โฉวกว่างกวางพบหญิงผู้นั้นได้อย่างรวดเร็ว และนำตัวไปยังเรือนหลังบ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง แล้วสั่งให้คนคอยเฝ้าตลอดเวลาผู้ที่กล่าวหาลู่เหิงจือกำลังถูกขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการลงมือประหารชีวิตอาของตน การฆ่าคนใช้โดยพลการ การไม่เคารพต่อองค์หญิง และการส่งคนไปสังหารหนิงไห่ลู่ บุตรชายของหนิงกั๋วกง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นติดต่อกันจวนตระกูลลู่เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาทันทีโชคดีที่ซูชิงลั่วควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการจัดการกับผู้ที่ปล่อยข่าวลืออย่างเด็ดขาด ทำให้สถานการณ์กลับมาสงบลงได้ในไม่ช้าการที่อัครมหาเสนาบดีถูกจับกุมถือเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ข่าวลือเกี่ยวกับลู่เหิงจือก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองไม่หยุดในขณะที่ทุกคนคิดว่าลู่เหิงจือต้องตายอย่างแน่นอน ก็เกิดเหตุการณ์กะทันหันขึ้นมา เมื่อมีข่าวสงครามส่งมา - กองทัพของราชวงศ์กำลังพ่ายแพ้ และกองทัพเป่ยตี๋ได้บุกเข้ามาถึงเมืองเหลียวแล้วด้วยความเร็วเช่นนี้ คาดว่าจะต้องมาถึงเซวียนเฉิงในไม่ช้าแต่หากเซวียนเฉิงถูกยึดครอง กองทัพเป่ยตี๋ก็จะบุกเข้ามาถึงเมืองหลวงได้โดยง่ายไม่มีใครคาดคิดว่า หลังจากเวินจีเสียชีว
ลู่เหิงจือโอบกอดนางแน่นมาก แขนของเขาโอบรัดหลังของนางแน่นจนแทบสัมผัสได้ถึงกระดูกของเขาผ่านผิวหนังลมหายใจของเขาคุ้นเคยและนิ่งสงบ ทำให้ซูชิงลั่วไม่อยากปล่อยมือราวกับสวมกอดกันมานาน แต่ในความเป็นจริงเพียงแค่ชั่วขณะลู่เหิงจือปล่อยนางอย่างใจเย็น “ข้ามีเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม”ซูชิงลั่วพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก และดึงเขาให้นั่งลงลู่เหิงจือมองแม่นมเหมยและอวี้จู๋ที่พาบรรดาหญิงสาวมาเตรียมเทียนแดง จานชาม และของใช้ต่างๆ ซ่งเหวินและจื๋อหยวนก็เปลี่ยนชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวเสร็จแล้วเวลาเร่งรีบ ทุกอย่างจึงเรียบง่ายภายใต้การดำเนินพิธีของแม่นมเหมย ซ่งเหวินและจื๋อหยวนจึงได้ทำพิธีแต่งงานกันอย่างเร่งรีบต่อหน้าทุกคน และถูกส่งตัวเข้าไปในห้องข้างๆ มีเวลาครึ่งชั่วยาม - ซึ่งก็เป็นเวลาที่ซูชิงลั่วและลู่เหิงจือได้ใช้ร่วมกันซูชิงลั่วค่อยๆ นำสัมภาระของลู่เหิงจือออกมาเสื้อผ้า เงิน อาหารแห้ง ยาสมุนไพร ตำรายุทธพิชัย......ลู่เหิงจือสังเกตเห็นว่าของเหล่านี้ถูกเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว การนำออกมาในยามนี้ก็เพื่อตรวจนับอีกครั้งเพื่อป้องกันการตกหล่นช่วงเวลาที่เขาเข้าคุก เรือนไม่ได้เกิดความวุ่นวายใดๆ ทุกอย่างเป็นระเ
