หลักฐานที่ว่าลู่เหิงจือใส่ร้ายองค์รัชทายาทนั้นมีอยู่จริง แต่ยังไม่เพียงพอ และมีผู้ต้องสงสัยรายสำคัญอีกคนคือฉีอ๋องแต่เขาก็รู้สึกได้อย่างเฉียบแหลมว่าฮ่องเต้ไม่อยากให้ฉีอ๋องเข้ามาพัวพันเรื่องนี้ และต้องการให้ลู่เหิงจือล้มเลิกความคิดนี้เขาสงสัยว่าทำไมลู่เหิงจือถึงกล้าเสี่ยงเพียงนี้เพื่อใส่ร้ายองค์รัชทายาท? เขาก็ไม่ใช่คนของฉีอ๋อง และดูเหมือนว่ายามนี้ฉีอ๋องก็ไม่ได้อยากปกป้องเขาแล้วแรงจูงใจที่ทำให้เขาทำเช่นนี้คืออะไร?ในเมื่อคิดไม่ออก เขาจึงตัดสินใจไปถามลู่เหิงจือที่คุกด้วยตัวเองเมื่อถือโคมไฟของกรมราชทัณฑ์เข้ามา ด้านนอกก็ดูมืดมิดเดินต่อไปเรื่อยๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าคาดหวังผลลัพธ์อะไรจากการไปถามลู่เหิงจือครั้งนี้ เพื่อจะหาหลักฐานมาตัดสินความผิดเขา หรือเพื่อจะช่วยเขาให้พ้นผิดกันแน่เมื่อมาถึงหน้าคุก ผู้คุมกำลังงีบหลับ เมื่อได้ยินเสียงก็รีบตื่นขึ้นมาทันที“ใต้เท้าอวี๋? ท่านมาที่นี่ยามนี้ได้อย่างไร”อวี๋ซื่อชิงเป็นรองเสนาบดีกรมราชทัณฑ์ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยองค์จักรพรรดิ ให้รับผิดชอบคดีของลู่เหิงจือแน่นอนว่าอวี๋ซื่อชิงตอบว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะถามใต้เท้าลู่”ผู้คุมตกใจจึง
ในตรอกมืดนั้นเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าของคนทั้งสองเท่านั้นโคมไฟนั่นส่องสว่างไปข้างหน้าซูชิงลั่วไม่รู้ว่าเหตุใดอวี๋ซื่อชิงจึงตามออกมาด้วย นางรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งเดินออกจากคุกใหญ่ของกรมราชทัณฑ์ จึงได้ยินอวี๋ซื่อชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อีกไม่กี่วัน สามสำนักจะมาสอบสวนใต้เท้าลู่ได้ตลอดเวลา ท่านอย่ามาในยามวิกาลอีก ครั้งนี้ข้าจะทำเป็นไม่เห็น”ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก “ขอบคุณใต้เท้าอวี๋มาก”หากเป็นผู้อื่น นางอาจจะถามถึงเรื่องคดี แต่สำหรับอวี๋ซื่อชิง......ช่างเถอะ"เพราะนางค้นพบแล้วว่า หากไม่จำเป็น อวี๋ซื่อชิงก็ไม่อยากเรียกนางว่าฮูหยินรถม้าจอดอยู่ข้างหน้า ซูชิงลั่วหันหลังเตรียมขึ้นรถม้า ทว่าพลันนั้น อวี๋ซื่อชิงก็ก้าวเดินไปข้างหน้า ร่างกายของนางสั่นสะท้านทันที จึงหลบไปข้างๆ ด้วยสัญชาตญาณอวี๋ซื่อชิงเหลือบมองนาง แล้วส่งโคมไฟในมือให้นางซูชิงลั่วโล่งอก และเพิ่งรู้สึกตัวภายหลังว่า ตนดูจะตื่นตระหนกเกินไปที่นี่คือคุกใหญ่ของกรมราชทัณฑ์ อวี๋ซื่อชิงคงไม่ทำอะไรจริงดังที่คาด อวี๋ซื่อชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านคิดว่าข้าจะทำอะไรหรือ”“ไม่ใช่” ซูชิงลั่วรู้
