ซ่งเหวินร้อนรนกระวนกระกระวายคำพูดก่อนหน้านี้ที่ลู่เหิงจืออธิบาย ไม่ว่าจะเป็น "ใต้เท้าเพียงแค่แกล้งทำ" "ในใจใต้เท้ามีเพียงนายหญิงผู้เดียว" "ใต้เท้าบอกว่านายหญิงจะต้องเข้าใจและให้ความร่วมมือกับเขา" "ใต้เท้าบอกว่ารอเขากลับมารับผิดเองทั้งหมด" พูดจนปากเปียกปากแฉะ แต่ซูชิงลั่วก็ไม่สนใจ เพียงแค่ออกคำสั่งให้คนเก็บของ หาที่พักหลังใหม่ ดูท่าทางจะจงใจย้ายออกไปจากจวนลู่จริงๆซ่งเหวินพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ดึงโฉนดที่ดินในอ้อมแขนออกมา : "ใต้เท้าบอกว่าหลังหย่าแล้ว ทั้งหมดในจวนลู่ล้วนแต่เป็นของนายหญิง"ซูชิงลั่วหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมลู่เหิงจือคงต้องคิดว่าตัวเองรอบคอบเอาใจใส่เหลือเกินเป็นแน่ แม้แต่ที่พักแห่งนี้ก็คิดได้ว่าต้องยกให้นางเดิมทีนางไม่คิดจะรับไว้ ด้วยทรัพย์สินที่นางมีไม่ว่าเรือนอาศัยแบบใดก็ซื้อได้แต่นางพลันเปลี่ยนใจ รับโฉนดที่ดินในมือซ่งเหวินมาซ่งเหวินเพิ่งจะถอนหายใจด้วยความโล่ง ก็ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะเยือกเย็นของซูชิงลั่ว : "ได้สิ ในเมื่อยามนี้จวนแห่งนี้เป็นของข้า เช่นนั้นก็นำของทั้งหมดของใต้เท้าพวกเจ้าโยนออกไป ที่แห่งนี้คับแคบไม่อาจรองรับผู้ที่ยิ่งใหญ่เช่นเขาได้"ซ่งเหวินหน้าสลด ส
หลังจากเสร็จเรื่องทางนี้แล้ว ซูชิงลั่วก็กลับเข้าไปนั่งเหม่อลอยหน้าเครื่องประดับบนโต๊ะเครื่องแป้งตรงนั้นมีปิ่นปักผมทุกด้ามที่ลู่เหิงจือเพิ่งมอบให้นางเมื่อไม่นานมานี้ รวมไปถึงต่างหูและสร้อยข้อมือมิน่าล่ะ วันนั้นเขาถึงได้ดึงดันจะซื้อเครื่องประดับมากมายขนาดนั้นให้นางให้ได้ คงกลัวว่าหลังจากเขาไปแล้ว นางจะไม่มีเครื่องประดับให้ใช้ ?วันนั้นนางแบกของเหล่านนี้กลับมาด้วยความปลื้มปริ่ม เพื่อจะต้องมารู้สึกเสียใจในวันนี้หรอกหรือนางชูเครื่องประดับขึ้นมาราวกับว่าจะโยนปิ่นปักผมเหล่านั้นออกไปนอกเรือน แต่ชูขึ้นมาได้ไม่นาน ก็วางกลับลงไปกะทันหันทำใจไม่ได้ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว น้ำตาไหลออกมาแม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องหลอกๆ เพียงแค่แสดงละครตบตาผู้คน แต่นางก็ยังรู้สึกแย่ถึงเพียงนี้ควบคุมตัวเองไม่ได้เลยสักนิดน้ำตาที่อุ่นร้อนไหลอาบข้างแก้มแล้ว นางถึงจะรู้สึกตัว นางไม่เคยเจ็บปวดเช่นนี้มานานแล้วนางไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียใจนานเกินไป เพราะลู่เหิงจือไม่ได้อยู่ข้างกาย นางต้องยืนหยัดอดทนให้ได้นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา พลันลุกพรวดขึ้นมา ทันใดนั้นเองภาพตรงหน้าก็มืดดำ นางเกือบจะล้มลงไปจื๋อหยวนรีบเข
