อวี๋ซื่อชิงไม่สามารถให้ใครเห็นเขาอยู่ที่นี่ได้ซูชิงลั่วเอ่ย : "ใต้เท้า ขอเชิญไปรอที่ห้องด้านข้างก่อน"อวี๋ซื่อชิงกลับหลังหันเดินไปยังห้องด้านข้างซูชิงลั่วรีบสั่งให้คนตั้งโต๊ะบูชารับพระราชโองการพระราชโองการรับสั่งให้นางเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงกับพวกเป่ยตี๋คืนนี้จริงๆซูชิงลั่วกำผ้าเช็ดหน้าในมือไว้เบาๆลู่เหิงจือยังรบอยู่แนวหน้า ฮ่องเต้กลับจะส่งอดีตภรรยาของเขาไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับพวกชนเผ่าเป่ยตี๋ ช่างไม่กลัวข้าราชบริพารจะเสียขวัญกำลังใจเอาเสียเลยเกรงว่าแม้แต่ลู่เหิงจือเองก็คงคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะไร้ยางอายถึงเพียงนี้ลู่เหิงจือทอดทิ้งนางแล้วไม่ใช่หรือ ฮ่องเต้เองก็ขี้เกียจจะคาดเดาแล้วว่าจริงหรือเท็จ จึงส่งอดีตภรรยาของเขาไปให้พวกเป่ยตี๋เสียเลยสามารถนำมาซึ่งความสงบได้ก็ยิ่งดี หากไม่ได้ ลู่เหิงจือก็ทำได้เพียงแค่สู้รบต่อไป หรือไม่เช่นนั้นจะทรยศบ้านเมืองได้หรือซูชิงลั่วสติหลุดเหม่อลอยไปชั่วขณะ กระทั่งผู้ที่มาประกาศพระราชโองการทั้งหมดกลับไปแล้ว ถึงจะหันหลังเดินกลับเข้าห้องไปอวี๋ซื่อชิงเดินเข้ามา สีหน้าดูตึงเครียดแต่ก็ยังคงพูดปลอบใจนาง : "ข้าจะช่วยท่าน"สายตาที่เขามองนางดูจร
หิมะลอยละล่องอยู่ท่ามกลางอากาศจิตใจของซูชิงลั่วในยามนี้เคว้งคว้างล่องลอยไร้ที่พึ่งเหมือนกับหิมะเหล่านี้นางสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะยกชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินตรงเข้าไป หางตาเหลือบเห็นอวี๋ซื่อชิงในชุดขุนนางสีน้ำเงิน กำลังหยุดอยู่ด้านล่างบันไดซูชิงลั่วก้มหน้าลง แล้วก้าวขึ้นบันไดไปแม้นางจะหย่ากับลู่เหิงจือแล้ว แต่ยศเก้ามิ่งฟูเหรินขั้นหนึ่งยังคงไม่ถูกริบกลับมา ฉะนั้น ตำแหน่งที่นั่งของนางในงานเลี้ยงจึงอยู่เกือบด้านหน้าสุดทั้งสองประเทศกำลังทำสงครามกัน บรรยากาศงานเลี้ยงย่อมไม่อบอุ่นคึกคักเท่าไหร่นักราชทูตซึ่งเป็นผู้นำของชนเผ่าเป่ยตี๋ครั้งนี้ชื่ออาสื่อน่า เขาแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะชี้แจงวัตถุประสงค์ของการเดินทางมาครั้งนี้ หวังว่าทั้งสองประเทศจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เขาใช้ภาษาจีนกลางที่แข็งกระด้างเอ่ย : "ได้ยินมาว่าแม่นางซูชิงลั่ว อดีตฮูหยินอัครมหาเสนาบดีลู่เหิงจือมีฝีมือการยิงธนูและการใช้กระบี่ที่ยอดเยี่ยม ฉลาดหลักแหลมเกินผู้ใด ข้าได้รับคำสั่งจากข่านให้มาสู่ขอแม่นางซูเป็นการเฉพาะ ใต้เท้าลู่ไม่เห็นความดีของนาง ข่านของข้าไม่มีทางปล่อยให้แม่นางเป็นมุกที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น"ผู้ที่รู้จุดประ
