ท้องฟ้าด้านนอกเป็นสีเทาอึมครึม คล้ายว่าหิมะกำลังจะตกอีกครั้งประโยคที่ว่า "ชิงลั่ว ข้าต้องการให้เจ้าแต่งงานกับข้า" ราวกับฟ้าฝ่าข้างหูในช่วงฤดูหนาว เสียงดังกึกก้องติดกันไม่หยุด ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ถึงจะกลับมาสู่ความเงียบวังเวงเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ซูชิงลั่วสติหลุดลอยไปชั่วขณะ สิ่งแรกที่สมองคิดขึ้นมาได้คือไปหาลู่เหิงจือนางเรียกจื๋อหยวนมาถาม : "กี่ยามแล้ว ใต้เท้าออกไปนานหรือยัง""ยังไม่เช้ามืด ใต้เท้าออกไปได้เกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว"จื๋อหยวนคลุมเสื้อคลุม ยกโคมไฟแก้วในมือขึ้นมามองนาง ก่อนจะรีบถาม "เหตุใดนายหญิงถึงได้เหงื่อออกเยอะเช่นนี้ ฝันร้ายหรือเจ้าคะ"ซูชิงลั่วพยักหน้า ในใจกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขจื๋อหยวนรีบรินน้ำร้อนแล้วนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนหน้าผากและลำคอของนางหลังจากเช็ดเสร็จก็กลับไปนอนต่อ ทว่าไม่ว่าอย่างไรซูชิงลั่วก็นอนไม่หลับนางคือภรรยาที่ลู่เหิงจือตบแต่งอย่างถูกต้องตามทำนองครองธรรม เหตุใดอวี๋ซื่อชิงถึงได้กล้าพูดกับนางเช่นนั้นนอกเสียจาก...ลู่เหิงจือพบเจอกับอันตรายบางอย่างยิ่งไปกว่านั้น ครั้งที่แล้วตอนที่นางฝันถึงอวี๋ซื่อชิง เขายังเรียกนางว่า "ฮูหยิน" อย
ผู้ดูแลร้านดวงตาเบิกโพลงด้วยความตะลึง ราวกับได้พบเห็นเรื่องราวที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเพียงแต่ความประหลาดใจของหลี่ว์เผิงเทียนก็อยู่ได้เพียงชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความรังเกียจรังงอน : "จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่"ซูชิงลั่วมองเขาปราดหนึ่ง ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : "พี่ใหญ่"แต่ทำเช่นไรดี นางเรียกเขาว่าพี่ใหญ่แล้ว !หลี่ว์เผิงเทียนโบกมือกับผู้ดูแลร้าน : "ยังยืนนิ่งอยู่ได้ เหตุใดไม่รีบไปยกชามา"ผู้ดูแลร้านรีบขานรับเขายังไม่เคยเห็นหลี่ว์เผิงเทียนปฏิบัติกับใครด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้มาก่อน กำลังคิดว่าควรจะยกชาที่ดีที่สุดออกมาตอนรับดีหรือไม่ ก็ได้ยินหลี่ว์เผิงเทียนพูดขึ้นมา : "น้องซูเป็นคนกันเอง เอาชาที่ราคาถูกที่สุดมาก็พอ"ผู้ดูแลร้านอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากงกได้โล่เสียจริงทั้งสองคนเดินเข้าไปด้านใน ซูชิงลั่วเอ่ยถามเขาเสียงเบา : "พี่ใหญ่ ตรงนี้คุยสะดวกหรือไม่"หลี่ว์เผิงเทียนครุ่นคิดก่อนจะตอบ : "เจ้ามากับข้า"เขาพาซูชิงลั่วเดินเข้าไปด้านใน แล้วขึ้นไปชั้นสอง ไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ด้านในสุดห้องหนึ่ง อีกทั้งยังเปิดหน้าต่างมองออกไปด้านนอกก่อนถึงจะพูดกับนาง : "ว่ามาเถอะ"ซูชิงลั่ว