นอกกระโจม ลมเหนือพัดกระโชกดังหวีดหวิวผ่านไปทว่าเสียงของลู่เหิงจือกลับเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าลม : "พูดให้ชัดเจน"ซ่งเหวินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันนี้ด้วยความตะกุกตะกัก เล่าไปถึงตอนสุดท้าย ตัวเขาเองกลับแสดงความรู้สึกน้อยอกน้อยใจออกมาเสียก่อน"ใต้เท้า ข้าเกือบจะเสียภรรยาที่ข้าเพิ่งตบแต่งไปแล้ว"ลู่เหิงจือหลับตาลงพลางนวดหว่างคิ้ว : "เอาล่ะ ครั้งนี้จะไม่ลงโทษเจ้า"ซ่งเหวินถึงจะเบาใจลงมาได้ทันทีที่เขาเบาใจ ก็เริ่มเห็นใจนายของตัวเองอย่างอดไม่ได้ล้วนแต่เป็นชายหนุ่มที่มีครอบครัวด้วยกันแล้วทั้งคู่ ความเจ็บปวดภายในหัวใจของใต้เท้า เขาล้วนแต่เข้าใจดีเขาเงยหน้าขึ้นไปลู่เหิงจือยืนอยู่หน้าโต๊ะ ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ พลางพูดเสียงเรียบ : "นางเพียงแค่ต้องการเล่นตบตาให้สมจริงก็เท่านั้น อย่าตีโพยตีพายไปเลย"ภายในหัวซ่งเหวินเต็มไปด้วยคำว่า "จริงหรือ" "ข้าไม่เชื่อ" "เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง" "นายหญิงแสดงละครตบตา เหตุใดข้ามองไม่ออกเลยสักนิด"แต่เขาเห็นลู่เหิงจือยังใจเย็นอยู่เช่นนี้ ลึกๆ จึงเกิดความมั่นใจขึ้นมาบ้าง พลันรู้สึกว่านายหญิงก็ดูเหมือนจะไม่ได้โกรธมากมายถึงเพียงนั้นอย่างน่าประหลาดล
ข่าวคราวที่ทั้งคู่เลิกรากัน แน่นอนว่ากระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงในช่วงระยะเวลานี้ผู้คนต่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าสาเหตุมาจากสิ่งใด อีกทั้งยังมีข่าวเรื่องน่ายินดีของลู่เหิงจือมาจากชายแดนสิ่งที่มาพร้อมกับข่าวดี ยังมีข่าวลือเรื่องที่ลู่เหิงจือปลูกเรือนที่เซวียนเฉิง ว่ากันว่าเป็นเรือนทองซ่อนสาวงามได้ยินมาว่าหลังจากที่ลู่เหิงจือมาถึงเซวียนเฉิงได้ไม่นานก็ช่วยไถ่ตัวสาวนางโลมจากหอโคมเขียวมาผู้หนึ่ง ทั้งยังพานางไปซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับทั่วทุกร้านในเซวียนเฉิงด้วยตนเอง ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งนักผู้คนจึงกระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันที ยามที่เอ่ยถึงซูชิงลั่ว น้ำเสียงต่างก็แฝงไว้ด้วยความสงสารเห็นใจ"ฮูหยินลู่น่าสงสารยิ่งนัก ไปถูกใจผู้อื่นยังพอว่า ไม่เห็นถึงขั้นต้องหย่าเลยนี่""วิธีการของอัครมหาเสนาบดีลู่เป็นเช่นไร เจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือ ฮูหยินลู่ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว...""เป็นอย่างที่คิด ชายหนุ่มไม่มีผู้ใดดีสักคน""บุรุษก็เป็นเช่นนี้ ยามที่รักใคร่เอ็นดูเจ้าก็ประคบประหงมราวกับเทพธิดา ยามหมดรักแล้วสามารถเหยียบเจ้าจมดินเสียด้วยซ้ำ"“……”โฉวกว่างไม่รู้ว่าซูชิงลั่วท้องอยู่ เขาลั