ภายในงานเลี้ยงอบอวลไปดูกลิ่นฉุนของสุรา ทำให้ซูชิงลั่วรู้สึกคลื่นไส้ และวิงเวียนศีรษะนางไม่มีสติมากพอที่จะมาถลุงใช้ที่นี่นางฝืนอดทนลุกขึ้นยืนทำความเคารพ ก่อนจะเอ่ย : "แม้หม่อมฉันมีใจอยากจะสมรสเพื่อเชื่อสัมพันธ์ แต่เกรงว่าคงทำได้ยาก"ฮ่องเต้ : "เพราะเหตุใด"ซูชิงลั่วตอบ : "ประการแรก แต่เดิมมาผู้ที่สมรสปรองดองล้วนแต่เป็นองค์หญิง หม่อมฉันหญิงสาวสามัญชนไร้คุณธรรมไร้ความสามารถ มิบังอาจตีตนเสมอท่าน"น้ำเสียงของนางก้องกังวานอ่อนโยน ฟังแล้วเสนาะหูยิ่งนัก ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกคล้อยตามสีหน้าของฮ่องเต้และองค์หญิงอวี้หยางอึมครึมลงมาทันตา"ประการที่สอง ยามนี้หม่อมฉันตั้งครรภ์ ไม่เหมาะจะเดินทางไปยังเป่ยตี๋ หวังว่าฝ่าบาทจะทรงรับรู้และเข้าใจ"ทุกคนต่างตกตะลึง"ตั้งครรภ์เช่นนั้นหรือ""ของผู้ใด""จะเป็นของผู้ใดไปได้ แน่นอนว่าต้องเป็นของอัครมหาเสนาบดีสิ...""เช่นนี้จะส่งไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไม่ได้แล้วสิ"เสียงวิจารณ์ดังระงมไปทั่ว ฮ่องเต้ทรงตรัสเสียงขรึม : "เป็นความจริงหรือ"ซูชิงลั่ว : "หม่อมฉันไม่กล้าเพ็ดทูลความเท็จต่อฝ่าบาท"ฮ่องเต้ : "หมอหลวงเซวียน"ไม่นานนักหัวหน้าสำนักหมอหลวงซ่งอ
เขาบ้าไปแล้วหรืออย่างไรอวี๋ซื่อชิงหันมามองหน้านางปราดหนึ่ง นัยน์ตาเคร่งขรึมคล้ายจะมีความร้อนรนอยู่เล็กน้อยเพียงแวบเดียว หลังจากนั้นเขาก็รีบหันหน้ากลับไปเหมือนต้องการจะกลบเกลื่อนซูชิงลั่ว "......"ฮ่องเต้ : “เป็นเช่นนี้จริงหรือ”อวี๋ซื่อชิงเม้มริมฝีปาก สีหน้าแสดงความกระอักกระอ่วนออกมาได้อย่างพอเหมาะ : “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัว กระหม่อมไม่อยากเปิดเผยให้รู้กันทั้งหมด แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ จะไม่พูดก็ไม่ได้”“เจ้าไปทำนางท้องได้เช่นไร”อวี๋ซื่อชิงพูดด้วยความลำบากใจ : “ก่อนหน้านี้ กระหม่อมเคยช่วยงานอยู่ที่ร้านขายภาพวาดของแม่นางซูอยู่ช่วงหนึ่ง”ฮ่องเต้ : “เรื่องเกิดขึ้นเมื่อใด แม่นางซูเพิ่งจะหย่ากับลู่เหิงจือได้ไม่นาน”อวี๋ซื่อชิงกัดฟันกรอด : “หลังจากใต้เท้าลู่ไปจากเมืองหลวงได้ไม่นาน เรื่องเกิดก่อนจะหย่า”…เช่นนั้นซูชิงลั่วก็สวมเขาให้ลู่เหิงจือไม่ใช่หรอกหรือฮ่องเต้น้ำเสียงจริงจัง : “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าหากหลอกข้า มีโทษถึงตาย”อวี๋ซื่อชิงเสียงก้องกังวาน : “กระหม่อมไม่บังอาจหลอกฝ่าบาท”ฮ่องเต้หันไปมองทางซูชิงลั่ว : “นางซู เจ้าว่ามา”ทุกสายตาต่างพากันจับจ้องไปทางซูช