ท้องฟ้าสีเทาอึมครึมมีหิมะโปรยปรายลงมาอีกครั้งซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นไปมองป้ายจวนลู่ปราดหนึ่ง รู้สึกเพียงแค่เมฆดำทมิฬจากไกลๆ ดูเหมือนกำลังจะปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าด้านบนจวนจิตใจที่เป็นกังวลกลับสงบนิ่งลงในเวลานี้ลู่เหิงจือต้องการนาง นางจะตื่นตูมไม่ได้ความหวาดกลัวมาจากความไม่รู้หากแม้แต่นางเองยังกลัว เช่นนั้นผู้อื่นก็ควรจะกลัวยิ่งกว่านางพยักหน้า พูดอย่างใจเย็น : "เข้ามาคุยด้านใน"ฉางชิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยเดิมทีคิดว่าถึงอย่างไรนายหญิงก็น่าจะมีท่าทีตื่นตระหนกบ้างหลังจากที่รู้ข่าว คิดไม่ถึงว่านางจะนิ่งถึงเพียงนี้เกือบลืมไปแล้วว่า นายหญิงเคยควบม้าไปช่วยใต้เท้าที่หังโจวเอาไว้หิมะด้านนอกค่อยๆ ตกลงมา สีท้องฟ้าที่ดูวังเวงอ้างว้างให้ความรู้สึกหดหู่อย่างน่าประหลาดซูชิงลั่วนั่งลงบนเตียงข้างหน้าต่าง จิบน้ำหนึ่งคำเพื่อทำให้ใจสงบลงก่อน หลังจากนั้นจึงเอ่ยถาม : "เกิดเรื่องอันใดขึ้น"ฉางชิง : "วันนี้จู่ๆ ที่ราชสำนักก็มีผู้ร้องเรียน บอกว่าอดีตองค์รัชทายาทถูกใส่ร้ายจนถึงแก่ความตาย จดหมายของหวังเหลียงฮั่นกับอดีตองค์รัชทายาทไม่ใช่จดหมายที่อดีตองค์รัชทายาทเขียน แต่มีคนปลอมแปลงลายมืออดีตองค์รัชทายา
แม่นมเหมยเกือบจะหลุดขำออกมาซูชิงลั่วตะโกนเรียกนางด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ : "แม่นม""เอาเถอะ" แม่นมเหมยยกมือขึ้นมาแตะไหล่นาง "เข้าไปแล้วนายหญิงอย่าไปโมโหใส่ใต้เท้าล่ะ คุยกับใต้เท้าดีๆ"ซูชิงลั่วส่งเสียงค้อนในลำคอ : "ให้เขาฝันไปเถอะ"*ซูชิงลั่วเฝ้ารออยู่ตลอด กระทั่งตกดึก คนของติ้งอ๋องถึงจะมารับนางที่ประตูด้านข้างแม้ในเมืองหลวงจะมีกฎห้ามออกนอกเคหะสถานยามดึก แต่สำหรับติ้งอ๋องแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ใช่เรื่องยาก นางเข้าไปถึงคุกกรมราชทัณฑ์ได้อย่างราบรื่นทางเดินที่อับชื้นทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุดนักโทษที่ถูกจองจำส่วนใหญ่ต่างก็หลับกันหมดแล้ว มีไม่กี่สายตาที่จะทอดมองมาทางนางเป็นครั้งคราวไม่รู้ว่าเดินไปนานเพียงใด แม้แต่นักโทษสักคนก็ไม่เห็นแล้ว เหลือแต่ห้องขังที่ว่างเปล่าเลี้ยวที่มุมโค้งอีกสองครั้ง ซูชิงลั่วถึงจะเจอลู่เหิงจือที่อยู่ในห้องขังหินที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในสุดเขาสวมชุดสีขาวล้วน ผมปล่อยยาวไว้ด้านหลัง นั่งอยู่กลางคุกที่มืดสลัวและอับชื้นเพียงลำพังทันทีที่ยกโคมไฟส่องเข้าไป ก็สะท้อนให้เห็นใบหน้าซีดขาวที่ซูบโทรมและดวงตาที่ใสสว่างแต่เย็นเยียบคู่นั้นของเขาเขาเงยหน้าขึ้นมา จ้อ