ทั้งสองคนกอดกันเงียบๆ มองท้องฟ้านอกหน้าต่างที่สีเข้มลงเรื่อย หิมะเหมือนจะยิ่งตกหนักขึ้นไม่นานนัก ซ่งเหวินก็เข้ามาเคาะประตู "นายท่าน ด้านหน้าเร่งให้พวกเราออกเดินทางแล้ว"ลู่เหิงจือใจสั่นกึกขึ้นทันทีมือของซูชิงลั่วคล้องอยู่บนคอเขา แหงนหน้ามองเขาเช่นเดียวกับหลายๆ ครั้งที่เคยทำมาในอดีต "พี่สาม รับปากข้า จะต้องปลอดภัยกลับมา"ในห้องแสงทึบเขากลับเห็นน้ำตาในดวงตานาง ภายใต้แสงระยับของโคมแก้วส่องประกายแสงละเอียด"ข้ารับปากเจ้า"เขายืนมือมาเชิดคางของนางขึ้นเบาๆ เพียงแต่ตอนนี้ไม่ได้มีแววเย้าแหย่แล้วผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก้มหน้าลงต่ำ จูบลงไปหนักๆซูชิงลั่วรู้สึกว่ามุมปากเจ็บปวดขึ้นมา พอปลายลิ้นสัมผัสเข้ากับรสชาติคาวเลือดจึงตระหนักได้ว่าเขาทำอะไรจูบนี้ได้ไม่ได้มีเจตนาความต้องการทางเพศใด เพียงแค่ให้นางจดจำเท่านั้นเขาเอ่ยเสียงขรึม "จำเอาไว้ ข้ารักแต่เจ้าเท่านั้น"นางถูกความเจ็บปวดนี้ทิ่มแทงจนมึนงงไป พอตั้งสติกลับมาได้ ลู่เหิงจือก็หมุนตัวเดินออกไปด้านนอกแล้ว นางตามไปทันทีตอนที่จวนเพิ่งสร้างใหม่เป็นลู่เหิงจือที่วาดผังขึ้นมาเองเพื่อประหยัดเวลาเขาจึงตวัดวาดออกแบบระเบียงเอาไว้ง่ายๆ แค่หั
ลู่เหิงจือหลังจากออกไปเจ็ดวัน ด่านชายแดนส่งข่าวมาว่าเป่ยตี๋โจมตีเมืองเหลียวสำเร็จ ทหารจะมาถึงเซวียนเฉิงในอีกไม่กี่วันนี้พอคำนวณเวลา ลู่เหิงจือก็น่าจะใกล้ถึงเซวียนเฉิงแล้วน่าจะป้องกันไว้ได้ ซูชิงลั่วนั่งครุ่นคิดอย่างละเอียดที่หน้าต่างช่วงหลายวันนี้นางก็ไม่ได้ว่างเลยหนึ่งคือมีเรื่องมากมายที่ต้องเตรียมตัว สองคือกลัวว่าพอตัวเองว่างก็จะควบคุมความคิดถึงลู่เหิงจือเป็นพิเศษนี้ไม่ไหว เช่นนั้นก็จะยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นไปอีกนางกลัวว่าพายุลมฝนที่กำลังเข้ามาจะทำให้ท่านย่ารับไม่ไหว จึงใช้เวลาไปเนิ่นนาน กว่าจะกล่อมให้ท่านย่ากลับจินหลิงได้เหตุผลแรกคือกลัวว่าจะเกิดสงครามขึ้นจริงๆ สองคือหน้าหนาวปีนี้เมืองหลวงหนาวเอามากๆ ไม่ดีต่อการพักฟื้นสุขภาพขดงท่านย่าท่านย่าตอนแรกก็ไม่เห็นด้วย นางเองอายุมากแล้ว ไม่อยากจะทำตัวยุ่งยากมากนักแต่ซูชิงลั่วก็กล่อมนางเฉียนให้เข้ามาเตือน บ้านสองไม่รู้ว่ามีความคิดอะไรก็ตามเข้ามาเตือนด้วย บ้านสามที่ขลาดเขลาแต่รอบคอบมาโดยตลอด ก็เอ่ยขึ้นมาว่าจะกลับจินหลิงพร้อมกับท่านย่า รอให้เข้าฤดูใบไม้ผลิค่อยกลับเมืองหลวงท่านย่าท้ายสุดก็ถูกโน้มน้าวพอนางเดินทาง ความขัดแย้งกับบ้านส