"แอ๊ด" เสียงประตูถูกปิดลงฮ่องเต้นั่งอยู่ในห้องทรงอักษร มองดูรายงานข่าวดีที่ส่งมาจากชายแดนปราดหนึ่ง มุมปากยกยิ้มเย้ยยันออกมาเบาๆในขณะนั้นเอง องครักษ์ลับก็เข้ามาฮ่องเต้ทรงตรัสถาม : "เจ้าเฝ้าเช่นไร เรื่องนี้ไม่มีข่าวคราวใดเลยหรือ"องครักษ์ลับตอบ : "กระหม่อมไม่ได้ส่งคนไปดูซูชิงลั่วทุกวันจริง แต่จากข้อมูลที่มีอยู่ยามนี้ ใต้เท้าอวี๋เคยไปช่วยงานที่ร้านภาพวาดของนางซูอยู่ระยะหนึ่งจริง แม่นางซูยังเคยมอบเงินให้เขาเข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางด้วย"เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องไม่สำคัญที่ฮ่องเต้ไปสืบมาล่วงหน้าก่อนที่จะใช้งานอวี๋ซื่อชิงฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง : "ยามนี้พวกเจ้าจงรีบไปค้นห้องของอวี๋ซื่อชิง ดูว่ามีเบาะแสใดหรือไม่"องครักษ์ลับ : "พะย่ะค่ะ"หลังจากผ่านไปได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม ขันทีก็เข้ามาฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมาจากกองฎีกาที่กองสูงเป็นภูเขา : "เป็นเช่นไร"ขันทีเล่าเหตุการณ์ที่ตนเฝ้าสังเกตการณ์อยู่เมื่อครู่ไปตามความจริงฮ่องเต้พึมพำกับตนเอง : "หรือที่เขาพูดจะเป็นความจริงเช่นนั้นหรือ"ขณะนั้นเอง องครักษ์ลับที่ไปสืบเรื่องอวี๋ซื่อชิงก่อนหน้านี้ก็กลับมา : "พวกเราพบภาพวาดน
หลังจากที่อวี๋ซื่อชิงพูดประโยคนี้จบ ซูชิงลั่วก็ตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้งดีที่เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นมาแล้ววางลงไปบนหมอนที่คั่นอยู่กึ่งกลางเท่านั้นที่แท้ก็พูดประโยคนี้ให้คนนอกฟังซูชิงลั่วโล่งอก หันหน้าไปอีกทางทั้งๆ ที่ร่างกายเหนื่อยล้าเต็มที ทว่าไม่ว่าทำเช่นไรก็นอนไม่หลับเสียงลมหายใจของคนที่อยู่ข้างๆ ทำให้นางไม่เป็นสุขราวกับว่าพื้นที่ที่เดิมเป็นของตนถูกคนแปลกหน้ารุกล้ำ แต่กลับไม่อาจต่อต้านได้ช่างทรมานยิ่งนักเพื่อต่อสู้กับความทรมานนี้ นางนึกถึงลู่เหิงจือขึ้นมาโดยธรรมชาตินึกถึงตอนที่อยู่ในห้องเดียวกันกับลู่เหิงจือเป็นครั้งแรกคือตอนที่อยู่ในกระท่อมไม้ไผ่หลังนั้นเขายืนอยู่ไกลออกไปตรงหน้าต่าง นางจ้องมองเขาอยู่เช่นนั้น ได้กลิ่นลมหายใจที่ลอยเข้ามาก็ทำให้รู้สึกเบาใจอย่างน่าประหลาดหลังจากแต่งงานกันแล้ว ครั้งแรกที่พวกเขานอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ทั้งๆ ที่นางตื่นเต้นเหลือเกิน แต่หลังจากนั้นกลับผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วไม่ได้รู้สึกทรมานเหมือนในตอนนี้ที่ทำได้เพียงแค่คิดถึงลู่เหิงจือไปเรื่อยๆ ถึงจะค่อยๆ ฆ่าเวลาไปได้ทีละนิดๆไม่รู้ว่าลู่เหิงจือจะเป็นเช่นไรบ้างที่ชายแดนถ้าหากรู้ว่าว