พระจันทร์ที่ชายแดนในค่ำคืนนี้หนาวเหน็บกว่าที่เคยค่ายทหารที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์อบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะทหารกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งดื่มเหล้ากินเนื้อสัตว์รอบกองไฟลู่เหิงจือเดินเข้าไปจากที่ไม่ไกลออกไป มือยกจอกเหล้าเพื่อดื่มให้กับทุกคนทหารนายหนึ่งพูดด้วยความตื่นเต้น : "ใต้เท้า พวกเป่ยตี๋ทนไม่ไหวแล้ว ส่งคนไปขอเจรจาสงบศึกกับพวกเราที่เมืองหลวงแล้ว ก็ไม่ได้แน่สักเท่าใด อย่างไรยุทธิ์ศิลป์ของใต้เท้าก็เลิศล้ำยิ่งนัก"ทหารอีกนายหนึ่งพูดขึ้นมา : "ใกล้จะปีใหม่แล้ว หวังว่าพวกเราจะได้กลับไปฉลองปีใหม่"ลู่เหิงจือตบบ่าเขาเบาๆ พลางเอ่ยเสียงเรียบ : "กลับไป"ทุกคนนิ่งอึ้งยามนั้นที่เซวียนเฉิงประกาศภาวะฉุกเฉิน ลู่เหิงจือราวกับเทพลงมาจุติ แค่การประจัญหน้ากันไม่กี่ครั้งก็ทำให้พวกเป่ยตี๋พ่ายแพ้ เขาจึงมีอำนาจน่ายำเกรงลู่เหิงจือชนจอกเหล้าในมือเขา ก่อนจะเอ่ย : "สงครามนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรบไปถึงต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ข้าดื่มให้เจ้า"หลังจากที่สังสรรค์กับเหล่านายทหารเสร็จแล้ว ลู่เหิงจือก็กลับไปที่กระโจม หยิบจดหมายที่ส่งมาจากเมืองหลวงออกมา พลางนวดขมับเบาๆซูชิงลั่วไม่ได้เขียนถึงเขาแม้แต่ตัวอักษรเดียวเขา
อวี๋ซื่อชิงไม่สามารถให้ใครเห็นเขาอยู่ที่นี่ได้ซูชิงลั่วเอ่ย : "ใต้เท้า ขอเชิญไปรอที่ห้องด้านข้างก่อน"อวี๋ซื่อชิงกลับหลังหันเดินไปยังห้องด้านข้างซูชิงลั่วรีบสั่งให้คนตั้งโต๊ะบูชารับพระราชโองการพระราชโองการรับสั่งให้นางเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงกับพวกเป่ยตี๋คืนนี้จริงๆซูชิงลั่วกำผ้าเช็ดหน้าในมือไว้เบาๆลู่เหิงจือยังรบอยู่แนวหน้า ฮ่องเต้กลับจะส่งอดีตภรรยาของเขาไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับพวกชนเผ่าเป่ยตี๋ ช่างไม่กลัวข้าราชบริพารจะเสียขวัญกำลังใจเอาเสียเลยเกรงว่าแม้แต่ลู่เหิงจือเองก็คงคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะไร้ยางอายถึงเพียงนี้ลู่เหิงจือทอดทิ้งนางแล้วไม่ใช่หรือ ฮ่องเต้เองก็ขี้เกียจจะคาดเดาแล้วว่าจริงหรือเท็จ จึงส่งอดีตภรรยาของเขาไปให้พวกเป่ยตี๋เสียเลยสามารถนำมาซึ่งความสงบได้ก็ยิ่งดี หากไม่ได้ ลู่เหิงจือก็ทำได้เพียงแค่สู้รบต่อไป หรือไม่เช่นนั้นจะทรยศบ้านเมืองได้หรือซูชิงลั่วสติหลุดเหม่อลอยไปชั่วขณะ กระทั่งผู้ที่มาประกาศพระราชโองการทั้งหมดกลับไปแล้ว ถึงจะหันหลังเดินกลับเข้าห้องไปอวี๋ซื่อชิงเดินเข้ามา สีหน้าดูตึงเครียดแต่ก็ยังคงพูดปลอบใจนาง : "ข้าจะช่วยท่าน"สายตาที่เขามองนางดูจร