เขาพยักหน้า:"เจ้าเป็นคนมีความคิด อยากไปก็ไปเถอะ"*คดีลู่เหิงจือแย่งภรรยาน้องชายถูกเปิดขึ้นในวันนั้น อากาศเย็นจัด ท้องฟ้าสีเทาขาวมีหิมะโปรยปรายแต่คนที่มาฟังก็ยังคงล้อมหน้าล้อมหลังศาลาว่าการกันไม่ขาดสายลู่เหยียนยืนอยู่บนศาล ใบหน้าดูอ่อนล้า สายตากลับเผยความเหี้ยมเกรียม"คุณชายสี่ลู่เหยียนจากจวนตระกูลลู่คนนี้ดูแล้วก็ไม่เลวนี่นา สุภาพเรียบร้อยดี...""ยังห่างชั้นกับนายท่านอัครมหาเสนาบดีอยู่โข...""ไม่รู้ว่าฮูหยินลู่วันนี้จะมาไหม...""ทำเรื่องงามหน้าขนาดนี้ นางจะกล้ามาได้อย่างไร?""นางไม่มาอัครมหาเสนาบดีลู่ก็ไม่มา แล้วจะพิจารณาคดีกันอย่างไร?"……ไม่รู้ว่าใครตะโกนคำว่า "ฮูหยินลู่ขึ้นมา" กลุ่มคนจึงเงียบลงทันทีซูชิงลั่วอยู่ในชุดกระโปรงขาวแสงจันทร์ ค่อยๆ เดินเข้ามาหิมะพร่างฟ้าและถนนยาวหินดำด้านหลังกลายเป็นฉากหลังให้กับนางทุกคนหลีกเว้นช่องจนเป็นทางขึ้นมานางสวยเหลือเกิน แล้วยังมีความแตกสลายทว่าแข็งแกร่งอย่างบอกไม่ถูก ทำเอาคนไม่อยากใช้คำพูดเสียๆ หายๆ ไปพรรณาใส่ตัวนางเลยทีเดียวคำวิพากษ์วิจารย์จู่ๆ ก็พูดกันไม่ออกตอนที่ใกล้จะเดินเข้าไปยังห้องพิจารณาคดี ในกลุ่มคนจู่ๆ ก็มีก้อนดิ
ลู่เหยียนหน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดซึม: "เจ้ามัน....""ใช่สิ" หลิ่วเยียนหรานน้ำเสียงอ่อนโยน แต่กลับเย็นชาราวน้ำแข็ง "ข้าถูกเจ้าขายไปเจียงหนานแล้ว ทำไมจึงมาปรากฏตัวที่นี่ เจ้าอยากจะถามเรื่องนี้สินะ?"ลู่เหยียนหลังเย็นวาบหลิ่วเยียนหรานมองลู่เหยียน น้ำตาก็ไหลพรากลงมา "ลู่เหยียน ข้าเต็มใจเป็นบ้านน้อยให้เจ้า ยอมแบกรับคำก่นด่าจากภายนอกที่บอกว่าข้าไปยั่วยวนเจ้า เจ้าเคยบอกว่าจะรับข้าเป็นอนุภรรยา แต่สุดท้ายกลับแต่งงานกับเฉิงซิ่วแล้วขายข้าไปยังซ่องโสเภณี เจ้ารู้สึกผิดกับข้าบ้างไหม?"ลู่เหยียนถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว นั่งพับลงไปบนพื้นหลิ่วเยียนหรานตอนนี้กัดฟัน น้ำตาสองสายร่วงลงมา สั่นไปทั้งตัวจากการระงับความเสียใจไม่อยู่ กระทั่งไม่จำเป็นต้องให้อวี๋ซื่อชิงพิจารณาต่อ ทุกคนแค่มองเป็นนางสภาพนี้ก็เชื่อไปแล้วกว่าแปดส่วนมันดูจริงแท้เสียเหลือเกิน กระทั่งมีคนที่ใจอ่อนเริ่มปาดน้ำตาขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่แล้วหลิ่วเยียนหรานคุกเข่าลงกับพื้น บอกที่มาที่หนของเรื่องราวนี้ตอนแรกลู่เหยียนเป็นคนมาเกี้ยวนางก่อน แล้วนางก็ชอบลู่เหยียนจริงๆ จึงไม่ได้ผลักไสลู่เหยียนพูดปาวๆ ว่าไม่ชอบซูชิงลั่ว ซูชิงลั่วทำ