ลมเย็นที่ลอดเข้ามาราวกับพัดโชยเข้าไปในร่างนางโดยตรงซูชิงลั่วพยายามกดเสียงรบกวนที่ดังขึ้นภายในใจเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย : "ท่านพูดให้ชัดเจน"ลู่เหิงจือกุมมือนางไว้ : "เข้ามาคุยในอ้อมกอดข้า"ซูชิงลั่วไม่ขยับ ดวงตาที่สดใสคู่นั้น ในเวลานี้กลับดูลุ่มลึกและสงบนิ่ง ราวกับทะเลสาบลึกนางปัดมือเขาออก ปลายนิ้วเย็นเยียบสัมผัสที่ฝ่ามือของเขา ประหนึ่งเกร็ดน้ำแข็งเม็ดเล็ก "พูดแบบนี้แหละ"ลู่เหิงจือนิ่งอึ้งไปชั่วขณะที่ไม่ยอมพูดเรื่องนี้กับนางเสียที นอกจากเพราะไม่ต้องการให้นางเป็นกังวลแล้ว ยังเป็นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากเช่นไรดีแต่ยามนี้เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่พูดออกไปอีกคงไม่ได้เขาเงียบไปครู่หนึ่งถึงจะเอ่ยปากพูดออกมาในที่สุด"ชิงลั่ว ข้าเคยเล่าเรื่องท่านพ่อท่านแม่ให้เจ้าฟัง..."เขาเงยหน้า มองดูแสงจันทร์ที่เย็นเยียบด้านนอกผ่านหน้าต่างหินบานเล็กบานนั้น พลางเอ่ย :"ข้าไม่ได้บอกเจ้า ว่าหลังจากพ่อข้าจากไป แม้แต่ศพก็ไม่เคยได้เห็น ถูกคนขององค์รัชทายาทเผาไปหมดแล้ว ทำได้เพียงแค่สร้างแท่นจารึก"ส่วนท่านแม่...นอนป่วยติดเตียง สุดท้ายตอนที่จากไป ร่างกายซูบผอมจนไม่สามารถสวมเสื้อผ้าเดิมที่มีอยู
ค่ำคืนเหล่านั้นหลังจากที่ได้พบกัน เขากระสับกระส่ายคิดวกไปวนมา ภายในหัวล้วนแต่เป็นภาพของนางอยู่ห่างกันยังพอควบคุมตัวเองได้ แต่พอเข้าใกล้คนที่ตนชอบแล้ว ความรู้สึกนั้นราวกับน้ำท่วมทะลักที่ไม่อาจยับยั้งได้ไม่อาจทนเห็นนางแต่งงานกับผู้อื่นได้ชีวิตของเขาขมขื่นเช่นนี้ เขาเพียงแค่ต้องการความหวานอันน้อยนิดให้กับตนเองบ้าง อยากจะโลภบ้างก็เท่านั้นแม้จะรู้ว่าเบื้องหน้ามีอาจมีความเสี่ยงที่ไม่อาจควบคุมได้รออยู่ เขาก็พร้อมที่จะยอมรับและทำเรื่องนี้ให้สำเร็จในเวลานี้ ลู่เหิงจือเปิดเผยความรู้สึกนึกคิดและแผนการทั้งหมดตรงหน้านางแล้วหลังจากพูดจบ สายตาของเขาก็หลุบมองบนตัวนาง"ชิงลั่ว ข้าแต่งงานกับเจ้าแล้ว แน่นอนว่าต้องปกป้องเจ้าให้เจ้าปลอดภัย หากไม่แยกจากกัน เจ้ากับข้าอยู่ด้วยกันในฐานะสามีภรรยา ไม่เพียงแต่จะไม่ดีกับเจ้า หลายๆ เรื่องก็จะเป็นตัวถ่วงสำหรับข้าด้วย"หลังจากที่พวกเราแยกกันอยู่แล้ว เซี่ยถิงอวี่จะปกป้องเจ้า หากเจ้าเต็มใจ ก็สามารถกลับไปรอข้าที่จินหลิงได้"องครักษ์ลับส่งข่าวมาแล้วว่าชนเผ่าทางเหนือกำลังรุกล้ำราชวงศ์ของเรา อีกไม่กี่วันราชสำนักก็จะได้รับเรื่อง ข้าจะออกไปขับไล่ข้าศึกที่ชายแด