หิมะลอยละล่องอยู่ท่ามกลางอากาศจิตใจของซูชิงลั่วในยามนี้เคว้งคว้างล่องลอยไร้ที่พึ่งเหมือนกับหิมะเหล่านี้นางสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะยกชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินตรงเข้าไป หางตาเหลือบเห็นอวี๋ซื่อชิงในชุดขุนนางสีน้ำเงิน กำลังหยุดอยู่ด้านล่างบันไดซูชิงลั่วก้มหน้าลง แล้วก้าวขึ้นบันไดไปแม้นางจะหย่ากับลู่เหิงจือแล้ว แต่ยศเก้ามิ่งฟูเหรินขั้นหนึ่งยังคงไม่ถูกริบกลับมา ฉะนั้น ตำแหน่งที่นั่งของนางในงานเลี้ยงจึงอยู่เกือบด้านหน้าสุดทั้งสองประเทศกำลังทำสงครามกัน บรรยากาศงานเลี้ยงย่อมไม่อบอุ่นคึกคักเท่าไหร่นักราชทูตซึ่งเป็นผู้นำของชนเผ่าเป่ยตี๋ครั้งนี้ชื่ออาสื่อน่า เขาแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะชี้แจงวัตถุประสงค์ของการเดินทางมาครั้งนี้ หวังว่าทั้งสองประเทศจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เขาใช้ภาษาจีนกลางที่แข็งกระด้างเอ่ย : "ได้ยินมาว่าแม่นางซูชิงลั่ว อดีตฮูหยินอัครมหาเสนาบดีลู่เหิงจือมีฝีมือการยิงธนูและการใช้กระบี่ที่ยอดเยี่ยม ฉลาดหลักแหลมเกินผู้ใด ข้าได้รับคำสั่งจากข่านให้มาสู่ขอแม่นางซูเป็นการเฉพาะ ใต้เท้าลู่ไม่เห็นความดีของนาง ข่านของข้าไม่มีทางปล่อยให้แม่นางเป็นมุกที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น"ผู้ที่รู้จุดประ
ภายในงานเลี้ยงอบอวลไปดูกลิ่นฉุนของสุรา ทำให้ซูชิงลั่วรู้สึกคลื่นไส้ และวิงเวียนศีรษะนางไม่มีสติมากพอที่จะมาถลุงใช้ที่นี่นางฝืนอดทนลุกขึ้นยืนทำความเคารพ ก่อนจะเอ่ย : "แม้หม่อมฉันมีใจอยากจะสมรสเพื่อเชื่อสัมพันธ์ แต่เกรงว่าคงทำได้ยาก"ฮ่องเต้ : "เพราะเหตุใด"ซูชิงลั่วตอบ : "ประการแรก แต่เดิมมาผู้ที่สมรสปรองดองล้วนแต่เป็นองค์หญิง หม่อมฉันหญิงสาวสามัญชนไร้คุณธรรมไร้ความสามารถ มิบังอาจตีตนเสมอท่าน"น้ำเสียงของนางก้องกังวานอ่อนโยน ฟังแล้วเสนาะหูยิ่งนัก ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกคล้อยตามสีหน้าของฮ่องเต้และองค์หญิงอวี้หยางอึมครึมลงมาทันตา"ประการที่สอง ยามนี้หม่อมฉันตั้งครรภ์ ไม่เหมาะจะเดินทางไปยังเป่ยตี๋ หวังว่าฝ่าบาทจะทรงรับรู้และเข้าใจ"ทุกคนต่างตกตะลึง"ตั้งครรภ์เช่นนั้นหรือ""ของผู้ใด""จะเป็นของผู้ใดไปได้ แน่นอนว่าต้องเป็นของอัครมหาเสนาบดีสิ...""เช่นนี้จะส่งไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไม่ได้แล้วสิ"เสียงวิจารณ์ดังระงมไปทั่ว ฮ่องเต้ทรงตรัสเสียงขรึม : "เป็นความจริงหรือ"ซูชิงลั่ว : "หม่อมฉันไม่กล้าเพ็ดทูลความเท็จต่อฝ่าบาท"ฮ่องเต้ : "หมอหลวงเซวียน"ไม่นานนักหัวหน้าสำนักหมอหลวงซ่งอ