อวี๋ซื่อชิง : “ต่อไปเกรงว่าท่านคงเรียกข้าว่าใต้เท้าอวี๋ไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะดูห่างเหิน”ซูชิงลั่วสติหลุดลอยไปชั่วขณะพลันได้ยินเสียงของลู่เหิงจือดังข้างหูอย่างกะทันหัน : “เรียกข้าพี่สาม”เสียงแว่วไกลและแผ่วเบาอวี๋ซื่อชิงสังเกตเห็นนางเหม่อลอย ในใจพลันปวดร้าวเบาๆสิ่งแรกที่คิดได้คือเกรงว่าจะมีผู้ใดเคยพูดประโยคนี้กับนาง นางถึงได้มีท่าทีเช่นนี้หลังจากนั้นไม่นาน ซูชิงลั่วก็ได้สติกลับมา : “เช่นนั้นข้าควรเรียกใต้เท้าว่าอย่างไร”เรียกท่านพี่ ?แต่งงานยังพอฝืนได้ แต่จะให้เรียกท่านพี่ เกรงว่าลู่เหิงจือคงกลับมาตัดคออวี๋ซื่อชิงเป็นแน่อวี๋ซื่อชิงตอบ : “เรียกชื่อเถอะ”ซูชิงลั่วพยักหน้า ก็คงทำได้เพียงเท่านี้แล้วอวี๋ซื่อชิง : “ต่อไป ข้าอาจจะมาบ่อยๆ”"ได้"“แล้วเรื่องงานแต่ง ท่านคิดว่าเวลาใดเหมาะสม”แน่นอนว่าซูชิงลั่วย่อมหวังว่ายิ่งช้าเท่าใดก็ยิ่งดี แต่โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งออกไปก่อนที่ท้องจะโตอีกทั้งนางเองก็รู้ว่าลู่เหิงจือไม่มีทางกลับมาได้ในช่วงเวลาใกล้ๆ นี้ เป่ยตี๋ล้อมเซวียนเฉิงไว้เป็นเวลาเกือบครึ่งปีเมื่อคิดเช่นนี้ ที่จริงแล้วไม่ว่าจะจัดงานเมื่อใดก็ไม่สำคัญ
เซวียนเฉิงหิมะตกกระหน่ำทั่วแผ่นฟ้าตรงหน้าเป็นเรือนอาศัยเล็กๆ ที่ไม่ดึงดูดสายตา หลังคากระเบื้องสีเทาและผนังอิฐ อยู่ลึกสุดของตรอกลู่เหิงจือคลุมเสื้อคลุม เดินโต้ลมเหยียบย่ำหิมะเข้าไปด้านใน ก่อนจะเอ่ยถาม : "คุณหนูเล่า"สาวใช้ตอบ : "คุณหนูกำลังเขียนหนังสืออยู่ด้านใน"ลู่เหิงจือพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปด้านในลู่ซือไหววางกระดาษและพู่กันในมือลงแล้วเข้ามาต้อนรับ : "พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว"สองเดือนก่อนหน้านี้ เป่ยตี๋บุกเข้ามาที่เซวียนเฉิงอย่างกะทันหันยามนั้นผู้คนในเมืองอกสั่นขวัญแขวน แม้แต่นางเองก็เก็บกระเป๋าเรียบร้อย เตรียมตัวจะหนีไปด้วยความตื่นตระหนกทว่าคิดไม่ถึงว่าการมาแบบปุบปับของลู่เหิงจือ จะทำให้ทหารของเป่ยตี๋ล่าถอยไปได้ด้วยแผนการและการนำทัพของเขาตั้งแต่ศึกแรกเขากลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในเซวียนเฉิงในทันทีนางเพิ่งเคยได้ยินเรื่องราวของลู่เหิงจือเป็นครั้งแรก ได้เป็นอัครมหาเสนาบดีตั้งแต่อายุยังน้อย สติปัญญาหลักแหลม มีความสามารถในการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดนางรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้ขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ แต่กลับคิดไม่ออกว่าเพราะเหตุใดแต่บุคคลที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ไม่มีทางมีความเกี่ย