โฉวกว่างกวางพบหญิงผู้นั้นได้อย่างรวดเร็ว และนำตัวไปยังเรือนหลังบ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง แล้วสั่งให้คนคอยเฝ้าตลอดเวลาผู้ที่กล่าวหาลู่เหิงจือกำลังถูกขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการลงมือประหารชีวิตอาของตน การฆ่าคนใช้โดยพลการ การไม่เคารพต่อองค์หญิง และการส่งคนไปสังหารหนิงไห่ลู่ บุตรชายของหนิงกั๋วกง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นติดต่อกันจวนตระกูลลู่เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาทันทีโชคดีที่ซูชิงลั่วควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการจัดการกับผู้ที่ปล่อยข่าวลืออย่างเด็ดขาด ทำให้สถานการณ์กลับมาสงบลงได้ในไม่ช้าการที่อัครมหาเสนาบดีถูกจับกุมถือเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ข่าวลือเกี่ยวกับลู่เหิงจือก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองไม่หยุดในขณะที่ทุกคนคิดว่าลู่เหิงจือต้องตายอย่างแน่นอน ก็เกิดเหตุการณ์กะทันหันขึ้นมา เมื่อมีข่าวสงครามส่งมา - กองทัพของราชวงศ์กำลังพ่ายแพ้ และกองทัพเป่ยตี๋ได้บุกเข้ามาถึงเมืองเหลียวแล้วด้วยความเร็วเช่นนี้ คาดว่าจะต้องมาถึงเซวียนเฉิงในไม่ช้าแต่หากเซวียนเฉิงถูกยึดครอง กองทัพเป่ยตี๋ก็จะบุกเข้ามาถึงเมืองหลวงได้โดยง่ายไม่มีใครคาดคิดว่า หลังจากเวินจีเสียชีว
ลู่เหิงจือโอบกอดนางแน่นมาก แขนของเขาโอบรัดหลังของนางแน่นจนแทบสัมผัสได้ถึงกระดูกของเขาผ่านผิวหนังลมหายใจของเขาคุ้นเคยและนิ่งสงบ ทำให้ซูชิงลั่วไม่อยากปล่อยมือราวกับสวมกอดกันมานาน แต่ในความเป็นจริงเพียงแค่ชั่วขณะลู่เหิงจือปล่อยนางอย่างใจเย็น “ข้ามีเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม”ซูชิงลั่วพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก และดึงเขาให้นั่งลงลู่เหิงจือมองแม่นมเหมยและอวี้จู๋ที่พาบรรดาหญิงสาวมาเตรียมเทียนแดง จานชาม และของใช้ต่างๆ ซ่งเหวินและจื๋อหยวนก็เปลี่ยนชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวเสร็จแล้วเวลาเร่งรีบ ทุกอย่างจึงเรียบง่ายภายใต้การดำเนินพิธีของแม่นมเหมย ซ่งเหวินและจื๋อหยวนจึงได้ทำพิธีแต่งงานกันอย่างเร่งรีบต่อหน้าทุกคน และถูกส่งตัวเข้าไปในห้องข้างๆ มีเวลาครึ่งชั่วยาม - ซึ่งก็เป็นเวลาที่ซูชิงลั่วและลู่เหิงจือได้ใช้ร่วมกันซูชิงลั่วค่อยๆ นำสัมภาระของลู่เหิงจือออกมาเสื้อผ้า เงิน อาหารแห้ง ยาสมุนไพร ตำรายุทธพิชัย......ลู่เหิงจือสังเกตเห็นว่าของเหล่านี้ถูกเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว การนำออกมาในยามนี้ก็เพื่อตรวจนับอีกครั้งเพื่อป้องกันการตกหล่นช่วงเวลาที่เขาเข้าคุก เรือนไม่ได้เกิดความวุ่นวายใดๆ ทุกอย่างเป็นระเ
