรมและดวงตาที่ใสสว่างแต่เย็นเยียบคู่นั้นของเขาเขาเงยหน้าขึ้นมา จ้อ
ลมเย็นที่ลอดเข้ามาราวกับพัดโชยเข้าไปในร่างนางโดยตรงซูชิงลั่วพยายามกดเสียงรบกวนที่ดังขึ้นภายในใจเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย : "ท่านพูดให้ชัดเจน"ลู่เหิงจือกุมมือนางไว้ : "เข้ามาคุยในอ้อมกอดข้า"ซูชิงลั่วไม่ขยับ ดวงตาที่สดใสคู่นั้น ในเวลานี้กลับดูลุ่มลึกและสงบนิ่ง ราวกับทะเลสาบลึกนางปัดมือเขาออก ปลายนิ้วเย็นเยียบสัมผัสที่ฝ่ามือของเขา ประหนึ่งเกร็ดน้ำแข็งเม็ดเล็ก "พูดแบบนี้แหละ"ลู่เหิงจือนิ่งอึ้งไปชั่วขณะที่ไม่ยอมพูดเรื่องนี้กับนางเสียที นอกจากเพราะไม่ต้องการให้นางเป็นกังวลแล้ว ยังเป็นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากเช่นไรดีแต่ยามนี้เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่พูดออกไปอีกคงไม่ได้เขาเงียบไปครู่หนึ่งถึงจะเอ่ยปากพูดออกมาในที่สุด"ชิงลั่ว ข้าเคยเล่าเรื่องท่านพ่อท่านแม่ให้เจ้าฟัง..."เขาเงยหน้า มองดูแสงจันทร์ที่เย็นเยียบด้านนอกผ่านหน้าต่างหินบานเล็กบานนั้น พลางเอ่ย :"ข้าไม่ได้บอกเจ้า ว่าหลังจากพ่อข้าจากไป แม้แต่ศพก็ไม่เคยได้เห็น ถูกคนขององค์รัชทายาทเผาไปหมดแล้ว ทำได้เพียงแค่สร้างแท่นจารึก"ส่วนท่านแม่...นอนป่วยติดเตียง สุดท้ายตอนที่จากไป ร่างกายซูบผอมจนไม่สามารถสวมเสื้อผ้าเดิมที่มีอยู