Share

บทที่ 382

Author: หอมดังเดิม
last update Last Updated: 2024-11-15 18:00:01
อวี๋ซื่อชิง : “ต่อไปเกรงว่าท่านคงเรียกข้าว่าใต้เท้าอวี๋ไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะดูห่างเหิน”

ซูชิงลั่วสติหลุดลอยไปชั่วขณะ

พลันได้ยินเสียงของลู่เหิงจือดังข้างหูอย่างกะทันหัน : “เรียกข้าพี่สาม”

เสียงแว่วไกลและแผ่วเบา

อวี๋ซื่อชิงสังเกตเห็นนางเหม่อลอย ในใจพลันปวดร้าวเบาๆ

สิ่งแรกที่คิดได้คือเกรงว่าจะมีผู้ใดเคยพูดประโยคนี้กับนาง นางถึงได้มีท่าทีเช่นนี้

หลังจากนั้นไม่นาน ซูชิงลั่วก็ได้สติกลับมา : “เช่นนั้นข้าควรเรียกใต้เท้าว่าอย่างไร”

เรียกท่านพี่ ?

แต่งงานยังพอฝืนได้ แต่จะให้เรียกท่านพี่ เกรงว่าลู่เหิงจือคงกลับมาตัดคออวี๋ซื่อชิงเป็นแน่

อวี๋ซื่อชิงตอบ : “เรียกชื่อเถอะ”

ซูชิงลั่วพยักหน้า ก็คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว

อวี๋ซื่อชิง : “ต่อไป ข้าอาจจะมาบ่อยๆ”

"ได้"

“แล้วเรื่องงานแต่ง ท่านคิดว่าเวลาใดเหมาะสม”

แน่นอนว่าซูชิงลั่วย่อมหวังว่ายิ่งช้าเท่าใดก็ยิ่งดี แต่โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งออกไปก่อนที่ท้องจะโต

อีกทั้งนางเองก็รู้ว่าลู่เหิงจือไม่มีทางกลับมาได้ในช่วงเวลาใกล้ๆ นี้ เป่ยตี๋ล้อมเซวียนเฉิงไว้เป็นเวลาเกือบครึ่งปี

เมื่อคิดเช่นนี้ ที่จริงแล้วไม่ว่าจะจัดงานเมื่อใดก็ไม่สำคัญ

Locked Chapter
Continue to read this book on the APP
Comments (1)
goodnovel comment avatar
SUIheiSEN owo
สงสารองค์รักษ์ลับ5555 โดนฝั่งพอ.ดุมา มาบอกนางเอก โดนดูอี๊ก ชีวิต555
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 383

    เซวียนเฉิงหิมะตกกระหน่ำทั่วแผ่นฟ้าตรงหน้าเป็นเรือนอาศัยเล็กๆ ที่ไม่ดึงดูดสายตา หลังคากระเบื้องสีเทาและผนังอิฐ อยู่ลึกสุดของตรอกลู่เหิงจือคลุมเสื้อคลุม เดินโต้ลมเหยียบย่ำหิมะเข้าไปด้านใน ก่อนจะเอ่ยถาม : "คุณหนูเล่า"สาวใช้ตอบ : "คุณหนูกำลังเขียนหนังสืออยู่ด้านใน"ลู่เหิงจือพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปด้านในลู่ซือไหววางกระดาษและพู่กันในมือลงแล้วเข้ามาต้อนรับ : "พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว"สองเดือนก่อนหน้านี้ เป่ยตี๋บุกเข้ามาที่เซวียนเฉิงอย่างกะทันหันยามนั้นผู้คนในเมืองอกสั่นขวัญแขวน แม้แต่นางเองก็เก็บกระเป๋าเรียบร้อย เตรียมตัวจะหนีไปด้วยความตื่นตระหนกทว่าคิดไม่ถึงว่าการมาแบบปุบปับของลู่เหิงจือ จะทำให้ทหารของเป่ยตี๋ล่าถอยไปได้ด้วยแผนการและการนำทัพของเขาตั้งแต่ศึกแรกเขากลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในเซวียนเฉิงในทันทีนางเพิ่งเคยได้ยินเรื่องราวของลู่เหิงจือเป็นครั้งแรก ได้เป็นอัครมหาเสนาบดีตั้งแต่อายุยังน้อย สติปัญญาหลักแหลม มีความสามารถในการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดนางรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้ขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ แต่กลับคิดไม่ออกว่าเพราะเหตุใดแต่บุคคลที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ไม่มีทางมีความเกี่ย