ทั้งสองคนกอดกันเงียบๆ มองท้องฟ้านอกหน้าต่างที่สีเข้มลงเรื่อย หิมะเหมือนจะยิ่งตกหนักขึ้นไม่นานนัก ซ่งเหวินก็เข้ามาเคาะประตู "นายท่าน ด้านหน้าเร่งให้พวกเราออกเดินทางแล้ว"ลู่เหิงจือใจสั่นกึกขึ้นทันทีมือของซูชิงลั่วคล้องอยู่บนคอเขา แหงนหน้ามองเขาเช่นเดียวกับหลายๆ ครั้งที่เคยทำมาในอดีต "พี่สาม รับปากข้า จะต้องปลอดภัยกลับมา"ในห้องแสงทึบเขากลับเห็นน้ำตาในดวงตานาง ภายใต้แสงระยับของโคมแก้วส่องประกายแสงละเอียด"ข้ารับปากเจ้า"เขายืนมือมาเชิดคางของนางขึ้นเบาๆ เพียงแต่ตอนนี้ไม่ได้มีแววเย้าแหย่แล้วผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก้มหน้าลงต่ำ จูบลงไปหนักๆซูชิงลั่วรู้สึกว่ามุมปากเจ็บปวดขึ้นมา พอปลายลิ้นสัมผัสเข้ากับรสชาติคาวเลือดจึงตระหนักได้ว่าเขาทำอะไรจูบนี้ได้ไม่ได้มีเจตนาความต้องการทางเพศใด เพียงแค่ให้นางจดจำเท่านั้นเขาเอ่ยเสียงขรึม "จำเอาไว้ ข้ารักแต่เจ้าเท่านั้น"นางถูกความเจ็บปวดนี้ทิ่มแทงจนมึนงงไป พอตั้งสติกลับมาได้ ลู่เหิงจือก็หมุนตัวเดินออกไปด้านนอกแล้ว นางตามไปทันทีตอนที่จวนเพิ่งสร้างใหม่เป็นลู่เหิงจือที่วาดผังขึ้นมาเองเพื่อประหยัดเวลาเขาจึงตวัดวาดออกแบบระเบียงเอาไว้ง่ายๆ แค่หั
ลู่เหิงจือหลังจากออกไปเจ็ดวัน ด่านชายแดนส่งข่าวมาว่าเป่ยตี๋โจมตีเมืองเหลียวสำเร็จ ทหารจะมาถึงเซวียนเฉิงในอีกไม่กี่วันนี้พอคำนวณเวลา ลู่เหิงจือก็น่าจะใกล้ถึงเซวียนเฉิงแล้วน่าจะป้องกันไว้ได้ ซูชิงลั่วนั่งครุ่นคิดอย่างละเอียดที่หน้าต่างช่วงหลายวันนี้นางก็ไม่ได้ว่างเลยหนึ่งคือมีเรื่องมากมายที่ต้องเตรียมตัว สองคือกลัวว่าพอตัวเองว่างก็จะควบคุมความคิดถึงลู่เหิงจือเป็นพิเศษนี้ไม่ไหว เช่นนั้นก็จะยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นไปอีกนางกลัวว่าพายุลมฝนที่กำลังเข้ามาจะทำให้ท่านย่ารับไม่ไหว จึงใช้เวลาไปเนิ่นนาน กว่าจะกล่อมให้ท่านย่ากลับจินหลิงได้เหตุผลแรกคือกลัวว่าจะเกิดสงครามขึ้นจริงๆ สองคือหน้าหนาวปีนี้เมืองหลวงหนาวเอามากๆ ไม่ดีต่อการพักฟื้นสุขภาพขดงท่านย่าท่านย่าตอนแรกก็ไม่เห็นด้วย นางเองอายุมากแล้ว ไม่อยากจะทำตัวยุ่งยากมากนักแต่ซูชิงลั่วก็กล่อมนางเฉียนให้เข้ามาเตือน บ้านสองไม่รู้ว่ามีความคิดอะไรก็ตามเข้ามาเตือนด้วย บ้านสามที่ขลาดเขลาแต่รอบคอบมาโดยตลอด ก็เอ่ยขึ้นมาว่าจะกลับจินหลิงพร้อมกับท่านย่า รอให้เข้าฤดูใบไม้ผลิค่อยกลับเมืองหลวงท่านย่าท้ายสุดก็ถูกโน้มน้าวพอนางเดินทาง ความขัดแย้งกับบ้านส