เสียงใสราวเสียงนกขมิ้นก้องกังวานอยู่ในห้องหินเล็กๆ แห่งนี้คิดว่านางจะคัดค้าน แต่ไม่คิดว่านางจะคัดค้านอย่างรุนแรงเช่นนี้ลู่เหิงจือพยายามปลอบโยนนางด้วยน้ำเสียงอดทน "ชิงลั่ว......"แต่กลับถูกนางพูดแทรกด้วยน้ำเสียงเย็นชา"ไม่มีการหย่าหลอกๆ อะไรทั้งนั้น เมื่อเขียนเป็นหนังสือแล้ว ทุกคนก็รู้ว่าเราไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว"ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "เป็นเพียงชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น ในใจของข้า เจ้าเป็นภรรยาของข้าเสมอ""หากเป็นเพียงชื่อเสียงจอมปลอม ทำไมยามนั้นท่านถึงแต่งงานกับข้า?"ลู่เหิงจือนิ่งอึ้งไปซูชิงลั่วเอ่ยเสียงดังฟังชัด "พี่สาม ข้าทนไม่ได้ที่ท่านจะใช้สถานะสามีภรรยาของเราเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ข้าทนไม่ได้ที่คนอื่นจะพูดว่าข้าไม่ใช่ภรรยาของท่าน และข้าทนไม่ได้หากวันหนึ่งท่านเกิดเรื่องขึ้น แล้วเราไม่มีความเกี่ยวข้องกัน""ข้ารอท่าน แต่ข้าจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด""ชื่อของข้า จะต้องอยู่เคียงข้างชื่อของท่านอย่างภาคภูมิใจเสมอ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี และหากจำเป็น ข้าก็จะออกจากเมืองหลวง"นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ "แม้ท่านจะตาย ข้าก็ยังคงเป็นฮูหยินของท่าน และจะมาส่งศพท่านด้วยตัวเอง"นาง
หลักฐานที่ว่าลู่เหิงจือใส่ร้ายองค์รัชทายาทนั้นมีอยู่จริง แต่ยังไม่เพียงพอ และมีผู้ต้องสงสัยรายสำคัญอีกคนคือฉีอ๋องแต่เขาก็รู้สึกได้อย่างเฉียบแหลมว่าฮ่องเต้ไม่อยากให้ฉีอ๋องเข้ามาพัวพันเรื่องนี้ และต้องการให้ลู่เหิงจือล้มเลิกความคิดนี้เขาสงสัยว่าทำไมลู่เหิงจือถึงกล้าเสี่ยงเพียงนี้เพื่อใส่ร้ายองค์รัชทายาท? เขาก็ไม่ใช่คนของฉีอ๋อง และดูเหมือนว่ายามนี้ฉีอ๋องก็ไม่ได้อยากปกป้องเขาแล้วแรงจูงใจที่ทำให้เขาทำเช่นนี้คืออะไร?ในเมื่อคิดไม่ออก เขาจึงตัดสินใจไปถามลู่เหิงจือที่คุกด้วยตัวเองเมื่อถือโคมไฟของกรมราชทัณฑ์เข้ามา ด้านนอกก็ดูมืดมิดเดินต่อไปเรื่อยๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าคาดหวังผลลัพธ์อะไรจากการไปถามลู่เหิงจือครั้งนี้ เพื่อจะหาหลักฐานมาตัดสินความผิดเขา หรือเพื่อจะช่วยเขาให้พ้นผิดกันแน่เมื่อมาถึงหน้าคุก ผู้คุมกำลังงีบหลับ เมื่อได้ยินเสียงก็รีบตื่นขึ้นมาทันที“ใต้เท้าอวี๋? ท่านมาที่นี่ยามนี้ได้อย่างไร”อวี๋ซื่อชิงเป็นรองเสนาบดีกรมราชทัณฑ์ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยองค์จักรพรรดิ ให้รับผิดชอบคดีของลู่เหิงจือแน่นอนว่าอวี๋ซื่อชิงตอบว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะถามใต้เท้าลู่”ผู้คุมตกใจจึง