    Last Updated : 2024-11-16
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 384

    เพียงแต่ไม่คิดว่าผ่านไปไม่นาน จู่ๆ ก็มีข่าวที่พี่ชายและพี่สะใภ้หย่ากันแพร่มาอย่างกะทันหันครั้นแล้วตอนที่ลู่เหิงจือมาครั้งถัดไป นางจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นลู่เหิงจือน้ำเสียงเรียบเฉย : "ไม่ใช่ปัญหา เป็นเพียงแค่แผนการส่วนหนึ่ง"นางถึงจะเบาใจครั้งนี้เขาใช้เวลานานขึ้นอีกหน่อย อยู่เป็นเพื่อนนางหนึ่งวันเต็มๆ ทั้งยังเอ่ยถาม : "เจ้ายังเขียนหนังสือได้หรือไม่"ลู่ซือไหวส่ายหน้าเบาๆ : "ได้เพียงแค่ตัวอักษรง่ายๆ ไม่กี่ตัว"ที่นี่ไม่ใช่เจียงหนาน นางเองก็ไม่ใช่เด็กที่ถูกซื้อมาอบรมเลี้ยงดูเพื่อนำไปขายต่อ จึงไม่มีคนสั่งสอน เพียงแค่อาศัยรูปร่างหน้าต่างที่นับว่าพอใช้ได้ ทำให้มีชีวิตรอดมาได้ก็เท่านั้นลู่เหิงจือเอ่ย : "เช่นนั้นข้าเชิญอาจารย์มาสอนเจ้าอ่านหนังสือดีหรือไม่"ลู่ซือไหวดวงตาพลันฉายประกาย "เยี่ยมไปเลย"ขณะนั้นเอง นางเห็นแขนเสื้อของลู่เหิงจือขาดเป็นรูยาว จึงเอ่ย : "ข้าเย็บเสื้อให้พี่ใหญ่ดีกว่า"ลู่เหิงจือตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถอดเสื้อด้านนอกยื่นให้นางลู่ซือไหวถามยิ้มๆ : "นี่อาซ้อทำให้พี่ใหญ่หรือ""อืม" แม้แต่น้ำเสียงของลู่เหิงจือก็อ่อนโยนลงมาด้วย "ฝีมือการเย็บของนางไม่

    Last Updated : 2024-11-16
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 385

    หลังจากที่ซ่งเหวินออกไป ลู่เหิงจือก็วางตะเกียบลง ดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์กินแล้วลู่ซือไหวเอ่ยถาม "พี่ใหญ่อารมณ์ไม่ดีหรือ"ลู่เหิงจือ : "นิดหน่อย"ก่อนหน้า น้อยครั้งนักที่เขาจะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตนต่อหน้าผู้อื่น ทว่าตั้งแต่ที่ได้เจอกับซูชิงลั่ว หัวใจของเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เริ่มไม่ปิดกั้นการแบ่งปันบอกเล่ากับผู้อื่นยามนี้ยังตามหาลู่ซือไหวที่เป็นน้องสาวแท้ๆ เจอ อยู่ต่อหน้านางไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง เขาจึงพูดความจริงออกมาหลังจากที่พูดออกมา กลับรู้สึกว่าความรู้สึกที่มีคนที่สามารถระบายอารมณ์ด้วยได้เช่นนี้ก็ไม่เลวลู่ซือไหวยิ้มตาหยี : "แม้อาซ้อจะโกรธพี่ใหญ่ แต่นางก็ยังดีกับพี่ใหญ่""เจ้ารู้ได้อย่างไร""ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว" ลู่ซือไหวยิ้มมีเลศนัย กำลังจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงซ่งเหวินวิ่งเหยาะๆ ดังเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่าง "ก็อก ก็อก ก็อก" เขาเคาะประตูเบาๆ ไม่รอให้ตอบ จากนั้นก็ถลาเข้ามาด้วยความลนลานลู่เหิงจือขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่รู้ตัว "มีเหตุอันใด"หากมีเรื่องใหญ่ องครักษ์ลับคงมารายงานแต่แรกแล้ว ไม่มีทางรอให้ถึงมือซ่งเหวินซ่งเหวินชูจดหมายในมือขึ้นมา ย

    Last Updated : 2024-11-16
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 386

    เรื่องที่ซูชิงลั่วเพิ่งหย่าขาดกับลู่เหิงจือและตั้งครรภ์อยู่จะแต่งงานกับอวี๋ซื่อชิงนั้น ทำให้คนในตระกูลลู่ทุกคนตกใจมากนางเฉียนก็แอบมาถามนางว่า“เด็กนี่เป็นลูกของอวี๋ซื่อชิงจริงหรือ?”ซูชิงลั่วจึงได้แต่พยักหน้ารับหากนางปฏิเสธ แล้วนางเฉียนจะเอาเรื่องนี้ไปนินทา อาจไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาแน่นางเฉียนมองนางด้วยสีหน้าสับสนแม้ว่านางจะชอบซูชิงลั่วลูกสะใภ้คนนี้มาก ทั้งร่ำรวย ใจกว้าง และกตัญญู ทำให้ชีวิตของนางดีขึ้นมาก แต่นางก็ไม่กล้าจะเห็นด้วยเพราะสตรีควรซื่อสัตย์แต่เมื่อเผชิญหน้ากับซูชิงลั่ว นางก็ไม่อาจพูดจารุนแรง ท้ายที่สุดก็ยิ้มอย่างอึดอัด แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อลู่เหยียนรู้เรื่องนี้ เขาอดด่าทอในห้องไม่ได้ว่า “ช่างเป็นหญิงสำส่อนเสียจริงๆ”แม้จะด่าทอเช่นนั้น แต่เขาก็อดรู้สึกเคืองใจไม่ได้เฉิงซิ่วเห็นว่าเขาอารมณ์ไม่ดี จึงเข้าไปโอบกอดเขานานแล้วที่ไม่ได้ร่วมห้องกัน ในใจนางยังคงชอบลู่เหยียนมาก จึงก้มศีรษะจูบเขาแต่ลู่เหยียนกลับผลักนางออกทันที “เจ้าก็เป็นหญิงสำส่อนที่ทนเหงาไม่ไหวรึ?”เฉิงซิ่วถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ มองเขาตาค้างราวกับไม่เชื่อว่าคำพูดร้ายกาจเช่นนี้จะออกจากปากของเขาลู่

    Last Updated : 2024-11-16
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 387

    อวี๋ซื่อชิงพยักหน้ามองซูชิงลั่วนางรู้สึกเขินอายเล็กน้อย รีบให้เขาออกไป เขาก็รู้ดีเขาจึงเอ่ยว่า "ข้าขอยืมตำราอ่านที่นี่สักเล่มสองเล่มหรือไม่ เพิ่งเข้ามาแล้วจะออกไปทันที กลัวว่าจะถูกคนสงสัยเอาได้"ตำราของลู่เหิงจือถูกส่งไปที่ตรอกปาเถียวแล้ว แต่นางเองก็มีตำราอยู่หลายเล่มนางถามว่า "ใต้เท้าต้องการอ่านหนังสือประเภทใด"อวี๋ซื่อชิงกล่าวว่า "อะไรก็ได้ ขอแค่ฆ่าเวลา"ซูชิงลั่วพยักหน้า "โปรดรอสักครู่"ตำราของนางมีบางเล่มที่ไม่สามารถให้อวี๋ซื่อชิงเห็นได้ นางต้องเลือกเองจึงจะได้นางเลือกตำราบันทึกการเดินทางที่ดูเป็นทางการมาสองสามเล่ม แล้วสั่งให้คนไปทำความสะอาดห้องหนึ่งในบ้านข้างเคียงเพื่อให้อวี๋ซื่อชิงใช้เป็นห้องทำงานอวี๋ซื่อชิงไม่ได้พูดอะไรต่อ หันศีรษะเดินเข้าไปในบ้านข้างเคียงทันที ทั้งสองต่างคนต่างอยู่ซูชิงลั่วจึงโล่งอกไม่รู้ทำไม ช่วงเวลาตั้งครรภ์รู้สึกยากลำบากเป็นพิเศษนางเดินไปที่โต๊ะ เปิดสมุดบัญชี มองไปที่ลายมือของลู่เหิงจือที่แข็งแรงชัดเจน ก็รู้สึกน้ำตาคลอเบ้า ราวกับคิดถึงเขาขึ้นมาแล้วยามนี้ จื๋อหยวนเอ่ยว่า “คุณหนู องครักษ์ลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ซูชิงลั่วรู้สึกดีใจโดยไม่รู้ตัว

    Last Updated : 2024-11-17
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 388

    ร้านขายขนมเกาลัดในเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ลูกค้าต่อแถวยาวเหยียดการกินขนมเกาลัดคั่วในฤดูหนาวเป็นที่ชื่นชอบของหลายๆ คนท่ามกลางผู้คนแต่งกายเรียบง่าย อวี๋ซื่อชิงในชุดขุนนางสีน้ำเงินก็ดูโดดเด่นเป็นสง่ามีคนรู้จักทักทายเขาว่า “ใ9hเท้าอวี๋คนมาซื้อขนมเกาลัดกินหรือ?”อวี๋ซื่อชิงตอบเสียงเบาว่า “ให้ว่าที่ฮูหยินกินน่ะ”ดวงตาของเขาดูอ่อนโยนราวกับมีความสุขมากฝูงชนก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้าง แต่ก็ฟังไม่ค่อยชัดไม่ต้องตั้งใจฟังก็คาดเดาได้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไรอวี๋ซื่อชิงไม่ได้สนใจ เพราะเขารู้ว่าต้องทำตัวให้สมบทบาทหลังจากซื้อขนมเกาลัดแล้ว เขาก็เดินซื้อผลไม้แห้งตามร้านต่างๆ ด้วยเจ้าของแผงร้านหนึ่งเอ่ยด้วยความกระตือรือร้นว่า “ใต้เท้าอวี๋ผลไม้แห้งประเภทนี้เหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์มากที่สุด”ซึ่งแม้แต่เจ้าของร้านก็รู้ว่าซูชิงลั่วกินอาหารไม่ค่อยได้อวี๋ซื่อชิงพยักหน้าและตอบว่า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”ไม่นานข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงว่าอวี๋ซื่อชิงรักและห่วงใยฮูหยินของอัครมหาเสนาบดีคนใหม่เป็นอย่างมากหลังจากซื้อของเสร็จ อวี๋ซื่อชิงก็ถือของเข้าประตูใหญ่ของจวนตระกูลซูโฉวกว่าง

    Last Updated : 2024-11-17
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 389

    ดูจากท่าทางแล้ว คล้ายจะแลกจดหมายกันลู่เหิงจือเหลือบมองเขา แล้วหยิบจดหมายของจื๋อหยวนออกมาจากแขนเสื้อให้ซ่งเหวิน ซ่งเหวินจึงยื่นจดหมายฉบับนี้ไปลู่เหิงจือรีบเปิดทันทีในจดหมายเขียนว่า ซูชิงลั่วแพ้ท้องหนักมากหลังจากตั้งครรภ์ กินอะไรแทบไม่ได้เลย กินแต่ข้าวต้มกุ้ยกับขนมเกาลัด ผอมลงไปมากลู่เหิงจือขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกร้อนใจอ่านต่อไปก็เห็นจื๋อหยวนบอกว่าฮูหยินอยากกินซาลาเปาไส้ไก่ แต่แม่นมเหมยมาทำไม่ถูกปาก ถามใต้เท้าว่ามีสูตรหรือไม่ลู่เหิงจือยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว - ฮูหยินยังคงเป็นห่วงเขามากเขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วหยิบปากกาขึ้นมาเขียนวิธีทำซาลาเปาไส้ไก่อย่างละเอียด พร้อมกับเขียนวิธีทำเส้นหมี่ไก่ หมูแดง แพะตุ๋นลงไปทั้งหมดจากนั้นก็เขียนจดหมายถึงบ้าน ให้ซูชิงลั่วดูแลตัวเองให้ดี รอเขากลับมา สุดท้ายยังเขียนเพิ่มเติมว่า คิดถึงนางมาก เขียนจดหมายมาหาข้าหน่อยได้หรือไม่เขายื่นจดหมายและสูตรอาหารให้กับซ่งเหวิน ซ่งเหวินรีบหันหลังออกไปเตรียมส่งให้องครักษ์ลับเมื่อเดินมาถึงประตู ก็ได้ยินลู่เหิงจือร้องเรียกเขา “ช้าก่อน”ลู่เหิงจือกล่าวว่า “เจ้าจงกลับไปส่งจดหมายให้ฮูหยินด้วยตนเอง แล้วแวะซื้อ

    Last Updated : 2024-11-17
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 390

    ซูชิงลั่วเอนตัวลงบนเก้าอี้ยาว อ่านจดหมายจากลู่เหิงจือไปพลาง ค่อยๆ กินเกาลัดไปพลางจดหมายฉบับแรกที่นางเปิดอ่านคือจดหมายถึงครอบครัวลู่เหิงจือชายชั่วผู้นี้ใจร้ายเหลือเกิน ส่งคนมาบังคับให้นางหย่าร้างได้โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าแต่ก็ต้องยอมรับว่า เมื่อเขาอ่อนโยน เขาก็ช่างทำให้คนหลงใหลจดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายที่ยาวที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขียนถึงเรื่องราวมากมายเขาเริ่มต้นด้วยการบอกว่านางตั้งครรภ์ ร่างกายอ่อนล้า และบอกว่าไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนนางได้ การที่นางต้องอยู่คนเดียวในเมืองหลวงเป็นความผิดของเขาเองซูชิงลั่วรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่เอาไหนเพียงแค่เขาเห็นใจนางเล็กน้อย พูดคำหวานสองสามประโยค นางก็รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาคลอเบ้า เกาลัดในปากก็ดูเหมือนจะไร้รสชาตินางพยายามกลั้นน้ำตาแล้วอ่านต่อ เป็นเรื่องราวที่ลู่เหิงจือเขียนเกี่ยวกับชายแดน“ชายแดนแม้จะลำบาก แต่ของที่ฮูหยินเตรียมมาให้ครบถ้วน เสื้อคลุมขนสัตว์หลายตัวก็อบอุ่นมาก เสื้อผ้าก็เพียงพอ"“ข้าพบซือไหวแล้ว และได้จัดหาที่พักให้นางเป็นบ้านหลังเล็กๆ เมื่อมีเวลาว่างข้าก็จะไปเยี่ยมนาง"“นางไม่ค่อยรู้หนังสือ และงานเย็บปักถักร้อยก็ไม่ดีเท่า

    Last Updated : 2024-11-17

Latest chapter

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 452

    ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 451

    ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 450

    เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป

DMCA.com Protection Status