เขาพยักหน้า:"เจ้าเป็นคนมีความคิด อยากไปก็ไปเถอะ"*คดีลู่เหิงจือแย่งภรรยาน้องชายถูกเปิดขึ้นในวันนั้น อากาศเย็นจัด ท้องฟ้าสีเทาขาวมีหิมะโปรยปรายแต่คนที่มาฟังก็ยังคงล้อมหน้าล้อมหลังศาลาว่าการกันไม่ขาดสายลู่เหยียนยืนอยู่บนศาล ใบหน้าดูอ่อนล้า สายตากลับเผยความเหี้ยมเกรียม"คุณชายสี่ลู่เหยียนจากจวนตระกูลลู่คนนี้ดูแล้วก็ไม่เลวนี่นา สุภาพเรียบร้อยดี...""ยังห่างชั้นกับนายท่านอัครมหาเสนาบดีอยู่โข...""ไม่รู้ว่าฮูหยินลู่วันนี้จะมาไหม...""ทำเรื่องงามหน้าขนาดนี้ นางจะกล้ามาได้อย่างไร?""นางไม่มาอัครมหาเสนาบดีลู่ก็ไม่มา แล้วจะพิจารณาคดีกันอย่างไร?"……ไม่รู้ว่าใครตะโกนคำว่า "ฮูหยินลู่ขึ้นมา" กลุ่มคนจึงเงียบลงทันทีซูชิงลั่วอยู่ในชุดกระโปรงขาวแสงจันทร์ ค่อยๆ เดินเข้ามาหิมะพร่างฟ้าและถนนยาวหินดำด้านหลังกลายเป็นฉากหลังให้กับนางทุกคนหลีกเว้นช่องจนเป็นทางขึ้นมานางสวยเหลือเกิน แล้วยังมีความแตกสลายทว่าแข็งแกร่งอย่างบอกไม่ถูก ทำเอาคนไม่อยากใช้คำพูดเสียๆ หายๆ ไปพรรณาใส่ตัวนางเลยทีเดียวคำวิพากษ์วิจารย์จู่ๆ ก็พูดกันไม่ออกตอนที่ใกล้จะเดินเข้าไปยังห้องพิจารณาคดี ในกลุ่มคนจู่ๆ ก็มีก้อนดิ
ลู่เหยียนหน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดซึม: "เจ้ามัน....""ใช่สิ" หลิ่วเยียนหรานน้ำเสียงอ่อนโยน แต่กลับเย็นชาราวน้ำแข็ง "ข้าถูกเจ้าขายไปเจียงหนานแล้ว ทำไมจึงมาปรากฏตัวที่นี่ เจ้าอยากจะถามเรื่องนี้สินะ?"ลู่เหยียนหลังเย็นวาบหลิ่วเยียนหรานมองลู่เหยียน น้ำตาก็ไหลพรากลงมา "ลู่เหยียน ข้าเต็มใจเป็นบ้านน้อยให้เจ้า ยอมแบกรับคำก่นด่าจากภายนอกที่บอกว่าข้าไปยั่วยวนเจ้า เจ้าเคยบอกว่าจะรับข้าเป็นอนุภรรยา แต่สุดท้ายกลับแต่งงานกับเฉิงซิ่วแล้วขายข้าไปยังซ่องโสเภณี เจ้ารู้สึกผิดกับข้าบ้างไหม?"ลู่เหยียนถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว นั่งพับลงไปบนพื้นหลิ่วเยียนหรานตอนนี้กัดฟัน น้ำตาสองสายร่วงลงมา สั่นไปทั้งตัวจากการระงับความเสียใจไม่อยู่ กระทั่งไม่จำเป็นต้องให้อวี๋ซื่อชิงพิจารณาต่อ ทุกคนแค่มองเป็นนางสภาพนี้ก็เชื่อไปแล้วกว่าแปดส่วนมันดูจริงแท้เสียเหลือเกิน กระทั่งมีคนที่ใจอ่อนเริ่มปาดน้ำตาขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่แล้วหลิ่วเยียนหรานคุกเข่าลงกับพื้น บอกที่มาที่หนของเรื่องราวนี้ตอนแรกลู่เหยียนเป็นคนมาเกี้ยวนางก่อน แล้วนางก็ชอบลู่เหยียนจริงๆ จึงไม่ได้ผลักไสลู่เหยียนพูดปาวๆ ว่าไม่ชอบซูชิงลั่ว ซูชิงลั่วทำ