มหรสพเสร็จสิ้น ผู้คนทยอยกันสลายตัวตอนนี้เอง ตรงหน้าจู่ๆ ก็มีคนขี่ม้าเข้ามา ย่ำจนโคลนหิมะบนพื้นกระเซ็น"นั่นมันซ่งเหวินคนใช้ข้างกายอัครมหาเสนาบดีลู่นี่? ม้าตัวนั้นใช่ม้าที่เคยหยิ่งยโสขององค์หญิงอวี้หยางหรือเปล่า?"ซ่งเหวินกลับมาแล้วหรือ? เร็วขนาดนี้เชียว?ซูชิงลั่วลิงโลดขึ้นในใจ และแทบจะขณะเดียวกัน ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนรายงานขึ้นมา..."อัครมหาเสนาบดีลู่ได้รับชัยที่เซวียนเฉิงแล้ว ขับไล่พวกเป่ยตี๋ที่รุกเข้ามาเมื่อวันก่อน สังหารศัตรูไปห้าร้อยกว่าคน!"นี่ยังไม่ใช่ชัยชนะครั้งใหญ่ แต่ก็ทำให้คนในเมืองหลวงมั่นใจขึ้นมาไม่น้อย...ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เราก็ไม่เคยชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียวชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนล้วนชื่นชมลู่เหิงจือกันขึ้นมา"ยังต้องเป็นอัครมหาเสนาบดีลู่จริงๆ ความรอบรู้ทำให้บ้านเมืองสงบ เชิงชั้นต่อสู้ทำให้ชาติมั่นคง!""ต้าฉู่ของพวกเราต้องมีอัครมหาเสนาบดีลู่จริงๆ อัครมหาเสนาบดีลู่เป็นผู้ที่หยิ่งทะนงมาตลอด คดีพวกนั้นจะต้องเป็นเรื่องโกหกแน่นอน"“……”ซูชิงลั่วมุมปากยกขึ้น อดดีใจแทนลู่เหิงจือไม่ได้จริงๆ มองซ่งเหวินขี่ท่าเสวี่ยหยุดอยู่ที่ประตูกรมราชทัณฑ์เขาลงจากม้า ท่าเสวี่ยตรงมาคลอเค
ซ่งเหวินร้อนรนกระวนกระกระวายคำพูดก่อนหน้านี้ที่ลู่เหิงจืออธิบาย ไม่ว่าจะเป็น "ใต้เท้าเพียงแค่แกล้งทำ" "ในใจใต้เท้ามีเพียงนายหญิงผู้เดียว" "ใต้เท้าบอกว่านายหญิงจะต้องเข้าใจและให้ความร่วมมือกับเขา" "ใต้เท้าบอกว่ารอเขากลับมารับผิดเองทั้งหมด" พูดจนปากเปียกปากแฉะ แต่ซูชิงลั่วก็ไม่สนใจ เพียงแค่ออกคำสั่งให้คนเก็บของ หาที่พักหลังใหม่ ดูท่าทางจะจงใจย้ายออกไปจากจวนลู่จริงๆซ่งเหวินพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ดึงโฉนดที่ดินในอ้อมแขนออกมา : "ใต้เท้าบอกว่าหลังหย่าแล้ว ทั้งหมดในจวนลู่ล้วนแต่เป็นของนายหญิง"ซูชิงลั่วหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมลู่เหิงจือคงต้องคิดว่าตัวเองรอบคอบเอาใจใส่เหลือเกินเป็นแน่ แม้แต่ที่พักแห่งนี้ก็คิดได้ว่าต้องยกให้นางเดิมทีนางไม่คิดจะรับไว้ ด้วยทรัพย์สินที่นางมีไม่ว่าเรือนอาศัยแบบใดก็ซื้อได้แต่นางพลันเปลี่ยนใจ รับโฉนดที่ดินในมือซ่งเหวินมาซ่งเหวินเพิ่งจะถอนหายใจด้วยความโล่ง ก็ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะเยือกเย็นของซูชิงลั่ว : "ได้สิ ในเมื่อยามนี้จวนแห่งนี้เป็นของข้า เช่นนั้นก็นำของทั้งหมดของใต้เท้าพวกเจ้าโยนออกไป ที่แห่งนี้คับแคบไม่อาจรองรับผู้ที่ยิ่งใหญ่เช่นเขาได้"ซ่งเหวินหน้าสลด ส
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป