เซวียนเฉิงหิมะตกกระหน่ำทั่วแผ่นฟ้าตรงหน้าเป็นเรือนอาศัยเล็กๆ ที่ไม่ดึงดูดสายตา หลังคากระเบื้องสีเทาและผนังอิฐ อยู่ลึกสุดของตรอกลู่เหิงจือคลุมเสื้อคลุม เดินโต้ลมเหยียบย่ำหิมะเข้าไปด้านใน ก่อนจะเอ่ยถาม : "คุณหนูเล่า"สาวใช้ตอบ : "คุณหนูกำลังเขียนหนังสืออยู่ด้านใน"ลู่เหิงจือพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปด้านในลู่ซือไหววางกระดาษและพู่กันในมือลงแล้วเข้ามาต้อนรับ : "พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว"สองเดือนก่อนหน้านี้ เป่ยตี๋บุกเข้ามาที่เซวียนเฉิงอย่างกะทันหันยามนั้นผู้คนในเมืองอกสั่นขวัญแขวน แม้แต่นางเองก็เก็บกระเป๋าเรียบร้อย เตรียมตัวจะหนีไปด้วยความตื่นตระหนกทว่าคิดไม่ถึงว่าการมาแบบปุบปับของลู่เหิงจือ จะทำให้ทหารของเป่ยตี๋ล่าถอยไปได้ด้วยแผนการและการนำทัพของเขาตั้งแต่ศึกแรกเขากลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในเซวียนเฉิงในทันทีนางเพิ่งเคยได้ยินเรื่องราวของลู่เหิงจือเป็นครั้งแรก ได้เป็นอัครมหาเสนาบดีตั้งแต่อายุยังน้อย สติปัญญาหลักแหลม มีความสามารถในการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดนางรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้ขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ แต่กลับคิดไม่ออกว่าเพราะเหตุใดแต่บุคคลที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ไม่มีทางมีความเกี่ย
เพียงแต่ไม่คิดว่าผ่านไปไม่นาน จู่ๆ ก็มีข่าวที่พี่ชายและพี่สะใภ้หย่ากันแพร่มาอย่างกะทันหันครั้นแล้วตอนที่ลู่เหิงจือมาครั้งถัดไป นางจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นลู่เหิงจือน้ำเสียงเรียบเฉย : "ไม่ใช่ปัญหา เป็นเพียงแค่แผนการส่วนหนึ่ง"นางถึงจะเบาใจครั้งนี้เขาใช้เวลานานขึ้นอีกหน่อย อยู่เป็นเพื่อนนางหนึ่งวันเต็มๆ ทั้งยังเอ่ยถาม : "เจ้ายังเขียนหนังสือได้หรือไม่"ลู่ซือไหวส่ายหน้าเบาๆ : "ได้เพียงแค่ตัวอักษรง่ายๆ ไม่กี่ตัว"ที่นี่ไม่ใช่เจียงหนาน นางเองก็ไม่ใช่เด็กที่ถูกซื้อมาอบรมเลี้ยงดูเพื่อนำไปขายต่อ จึงไม่มีคนสั่งสอน เพียงแค่อาศัยรูปร่างหน้าต่างที่นับว่าพอใช้ได้ ทำให้มีชีวิตรอดมาได้ก็เท่านั้นลู่เหิงจือเอ่ย : "เช่นนั้นข้าเชิญอาจารย์มาสอนเจ้าอ่านหนังสือดีหรือไม่"ลู่ซือไหวดวงตาพลันฉายประกาย "เยี่ยมไปเลย"ขณะนั้นเอง นางเห็นแขนเสื้อของลู่เหิงจือขาดเป็นรูยาว จึงเอ่ย : "ข้าเย็บเสื้อให้พี่ใหญ่ดีกว่า"ลู่เหิงจือตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถอดเสื้อด้านนอกยื่นให้นางลู่ซือไหวถามยิ้มๆ : "นี่อาซ้อทำให้พี่ใหญ่หรือ""อืม" แม้แต่น้ำเสียงของลู่เหิงจือก็อ่อนโยนลงมาด้วย "ฝีมือการเย็บของนางไม่
หลังจากที่ซ่งเหวินออกไป ลู่เหิงจือก็วางตะเกียบลง ดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์กินแล้วลู่ซือไหวเอ่ยถาม "พี่ใหญ่อารมณ์ไม่ดีหรือ"ลู่เหิงจือ : "นิดหน่อย"ก่อนหน้า น้อยครั้งนักที่เขาจะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตนต่อหน้าผู้อื่น ทว่าตั้งแต่ที่ได้เจอกับซูชิงลั่ว หัวใจของเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เริ่มไม่ปิดกั้นการแบ่งปันบอกเล่ากับผู้อื่นยามนี้ยังตามหาลู่ซือไหวที่เป็นน้องสาวแท้ๆ เจอ อยู่ต่อหน้านางไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง เขาจึงพูดความจริงออกมาหลังจากที่พูดออกมา กลับรู้สึกว่าความรู้สึกที่มีคนที่สามารถระบายอารมณ์ด้วยได้เช่นนี้ก็ไม่เลวลู่ซือไหวยิ้มตาหยี : "แม้อาซ้อจะโกรธพี่ใหญ่ แต่นางก็ยังดีกับพี่ใหญ่""เจ้ารู้ได้อย่างไร""ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว" ลู่ซือไหวยิ้มมีเลศนัย กำลังจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงซ่งเหวินวิ่งเหยาะๆ ดังเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่าง "ก็อก ก็อก ก็อก" เขาเคาะประตูเบาๆ ไม่รอให้ตอบ จากนั้นก็ถลาเข้ามาด้วยความลนลานลู่เหิงจือขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่รู้ตัว "มีเหตุอันใด"หากมีเรื่องใหญ่ องครักษ์ลับคงมารายงานแต่แรกแล้ว ไม่มีทางรอให้ถึงมือซ่งเหวินซ่งเหวินชูจดหมายในมือขึ้นมา ย
เรื่องที่ซูชิงลั่วเพิ่งหย่าขาดกับลู่เหิงจือและตั้งครรภ์อยู่จะแต่งงานกับอวี๋ซื่อชิงนั้น ทำให้คนในตระกูลลู่ทุกคนตกใจมากนางเฉียนก็แอบมาถามนางว่า“เด็กนี่เป็นลูกของอวี๋ซื่อชิงจริงหรือ?”ซูชิงลั่วจึงได้แต่พยักหน้ารับหากนางปฏิเสธ แล้วนางเฉียนจะเอาเรื่องนี้ไปนินทา อาจไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาแน่นางเฉียนมองนางด้วยสีหน้าสับสนแม้ว่านางจะชอบซูชิงลั่วลูกสะใภ้คนนี้มาก ทั้งร่ำรวย ใจกว้าง และกตัญญู ทำให้ชีวิตของนางดีขึ้นมาก แต่นางก็ไม่กล้าจะเห็นด้วยเพราะสตรีควรซื่อสัตย์แต่เมื่อเผชิญหน้ากับซูชิงลั่ว นางก็ไม่อาจพูดจารุนแรง ท้ายที่สุดก็ยิ้มอย่างอึดอัด แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อลู่เหยียนรู้เรื่องนี้ เขาอดด่าทอในห้องไม่ได้ว่า “ช่างเป็นหญิงสำส่อนเสียจริงๆ”แม้จะด่าทอเช่นนั้น แต่เขาก็อดรู้สึกเคืองใจไม่ได้เฉิงซิ่วเห็นว่าเขาอารมณ์ไม่ดี จึงเข้าไปโอบกอดเขานานแล้วที่ไม่ได้ร่วมห้องกัน ในใจนางยังคงชอบลู่เหยียนมาก จึงก้มศีรษะจูบเขาแต่ลู่เหยียนกลับผลักนางออกทันที “เจ้าก็เป็นหญิงสำส่อนที่ทนเหงาไม่ไหวรึ?”เฉิงซิ่วถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ มองเขาตาค้างราวกับไม่เชื่อว่าคำพูดร้ายกาจเช่นนี้จะออกจากปากของเขาลู่
สายฝนพร่างพราย ปกคลุมทั่วท้องฟ้าเมืองฉางอันท้องฟ้ามืดมัว เทียนเล่มหนึ่งที่ถูกจุดสว่างไว้บนเชิงเทียนถูกลมพัดเบาๆ แสงไฟสั่นไหว ฝีเข็มที่กำลังปักตรงหน้าจึงไหวตามไปด้วยเล็กน้อยซูชิงลั่วถูกเข็มทิ่มเข้าที่ปลายนิ้วชี้อย่างไม่ทันระวัง เกิดความเจ็บปวดแผ่ซ่านขึ้นมาทันทีหยดเลือดสีแดงหยดลงบนชุดแต่งงานที่ยังปักไม่เสร็จในมือ และหยดเปื้อนสีแดงลงบนตำแหน่งของนกยวนยางพอดิบพอดีชุดแต่งงานเปื้อนเลือด เป็นลางไม่ดีอย่างมากจื๋อหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ร้องออกมาด้วยความตกใจแล้วรีบนำผ้าเช็ดหน้ามาปิดแผลของซูชิงลั่วไว้ทันที"คุณหนูวันนี้ฝนตก ท้องฟ้ามืดมัว ไม่สู้ไว้ปักวันอื่นเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรก็ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งปี ทันแน่อยู่แล้ว"ซูชิงลั่วก้มหน้าลง ไม่ได้พูดอะไรรับใช้ซูชิงลั่วมาเป็นเวลาหกปี จื๋อหยวนรู้สึกว่าคุณหนูของนางยิ่งสวยขึ้นทุกวัน หรืออาจจะเป็นเพราะโตขึ้นก็ได้ผิวของนางขาวเนียนดุจหยก ดวงตาคู่สวยสดใสดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย ความงามสดใสของวัยสาวทำให้นางดูมีเสน่ห์ในแบบเด็กสาวปลายนิ้วยาวเรียวพันด้ายเรียบร้อย ซูชิงลั่วพูดเสียงเบาว่า "งั้นก็ไม่ปักแล้ว เราออกไปข้างนอกกัน"จื๋
ฝนยังคงตกและดูเหมือนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆซูชิงลั่วไม่อยากข้องเกี่ยวกับคู่หญิงร้ายชายเลวนี้อีก นางตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนกลับไปยังจวนลู่ทันทีโดยไม่รอให้รถม้ามาถึง เพราะอย่างไรระยะทางก็เพียงแค่สองถนนเท่านั้นเมื่อมาถึงตรอกของประตูข้าง นางก็หยุดฝีเท้าลงฉับพลัน ไม่อยากเข้าประตูไป ได้แต่กอดจื๋อหยวนแล้วร้องไห้ออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่พ่อแม่ของนางเสียชีวิตตอนนางอายุได้เพียงสิบปี จากนั้นนางจึงได้ติดตามลู่โย่วผู้เป็นน้าชายย้ายจากจินหลิงมายังบ้านตระกูลลู่ของท่านยายในเมืองหลวงแม้ว่าท่านยายจะดูแลนางดียิ่งกว่าหลานสาวแท้ๆ ของตัวเอง แต่นางก็รู้ดีแก่ใจว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านของคนอื่นหลังจากนั้นลู่เหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นเขาเป็นคนที่อ่อนโยนและสุภาพ อีกทั้งมักจะส่งของที่พวกผู้หญิงชื่นชอบมาให้นาง เช่น เครื่องหอมจากตะวันตก ปิ่นหยก แจกันดอกไม้ต่างๆบ้านตระกูลซูเป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในจินหลิง แม้ว่าของพวกนี้นางจะคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็รู้สึกว่าลู่เหยียนนั้นใส่ใจในตัวนางภายหลังท่านยายและน้าหญิงของนางจัดแจงให้นางหมั้นหมายกับลู่เหยียน นางก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แถมยังเริ่มคาดหวังเรื่องการมีครอบคร
แม้ว่าลู่เหิงจือจะถูกบันทึกว่าเป็นบุตรชายคนโตของบ้านใหญ่ แต่ส่วนมากแล้วเขามักจะอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็กในตรอกปาเถียว ที่นั่นอยู่ใกล้กับราชสำนัแถมยังเงียบสงบ แต่ละเดือนเขาจะกลับมาพักที่บ้านตระกูลลู่ในวันหยุดเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเพราะเขามีความเข้มงวดเป็นพิเศษ ดังนั้นทุกครั้งที่เขากลับมา บ่าวรับใช้ในบ้านต่างก็ตื่นตัวราวกับมีข้าศึกมาเยือนเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ฐานะของซูชิงลั่วในบ้านนี้แทบจะไม่มีค่าอะไรเลยซูชิงลั่วสั่งให้คนต้มน้ำร้อนมาล้างหน้า แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดแม้ว่าร่มกระดาษน้ำมันจะเป็นสีขาวที่ไม่โดดเด่น แต่นางก็ไม่กล้านำมันออกมาวางข้างนอก จึงให้จื๋อหยวนตากข้างในห้องแทนจากนั้นก็เก็บชุดคลุมกันลมไว้เองอย่างดี รอวันที่อากาศดีๆ แล้วค่อยแอบเอามาซักและตากแห้ง จากนั้นค่อยเอาไปคืนเขาพร้อมกับร่มแม้ว่านางจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ของพวกนี้นางก็ไม่กล้าให้ใครเห็น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาจากคนที่มีใจอิจฉาวุ่นวายมาครึ่งวัน ข้าวกลางวันก็ไม่ได้กิน ซูชิงลั่วทั้งเหนื่อยทั้งหิว และไม่มีแรงจะคิดเสียใจเรื่องลู่เหยียนอีกแล้วแต่เนื่องจากตอนนี้ผ่านเวลามื้ออาหารไปแล้ว นางก
ซูชิงลั่วรู้สึกตกใจการถูกเขาเห็นว่าร้องไห้สองครั้งในวันเดียว เป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกินเมื่อกี้แค่มองผาดๆ ไปที่ในศาลา ก็คิดว่าไม่มีคน แต่ตอนนี้นึกขึ้นได้ว่าคงถูกเสาบังอยู่แน่เมื่อลมพัดเบาๆ กลิ่นเหล้าจางๆ จากตัวผู้ชายก็ลอยมาวันนี้เขาเพิ่งกลับมาที่บ้านตระกูลลู่ ย่อมมีการจัดงานเลี้ยงดื่มเหล้ากับคนในบ้านตระกูลลู่ คิดว่าหลังจากดื่มเหล้าไปก็คงมาที่นี่เพื่อพักผ่อน แต่กลับถูกนางทำเสียบรรยากาศเข้าเขาดูอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ซูชิงลั่วไม่กล้าทำให้เขาโกรธอีก จึงทำความเคารพและพูดว่า "ไม่รู้ว่าท่านสามอยู่ที่นี่ ชิงลั่วเสียมารยาทแล้ว ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ""หยุดเดี๋ยวนี้" ลู่เหิงจือพูดด้วยเสียงเรียบๆน้ำเสียงของเขาแฝงด้วยคำสั่งที่ไม่อาจขัด ซูชิงลั่วหยุดเดินโดยไม่รู้ตัวเขาถามด้วยเสียงเย็นๆ ว่า "ข้าถามว่าทำไมถึงร้องไห้อีกแล้ว?"ซูชิงลั่วเม้มปาก เรื่องแบบนี้จะบอกผู้ชายที่ไม่ใช่คนในครอบครัวได้อย่างไร?นางไม่ตอบอยู่นาน จึงได้ยินเขาพูดอีกว่า "ทำไม? ขาพลิกอีกแล้วหรือ?"หน้าซูชิงลั่วแดงขึ้นมา แทบอยากจะหารูมุดหัวให้หายไปซะเลยเดี๋ยวนั้นโชคดีที่ซ่งเหวินมาถึงตอนนี้พอดีเขาถือโคมแก้วด้วยมือข้